ความคิดเห็นที่ 1 มาตั้งแต่การก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา แต่อิทธิพลการปกครองจากราชสำนัก เขมรน่าจะมีบางๆเข้าไปในระบบการปกครองของสุโขทัยบ้างแล้วเหมือน กัน แต่เข้มข้นเนี่ยอยุธยาแน่นอนและเจือจางลงจนกระทั่งถึงรัชสมัยของ รัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กระทั่งการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงที่คณะ ราษฏรกระทำในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. ๗ ... จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 10:43:29

ความคิดเห็นที่ 2 เคยถกกันที แต่จำไม่ค่อยได้แล้วละว่าสรุปว่าไง จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 10:46:14

ความคิดเห็นที่ 3 เอ่อ มีมานานแล้วครับ ตั้งแต่สมัยก่อนพระเจ้าพรหมมหาราชละมั้งครับ คือมีลักษณะเป็น กษัตริย์เป็นใหญ่ มีสิทธิขาดสมบูรณ์ แต่มีคุณสมบัติปลีกย่อยต่างกันไปในแต่ละยุค เช่น สมัยสุโขทัยเป็นระบอบปิตุราชาธิปไตย คือ ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่มีความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรกับกษัตริย์แบบพ่อปกครองลูก ด้วยเพราะประชากรยังมีน้อย แต่โครงสร้างสังคมยังไม่ซับซ้อนมากนัก พอมาอยุธยา รับอิทธิพลจากขอมมาเยอะตั้งแต่สุโขทัย ประชากรเริ่มมาก โครงสร้างทางสังคมเริ่มซับซ้อน มีพลวัตรอื่นเช่นการศึกสงคราม จึงต้องมีการสร้างอำนาจบารมีให้กษัตริย์ กลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรกับกษัตริย์ เชิงเทวราชา คือ กษัตริย์เป็นเทพ ไพร่คือ ประชาชนทั่วไป เป็นราษฎร ทำให้เกิดพิธีการซับซ้อนเพื่อแยกกษัตริย์คือ สมมติเทพ แยกกับประชาชน แต่การปกครองแบบเทวราชานี้ ย่อมส่งผลให้กษัตริย์มีอำนาจมาก จึงมีหลักธรรมต่างๆนานา เช่น ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร เป็นต้น เป็นสิ่งควบคุม อีกประการคือ พระสงฆ์ เป็นชนชั้นพิเศษที่สูงส่ง เป็นที่เคารพสักการะของทั้งกษัตริย์และไพร่ พอผ่านมารัตนโกสินทร์ ลัทธิธรรมเนียมการปกครองก็ยังคงไม่เปลี่ยน จนกระทั่งสมัยในหลวงรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีการปฎิรูปการปกครอง รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง อันเนื่องมาจากการที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ต้องการถ่ายอำนาจจากขุนนางสู่พระองค์เอง เพื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรและราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดกระทรวง ทบวง กรม และการปกครองส่วนท้องถิ่น ผมว่า การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของในหลวงรัชกาลที่ ๕ เลยทำให้คนมองไปว่า เป็นการเริ่มของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่แท้จริงผมว่า มีมานานมากแล้วครับ ช่วงรัชกาลที่ ๕ น่าจะเป็นในเชิงเริ่มต้นวางรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเสียมากกว่า จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 10:48:02

ความคิดเห็นที่ 4 * ความคิดเห็นส่วนตัว * ถ้าไม่มีคณะราษฎร์ ฯ ที่ทำให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาจนถึงปัจจุบันนี้ประเทศเราก็จะมีประชาธิปไตย์ที่สมบูรณ์ ตามลักษณะของสยามประเทศ หรือ ตามแบบฉบับบกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ไม่มีที่ใดเหมือนในโลก เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ ที่ทรงอัจฉริยะภาพในหลาย ๆ ด้าน ในหลวง ร.5 ทรงวางรากฐาน ในหลวง ร.6 ทรงดำเนินตาม และต่อ ๆ มา จนถึงปัจจุบัน ประเทศของเราก็จะเป็น ประชาธิปไตย์ที่เป็นของตนเอง ไม่จำเป็นต้องไปอ้างอิง อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ...... จากคุณ : ศิษย์มารบูรพา (M060) เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 11:28:42

ความคิดเห็นที่ 5 ระบบ absolute monarchy น่าจะมีมาแต่ยุคประวัติศาสตร์ของไทยเราเลยหล่ะครับ เพียงแต่ขอบเขตของพระราชอำนาจอาจจะมากบ้างน้อยบ้าง ลดหลั่นกันไป แต่ยุคที่ส่วนกลางและพระเจ้าแผ่นดินทรงมีอำนาจอย่างมากที่สุดเหนือหัวเมืองนั้น น่าจะพัฒนาขึ้นในราชวงศ์บ้านพลูหลวงและถึงจุดสูงสุดในสมัยรัชกาลที่ 6 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 12:08:39

ความคิดเห็นที่ 6 ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละ สำนัก ครับ สิ่งที่เราทำได้ก็คือการอ่านการตีความเหล่านั้นอย่างถ้วนทั่วกัน แล้วสรุปออกมาเป้นของเราเอง บางสำนักบอกว่า AM มีมาตั้งแต่สมัยก่อนหน้า ร.5 แต่บางที่บอกว่าเริ่มตั้งแต่ ร.5 โดยมีการเทียบเคียงจากยุโรป.. จากคุณ : นายอึเหม็น เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 13:59:54

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเห็นว่าเริ่มสมัยรัชกาลที่ ๕ ครับ ก่อนหน้าการปรับปรุงการปกครอง ประชาชนเป็นไพร่ในสังกัดมูลนาย ซึ่งอาจเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านาย หรือขุนนางก็ได้ เจ้านายและขุนนางในยุคนี้นอกจากเงินเบี้ยหวัดแล้ว ยังมี "รายได้" จากไพร่ในสังกัดของตัวเองด้วย ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปเงินทอง ข้าวของ หรือแรงงานครับ ยังไม่นับเจ้าทรงกรมที่มีขุนนางในสังกัดของตัวเอง สามารถแต่งตั้งได้โดยเป็นอิสระ ภายในขอบเขตอำนาจที่ได้รับแบ่งปันมาจากพระมหากษัตริย์ โครงสร้างอำนาจอย่างนี้ เห็นได้ว่าอำนาจของพระมหากษัตริย์นั้น ไม่ absolute ไม่ใช่ Absolute Monarchy การเลิกทาส เลิกไพร่ ลดอำนาจเจ้าประเทศราชไปจนถึงการยกเลิกตำแหน่งเจ้าประเทศราชใน ร.๕ ทำให้อำนาจในการคุมคนมาขึ้นตรงกับพระมหากษัตริย์แต่ผู้เดียว และน่าจะเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เกิดการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ครับ จากคุณ : CrazyHOrse เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 14:27:08

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้ารัตนโกสินทร์ ผมว่าเริ่มสมัยรัชกาลที่ 5 เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านั้น อำนาจจริงๆ อยูในมือของขุนนางโดยเฉพาะตระกูลบุนนาค พึ่งมาสมัยรัชกาลที่ห้านะครับที่เริ่มลดทอนอำนาจของขุนนางโดยการให้น้องยาเธอทั้งหลายทรงกรมแทน จากคุณ : I will see U in the next life. เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 20:31:55

ความคิดเห็นที่ 9 ก่อนหน้านั้นเรียกว่าระบอบอะไรหรือครับ? ราชาธิราช? จากคุณ : guerilla gorilla เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 20:45:10

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ อธิบายลำบากเหมือนกัน สมัยก่อนร.5 นั้น ถ้าจะหาคำเรียกง่ายๆคือระบอบราชาธิราชก็ว่าได้ หรือไม่ก็สมบูรณาญาสิทธิราชแบบรัฐสยาม เพราะกษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจสิทธิขาดสมบูรณ์ตามหลักการของระบอบนี้ ในยุคที่อาณาจักรในดินแดนนี้ต่างแก่งแย่งอำนาจกันและมีสภาพเหมือนเป็นสหพันธ์รัฐต่างๆนั้น แต่ละอาณาจักรต่างมี "ราชา" เป็นผู้ปกครอง ส่วนคำเรียกขานก็แล้วแต่กันไป เช่นพ่อขุน ราชา ธรรมราชา แต่ก็ล้วนความหมายเดียวกัน ทั้งนี้อำนาจของราชาก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก จนกระทั่งมาถึงยุคอยุธยาที่อำนาจการปกครองรัฐเริ่มมีความมั่นคงและเป็นรูปร่างชัดขึ้นในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ แต่กระนั้นอำนาจก็ยังคงกระจายไปอยู่ที่เหล่าขุนนางตระกูลต่างๆและในส่วนหัวเมืองอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะบรรดาสมุหกลาโหม ทำให้เกิดการล้มล้างอำนาจขึ้นจากบรรดาขุนนางอยู่หลายครั้ง เห็นด้วยเหมือนกันว่า ในสมัยของล้นเกล้า รัชกาลที่ 5 ท่านรวบอำนาจกลับมาเข้าสุ่กษัตริย์อย่างแท้จริงนั้น ส่วนหนึ่งเพื่อที่จะดำเนินนโยบายทางการเมืองได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นช่วงที่ชาติตะวันตกกำลังเข้ามาพอดี ดังนั้นเพื่อที่จะสามารถทำให้ประเทศรอดพ้นจากลัทธิล่าอาณานิคมมาได้นั้น เรื่องนี้จำต้องทำ ส่วนเรื่องในสมัยร.7 ผมว่ายังไงก็คงต้านทานกระแสการเปลี่ยนแปลงและการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ยาก ประกอบกับเป็นช่วงศก.ตกต่ำทั่วโลกด้วย ตอนนั้นแม้กษตริย์หรือจะมีรัฐบาลที่เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ เพราะมันเป็นทั้งโลก แต่การเปลี่ยนแปลงของการปกครองทำให้เกิดการลดกระแสต่อต้านลงได้ อันที่จริงการที่ล้มล้างและเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆของไทยโดยแทบไม่มีการนองเลือดนั้นต้องถือว่าเป็นปาฏิหารย์มาแล้ว ประเทศอื่นเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบกันทีแทบจะเลือดนองแผ่นดิน ไม่ว่าจะการเลิกทาสของอเมริกา การล้มล้างราชวงศ์ชิง การปฏิวัติฝรั่งเศส ของเรามีหนักที่สุดคือช่วง 14 ตุลา และกรณีนักศึกษาถูกล้างตอน 6 ตุลา แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นสงครามกลางเมืองทั้งสองครั้ง นับว่าบุญสุดๆแล้ว ในขณะที่หลายประเทศนั้นเขียนปวศ.ช่วงนี้ด้วยเลือดของเพื่อนร่วมชาติ ทั้งที่ไม่ควรเลย จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 21:21:05

ความคิดเห็นที่ 11 ก่อนรัชกาลที่5    สยามมีลักษณะเหมือนหัวเมืองต่างๆมาอยู่รวมๆกัน   โดยแต่ละหัวเมืองมีเจ้าของตนเอง     ผมดูแล้วมีลักษณะคล้ายๆยุโรปในยุค Land Lord / Feudal Lord นะครับ          โดยส่วนที่มีราชาของอาณาจักรหนึ่งซึ่งทรงอำนาจสูงสุด   อย่างนี้ผมว่ามีส่วนคล้ายกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์นะ       เท่าที่ดูๆแล้วยุโรปในยุคก่อนที่พระเจ้าหลุยส์ที่14จะกุมอำนาจสูงสุด    นั่นคล้ายกับสยามในยุคก่อนรัชกาลที่5มาก     ซึ่งยุโรปก่อนหน้าพระเจ้าหลุยส์ที่14นั้นเขาก็ถือว่าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชเหมือนกัน     เพียงแต่ระบบมารุ่งเรืองที่สุดในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่14นั้นเอง จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 21:37:32

ความคิดเห็นที่ 12 ก่อน ร.๕ ทรงปรับปรุงการปกครอง แน่นอนว่าเป็น Monarchy หรือเจาะจงว่าเป็น limited monarchy เป็นราชาธิปไตยแบบกษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจเต็ม (ราชาธิราช - ราช + อธิ + ราช - เป็นคำเรียกกษัตริย์ ไม่ใช่ระบอบการปกครองครับ) โครงสร้างแบบนี้มีมาตลอด ถึงในเชิงปฏิบัติ แต่ละรัชสมัยกษัตริย์เข้มแข็งไม่เท่ากัน หรือมีนโยบายการกระจายอำนาจไม่เท่ากัน แต่ในเชิงระบบการกระจายอำนาจแล้ว ต้องถือว่าเหมือนกัน คือเป็น limited monarchy ไม่ใช่ absolute monarchy จากคุณ : CrazyHOrse เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 22:25:21

ความคิดเห็นที่ 13 ความสับสน ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัญหาเรื่องความหมายของคำ ผมคิดว่า ถ้าจะพูดภาษาไหน ก็ใช้ภาษาหนึ่งไปเลย จะสับสนน้อยกว่าครับ ก่อนสมัยรัชกาลที่5 เราปกครองแบบ ราชาธิปไตย (Monarchy) อุดมการณ์ของราชาธิปไตยคือ อำนาจอธิปไตยเป็นของพระราชา (ราชา + อธิปไตย) เห็นได้ชัดว่า การกระทำใดๆล้วนต้องอ้างพระปรมาภิไธย ทว่า ก็ดังเช่นที่หลายๆท่านกล่าว อำนาจในการปกครองที่แท้จริงนั้น ก็มีเพียงในเขตพระนคร รอบนอกออกไป พระราชอำนาจก็เจือจางลงทุกขณะ กล่าวได้ว่า พระราชาไม่ได้มีพระราชอำนาจที่แท้จริงเท่ากันทั่วทุกแห่งในขอบขัณฑสีมา ด้วยพระองค์ไม่สามารถปกครองไปได้ทั่วพระราชอาณาจักร ต้องอาศับขุนนาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเอาพระราชอำนาจอันมหาศาลนั้น มาทอนแบ่งออกเป็นส่วนๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แล้วมอบให้แก่ขุนนางเหล่านั้น ทว่าอย่างไรก็ดี ดังที่กล่าวไปแล้ว ทุกสิ่งก็ยังอ้างว่ากระทำลงไปภายใต้พระบารมีของพระราชา เช่นนี้ก็กล่าวได้ว่า อาญาสิทธิ์อันสมบูรณ์ ยังไม่ได้เป็นของพระราชาแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็อาจมีบ้างบางยุคสมัยที่พระราชาทรงมีเดชานุภาพมากพอ ก็อาจครอบครองอาญาสิทธิ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็แค่ชั่วรัชกาลของพระองค์เท่านั้น สมบูรณาญาสิทธิ์ สถิตย์อย่างสมบูรณ์เป็นรูปแบบครั้งแรก จึงเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวง เมื่อทรงสามารถรวมอำนาจบริการทั้งหมดมาสู่ศูนย์กลางได้สำเร็จ โดยมีคณะเสนาบดีเสมือนเป็นราชเลขาฯในกิจการด้านนั้นๆ และพระองค์ เป็นทั้งประมุขของอาณาจักร และประมุขของรัฐบาลในเวลาเดียวกัน ดังนั้น ผมจึงคิดว่า สมบูรณาญาสิทธิราช เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่5  ก่อนหน้านั้น เป็นแค่ราชาธิปไตยครับ จากคุณ : จะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี (WeeN the Listener) เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 22:46:59

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ ชาวจีนศึกษา ณ TU ส่งลิงค์มาให้ กระทู้ที่อภิปรายกันครั้งก่อน ให้ช่วยมาโพสต์ เผื่อผู้สนใจอ่าน ขอบคุณมากครับ :) http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/09/K7026449/K7026449.html แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 53 22:58:21 จากคุณ : guerilla gorilla เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 22:57:08

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ จากคุณ : guerilla gorilla เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 23:05:26

ความคิดเห็นที่ 16 เริ่มสมัยรัชกาลที่ 5 หลังมีการรวมศูนย์อำนาจปกครองเข้าสู่ส่วนกลางค่ะ จากคุณ : risei (risei) เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 11:06:13

ความคิดเห็นที่ 17 จะเรียกได้ไหมครับว่าก่อน ร. 5 เป็นอำมตยาธิไตย จากคุณ : P.sek เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 20:54:19

ความคิดเห็นที่ 18 อำมาตยธิปไตย เริ่มหลังการปฎิวัติของคณะราษฎรเรียกอีกอย่างว่า การปกครองโดยระบบราชการ (bureaucracy) ส่วนในสมัย ร 1 ถึง ร 5 น่าจะเรียกว่าเป็น Monarchy หรือราชาธิปไตยครับ แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 53 09:09:10 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 08:59:23

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ เนื่องจากประชาธิปไตยของเมืองไทย หากจะเอาตามนิยามของชาติตะวันตกแล้ว มันไม่เหมือนกันน่ะครับ การปกครองมันรวมอยู่ที่กลุ่มขั้วอำนาจในแต่ละยุค ดังนั้นหลังการปฏิวัติของคณะราษฏร์เป็นต้นมา แต่ละยุคก็แค่เปลี่ยนจากกลุ่มขั้วหนึ่งไปอีกขั้วเท่านั้น อันที่จริงพวกชาติตะวันตกก็มีอะไรแบบนี้ แต่สิ่งที่ค่อนข้างแย่ในระบบของเมืองไทยคือระบบการตรวจสอบและการคัดค้านครับ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็งของพวกชาติตะวันตก ดังนั้นต่อให้อำนาจไปอยู่ที่ขั้วใดก็ไม่ต้องกลัว การตรวจสอบและพลังในการคัดค้านของเขาแน่นมาก และประชาชนก็ตื่นตัวด้วย ส่วนของไทย ถ้าเรียกการปกครองตั้งแต่การปฏิวัติว่าเป็นระบอบอำมาตยธิปไตยก็พูดแบบนั้นได้เหมือนกัน คือเป็นประชาธิปไตยแบบอำมาตยธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข และเป็นเช่นนี้มาทุกยุค ทุกรัฐบาลครับ อเมริกายังเคยมีบางยุคที่เป็นแบบนี้เลย นับประสาอะไรกับเมืองไทย ยุคนิกสันน่ะ ช่วงหลังก็ ยุคบุช ยุคคลินตัน นี่แหละตัวดี พวกคนอเมริกาถึงไม่อยากเลือกกลุ่มจากทางบุชหรือคลินตันอีก เพราะเขาไม่อยากเห็นการเกิดเป็นราชวงศ์บุชหรือคลินตัน มาครองอำนาจการปกครองไปมากกว่านี้ ดังนั้นบางส่วนจึงต่อต้านนางฮิลลารี่ และไปเทคะแนนให้โอบามาแทน เพราะเขากลัวจะเกิดภาวะเช่นนั้นขึ้น แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 53 11:11:26 จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 11:05:18