" 1. ... ส่วนผู้ใหญ่มักมีแนวโน้มจะยึดธรรมเนียมมากกว่าค่ะ ... "
ประเด็นนี้เห็นด้วยครับ
นอกจากนี้ตามทฤษฎี Nostalgia คนมักจะมองว่ารุ่นตัวเอง ดีกว่าคนรุ่นหลังเสมอ ดังนั้นเมื่อยิ่งมีอายุมากจะมองว่าสังคมเสื่อมทรามลง
ซึ่งเป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ที่นักปราชญ์กรีกอาวุโส ตำหนิคนหนุ่มที่ไม่มีสัมมาคารวะ ชอบทำตัวคึกคะนอง ก่อความวุ่นวาย (ซึ่งความจริงก็เป็นธรรมดาของโลก ที่คนหนุ่มจะเป็น Angry Young Man ต้องการที่จะเปลี่ยนโลก ต่อต้านกระแสหลัก)
หรืออย่างในไทย สุนทรภู่เอง ช่วงที่รับจ้างแต่งกลอนให้พวกละครเล่น ก็เนื้อหอมจนมีสาวๆ มาติดพัน ไปมีอะไรกะผู้หญิงในเรือบ้าง ในนั่งร้านเฝ้าสวนบ้าง ไม่ต่างกับ Celebrity หรือวัยรุ่นยุคนี้
เรื่องพระสงฆ์ทำผิดพระวินัย กกสีกา กินเหล้า ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาเทศน์ ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ก็มีมาแต่โบราณแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องธรรมดาโลกอีกข้อหนึ่ง นั่นคือ ผู้มีอำนาจในมือ มักชอบใช้อำนาจนั้น จนบางคนถึงขั้นลุ่มหลงในอำนาจ ทำอะไรผิดหลักทำนองคลองธรรมได้ โดยไม่ว่าจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม
(Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely. Lord Acton)
อันนี้กล่าวโดยรวม ไม่ได้เจาะจงผู้ใดผู้หนึ่ง เพราะผมก็เคารพสมเด็จเจ้าพระยาอย่างยิ่ง และยกย่องว่าท่านเป็นผู้นำความรุ่งเรืองมาสู่วงศ์ตระกูลอย่างสูงสุด ผลประโยชน์ใดๆที่ท่านได้รับเป็นไปตามลักษณะการปกครองในยุคนั้น การลงโทษนักโทษด้วยความรุนแรงก็เช่นกัน
ส่วนในเรื่องทางการเมืองซึ่งว่าด้วยเรื่องอำนาจ ผมก็ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก ไม่ว่ายุคไหน ไม่ว่าใคร ถ้าไปอยู่จุดนั้น ก็ต้องเล่นเกมอำนาจ คนอื่นอาจจะใช้วิธีที่รุนแรงกว่าสมเด็จเจ้าพระยาเสียอีก
ป.ล. ขณะนี้ท่านเห็นด้วยแล้วใช่หรือไม่ครับ ว่าธรรมเนียม แม้มีผู้ไม่ยอมปฏิบัติ มันก็ยังอาจเรียกว่าธรรมเนียมได้อยู่ ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมยังยึดถือ เพราะ คคห. ๒๗ ท่านว่า
" ... ธรรมเนียมต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตที่คนในสังคมทั่วไปใช้ เป็นมติที่เห็นว่าดีว่างามจึงใช้สืบทอดปลูกฝังให้ลูกหลาน ต่อให้มีอำนาจสูงส่งแค่ไหน ก็ไม่กล้าฝืนธรรมเนียม ... "
แต่ใน คคห. ล่าสุด (๓๐) ท่านได้เสนอความคิดว่า
" การฝืนธรรมเนียม อำนาจคงไม่ใช่ปัจจัยเดียวหรอกค่ะ นอกจากถือว่ามีกำลังเหนือกว่าแล้ว ธรรมเนียมก็ถูกฝืนบ่อยๆ โดยวัยรุ่น ... "
" 2. ... ถ้ากรมพระยาดำรงฯ เห็นว่าผิดธรรมเนียม ก็น่าจะเขียนบันทึกไว้ เป็นหลักฐานชั้นต้น ไปเขียนในเอกสารชั้นรองซะงั้น ... "
เหตุผล ผมแสดงไว้แล้วใน คคห. ๒๘ ที่ตอบข้อ ๒ ของท่าน
" 3. ... แต่ก็น่าสังเกตว่าวังหน้ามักสูงอายุกว่าวังหลวง ... "
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตั้งแต่สมัยพระเพทราชา มีทั้งหมด ๑๑ พระองค์
นับเฉพาะกรุงรัตนโกสินทร์ มี ๖ พระองค์
จากทั้งหมด ๑๑ พระองค์นี้ มีแค่ ๒ พระองค์ในกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีพระชนมายุมากกว่าวังหลวง
โดย ๑ ใน ๒ พระองค์นั้น คือ วังหน้าองค์สุดท้าย ซึ่งพระมหากษัตริย์ มิได้ทรงแต่งตั้ง
แล้วจะว่าวังหน้ามักสูงอายุมากกว่าวังหลวงได้อย่างไรครับ???
" ... เรื่อง Crown prince ของฝรั่งที่ว่า ต้องเป็นโอรสของพระมเหสีเอก ไม่เคยมีมาก่อนนะคะ เป็นเรื่องใหม่ ทำนองเดียวกับที่เอกสารฝรั่ง มักเขียนว่า ร.3 แย่งราชสมบัติ ทั้งๆ ที่เราไม่ถือว่า ผิดธรรมเนียม ธรรมเนียมก็คือ "แล้วแต่ที่ประชุม" จะอัญเชิญใครรับราชสมบัติ ..."
ครับ แต่อย่างน้อยก็ยังอ้างได้ว่าไปขุดกฎมนเทียรบาล สมัยต้นกรุงศรีอยุธยากลับมาใช้อีก
ธรรมเนียมกรุงศรีอยุธยา โดยราชวงศ์ที่ตั้งกรุง (ซึ่งสมัยหลังสมมติเรียกกันโดยแบ่งเป็น ๒ วงศ์ ว่า สุพรรณภูมิ และ ละโว้-อู่ทอง) มีธรรมเนียมสืบทอดจากพ่อไปลูกทั้งสิ้น ได้แก่
พระเจ้าอู่ทอง-พระราเมศวร
/แย่งราชสมบัติ/
ขุนหลวงพ่องั่ว-เจ้าทองลัน
/แย่งราชสมบัติ/
พระราเมศวร-พระรามราชา
/แย่งราชสมบัติ/
เจ้านครอินทร์-เจ้าสามพระยา (เจ้าอ้าย เจ้ายี่ ชนช้างสิ้นพระชนม์ทั้งคู่)
เจ้าสามพระยา-พระราเมศวร (พระบรมไตรโลกนาถ)
พระบรมไตรโลกนาถ-พระบรมราชา
จึงได้มีการตรากฎมณเทิยรบาล ที่เชื่อกันว่าอาจจะตราในสมัยพระเจ้าอู่ทอง และแก้ไข (หรือตรา) ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ
โดยถ้าลองอ่านดูทุกมาตราจะสรุปได้ว่า
"ชั้นสมเด็จพระภรรยาเจ้า???"
พระอัคมเหษี (พระอรรคมเหษี พระอัรคมเหษี) : พระราชกุมารมีสิทธิ์ได้รับสถาปนาเป็นที่ สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า (มีได้พระองค์เดียว)
(สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า ถ้าได้เสวยพระราชมนเทียรฝ่ายหน้า ก็เท่ากับเป็นพระรัชทายาทโดยสมบูรณ์)
พระอรรคราชเทวี (ศักดิ์เกือบเท่าพระอัคมเหษี)
พระราชเทวี
พระอรรคชายา (พระราชเทวีกับพระอรรคชายาศักดิ์ใกล้เคียงกัน และบางทีอาจเทียบได้กับระดับแม่หยัวเมือง)
(พระภรรยาเจ้าทั้ง ๓ นี้ ไม่แน่ใจว่าพระราชกุมารมีสิทธิ์ได้รับสถาปนาเป็นที่ใด)
(ชั้นแม่หยัวเมือง)
แม่หยัวเมือง (หยัวคืออยู่หัว บางครั้งออกพระนามว่า แม่หยัวเจ้า แม่หยัวเจ้าเมือง) : พระราชกุมารมีสิทธิ์ได้รับการสถาปนาเป็นที่ พระมหาอุปราช (มีได้พระองค์เดียว)
(ชั้นแม่เจ้า???)
ลูกหลวง (เป็นพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์) : พระราชกุมารเป็นที่ พระเจ้าลูกเธอ มีสิทธิ์ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกเธอกินเมืองเอก (ลูกหลวงเอก)
เมืองลูกหลวงทั้ง ๕ คือ พิศณุโลก สวรรคโลก กำแพงเพช ลพบุรี สิงคบุรี
(ก่อนที่ได้สุโขทัย ยุคแรกยังเป็น สุพรรณ แพรกศรีราชา (ชัยนาท ในปัจจุบัน) ละโว้ อีกเมืองจำไม่ได้ แหะๆ)
หลานหลวง (เป็นพระราชนัดดาของพระมหากษัตริย์) : พระราชกุมารเป็นที่ พระเจ้าลูกเธอ มีสิทธิ์ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกเธอกินเมืองโท (ลูกหลวงโท)
เมืองหลานหลวงทั้ง ๒ คือ อินทบุรี พรหมบุรี
(ชั้นพระสนม)
พระสนม (สามัญชน) : พระราชกุมารเป็นที่ พระเยาวราช
***เนื่องจากกฎมณเทิยรบาลเป็นภาษาโบราณและเนื้อหาซับซ้อน จึงอาจมีความผิดพลาด จึงได้ใส่ "???" ไว้ให้ทราบว่าไม่แน่ใจนะครับ***
แต่ทางสุโขทัย วงศ์พระร่วงซึ่งยังไม่รับธรรมเนียมแขกมากเท่าทางอยุธยา ถือหลัก พี่ตายไว้แก่น้อง พ่อตายไว้แก่ลูก
คือไม่ใช่แนวดิ่งเหมือนอยุธยา แต่ไปแนวระนาบ คือ ไล่ให้ชั้นเดียวกันก่อน จึงค่อยให้ชั้นต่อไป
เช่น พ่อขุนบาลเมือง ให้น้องคือ พ่อขุนราม
พ่อขุนราม ไม่มีน้องร่วมมารดาแล้ว จึงให้ลูกคือ พญาเลอไท
พญาเลอไท ให้ลูกผู้พี่ (ลูกพ่อขุนบาลเมือง) คือ พญางั่วนำถม
จากนั้นเป็น พญาลือไท (ลิไทย) ซึ่งเป็นลูก พญาเลอไท
จะเห็นได้ว่า ไล่ไปทีละชั้น (generation)
ต่อมาเมื่ออยุธยา พยายามผนวกสุโขทัย โดยผ่านการแต่งงาน ก็เริ่มมีการรับธรรมเนียมสุโขทัยมาบ้าง
ในช่วงหลังรัชกาลพระบรมไตรโลกนาถ ตำแหน่ง สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า ยังมี แต่พระมหาอุปราช จะหมายถึงผู้ได้สถาปนาให้ครองเมืองพิษณุโลก เป็นที่พระรัชทายาท
เช่น พระเชษฐาธิราช มีศักดิ์เป็นสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า ได้ขึ้นครองเมืองพิษณุโลก เป็นที่พระมหาอุปราช
ในชั้นนี้ สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า เริ่มมีความหมายเลือนเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่
(สมัยนั้นไม่มีการทรงกรม ถ้าจะสถาปนาพระอิสริยยศ ก็ขึ้นเป็นพระ เช่น พระราเมศวร พระนเรศวร (เทียบที่หน่อพระพุทธเจ้า)
พระรามราชา พระอินทราชา พระไชยราชา พระเทียรราชา (คงเทียบมี่ลูกเธอครองเมือง ถึงได้เป็นราชา ส่วนพระมหาอุปราช เทียบที่ พญาเอกสัตราชมหาอุปราช แปลว่า มหาอุปราชผู้เป็นใหญ่กว่าราชา ๑๐๑ นคร))
ถ้ายังมิได้สถาปนาเป็น พระ ก็จะมีคำนำหน้าว่า เจ้า เช่น เจ้าทองลัน เจ้าอ้าย เจ้ายี่ เจ้าสาม (เจ้าฟ้า เป็นธรรมเนียมไทยใหญ่ หมายถึงเจ้าครองนคร เรารับมาเมื่อเสียกรุง โดย พระนเรศวร เป็น เจ้าฟ้าสองแคว ส่วนพระองค์เจ้า เป็นคำเขมร ซึ่งมีใช้ในกฎมนเทียรบาล และนำมาเป็นพระอิสริยยศในเวลาต่อมา)
ส่วนการทรงกรมมีขึ้นในสมัยพระนารายณ์ และกรมพระราชวังบวร (ทั้งวังหน้า วังหลัง) ในสมัยพระเพทราชา
และเมื่อวงศ์สุโขทัยได้ครองอยุธยา ธรรมเนียมจาก พี่ ไป น้อง ก็กลายเป็นกระแสหลัก
และพระมหาอุปราช จะเป็นน้องชายร่วมบิดามารดา หากไม่มีน้องชายร่วมบิดามารดา จึงให้ลูก
สมัยพระเจ้าท้ายสระ (เจ้าฟ้าเพชร) มีวังหน้าเป็นน้องชายแท้ๆ คือเจ้าฟ้าพร แต่พระเจ้าท้ายสระรักลูกจะยกให้ลูกชายคนโต คือ เจ้าฟ้านเรนทร์ แต่เจ้าฟ้านเรนทร์ไม่เห็นด้วย จึงออกบวช
เจ้าฟ้าอภัย เจ้าฟ้าปรเมศวร์ ลูกองค์รอง จึงจะเอาราชสมบัติ แต่ก็ทรงพ่ายแพ้ วังหน้าขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ (คือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)
ในรัตนโกสินทร์ ก็ ยึดธรรมเนียมนี้ วังหน้าสุรสิงหนาท เป็นน้องชายแท้ๆของ ร.๑ เมื่อสิ้นแล้ว (และวังหลังก็ทิวงคต) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ก็ขึ้นเป็นวังหน้า และได้ครองราชย์เป็น ร. ๒
ร. ๒ ก็ตั้งน้องชายแท้ๆ เป็นวังหน้า และเมื่อวังหน้ามหาเสนานุรักษ์สวรรคต เจ้าฟ้ามงกุฏ พระชนมายุยังน้อย ยังไม่ได้สร้างบารมี สร้างอำนาจ จะสถาปนาเป็นวังหน้าคงยังไม่ได้
แต่ก็มีความพยายาม ที่จะ "ปั้น" พระองค์อยู่ เช่นให้เสด็จออกไปรับครัวมอญที่อพยพเข้ามา ทั้งที่ยังมิได้ทรงโกนจุกด้วยซ้ำ และบรรดา "น้า" คือ กรมหลวงพิทักษ์มนตรี กรมขุนอิศรานุรักษ์ ก็หนุนพระองค์เต็มที่
แต่กรมหลวงพิทักษ์มนตรีก็สิ้นไปก่อน กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ร. ๓) ขึ้นว่าราชการ ร. ๔ ยังไม่ถึง ๒๐ ด้วยซ้ำ
และเมื่อ ร. ๒ สวรรคต ร. ๔ พึ่ง ๒๐ ทรงผนวชอยู่ตามราชประเพณี ยังไม่ได้สร้างบารมี ยังไม่มีอำนาจ
ร. ๔ ได้ถามเจ้านายหลายพระองค์ เช่น กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ กรมพระยาเดชาดิศร และ กรมขุนอิศรานุรักษ์ ว่าควรจะเอาราชสมบัติตามราชประเพณีหรือไม่ ๒ พระองค์แรกบอกยังไม่ถึงเวลา พระองค์หลังบอกให้เอาตามสิทธิ
ร. ๔ ตัดสินใจยังไม่เอา
ร. ๓ ไม่ทรงมีน้องชายร่วมมารดา อีกทั้งพระองค์ขึ้นมาได้ ด้วยแรงหนุนจากเจ้านายและขุนนางหลายฝ่าย หนึ่งในนั้นคือ กรมหมื่นศักดิพลเสพ ซึ่งมีญาติข้างแม่เป็นวงศ์เจ้านครศรีธรรมราช มีกำลังกล้าแข็งมาก (กรมหลวงรักษ์รณเรศ ก็มีญาติข้างแม่จากเมืองนครศรีธรรมราช)
จึงทรงสถาปนาขึ้นเป็นวังหน้า
ร. ๔ ก็ทรงสถาปนาน้องชายร่วมบิดามารดา เป็นพระเจ้าแผ่นดินวังหน้า เป็น พระปิ่นเกล้า
เมื่อสิ้นพระปิ่นเกล้า ก็ทรงหวังจะให้ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นพระรัชทายาท ทรงวางแผนว่าเมื่อเจ้าฟ้าฯ ทรงผนวชพระแล้ว พระองค์จะสละราชสมบัติเป็นพระเจ้าหลวง แล้วให้ ร.๕ ครองราชย์ แต่พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน
ร. ๕ เพิ่งมีพระชนมายุ ๑๕ ยังไม่มีบารมี ไม่มีอำนาจ ร. ๔ จึงยังไม่กล้ายกราชสมบัติให้ ต้องโยนหินถามทางเสียก่อน
ยก ตย. เสียยืดยาว ต้องขออภัย
นานาจิตตัง ครับ แล้วแต่มุมมอง
แต่ผมว่า ธรรมเนียมก็มีการวิวัฒน์
การตั้ง มกุฏราชการ ผมมองว่าเป็นการริเริ่มสิ่งใหม่ (ซึ่งหลักการ พ่อ ให้ ลูก มันก็มีอยู่ในโลกนี้อยู่แล้ว แม้จะเลียนแบบชื่อ Crown Prince มาก็ตาม ก็ไม่เห็นต่างกับ สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า)
ส่วนการตั้งวังหน้า เป็นของเก่า มีธรรมเนียมอยู่แล้ว การทำต่างไป ผมมองว่า ผิดธรรมเนียม
แต่เรื่องนี้ก็แล้วแต่มุมมองครับ ถือซะว่า ไม่มีใครผิด ใครถูก
ด้วยความเคารพ
ป.ล. แก้คำผิดครับ
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 15:56:13
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 12:37:47
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 12:16:58
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 11:41:57
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 11:40:28