PANTIP.COM : K9018058 เดี๋ยวนี้อาจารย์มหา'ลัยพวกจุฬา มธ.ต้องจบป.เอกเเละได้เกียรตินิยมอันดับ1เท่านั้นรึปล่าวครับ [การศึกษา]

ความคิดเห็นที่ 10

ขอตอบของจุฬาฯกับธรรมศาสตร์ในสาขาที่ผมสอนนะครับ (สายภาษาต่างประเทศ) เนื่องจากได้ไปสอบมาทั้งสองที่

โดยปกติแล้วนโยบายของมหาวิทยาลัยของรัฐในขณะนี้ต้องการอาจารย์ที่จบ ป.เอก แล้ว แต่ในบางสาขาที่ขาดแคลนหรือหาคนที่จบเอกยาก หรือมีคนที่จบเอกมาสมัครน้อย ทางมหาวิทยาลัยจะให้คนที่ได้ ป.โท สามารถสมัครสอบได้ด้วย (ไม่แน่ใจว่าสาขาอื่นเป็นอย่างไรแต่ในสาขาผมเป็นอย่างนี้ครับ)

CU

- CU รับผู้จบ ป.เอก หรือถ้าไม่มีผู้จบ ป.เอก มาสมัคร หรือมีมาสมัครน้อย ก็จะรับผู้จบ ป.โท ด้วย โดยผู้จบ ป.โท ต้องได้ ป.ตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 ส่วน ป.โทไม่กำหนดเกรด ผู้สมัครจะจบจากสถาบันไหนในไทยก็ได้ ป.โทและเอกจบจากมหาวิทยาลัยในไทย อังกฤษ อเมริกา คานาดา ออส หรือ นิวซีแลนด์
- เมื่อมาสมัครสอบ เจ้าหน้าที่และกรรมการจัดสอบจะขอเอกประวัติการศึกษา หากมีคุณสมบัติครบก็จะผ่านขั้นตอนแรกและได้สอบข้อเขียน กรรมการจะเก็บเอกสารการศึกษาของผู้สมัครเป็นความลับ
-วันสอบข้อเขียน ผู้เข้าสอบจะได้รับรหัสประจำตัว จะไม่มีการให้ผู้เข้าสอบเขียนชื่อบนกระดาษคำตอบเด็ดขาด (เพื่อป้องกันกรรมการตรวจข้อสอบรู้ว่าใครคือผู้สอบ)
-การสอบ วันแรกตอนเช้า 3 ชม สอบความรู้ความสามารถทั่วไปและความเหมาะสมในการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย (ผมจำไม่ได้ว่าชื่อจริงๆเรียกว่าอะไร แต่จะสอบความสามารถในการใช้ภาษาไทยและพวกเจตคติ) ข้อสอบนี้เป็นข้อสอบบังคับที่ผู้สมัครทุกคน ทุกคณะต้องสอบ

ตอนบ่าย สอบวิชาเฉพาะสาขา 3 ชม

วันที่สองตอนเช้า สอบวิชาเฉพาะสาขาอีก 3 ชม

ตอนบ่ายสอบต่ออีก 1 ชม

เมื่อสอบเสร็จแล้ว (อันนี้ผมมารู้วิธีการตรวจข้อสอบหลังจากผมได้เข้ามาเป็นอาจารย์แล้ว) คณะกรรมการสอบจะถ่ายสำเนากระดาษคำตอบของผู้สมัครแต่ละคนเป็นจำนวน 7 ชุด เพื่อให้กรรมการตรวจข้อสอบซึ่งมี 7 คน เช่นในปีที่ผมสมัคร มีคนสมัคร 22 คน กรรมการแต่ละคนก็จะได้สำเนากระดาษคำตอบคนละ 22 ชุด อาจารย์แต่ละคนตรวจข้อสอบโดยที่ไม่รู้ว่ากระดาษทั้ง 22 ใบเป็นของใครเพราะมีแต่รหัสเท่านั้น (กรรมการตรวจข้อสอบเป็นคนละชุดกับกรรมการจัดสอบ) และกรรมการจัดสอบกลางจะไม่ให้กรรมการตรวจข้อสอบดูประวัติของผู้สอบเพื่อป้องกันไบแอสต่างๆ

- เมื่อกรรมการทั้ง 7 คนตรวจข้อสอบเสร็จ ก็จะส่งผลให้กรรมการกลาง กรรมการกลางเอาคะแนนมาหาค่าเฉลี่ย เรียงลำดับผู้ได้คะแนนสูง-ต่ำ แล้วเลือกผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 คน (พอดีตอนรุ่นผมรับ 2 ตำแหน่ง) เพื่อเข้าสอบสอน

- ประกาศผลสอบข้อเขียน และเตรียมตัวเข้าสอบสอน 1 ชม โดยมีกรรมการ 3 คน (คนละชุดกับกรรมการกลางและกรรมการตรวจข้อสอบ)

- ประกาศผลสอบสอน ส่วนมากก็จะผ่านเกือบทุกคน นานๆครั้งถึงจะมีคนตกสอบสอน ตอนรุ่นผมก็ผ่านทั้ง 2 คน

- สอบสัมภาษณ์ประมาณ 1 ชม ก็มีคณะบดีกับรองต่างๆและหัวหน้าภาค รวมกรรมการสัมภาษณ์ 6 คน ในรอบนี้ กรรมการถึงจะได้รับประวัติการศึกษาเราจากกรรมการกลางและผลการสอบ (เนืองจากที่สาขาจะไม่ให้เกิดไบแอสในเรื่องสถานศึกษาว่าต้องจบจุฬาหรือมหาวิทยาลัยใดมหาวิทยาลัยหนึ่ง หรือเฟเวอร์คนจบโทเอกจากนอก ถ้าใครมีคุณสมบัติครบตามที่ประกาศรับสมัครก็จะมีสิทธิ์เท่ากัน และมาตัดสินกันตรงสอบข้อเขียน)

TU

- ตอนที่ผมสมัคร คุณสมบัติคือ ต้องจบ ป.โท หรือ เอก
- ตอน ป.ตรี ต้องไม่ติด F วิชาเอก
- ตอน ป.ตรี ต้องได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00
- จบโท เอก จากไทยหรือต่างประเทศ (ผมโชคดีเพราะประมาณ 3 ปีก่อนผมสอบ สมัยนั้นรับเฉพาะผู้จบ ป.โท จากต่างประเทศเท่านั้น)
- สอบข้อเขียน 3 ชม
- ประกาศผลผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 คน (รับ 2 ตำแหน่ง)
- ผู้ผ่านข้อเขียนสอบสอนและสอบสัมภาษณ์ แต่ผมไม่ได้ไปเนื่องจากตอนนั้นได้ที่จุฬาแล้ว และไปรายงานตัวแล้ว
- ไม่ทราบเรื่องการตรวจข้อสอบและการจัดสอบ แต่เพื่อนคนที่สอนที่ TU บอกว่าคล้ายๆกับที่ CU

ที่อธิบายมายืดยาวก็คือ
- ควรจบเอก แต่ในบางสาขาถ้ายังหาคนไม่ได้หรือคนจบเอกน้อย คนจบโทก็จะได้สอบด้วย
- การสอบในแต่ละสาขา/หรือการตัดสินใจรับอาจารย์ คงมีวิธีการต่างกันออกไป เนื่องจากสาขาที่ผมสอนเป็นด้านทักษะและทฤษฎี จึงสามารถตัดสินกันได้ด้วยการสอบข้อเขียน
- เกียรตินิยมเป็นแค่การกรองในรอบแรกแบบคร่าวๆ ถ้าเราได้เกรดสูงมากๆ (เช่นในสาขาผมมีวิชาเอก-โท) แล้วเราได้เกรดวิชาเอกซึ่งเราจะไปสอนจริงดี แตอาจไปพลาดวิชาพื้นฐาน อันนี้ก็ควรลองสมัคร เช่นเพื่อนคนหนึ่งของผมจบตรีจุฬา เกรดวิชาเอกได้เป็นอันดับต้นของสาขา แต่ไม่ได้เกียรตินิยม เพราะว่าติด F วิชาคณิตศาสตร์ตอนปี 1 เขามาสมัครและสอบได้ด้วย
- ไม่อยากให้มองว่า การสอบเข้าได้เกิดจากเป็นเด็กเส้น ลูกหม้อ หรือรู้จัก อ.ภายใน ลองมองแบบกลางๆ เพราะคนที่เชื่อเช่นนั้นมักจะเกิดจาก ...ได้ยินมา...เพื่อนไปสอบมาแล้วเล่าว่า...คนใกล้ตัวไปสอบมาแล้วพบว่า...ใครๆก็รู้.... ฯลฯ คนพวกนี้มักไม่ได้มีประสบการไปสอบเองจริงๆ

ผมเชื่อว่ามันก็อาจจะมีหรือไม่มี แต่การคิดแบบนั้นมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าสอบไม่ได้ แทนที่จะคิดว่ามีเส้น ลองเปลี่ยนมาแก้ที่เราเองดีกว่า เราสอบไม่ได้เองหรือเปล่า? ...

อย่างน้อยก็มีผมและเพื่อนๆสนิทอีกหลายคน ที่ไม่มี 'เส้น' ไม่ใช่ลูกหมอ ไม่ใช่ลูกคนดังหรือลูกหลานอาจารย์ ก็สามารถสอบเข้าได้ด้วยตนเองในมหาวิทยาลัยต่างๆ

ตอนผมสอบที่จุฬาฯ ประมาณ 90% จบตรีจุฬาฯ (ที่รู้เพราะว่าสอบตั้งสองวันเลยได้คุยกันและเป็นเพื่อนของเพื่อน) ที่เหลือก็ธรรมศาสตร์ แต่ผมมาแปลกนิดนึงตรงที่ไม่ได้ทั้งสองที่มา

ประมาณ 70% จบโทอังกฤษกับอเมริกา ที่เหลือซัก 30% จบโทจุฬา แต่ผมก็ไม่ได้จบจุฬาอีก

มีคนเอกจากอเมริกาและออสเตรเลียด้วย

แต่คนที่สอบได้คือผมและเพื่อน (ตรีจุฬา โทอเมริกา)

ตอนทีสอบที่ธรรมศาสตร์ ผมผ่านข้อเขียนกับเพื่อนอีกคน ซึ่งตอนนั้นคนสมัครก็จบตรีธรรมศาสตร์เป็นส่วนมาก แต่เพื่อนผมก็ไม่ได้เรียนตรีที่ธรรมศาสตร์

ต้องขอโทษนะครับ อย่าเข้าใจผิดคิดว่าผมหลงตัวเองหรืออวดเก่ง แต่ที่เล่ามาคือแค่จะบอกว่าถ้าเราพยายามจริง มีความสามารถ เราก็สามารถสู้กับคนอื่นได้

มีเพื่อนอีกคนเช่นกัน สอบได้เป็น อ.มหาวิทยาลัยของรัฐใน กทม แห่งหนึ่ง จบตรีจากราชภัฎต่างจังหวัด จบโทในไทย ไม่ใช่จุฬา ธรรมศาสตร์ แต่เพื่อนอีกคนที่ไปสอบด้วยจบตรีธรรมศาสตร์ โทอังกฤษ แต่สอบไม่ได้ (ไม่ได้ว่าคนไม่ได้ไม่เก่งหรือว่าสถาบันการศึกษา แต่จะบอกว่าสถาบันไม่ใช่สิ่งสำคัญเกินไป)

ส่วนสาเหตุที่ อ. จุฬาฯและธรรมศาสตร์มักเป็นลูกหม้อ อาจเนื่องมาจาก

- ในบางสาขามีคนจบจาก 2 ที่นี้มากกว่าที่อื่น (เช่นสาขาที่ผมจบมา จุฬาฯจบปีละประมาณ 70+ แต่มหาวิทยาลัยที่ผมจบมา มีแค่ปีละประมาณ 30+) ดังนั้นคนที่มาสมัครและสอบได้ก็น่าจะมีจากสองที่นี้มากกว่า

- ถ้าดูประวัติ อ.เก่าๆ ในบางสาขา ส่วนมากก็จบสองที่นี้เพราะสมัยก่อน (ในบางสาขา) มีแต่ 2 ที่นี้สอนเป็นหลัก

- ต้องยอมรับว่าเด็กจบจาก 2 ที่นี้ มีเด็กที่เก่งเยอะ มีพื้นฐานดี เพราะผ่านการสอบเอ็นท์ทรานซ์ (ระบบเก่า ระบบใหม่ผมไม่ทราบ) ที่ใช้กรองคนได้ดีระดับหนึ่ง (แต่ไม่ได้หมายความว่าคนจบที่อื่นไม่เก่งนะครับ บางคนอาจไม่เลือก 2 ที่นี้ก็ได้)

- ถ้าดูโท เอก ในไทย จุฬากับธรรมศาสตร์ก็คงเปิดเป็นที่แรกๆ ก็น่าจะได้คนเก่งเยอะ และผลิตคนออกมามาก

- บางคนไม่กล้ามาสอบเป็น อ.จุฬา ธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้จบตรีจากสองที่นี้มา เพราะคิดว่า ทางมหาวิทยาลัยคงนิยมลูกหม้อ ฯลฯ มากกว่า มันก็เลยมีแต่คนที่จบสองที่นี้มาสมัครมังครับ อันนี้ผมดูจากประสบการของผมเอง เพราะตอนแรกผมก็ไม่ยอมมาสอบสองที่นี้ (แม้แต่ตอนจบ ม.6 ยังไม่กล้าเอ็นท์เข้าเลย เพราะกลัวไม่ติด) เพราะคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ แต่มีเพื่อนบอกว่าให้ลองมาสอบเป็นเพื่อน เพื่อเป็นการฝึกทำข้อสอบ (ค่าสมัครสอบเป็นอาจารย์แค่ร้อยเดียว ได้สอบตั้ง 2-3 วัน) แล้วเอาไว้ค่อยไปสอบจริงจังที่อื่น

ยังจำที่เพื่อนบอกไว้ได้คือ

ถ้าไม่ไปสอบก็ไม่ได้ 100%

ถ้าลองไปสอบ อาจได้แค่ 1% ซึ่งก็ดีกว่า 0%

ถ้าไปสอบแล้วไม่ได้ ไม่ต้องกลัวหน้าแตก เพราะไม่มีใครรู้จักเรา (และเค้าก็สนใจจะจำแต่คนที่สอบได้เท่านั้นหละ)

จากคุณ : C

เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 04:07:53 A:109.246.5.90 X: TicketID:253731