|  | 
				
					|  ความคิดเห็นที่  65 |   
ปรากฏการณ์ทางสังคมใช่วงหลายปีที่ผ่านมาแน่ชัดว่า เป็นการแบ่งข้างทางสังคม(ไม่ใช่การเมืองนะครับ)
 เป็นกลุ่มใหญ่ สองกลุ่ม  กลุ่มแรก คือ
 กลุ่มทุนนิยมเก่า และกลุ่มทุนนิยมใหม่
 
 ทั้งสองกลุ่ม ต่างพยายามหาที่อิง พิง พาด เกี่ยว เกาะ จับ ยึด
 เอาสถาบันใกล้ตัวเอง ให้มากที่สุด ทั้งแง่บวกและแง่ลบ
 ด้วยโดยใช้เครื่องมือ คือ การสื่อสาร
 
 ย้อนกลับไปสมัยต้นรัตนโกสินทร์ จากหลักฐานเท่าที่ปรากฏ นั้น
 ระบบทุนนั้นอยู่ภายใต้การครอบครอง ของสถาบันสูงสุด
 ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนผลประโยชน์กลุ่มหนึ่งที่เข้มแข็ง
 ผู้นำสถาบันสูงสุดนั้นผมไม่คิดว่าเป็นสายนักรบ หากแต่เป็นสายบริหาร
 จัดการเงินทุนมากกว่า การรบในสมัยก่อนเป็นเพียงเครื่องมือในการ
 แสวงหาแหล่งทุน ทรัพยากร และผู้สนับสนุน
 
 การจัดการเรื่องทุนของสถาบันสูงสุดประสบปัญหามาโดยตลอดนับตั้งแต่
 สิ้นสมัยรัชกาลที่ ๕ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจโลก
 ประเทศไทยก็ได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
 
 การล้มเจ้าในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก็อยู่บนพื้นฐานของการรักษา
 อำนาจการจัดการเรื่องทุนและทรัพยากร (ผลผลิตและแรงงาน)
 ด้วยการคานอำนาจของกลุ่มทางการเมือง เช่น ตำแหน่งวังหน้า,วังหลัง
 สมุหนายก,สมุหกลาโหม ฯลฯ สถาบันสูงสุด ก็ไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
 ในการควบคุมระบบทุนทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีความขัดแย้งกันมาโดยตลอด ที่เห็นชัด ก็คือ สมัยรัชกาลที่ ๔ จนเหมือนกับว่ามีพระเจ้าแผ่นดิน
 สองพระองค์ในรัชกาลเดียว, ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มีการคานอำนาจกัน
 ระหว่างสถาบันกับผู้สำเร็จราขการ จนเมื่อมีการเลิกทาส, การปฏิรูปการบริหารราขการแผ่นดิน และการตั้งสภาที่ปรึกษา
 
 การล้มเจ้าก็ยังมีต่อมาเรื่อยจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ กลุ่มข้าราชการรุ่นใหม่
 ที่เป็นผลมาจากการปฏิรูปการการศึกษา ทำให้เกิดชนชั้นทางสังคม
 ขึ้นมาเพื่อต่อรองอำนาจการจัดการแหล่งทุนโดยอาศัยบทบาททางการเมือง
 สถาบันสูงสุดก็มีสถานะเป็นปัจเจกบุคคล มีการลงทุน, กำไร,ขาดทุน
 การถูกหนีหนี้หรือการเบี้ยวหนี้ โดยนักลงทุนก็มี
 
 ความล้มเหลวในการจัดการระบบทุน ของสถาบันมาสิ้นสุดในสมัยรัชการที่ ๗
 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่เราเชื่อกันว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสมบูรณาญาสิทธิราชไปสู่ประชาธิปไตยนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การ
 ย้ายขั้วอำนาจในการบริหารจัดการแหล่งทุนและทรัพยากรเท่านั้น โดยอาศัย
 เครื่องมือสำคัญหรือ ทหารและรัฐสภา
 
 เมื้อรัชกาลปัจจุบัน สถาบันสูงสุดต้องปรับบทบาทในการรักษาอำนาจการ
 บริหารจัดการแหล่งทุนอย่างชัดเจน และประสบความสำเร็จจากพระราชกรณียกิจต่างๆที่ส่งผลในทางบวก ต่อสัญลักษณ์ ของการเป็นสถาบันสูงสุด
 
 แต่ดังที่กล่าวไว้ในความเห็นบนๆ ว่า สถาบันและหนวยทางสังคมอื่นๆ
 เหมือนยืนอยู่บนไม้กระดานที่มีลูกเหล็กทรงกลมอยู่ด้านล่าง
 การรักษาสมดุลย์จึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่ด้วยความที่สถาบันสูงสุด
 ได้มีการพัฒนารูปแบบและเนื้อหาไปจนถึงจุดสูงสุด ในช่วงสงคราม
 ฝ่ายขวาฝ่ายซ้าย สถาบันจึงเหมือนแกนกลางของกลุ่มผลประโยชน์
 ที่หว่วยทางสังต่างๆพยายามยึด เกาะ กุม เกี่ยว อิง อ้าง เอาไว้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองให้มากที่สุด
 
 ทหาร, นักธุรกิจ,นักลงทุน, ข้าราชการ, นักการเมือง ใช้ประโยชน์
 จากสถาบันมาโดยตลอด ทั้งในเรื่องความจงรักภักดี, เฉลิมพระเกียรติ,
 พระปรีชาสามารถ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกาะแกนกลางของสถาบันไว้ได้
 การสมประโยชน์, การฉวยประโยชน์และความร่วมมือก็จะตามมาด้วยนั่นเอง
 
				 
				
					| จากคุณ | : 
q_cosmo     |  
					| เขียนเมื่อ | : 
8 เม.ย. 53 09:48:59 |  
					|  |  |  |  |