ความคิดเห็นที่ 1 ขอบคุณครับที่ชี้ทาง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 03:06:11

ความคิดเห็นที่ 2 มันคงไม่ใช่ชนชั้นอย่างโฆษณาชวนเชื่อ มันคือวลีจากอคติ แต่จริงๆ มันคือความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์ ตนและพวกพ้อง ไม่ได้ ฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องไม่ได้เช่นกัน เพราะ ในกลุ่มเสื้อแดงเอง ก็จบสูงๆเยอะแยะ ตั้งแต่ตรีถึงเอก และมีอยู๋ในหลากหลายอาชีพ และวิชาชีพ เสื้อเหลืองเอก จบ ป.4- ป.7 ก็มี แต่สิ่งที่พวกนี้มีผลประโยชน์ร่วมกัน จุดหนึ่งคือ ความไม่ชอบอีกฝ่าย เพราะอะไรก็แยกไป และที่สำคัญ คือความเกลียดชังที่เพิ่มมากขึ้น ทุกวัน เพราะการปลุกปั่น ของสื่อที่ไม่เป็นกลาง และใจของผู้คิดแตกแยก และไม่รับฟังความคิดเห็นของ ฝ่ายตรงข้าม อย่าง อุเบกขา ครับ จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 03:20:15

ความคิดเห็นที่ 3 ว่าแต่ ป๋า แอ๊ด ยังไม่นอนอีกครับ วันนี้ หรือเพิ่งตื่นหว่า อิๆ จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 03:20:54

ความคิดเห็นที่ 4 ผมรู้สึกคับข้องใจ ว่าสิ่งที่เสื้อเหลืองเคยทำ ทำไมเขาไม่คิดเลยว่ามันจะลุกลามเป็นแผลมาจนวันนี้ สิ้งที่ผมเคยวิตก ทำไมไม่มีใครคิดที่จะฟัง ไม่อยากให้มีความสูญเสียมากกว่านี้อีกแล้ว แต่วันนี้แวะเวียนไปดูห้องราชดำเนิน ยังมีคนคิดว่าคนที่เสียชีวิตไม่ใชคนด้วยซ้ำ เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิด ถ้าเราเคารพความคิดกันและกัน จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 03:44:20

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกับ คห. 2 ค่ะ เรื่องของชนชั้นเป็นเพียงข้ออ้างที่แอบอ้างขึ้นมาเพื่อให้สิ่งที่กำลังทำมีความชอบธรรมและได้รับการสนับสนุนเท่านั้นเอง จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 05:48:10

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อสังคมสูญเสียมาตรฐานทางกฏหมายที่ทุกฝ่ายยอมรับทั่วกัน เมื่อนั้นความพินาศจะมาเยือนครับ.... จากคุณ : หมู4X เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 11:19:33

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกับ คห.6 ตราบใดที่กฎหมายขาดมาตรฐานที่ทุกฝ่ายยอมรับ ประเทศไทยจะมีแต่ความวุ่นวาย เพราะประชาชนจะไม่เคารพกฎหมายอีกต่อไป จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 12:05:15

ความคิดเห็นที่ 8 คนไทยด้วยกันแท้ๆ ทำไมไม่ถอยกันซักคนละก้าว ยอม ๆ กันไปก็น่าจะได้ ไม่ใช่ข้าศึกสงครามอะไรเลย อยากรู้นัก ถ้ามีสงครามจริงๆ จะมีอาสาสมัครกันซักกี่คน จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 12:47:54

ความคิดเห็นที่ 9 แน่นอนเรามีชนชั้นที่แบ่งแยกด้วยปัญญา และแนวเขตแบงแยกนี้ข้ามยากสำหรับดวงจิตที่มีแต่อคติ สิ่งที่เกิดวันนี้ไม่ใช่จะเกิดเป็นครั้งแรก กรุงศรีอยุทธยาเปลี่ยนราชวงค์กี่ครั้ง การเปลี่ย่นราชวงค์ของรัตนโกสิน เองก็เคยมีมา การเปลี่ยนแต่ละครั้งฆ่ากันไปเท่าไหร่ แบบเจ็ดชั่วโคตรน่ะ นั่นเป็นการขยับขั้นชนชั้นของผู้ที่เรียกว่าทำปราบดาภิเษก สงครามปราบคอมมูนิสต์ร่วมสิบปีเราฆ่ากันเองตายไปเท่าไหร่ ณ.วันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นในการฆ่ากันเองเพื่อผลประโยชน์ ครั้งนี้และจะมีตามมาอีกยาว ตายกันไปอีกมากกว่าจะรู้สำนีก นี่คือธรรมชาติของคนไทย จากคุณ : Cyber Sage เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 15:59:51

ความคิดเห็นที่ 10 ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก ให้กฎหมายทำงาน ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย เมื่อนั้น ความสงบร่มเย็นจะกลับคืนมา จากคุณ : โกเมศ (GIFTCGM) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 16:59:38

ความคิดเห็นที่ 11 มันเป็นสงครามชนชั้น หรือสงครามที่ใช้วาทกรรมชนชั้นเป็นเครื่องมือคะ ไม่มีฝั่งไหนเป็นไพร่ที่แท้จริงและอำมาตย์ที่แท้จริงหรอกค่ะ เพราะทั้งสองกลุ่มประกอบไปด้วยทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่ จน รวย ปริญญาตรี โท เอก ทุกฝ่ายก็มีทั้งนั้น รวมทั้งเคยเป็น เคยได้ผลประโยชน์จากระบบจะอุปถัมน์หรืออำมาตย์ด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นเพียงพยายามปลุกระดมความเหลื่อมล้ำเพื่อผลประโยชน์ซึ่งสังคมไทยก็เปราะบางต่อการเข้ามาฉกฉวยโอกาสตรงนี้อยู่แล้ว จากคุณ : germanreisring (germanreisring) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 18:50:40

ความคิดเห็นที่ 12 เป็นสังคมชนชั้นจริงครับ ชั้นเลว (ทั้งคู่) หรือไม่ก็ชั้นเขลาเบาปัญญา จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 18:55:19

ความคิดเห็นที่ 13 ทำให้นึกถึง คนตีเหล็ก ของคาราวาน ตีเข้าไป ตีเข้าไป, ตีเข้าไป ตีเข้าไป กรรมจริงๆ จากคุณ : ออดิบ เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 19:06:42

ความคิดเห็นที่ 14 วาทกรรมจะไม่มีความหมายครับ ถ้าไม่มีความรู้สึกร่วมกับมัน ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ล้วนมีถ้อยคำสวยหรูเกิดขึ้นมากมาย และหายไปโดยไม่มีผู้จดจำ หากมันไม่ตรงกับทัศนคติของผู้รับสาร ทำไมการต่อสู้ทางการเมืองก่อนหน้านี้ ทำไมคำพูดที่ว่า "อีกฝ่ายโง่ อีกฝ่ายจน" หรือคำว่า "ซื้อเสียง" "จ้างมา" จึงดังในหมู่คนเมือง? สิ่งเหล่านี้เป็นแค่วาทกรรมด้วยหรือเปล่า? การเอาแต่คิดว่ามันเป็นเรื่องกุขึ้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ที่ผมพูดเมื่อเกือบสามปีก่อน ก็มีคนว่าเพ้อเจ้อ แต่วันนี้มันเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว คิดว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าปฏิเสธการมีอยู่ของมัน และละเลยที่จะหาวิธีแก้ปัญหา สักวันมันจะสายไปครับ จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 19:41:01

ความคิดเห็นที่ 15 ขอยืนกรานอีกทีว่ามันไม่ใช่ความขัดแย้ง ของชนชั้นอย่างแน่นอน เพราะสังคมประชาธิปไตยที่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม นั้นย่อมมีชนชั้นทางสังคมที่ซับซ้อนเป็นเรื่องปกติ หากกลุ่มเสื้อจะทำลายระบบชนชั้นทั้งหมดในสังคมให้สิ้นซากแล้วละก็ แสดงว่าพวกเขาเหล่าฝักใฝ่ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แต่มันหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะพวกเขาประกาศว่าตั้งมั่นในประชาธิปไตย ซึ่งผมก็เชื่อในคำสัตย์นั้น แม้ว่าจะมีอดีตแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสายไม่เอาระบอบกษัตริย์รวมอยู่ในเบื้องหน้าและเบื้องหลังกลุ่มเสื้อแดงมากมายก็ตามที เพราะคิดว่าวัยวุฒิที่เพิ่มน่าจะทำให้เขาเหล่านี้คิดได้ครับ จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 20:36:31

ความคิดเห็นที่ 16 ขอสั้นๆว่า...เหมือนที่เคยพูดไปหลายรอบ ทั้งหมดทั้งหลาย ไมว่าจะฝ่ายไหน ก็ล้วนสู้เพื่อ "ผลประโยชน์" ของคนที่เขาไม่ได้มายืนอยู่ร่วมกับคนพวกนั้น ตรงนั้น ไม่ว่าจะเหลืองหรือแดง ส่วนพวกที่โดนระดม โดนปลุกปั่นให้ออกมาสู้นั้นน่ะ ถามว่าสู้เพื่ออะไรนยังไม่เข้าใจเลย มันเป็นจิตวิทยามวลชนอยู่แล้วที่ย่อมเกิดความฮึกเหิม พร้อมจะสู้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า เมื่อเรามีพวกมากมาอยู่รวมกันซะอย่าง พอมีคนหย่อนกองไฟลงไปให้ ยื่นอาวุธให้ก็นั่นแหละ แต่ถามว่าเพื่ออะไร เขาก็ไม่ไม่เข้าใจอยู่ดี ถึงผมจะเกิดไม่ทัน แต่ความบ้าคลั่งตอน 6 ตุลา ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องการปลุกปลั่น และจิตวิทยามวลชนนี่แหละ หนนี้ก็แค่เปลี่ยนฝั่งจากฝ่ายรัฐมาบ้าง จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 20:42:02

ความคิดเห็นที่ 17 และก็ตาม คห. 15 ระบอบอำมาตธิปไตย หรืจะอะไรก็ตามที่จะเป็นคำศัพท์ที่ถูกสร้างขึ้นมาในความหมายใกล้กันนี่ มีอยู่ในทุกระบอบการปกครองของโลก แม้แต่อเมริกา ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่สุดในโลกก็มี แต่สิ่งที่จะป้องกันไม่ให้การใช้อำนาจผิดทางเกินไปคือระบบตรวจสอบ ที่พวกฝรั่งทำได้ดีกว่า มันก็แค่คำอ้างเพื่อที่จะล้มล้างอีกฝ่ายเท่านั้น พอชนะ ไอ้ที่กลับเข้ามาแทนที่ มันก็อำมาตย์เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ต่างกันหรอก จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 20:44:44

ความคิดเห็นที่ 18 ก็ชนชั้นอภิสิทธิชน กับชนชั้นธรรมดายังไงล่ะครับ ถึงอเมริกาจะมีเจ้านาย จะมีลูกจ้างแต่เขาก็ถือว่าเป็นคนเหมือนกันนะครับ คำว่าชนชั้นในความหมายนี้อาจจะแตกต่างจากในตำรา Marx ที่แบ่งเป็นนายทุน แรงงาน แต่คำว่าชนชั้นในที่นี้น่าจะหมายถึงความแตกต่างในสิทธิทางการเมือง ทางเศรษฐกิจมากกว่า ซึ่งในตอนนี้ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือคนเมือง กับคนชนบท (สิทธิในทางเศรษฐกิจ) การสนับสนุนจากทหาร Technocrat และกลุ่มข้าราชการ(เก่า) ที่มีต่อพรรคฝ่ายค้าน และพรรคฝ่ายรัฐบาลที่แตกต่างกัน (สิทธิทางการเมือง) ถ้าติดตามข่าวการเมืองจะเห็นว่าทหารแตกต่างกันจริงๆ ซึ่งถ้าทหารเป็นทหารอาชีพจริงต้องปฎิบัติต่อทุกรัฐบาลเหมือนกันสิไม่ใช่ว่ารัฐบาลหนึ่งสั่งให้เคลื่อนกำลัง แต่ไม่เคลื่อนบอกว่าไม่อยากทำร้ายประชาชน แต่อีกรัฐบาลหนึ่งสั่งหมึกยังไม่ทันแห้งก็ออกมาเต็มถนนแล้ว คนที่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งก็ย่อมจะต้่องเห็นว่ามีการแบ่งชนชั้น (หรือแบ่งพรรคแบ่งพวก)จริง หรือจะมองทาง Technocrat และกลุ่มข้าราชการ(เก่า) อันนี้ก็ไม่ยาก เรื่องเดียวกันทำเหมือนกัน แต่ผลสะท้อนต่างกัน คนแรกทำเรื่องนี้ผิด คนที่สองทำเรื่องเดียวกันไม่ผิด มันก็เห็นการแบ่งชนชั้นได้ชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่ประเทศไทยควรปรับปรุงคือต้องมีความเป็น Professional มีความสม่ำเสมอในหลักการ ซึ่งกลุ่มที่ควรจะมีอย่างมากคือ ทหาร และ ข้าราชการ   ในส่วนของ Technocrat ผมไม่หวังมากนักเพราะไม่ได้มีสายการบังคับบัญชาที่เคร่งครัดเหมือนองค์กรสองอันข้างต้น สิ่งที่เขามีคืออิทธิพลต่อความคิดของคนเมืองซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่ากลัวถ้ามันถูกเอามาใช้ในทางปลูกฝังการดูหมิ่นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน.... ซึ่งก็คงต้องให้สังคมเป็นคนดูแลกันเอง จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 20:53:15

ความคิดเห็นที่ 19 ........... อนาถ กับประไทย ยามนี้จัง --------------------------------- คนใดใช้ชื่อไทยอยู่ กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน ได้อาศัยโพธิ์ทองแผ่นดินของราชันย์ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย แต่ยังฝังทำกิน กอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเป็นทาสของมัน (สร้อย) หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน!) หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน!) คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง คนใดหลงชมชาติอื่น ชาติเดียวกันเขายืนข่มเหง ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเอง ทีชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน (สร้อย) คนใดขายตนขายชาติ ได้โอกาสชี้ทางให้ศัตรู เข้าทลายพลังไทยให้สลายทางสู้ เมื่อศัตรูโจมจู่เสียทีมัน คนใดคิดร้ายราวี ประเพณีของไทยไม่ต้องการ เกื้อหนุนอคติ เชื่อลัทธิอันธพาล แพร่นำมันมาบ้านเมืองเรา แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 53 21:08:23 จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 21:06:42

ความคิดเห็นที่ 20 ผมเปิดเวทีให้ลองคิดแก้ปัญหากันแล้ว ถ้าจะมองว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล หรือมันเป็นเรื่องมีมูลและคิกแ้ก้ไข ก็แล้วแต่วิจารณญานของทุกท่านแล้วกัน จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 21:07:31

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ eagle1000 ผมว่ามันก็ฝั่งเดิมนั่นแหละ รัฐใช้สื่อของตนว่าคนที่เสียชีวิตจากอำนาจรัฐเป็นฝ่ายผิด ไม่เชื่อดู ค.ห. 19 สิ จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 21:14:14

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ออกคห.เพิ่มสำหรับเรื่องนี้ละคุณวี ของผมก็แค่นี้ละ ตอนนี้ขอนั่งดูบอล สบายๆใจดีกว่า เซ็งกว่าเดิม บอลไม่ชนะ T__T แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 53 21:22:42 จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 21:17:15

ความคิดเห็นที่ 23 ........เหอะๆๆ จบงานนี้ ชาวนา ก็ยังเป็นชาวนา คนขับรถ ก็ยังเป็นคนขับรถ มีแต่พวกนักการเมือง ที่หมุนเวียนกันขึ้นครองอำนาจ เสพสุขบนหยาดเหงื่อของ ปชช ......................................... หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน!) หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน!) คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง .......................................... มันคือบทสรุปที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 21:39:06

ความคิดเห็นที่ 24 คนเรามักชอบเสพสุขมากกว่าที่จะลงมือทำ ที่สบายกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมีคนที่เขาเสียสละ กบในกะลา คิดไม่ออกหรอกว่าโลกภายนอกมันกว้างแค่ไหน จากคุณ : superkoy เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 23:23:33

ความคิดเห็นที่ 25 เรื่องของชนชั้นในสังคมไทยมีอยู่จริงค่ะ ไม่ใช่ไม่มี แต่ที่ผ่านๆ มาเป็นความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์อย่างที่คุณ Paphmania ว่า และฝ่ายหนึ่งก็เอาเรื่องของชนชั้นขึ้นมาเป็นเครื่องมือต่างหาก วิธีการนี้ไม่ใช่ของใหม่เลย สมัยก่อนเรียก ชนชั้นกรรมาชน กับ นายทุน สมัยนี้เพียงแค่เปลี่ยนสรรพนามเป็น ไพร่ กับ อำมาตย์ เท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนอะไรยังไง ก็ยังเป็นการใช้ความขัดแย้งเดิมๆ เป็นเครื่องมือเพื่อเรียกคนมาสนับสนุนการกระทำและเพื่อสร้างความชอบธรรมในความรู้สึกของผู้คนเท่านั้นเอง วิธีการสร้างศัตรูร่วมเพื่อหาเสียงและกำลังคนสนับสนุนแบบนี้มีมาแต่ไหนแต่ไร อย่างเช่น Hitler ยกยิวขึ้นมาเป็นศัตรูของคนเยอรมันเพื่อให้ผู้คนสนับสนุนตัว อเมริกาก็มีค่ะคุณ Nexus เพียงแต่อาจต่างจากเมืองไทยตรงที่ไม่ใช่เรื่องของชนชั้นชัดเจนเหมือนเมืองไทย เมืองไทยนี่เรื่องของชนชั้นและความไม่เป็นธรรมในสังคมมีคนเอามาหากินได้เรื่อยๆ ไม่เคยตกยุค จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 53 23:31:25

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ muk_22 ไม่มีระบอบอะไรที่ทำให้ทุกคนร่ำรวยหรือยากจนเท่ากันได้หรอก แล้วคุณก็กำลังสำคัญผิด เพราะไม่มีข้อเรียกร้องไหนเลย ที่ชาวบ้านเขาพูดขึ้นมาว่าอยากเป็นนู่นอยากเป็นนี่ ที่เขาต้องการ คือความเคารพในสิทธิ ในศักดิ์ศรีที่เขาควรมี ก่อนจะตอบอะไร ช่วยย้อนกลับไปอ่านกระทู้และความเห็นทั้งหมดที่ผมตั้งเมื่อสามปีก่อน แล้วจะทราบว่าเรื่องราวในทุกวันนี้ เป็นผลที่เกิดจากเหตุของเมื่อสามปีก่อน คุณ กุลธิดา (kdunagin) ใช่ครับ เรื่องชนชั้นมันถูกยกขึ้นมาหากินจากฝ่ายการเมืองทุกยุค ทุกสมัย แต่คิดไหมว่าทำไมมันถึงใช้หากินได้ แล้วเราจะทำอย่างไรจะไม่ให้เป็นเช่นเดียวกับนาซีเยอรมัน หรือเป็นอย่างจีนคอมมิวนิสต์ เพราะถ้าว่ากันตามประวัติศาสตร์ ข้ออ้างการกำจัดชาวยิวก็ไม่ได้ถูกอ้างขึ้นมาลอยๆ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ชาวยิวไม่ได้ก้มลงมองคนเยอรมันที่ยากจนใช่หรือไม่ ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คุณต้องทำในเวลาที่ได้เปรียบ ไม่ใช่มาร้องขอความเห็นใจเมื่อยามเสียเปรียบ เพราะถ้าถึงวันนั้นมันก็สายเสียแล้ว จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 01:45:09

ความคิดเห็นที่ 28 ผมว่าจริง ๆ แล้วชาวบ้านไม่ได้สนใจหรอกครับว่าจะปกครองแบบไหน ขอแค่เขา "...ได้มีส่วนในผลประโยชน์ในส่วนที่เขาพึงจะได้บ้าง..." แค่นี้เขาก็พอใจแล้วครับ คุณทักษิณแกสามารถทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้สึกได้ถึงตรงนี้ มันจึงเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ยังมีคนรักเขาอยู่ รัฐบาลชุดก่อน ๆ ไม่ได้ตอบสนองตรงนี้เท่าไร ถ้ารัฐบาลตีโจทย์ตรงนี้แตก มันต้องไปแก้ปัญหาให้ตรงจุดถึงจะดีครับ ถึงแม้ว่าคุณทักษิณจะโกงกิน จะทำอะไรไม่ดีไว้ก็ตามที แต่การจะล้มเขา มันจะต้องล้มด้วย "..กฎหมาย.."  ไม่ใช่ "..กฎหมู่ หรือ อาวุธ.." เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ได้ใช้ "กฏหมาย" ล้มเขา มันก็ย่อมทำให้คนที่รักเขาไม่พอใจนั่นเอง สิ่งที่คุณ Masked V บอกไว้ ผมก็คิดไว้เหมือนกันครับ และผลมันก็ส่งผลมาถึงปัจจุบันนี้ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 09:17:13

ความคิดเห็นที่ 29 สำหรับผม ไม่เคยมองว่าการประท้วงเป็นสิ่งไม่ดี เพราะถ้ามนุษย์เราถูกความอยุติธรรมเข้า เป็นธรรมดาที่คนเราจะต้องตอบโต้ อีกอย่างนะครับ ทำไมมนุษย์ เราต้องให้คนอื่น หยิบยื่น ศักดิ์ศรี และ สิทธิ ให้อย่างนั้นเหรอ ผมกลับมองว่า ในเมื่อ ประเทศนี้ก็เป็นประชาธิปไตย แล้ว ศักดิ์ศรี ของเรา ๆ ก็ทำขึั้นมาเองได้ ทำไมต้องไปเรียกร้องจากคนนั้นคนนี้ การประท้วงครั้งนี้ เห็นภาพได้ัชัดเจนว่า เป็นการประท้วงเพื่อสนองกิเลส ตัณหา ในสันดานดิบของมนุษย์อย่างแท้จริง ------------------------------------------------------------------ หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน!) หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน!) คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย ปลุก ระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง ------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 09:19:56

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าเหตุการณ์เดือนกันยายน 2549 เปลี่ยนจาก "ปฏิวัติ" มาเป็นการ "ยื่นถอดถอน"  แทน ผมเชื่อว่าปัญหามันจะไม่บานปลาย และก็เช่นกัน ถ้าเสื้อเหลือง "ยื่นถอดถอน" แทนจะ "มายึดทำเนียบ หรือ ไล่ล่ารัฐบาลชุดก่อน ๆ " เหตุการณ์วันนี้มันก็จะไม่มีอีกเช่นกัน แต่ถึงจะมีภาพลักษณ์ของเสื้อเหลืองก็จะไม่ตกต่ำและถูกอ้างได้ว่า "ม๊อบมีเส้น ทำอะไรไม่ผิด" นั่นเองครับ ตอนนี้ผมมองว่าบ้านเราแบ่งเป็น ๓ ฝ่ายใหญ่ ๆ คือ -ฝ่ายสถาบัน -ฝ่ายอำมาตย์ -ฝ่ายหัวสมัยใหม่ ซึ่งทั้ง ๓ ฝ่ายนี้ ฝ่ายสถาบันดูจะมีอิทธิพลต่อคนไทยมากที่สุด คนไทยให้การยอมรับมากที่สุด แต่ไม่มีกำลังในมืออย่างแท้จริง ฝ่ายต่อมา อำมาตย์(รวมไปถึงบรรดาเทคโนแครต + พ่อค้าที่สนิทสนิมทั้งหลาย) เป็นผู้มีอำนาจเต็มจริงในมือ มักจะเป็นผู้อ้าง "ความชอบธรรม ที่ได้มาจากฝ่ายสถาบัน และมักจะยึดเอาไว้เป็นของตัวเองฝ่ายเดียว " ฝ่ายสุดท้ายก็คือ ฝ่ายหัวสมัยใหม่ ซึ่งจริง ๆ แล้วในหัวสมัยใหม่ก็มีทั้งที่แบบสมัยใหม่สุด ๆ ต้องการเป็นแบบตะวันตก และก็ยังมีสมัยใหม่แบบยังยึด "รากความเชื่อเดิม" ไว้อยู่ ปัญหาทุกวันนี้ ผมมองว่าส่วนใหญ่มาจาก "ฝ่ายอำมาตย์"  ที่มักจะกุมอำนาจและอวยยศให้บรรดาคนสนิท และ คนที่ "ยอมศิโรราบ" ให้กับเขาเสียมากกว่า โดยมี "ความซื่อสัตย์ต่อเบื้องบน" เป็นเกราะกำบังไว้เป็นอย่างดี สิ่งที่อำมาตย์ทำไว้ ไม่ได้หมายความว่าจะดีทั้งหมด เพราะถ้ามันดีจริงทั้งหมด "สถาบันคงไม่ต้องลงมาทำงานด้วยตัวเอง อยู่ตลอดเวลา" แต่กลับเป็นว่า อำมาตย์ทำให้เกิดผลแบบหนึ่ง สถาบันต้องตามมา "แก้ไข" ให้ทุกที อำมาตย์ที่ผ่านมาก็ยังไม่รู้จักจดจักจำเสียที ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สวนทางกับคำพูดที่ว่า "รักและเทิดทูน" อยู่เสมอ........... แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 09:30:56 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 09:28:56

ความคิดเห็นที่ 31 ที่คุณ MUK_22 บอกมาว่า "..การประท้วงครั้งนี้ เห็นภาพได้ัชัดเจนว่า เป็นการประท้วงเพื่อสนองกิเลส ตัณหา ในสันดานดิบของมนุษย์อย่างแท้จริง..." ผมมองว่า ทุกครั้งที่มีการประท้วงครับ ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 09:32:41

ความคิดเห็นที่ 32 มั่วต่อครับ ผมมองว่า สถาบันมองเห็นสิ่งที่อำมาตย์ทำไว้ตั้งแต่ต้น และคงจะเล็งเห็นถึงผลที่จะตามมา จึงต้องลงมากำกับแก้ไขด้วยตนเองมาตลอด ก็ถ้าในเมื่อมันเป็นอย่างนี้มาตลอดแล้ว(และก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป) ทำไมเราถึงไม่กลับไปปกครองในรูปแบบเดิมแทนล่ะครับ ? (ABSOLUTE MONACHY) เพราะพื้นฐานเดิม เรายังคงเคารพสถาบัน ถ้าสถาบันบอกมาแบบไหน เราก็มักจะทำตาม (แม้หลัง ๆ มาจะไม่ทำตามกันเสียมากกว่าก็ตามที) ผมมองว่า ที่เราเล่นบท กบเลือกนาย เดี๋ยวเอาคนโน้น เดี๋ยวเอาคนนี้ แล้วพอได้มาก็มาล้มกันอีก มันน่าเบื่อครับ ผมว่าคนไทยควรจะเลิกโกหกตัวเอง และ ต่างชาติเสียทีเถอะครับ เรามี "ราก" ของเราแบบนี้ เราก็ควรจะทำตาม "ราก" ของเราต่อไป อะไรที่มันไม่ใช่ตัวตนของเรา(ประชาธิปไตย) ทำไปให้ดีอย่างไรมันก็คงไม่มีผล ผมเคยถาม พวกคนทั้งหลายที่บอกว่า "รักและเทิดทูน" อย่างมาก ถามคำเดียวว่า "...กลับไปปกครองแบบเดิมเอาไหม ?..." ร้อยละ ๑๐๐ จะสวนกลับออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า "...ไม่เอา.." ถามต่อว่า ทำไมถึงไม่เอา เหตุผลที่ให้ประกอบคือ "..ไ่ม่อยากให้สถาบันมายุ่ง.." "..มันล้าหลัง.." ฯลฯ ซึ่งผมก็ค่อนข้างแปลกใจกับคำตอบ เพราะที่บอกว่าไม่อยากให้มายุ่ง สุดท้าย "ก็ต้องมายุ่งทุกที " ที่บอกว่ามันล้าหลัง สุดท้ายพอคิดอะไรไม่ออก เราก็มักจะใช้ัตัวเลือกนี้เป็นคำตอบสุดท้าย(และเป็นคำตอบที่ถูกต้อง)  ทุกที ...สรุปว่า ตกลงเรา  "รักและเทิดทูน" แบบไหน ?... จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 09:42:47

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ MUK_22 ครับ แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่า การทำรัฐประหารนั้น เขาก็ทำเพื่อ สนองกิเลส ตัณหา ในสันดานดิบของมนุษย์อย่างแท้จริง ในเมื่อมีคนที่เชื่อและยอมรับว่ากำลังคือความถูกต้อง อีกฝ่ายก็ย่อมแสวงหากำลังที่มากให้พอสมกันหรือเหนือกว่า ซึ่งถ้าไม่พยายามหาทางหยุดเสียตอนนี้ ต่างฝ่ายก็จะยิ่งเพิ่มกำลังฝ่ายตนจนอยู่ในระดับที่น่าวิตก ถ้าเป็นเสกลใหญ่มันก็สงครามเย็นนั่นแหละ การที่คนเสื้อแดงมารวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้ มันไม่ทำให้พวกคุณรู้สึกบ้างหรือ ว่าเริ่มมีความรู้สึกร่วมบางอย่างเกิดขึ้นในกลุ่มชนชั้นหนึ่ง คุณไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ หรือมันกำลังถูกกลบด้วยเสียงหวานๆที่ตรงจริตคุณกว่า อย่างความคิดที่ว่่า "คนเหล่านี้ถูกจ้างมา" ผมขอให้ระวัง ถ้าเขาพูด แล้วคุณทำไม่ได้ยิน เขาจะตะโกน ถ้าเขาตะโกน แล้วคุณก็ยังทำไม่ได้ยิน เขาจะทำอะไรต่อไป คิดเอาเอง ความคิดเดิมๆในมุมมองแบบการปราบกบฏ ที่ว่าใช้กำลังที่เหนือกว่าเข้าปราบปราม แล้วชาวบ้านพวกนี้ก็จะฝ่อไปเอง ก็เห็นแล้วว่าใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะเมษาปีที่แล้วก็เพิ่งใช้อาวุธสลาย มาปีนี้เขาก็กลับมากันมากกว่าเดิม แล้วถึงปีนี้เขาถูกสลายได้อีก คุณไม่คิดหรือว่าเขาจะกลับกันมามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แล้วสิ่งที่ทำไปนั้น มันแก้ปัญหาได้ตรงจุดหรือเปล่า? คำว่า "ยุบสภา" มันเป็นแค่คำที่รวมเอาความรู้สึกที่หลากหลายของคนที่มาร่วมชุมนุม ไม่คิดจะลองแยกแยะดูสักหน่อยหรือ ว่านอกเหนือจากเป้าหมายที่กลุ่มการเมืองคาดหวังไว้ มีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง อะไร ที่สังคมสมควรตอบสนองให้เขาได้ เพื่อลดระดับความคับข้องใจที่มี อะไร ที่จะเปลี่ยนจากความโกรธแค้น คับข้องใจ ให้เป็นความรู้สึก ชื่นมื่น ยินดี ได้? ถ้ามีความตั้งใจจะแก้ปัญหา และมองจุดเริ่มของปัญหาอย่างแท้จริง สิ่งที่ผมกังวล ก็จะไม่เกิด จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 10:15:11

ความคิดเห็นที่ 34 ผมมองเหมือนคุณ nexus คือ ชนชั้นอภิสิทธิชน กับชนชั้นธรรมดา แต่ชนชั้นธรรมดา ก็ยังมีแยกย่อย คือชนชั้นกลาง กับชนชั้นล่าง ซึ่งชนชั้นล่างนี้มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย และ เป็นผุ้ที่ได้รับ ผลประโยชน์จากรัฐบาลก่อน ดังนั้น เวลาทีรัฐบาลที่เค้าได้รับผลประโยชน์ถูกล้ม โดยที่เป็นการล้มโดยการปฏิวัติ และกระบวนการทางศาล ซึ่งเค้าเห็นว่าไม่ยุติธรรมกับเค้า  คนเหล่านั้นจึงต้องออกมาชุมนุม และก็โดนตอบแทนด้วยความรุนแรง ซึ่งต่างจากม๊อบของคนชั้นกลางที่สามารถยึดทำเนียบยึดสนามบิน ที่มีกลุ่มอภิสิทธิชนคอยปกป้องจนสามารถล้มรัฐบาลได้ จากคุณ : เหล่าฟาง เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 10:21:58

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ ผ้าพับไว้ ครับ ผมเห็นใกล้เคียงกับความเห็นที่ 28 ของคุณครับ มีประเด็นที่นอกเหนือจากผลประโยชน์ทางรูปธรรม ที่คุณทักษิณทำไว้นิดหน่อย นั่นคือ สิ่งที่ชาวบ้านต้องการอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานพอๆกับเรื่อง ข้าวปลา อาหาร นั่นก็คือ "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" และ "การยอมรับ" ครับ ช่วงต้นปีผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังชนบทแห่งหนึ่งในจังหวักกาฬสินธุ์ เรียกว่าบ้านนอกเลยก็ได้ ได้นั่งล้วมวงเหล้าเสวนากันเรื่องบ้านเมือง คนที่นั่นน่ารักครับ และเขาก็ไม่ได้โง่งมอย่างที่คนกรุงคิด เขาอาจจะไม่รู้เรื่องหุ้น หรือเรื่องดาราเกาหลีอย่างคนกรุง แต่เขาก็มีความรู้เป็นอย่างดีในอาชีพการงานที่ทำ และสังคมรอบๆตัว พอพูดเรื่องการเมือง ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มเก็บอาการกัน คงเพราะไม่อยากทะเลาะกันกลางวงเหล้า(555) แต่เสียงหนึ่งที่ทุกคนในที่นั้นยอมรับร่วมกัน โดยไม่ต้องมาเสียเวลาพูดถึึงตัวบุคคล นั่นก็คือ "มนุษย์ทุกคน ล้วนมีความเท่าเทียมกัน" ทุกคนพูดเสียงนี้กันดังจนผมชักจะหวั่นๆ ว่าชักจะกลายเป็นการปลุกระดมแล้วซี มาเข้าเรื่องกันต่อ สิ่งที่คุณทักษิณสามารถทำให้ชาวบ้านกลุ่มใหญ่ชื่นชอบเขาได้ ก็เกิดจากการให้เกียรติ การรับฟัง นั่นเอง ซึ่งผมไม่คิดว่า มันอาจจะมาจากการที่คุณทักษิณเล็งเห็น ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ เป็น "พลัง" มากกว่าเป็น "ภาระ" อย่างที่คนเมืองรู้สึก เหมือนอย่างถ้อยคำ สมัยที่คุณทักษิณมีอำนาจ ที่ว่า "เปลี่ยนภาระ ให้กลายเป็นพลัง"(อันนี้ผมจำไม่ได้ถนัดหรอกนะ แต่น่าจะประมาณนี้) แล้วดูสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามคุณทักษิณ พูด และ แสดงออก ต่อชาวบ้านสิครับ "โง่" บ้าง "จน" บ้าง "ถูกจ้างมา" บ้าง แล้วคุณคิดว่่าเขาจะเลือกข้างไหน? คุณเปรมก็สร้างสาธารณูปโภค สร้างอะไรดีๆให้ชาวบ้าน คุณอภิสิทธิ์ก็สร้าง ก็ให้เงิน ทำประชานิยมอย่างที่เคยว่าเขา แต่ทำไมชาวบ้านไม่รักคุณเปรม ชาวบ้านไม่รักคุณอภิสิทธิ์? ความแตกต่าง อยู่ที่ "ทัศนคติ" ครับ คุณเปรม และ คุณอภิสิทธิ์ เขาพยายามมอบ "สิ่งที่คิดว่าดี" ให้ชาวบ้าน เหมือนภาพสมัยก่อน เวลาคุณหญิง คุณนาย เอาของไปบริจาคชาวบ้านนั่นแหละครับ ถามว่่าชาวบ้านรู้สึกขอบคุณไหม เขาก็ต้องขอบคุณแหละ แต่หายไปสามเดือนเขาก็ลืม แต่สิ่งที่คุณทักษิณทำ คือการเขาไปถามชาวบ้าน ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาคิดว่าดี แล้วให้เขาไปจัดการเอาเอง ถ้าเอาแบบไม่ยกโวหาร แต่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็ "เงินกองทุนหมู่บ้าน" กับ "โครงการชุมชนพอเพียง" นี่ล่ะครับ ชัดมาก เงินกองทุนหมู่บ้าน รัฐให้เงินลงมา ให้ชาวบ้านตั้งกรรมการเอาเอง ว่าอยากได้อะไร แล้วดำเนินการ ส่วนชุมชนพอเพียง รัฐถือเงินไว้ ให้ชาวบ้านตั้งคณะกรรมการเสนอความต้องการ ถ้าตรงกับที่คนถือเงินคิด ค่อยปล่อยเงินลง ดูบางเคสแล้วก็ขำ อย่างชาวบ้านต้องการถนน แต่คนถือเงินบอกให้เป็นลานตากมันโคตรอัจฉริยะ หรือเอาตู้กดน้ำเครื่องละเป็นแสนลงไปให้เขา โดยที่เขาไม่ได้ต้องการ ทำแบบนี้แล้วชาวบ้านเขาจะรักไหม ก็เหมือนที่ยกตัวอย่าง เรื่องคุณหญิง คุณนาย บางทีก็เอาของลงไปให้ โดยที่ของนั้นไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเขาเลย ส่วนเรื่องการปกครอง ผมว่าประชาธิปไตยมันไปได้ครับ ถ้าเราไม่ไปลัดวงจรมัน หรือพยายามออกมาชี้นำแบบแปลกๆ อย่าง "การเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย" การกลับไปเป็น ABSOLUTE MONACHY ผมคิดว่าไม่เป็นผลดี ทั้งต่อบ้านเมือง และสถาบันเอง ดูตัวอย่างได้จากบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างเขมรครับ จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 10:56:53

ความคิดเห็นที่ 36 มีคนเรียกตัวเองว่าไพร่ อยากมี อยากได้ อิจฉาคนอื่น นี่ยุคไหนแล้ว เลือกไม่เป็ร คิดเองไม่ได้ คิดว่าคนมีกิน มีใช้ นี่เค้ารอความช่วยจากรัฐกันหรอไง เอะอะโวยวาย ถามหาประชาธปไตย แต่ข้อเรียกร้องมันสังคมนิยมชัดๆ ตัวเองจะเอาอะไรยังไม่รู้เลย ถ้าคนเค้าด่า เค้าว่าก็หาว่าดูถูก เออ... ---------- อำมาตย์นี่อะไรครับ ที่อยู่สภา ก็เลือกกันไปเองทั้งนั้น เราก็เลือกของเราไปแล้วมันอำมาตย์ตรงไหน จะให้เลือกใหม่ ครั้งหน้าจะได้ชนะ<เอ็งคิดว่าเล่นป๊อกเด้งกันรึไง> แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 13:51:59 จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 13:47:14

ความคิดเห็นที่ 37 ผมไม่คิดว่าสงครามชนชั้นนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆในระยะเวลาอันใกล้ และเมื่อมองไกลออกไป ก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากเรานิยามคำว่าชั้นแบบของคนเสื้อแดง คือ ไพร่กับอำมาตย์ แต่หากว่า ชนชนชั้นในความหมายทีคุณ Nexus เสนอไว้ผมเห็นด้วย ว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่สงครามที่ใช้อาวุธต่อสู้กันซึ่งๆหน้า แต่เป็นสงครามซึ่งเป็นการช่วงชิงความได้เปรียบทางเสรษฐกิจและสังคม บางอย่างตามแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย ดังเช่น การซื้อเสียง อาจจะ หมายถึงการทำสงครามระหว่างผู้ถูกอุปถัมภ์กับผู้อุปถัมภ์ หรือการประท้วงหยุดงานเพื่อขอขึ้นค่าแรง ขอยอมรับหากเมืองไทยมีสองสีคือเหลืองกับแดงผมก็จะไม่อยู่ตรงกลาง แต่จะออกมาทางแดงเล็กน้อย ในแง่ของการไม่นิยมการรัฐประหาร นิยมความเท่าเทียมกัน เช่นที่ ฝ่ายเสื้อแดงกล่าวอ้างหากปราศจาก วาระซ่อนเร้นอื่นๆ แต่ส่วนอื่นๆเรืองการใช้กฏหมาย ยุบสภา ผมคิดว่า เป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ทุกฝ่ายพยายามนำมาใช้เพื่ออ้างความชอบธรรม เหตุการณ์ในสังคมไทยตอนนี้ สงครามระหว่างไพร่กับอำมาตย์นั้นไม่มี แต่มันเป็นสงครามระหว่างกับอำมาตย์กับนายทุนกลุ่มหนึ่ง กำลังต่อสู้กับ อำมาตย์และนายทุนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยฝ่ายหนึ่งใช้ไพร่เป็นเครื่องมือ ในการเกี่ยวกุมฐานเสียงสนับสนุน อีกฝ่ายหนึ่งใช้สถาบันเบื้องสูง และความจงรักภักดีเป้นฐานยึดเกาะความชอบธรรม ผมไม่เคยคิดหวังเลยว่ากลุ่มคนทั้งสองกลุ่มนี้ จะเห็นความสำคัญของ ประชาชน และทำเพื่อประชาชน ผลประโยชน์เล็กๆน้อยที่กระเด็นไปถึง ประชาชนเป็นเพียงการแตกตัวของทรัพยากรส่วนเกินจากกลุ่มคนทั้งสอง กลุ่มนี้ ประชาชนที่ถูกอุปโลกย์ให้เป็นไพร่ ก็เข้าใจว่านี่คือสงครามปลดแอก แต่จริงๆแล้วเป็นสงครามที่จะเปลี่ยนเป็นแอกอันใหม่เท่านั้นเอง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคนเสื้อแดงก็ล้วนแต่มีประสบการณ์ลำเค็ญ กับเรื่องนี้ด้วยกันทั้งนั้น และยังจะสร้างประวัติศาสตร์ ชุดนี้ขึ้นมาซ้ำทำไม สังคมไทยปัจจุบันกำลังมองเหตุการณ์และปัญหานี้แบบการมองภาพ จิ๊กซอว์ หรือภาพการแปรอักษร ด้วยระยะห่างที่แตกต่างกัน หาดเรามองใกล้ๆ เราอาจจะเห็นแค่ เรื่องยุบสภา, เรื่องการบังคับใช้กฏหมาย เรื่องเสื้อแดงหลงผิด, เรื่องเสื้อแดงล้มเจ้า เหมือนกับเรามองภาพบนอัฒจรรย์ หากเรายืนออกมาไกลสักหน่อย เรื่องบางเรื่อง มันแทบจะไม่มีผลต่อ องค์ประกอบรวมของภาพเลย แต่ถ้าเรามองใกล้ เราอาจะเห็นว่า แผ่นกระดาษสีหนึ่งชุดทำให้ภายนั้นไม่สวย เรื่องนี้ทำให้นึกถึงพระฝรั่งท่านหนึ่ง ที่เล่าเรื่องอิฐหนึ่งก้อนบนกำแพง ที่วางแล้วไม่สวย จนคิดจะทำลายกำแพงแล้วก่อใหม่ แต่เมื่อเดินออกมาห่าง กลับมองเห็นว่า มันก็ไม่มีอะไรเสียหาย ตอนนี้สังคมไทยกำลังจะทุบกำแพง เพราะก้อนอิฐเพียงก้อนเดียวเลยหรือ เหตุการณ์ที่สีแยกคอกวัว เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง ในการรื้อกำแพงเท่านั้นครับ และเป็นองค์ประกอบที่ไม่ควรเกิดเสียด้วย เพราะคนที่เริ่มเคาะอิฐก้อนแรกออกมาให้มันเกิดรอยแตก เพื่อให้ พวกเราที่เหลือช่วยกันรื้อ แล้วเราก็ดีใจกันว่า เราชนะแล้ว เราเปลี่ยนแอกอันใหม่ได้แล้ว จากนั้นเราก็กลับไปทำงานตามเดิม ทิ้งไว้แต่อนุสรณ์สถาน ตั้งไว้เหงาๆ ที่คนเดินผ่านไปยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร -------------------------- ป.ล. เหตุการณ์คืนวันที่ 10 ช่างเหมือนกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคมเสียจริง เพียงแต่สลับข้างกัน แต่การรัฐปรหารโยทหารกลุ่มหนึ่งกระทำการไม่สำเร็จ จากคุณ : ออดิบ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 14:05:11

ความคิดเห็นที่ 38 # คุณ Masked V เรื่อง AM ตรงนี้ผมตั้งเป็นโจทย์ตุ๊กตาเฉย ๆ ครับ เพราะทราบดีว่า ในชีวิตจริงช่วงนี้คงเป็นไปได้ยาก แต่อนาคตมันก็ไม่แน่ ดูอย่างฝรั่งเศสที่กลับไปกลับมาอยู่ช่วงหนึ่ง ผมมองว่าเมื่อเงื่อนไขมันสุกงอมอะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ แต่ที่ขำก็ตรง พวกที่บอกว่าตัวเอง "รักและเทิดทูน" นี่แหละครับ เจอะโจทย์ตุ๊กตาของผมเข้าไปตอบมาเป็นเสียงเดียวกันหมด มันทำให้ผมสงสัยว่า "รักและเทิดทูน" แบบไหนกันแน่ ? แต่จริง ๆ จะว่าเขาก็คงไม่ได้ เพราะระดับ "รักและเทิดทูน" มันคงมีหลายระดับ # คุณไมไ่ด้มีสิบมือ ตรงประโยคที่ว่า "..อำมาตย์นี่อะไรครับ ที่อยู่สภา ก็เลือกกันไปเองทั้งนั้น เราก็เลือกของเราไปแล้วมันอำมาตย์ตรงไหน จะ ให้เลือกใหม่ ครั้งหน้าจะได้ชนะ<เอ็งคิดว่าเล่นป๊อกเด้งกันรึไง> .." ผมว่า อำมาตย์ในความหมายของสีแดง เขาก็ค่อนข้างจะสื่อได้ชัดเจนอยู่แล้วนะครับว่าหมายถึงใคร แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ได้หมายถึง สส.(ผมเดา) เรื่อง อำมาตย์ ที่มีอำนาจเหนือสถาบันมีอยู่เยอะแยะในสากลโลกครับ เมืองจีนก็มี , ญี่ปุ่นก็มี ,บ้านเราก็มี หลายยุคหลายสมัย อย่างบ้านเราที่เห็นชัด ๆ ก็สมัยของ พระยากลาโหมสุริยวงศ์(ต่อมาเป็นพระเจ้าปราสาททอง) , และก็ต้นสมัยของ ร.๕ สมัยท่านผู้ใหญ่ท่านนั้น ถ้าอยากรู้ว่าอำมาตยาธิปไตยเป็นอย่างไร สร้างปัญหาให้สถาบันมากน้อยแค่ไหน ลองกลับไปหาอ่านประวัติศาสตร์ในช่วงที่บอกดูได้ครับ ในทัศนะคติผม อำมาตย์ที่ดี "..ต้องไม่สร้างปัญหาให้สถาบันมัวหมอง เสื่อมเสียเีกียรติยศ.." # คุณออดิบ ขอแก้คำผิดนิดหนึ่งครับ "อัฒจันทร์" เขียนแบบนี้นะครับ (ส่วนใหญ่จะเจอในห้องศุภ และก็ตามหนังสือพิมพ์กีฬาทั่ว ๆ ไป) ความหมายของมันคือ ที่นั่งเป็นขั้นๆ สำหรับดูการแสดงมีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม, ชั้นที่ตั้งของขาย หรือก้าวขึ้นลงทำเป็นขั้นๆ ผมว่าคนจำสับสนกับคำว่า "อัศจรรย์ (miraculous, wonderful)" ประจำครับ ผมเห็นคำนี้เขียนผิดกันมากจนน่าตกใจครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 15:02:36

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ ไม่ได้มีสิบมือ กรุณาอ่านความเห็นที่ 27 ของผม ขอบคุณครับ ขออภัย ใส่หมายเลขผิด แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 23:00:13 จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 21:02:18

ความคิดเห็นที่ 40 ๏ จงตั้งจิตคิดเห็นเป็นตราชู เพื่อเคียงคู่ยุติธรรมอันผ่องใส เพื่อผาสุกปวงข้าประชาไทย เพื่อรักษ์ไว้ซึ่งชาติวิลาสเลอ ๚ะ๛ จากคุณ : อ.ม.ภักดิราช เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 21:42:07

ความคิดเห็นที่ 41 คุณ masked v อ่านแล้วครับ เสื้อแดงต้องการอะไร ถ้าไม่ผิดจากที่ออกทีวี ช่องเสื้อแดงทุกวัน คิดว่าไม่ตรงกับที่คุณบอกในที่แห่งนี้ครับ ผมเห็นเรียกร้องไม่สิ้นสุด แกนนําหลายฟังดูแล้วสับสน บางครั้งไม่แน่ใจเค้ากลุ่มเดียวกันไหม <ประชุมกันมั้งเปล่า> คุณ ผ้าพับไว้ คิดว่าไม่ได้หมายถึง สส.เหมือนกันครับ แต่ข้อเรียกยุบสภาพุ่งไปทางนั้น นั้นคือสุดทางแล้ว <ความต้องการอาจมีมากกว่านั้น > แต่คงหยุดแค่นั้นละ ที่เหลือเอาไว้ปลุกใจกันเอง แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 53 23:25:50 แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 53 01:58:17 จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 53 23:24:43

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ ไม่ได้มีสิบมือ ครับ แล้วมีตอนไหนที่ทำให้คุณสรุปได้ว่า คนเสื้อแดง "อยากมี อยากได้ อิจฉาคนอื่น" หรือผมตกอะไรไปครับ? จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:10:09

ความคิดเห็นที่ 43 พูดถึงกระทู้เก่านึกขึ้นมาได้ ถึงกระทู้จะเก่าแต่เนื้อหาไม่เก่านะครับ ผมว่ายังคงใหม่อยู่ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/10/K7081262/K7081262.html จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : วันเนา 53 01:10:02

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ masked v ผมก็เอาตามที่เค้าพูดในทีวีนั้นละครับ<ยกเว้นคิดว่านั้นแดงปลอม> ผมถึงว่าแนวคิดเค้าสังคมนิยม  รึว่าประชาธิปไตยกันแน่ ช่วงนี้ด่าแรงๆทั้งนั้น แนวคิดก็สุดกู่ ทะลุโลกไปแล้ว ไม่ได้สุภาพเหมือนในเวปบอดนี่หรอก จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : วันเนา 53 11:04:22

ความคิดเห็นที่ 45 การแตกแยกเกิดขึ้นได้เสมอครับ การสูญเสียก็เป็นเรื่องปกติ การต่อสู้จะพบจุดจบเมื่อชนะหรือแพ้ สุดท้ายประเทศน่าจะยังอยู่แต่มุมมองของคนหลายคนก็จะเปลี่ยนไป และรับรู้การมีอยู่ของหลายสิ่งหลายอย่างที่มักถูกมองข้ามมานาน จากคุณ : มังกรใจเย็น เขียนเมื่อ : วันเนา 53 19:45:41

ความคิดเห็นที่ 46 มันเรื้อรังมานานค่ะ ถ้าจะมองอย่างเป็นรูปธรรมก็แผนพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ฉบับแรกนั่นแหละ เห็นความสำคัญเฉพาะกับบางกลุ่ม ทำให้เกิดปัญหาในการกระจายรายได้และความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งแน่นอนจนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เรื่องพวกนี้เราได้เรียนตั้งแต่สมัยมัธยมนะ สงครามชนชั้นมันจะไม่เกิดหรอกถ้ารัฐไม่ให้ความสำคัญเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ประชาชนต้องการ การอยู่ดีกินดีก็เท่านั้น จากคุณ : <<~Seven~Days~Ago~>> เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 08:39:19

ความคิดเห็นที่ 47 นักบริหารจัดการมัดจะต้องมีวิสัยทัศน์ การรู้จักแยกแยะ แบ่งหมวดหมู่ของความเป็นไป สิ่งที่เป็นไป และปัจจัยต่างๆล้วนถูกนักบริหารผู้มีวิสัยทัศน์พิจารณา จัดหมวดหมู่เอาไว้เป็นประเภทๆ เช่นการตลาดแบ่งหมวดของมนุษย์เป็นเพศ วัย กลุ่มรายได้ กลุ่มอายุ ฯลฯ สำหรับสิ่งที่เป็นมาในบ้านเรา ก็เช่นกัน ล้วนถูกนักบริหารจัดการ (ในที่นี้เรียกว่านักปกครองจะถูกต้องกว่า แต่จะเป็นนักปกครงอระดับไหน ผมขอละเอาไว้ก่อนเพราะไม่มีข้อมูลที่ดีพอ )........นับแต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อเหลือง ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่พอจะอธิบายได้ด้วยเเนวคิดทางการตลาด หรืทอทางการบริหาร-จัดการพอได้ ผมคิดว่า ไม่ใชเรื่องบังเอิญที่กลุ่มคนผู้ชื่นชอบเสื้อเหลือง เป็นกลุ่มคนประเภทหนึ่ง ที่ผู้มีวิสัยทัศน์ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามของอดีตรัฐบาลสามารรถแยกประเภทออกจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง (คนอีกกลุ่มนี้ ภายหลังก่อเป็นกลุ่มคนเสื้อเเดง ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในแผ่นดินไทย) เมื่อผู้มีวิสัยทัศน์ ได้ตั้งเป้าประสงค์เอาคนกลุ่มที่ถูกเลือกให้เป็นกลุ่มเป้าหมายออกมาแล้ว ก็กระทำการปลุกปั่น ให้เกิดเป็นพลังมวลชนเคลื่อนไหวอย่างทรงอำนาจ เป็นอำนาจที่สามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลผู้บริหารแผ่นดินไปได้ในที่สุด วิธีการรณรงค์ให้กลุ่มที่ถูกเลือก (ในที่นี้ขอหมายความถึงกลุ่มคนเสื้อเหลืองจำนวนหนึ่ง) ก็โดยการใช้คนมีชื่อเสียง นักวิชาการทั้งหลายที่สามารถโน้มน้าวกลุ่มเป้าได้ (ก็พวกที่ขึ้นเวทีพันธมิตรทั้งหลาย)มาทำหน้าที่เป็นผู้ปลุกปั่น (วิธีเดียวกับการเลือก presenter ที่มีผลทางการตลาดต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย) ทั้งนี้ และทั้งนั้น ผมสังเกตุว่า นักวิชาการก็ตาม ผู้มีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยก็ตาม อดีตนักการเมือง และนักการทหารก็ตาม ล้วนมีรูปแบบจำเพาะของตนเอง ตามแต่ที่ตนเองมีประสบการณ์ เรียนรู้มาตลอดชีวิต คนเหล่านี้ มีรูปแบบเป็นเฉพาะมีพลังอำนาจระดับหนึ่ง.......แต่การเคลื่อนไหวของเสื้อเหลืองจะไม่มีพลานุภาพขนาดนั้นถ้าปราศจาคแป๊ะลิ้มที่เป็นนักสู้อีกแบบฉบับหนึ่งแตกต่างจากคนกลุ่มแรก........การวิภากวิจารณ์ของคนกลุ่มแรก ชี้ให้เห็นการบริหารจัดการของรัฐบาลชุดก่อน ในด้านลบในแบบฉบับหนึ่ง (ที่จริง ผมเห็นว่าอดีตรัฐบาลมีผลงานโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดเจน มากกว่าผลทางลบที่อาจจะมี .....ในประเทศที่มีความหลากหลายอาชีพ การกระทำการหนึ่งๆของรัฐบาลแม้เกิดผลดีต่อชาติโดยรวม แต่ก็อาจจะเกิดผลข้างเคียงต่อประชาชนบางกลุ่ม ซึ่งรัฐบาลต้องบันทึกไว้ เพื่อชดเชยประโยชน์ให้ในการจัดการเรื่องอื่นๆ) แต่คนอย่างแป๊ะลิ้ม มีความพิเศษจำเพาะ สามารถหาเหตุผลมาชักนำผู้คนบางจำพวก ซึ่งหมายถึงคนจำนวนหนึ่งในฟหมู่เสื้อเหลืองให้คล้อยตามได้........อันนี้เท่ากับมี presenter หลายคน ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายอันได้แก่คนเสื้อเหลืองโดยรวม (ทั้งโค้ก และเป็บซี่ตลอดจนสินค้าการกีฬาแบรนด์ใหญ่ๆมักจะทำกับเเคมเปญใหญ่ๆ โดยรวมดาราจากหลายวงการ) มาถึงตอนนี้ กลุ่มเป้าหมายที่จะเป็นคนเสื้อเหลืองอันประกอบด้วยกลุ่มบุคคลปริมาณหนึ่ง ถูกแยกแยะออกมาแล้ว การรณรงค์ที่มีประสิทธิภาพก็ถูกใช้ ดุจการตลาดที่ตั้งเป้าหมายไปยังกลุ่มจำเพาะ เพื่อกลยุทธทางการโฆษณาที่ได้ผล มีประสิทธิภาพเป็นผลสำเร็จ หลังจากคนกลุ่มเสื้อเหลืองถูกแยกประเภทออกไปเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ชนชั้นปกครองสามารถเอาเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีได้สำเร็จ ก็คงทิ้งคนอีกกลุ่มหนึ่งเอาไว้.....คนอีกกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยคนที่ไม่มีความตื่นตัว หรือกระตือรือร้นทางการเมืองส่วนหนึ่ง และคนที่เป็นเสื้อแดง หรือภายหลังมาเป็นเสื้อแดงอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของนักปกครอง (ถ้าสนใจจริง ในช่วงที่ผ่านมา เราคงเห็นการรณรงค์ให้คนในชาติหันหน้าเข้าหากัน ให้คนในชาติได้รับความเสมอภาคกันมากกว่านี้) คนกลุ่มเสื้อเหลือง กับเสื้อแดงตั้งท่าจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาก่อน และนับวันยิ่งรุนแรงขึ้น.........เรื่องนี้เป็นผลดี (คือดีกว่าที่สามัคคีกันแล้วมาต่อต้านชนชั้นปกครอง .......ประชานแตกแยกกัน ชนชั้นปกครองจะอยู่ในอำนาจได้ยาวนานกว่า แม้ว่าจะไม่ยาวนานตลอดไป .....เรื่องนี้ต้องดูกันนากว่านี้จึงจะเห็น) .......โดยส่วนตัว ผมกำลังมองสว่า การแตกแยกกันของคนในชาติ ไม่ใฝช่เรื่องบังเอิญ และเกิดขึ้นได้โดยการจงใจให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันมากๆเข้า ณ จุดๆนี้ ผมเห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมา ชนชั้นปกครองกระทำการได้สำเร็จ .......หากแต่ ........ทุกครั้งที่ธรรมชาติถูกมนุษย์กระทำการที่ฝ่าฝืน ...ธรรมชาติจะแปรรปรวน .....ประช่าชนสองกลบุ่ม หรือหลายกลุ่มเริ่มมีปฎิกริยาสะท้อนกลับ .....และกำลังเข้าสู่ระดับขั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้ เราจะเรียกสิ่งที่จะเกิดขึ้นว่าสงครามระหว่างชนชั้น หรือ สงครามของคนหลายกลุ่ม (ที่ชนชั้นปกครอง ที่อดีตคือ นักปฎิวัติการปกครองที่ถูกชนชั้นปกครองเลือกใช้ในการใช้กลุ่มคนเสื้อเหลืองไปล้มล้างรัฐบาล ได้เคยใช้วิสัยทัศน์ไปจัดการแบ่งแยกเอาไว้จนสำเร็จ) ว่าอะไรดี ? .........ผมเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในที่ใดในโลก ...เร่าเคยเห็นการแบ่งประเทศเป็นเหนือ-ใต้ เป็นตะวันออก ตะวันตก เป็นชนบท-เมืองหลวง ฯลฯ แต่การแตกแยกของคนในลักษณะบ้านเรา ที้สามารถทำให้ผู้คนในบ้านเดียวกัน หรือในท้องถิ่นเดียวกัน สามารถใส่เสื้อสีต่างกัน และมีแนวโน้มจะแตกแยกกันโดยมีแนวโน้มจะรุนแรงถึงระดับประลองกำลัง ไม่ว่าสังคมมนุษย์ หรือสังคมสัตว์เดรัจฉาน .........เมื่อเกิดการเป็นปฎิปักษ์ (ขัดข้องกันทางผลประโยชน์ หรือ การดำรงชีวิต) ทั้งสองฝ่ายมีกำลังอำนาจที่ยังหาข้อยุติเป็นเอกฉันท์ไม่ได้ว่าใครแข็งแรงกว่า.......เมื่อนั้น การประลองกำลังย่อมเกิดขึ้นแน่นอน แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 53 02:44:56 จากคุณ : ช้างพลาย เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 02:41:00

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ ไม่ได้มีสิบมือ ทำไมผมฟังแล้วไม่ได้สรุปความอย่างที่คุณว่าล่้ะครับ หรือถ้าคุณมีหลักฐานที่ว่าก็เชิญแสดงครับ อย่างไรก็ดี ผมว่านี่เป็นแค่ประเด็นเล็กในประเด็นใหญ่ หรือถ้าคิดว่ามีอะไรที่คุณว่าน่าสนใจก็เชิญแสดง คุณ Nexus แหะๆ ได้กลับไปอ่านกระทู้เก่าที่ว่าแล้วรู้สึกอายตัวเองเหมือนกันแฮะ กระทู้ในคราวนั้น ผมให้คำตอบว่า "เอาเป็นว่า มีข้อเสนออื่นนอกจากยุบสภาไหมครับ? เพราะถ้าบอกว่าการยุบสภาคือทางออกเนี่ย มันเหมือนกับพันธมิตรไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย ทั้งๆที่ก็มีส่วนนำพาสังคมมาถึงขั้นนี้แท้ๆ อีกอย่าง การยุบสภามันเหมือนกับเป็นการโยนความผิดให้กับประชาชนทั้งประเทศ ที่ต้องมาเลือกตั้งกันใหม่ งบเลือกตั้งก็ภาษีของคนทั้งประเทศ แล้วพวกเขาผิดอะไร? ที่สำคัญ ผมคิดว่าการยุบสภา คือเกมการเมืองที่อีกฝ่ายต้องการ โดยการใช้พันธมิตรไล่ต้อนให้รัฐบาลติดบ่วง จากนั้นก็จะนำไปสู่การ "เชือด" อันนี้หวังว่าผมจะแค่เพ้อเจ้อไปเองคนเดียว " เออ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมกลับตัว 180 องศาได้ขนาดนี้ แต่ถ้าถามในตอนนี้ ผมว่าไม่ยุบสภาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้จบ เมื่อฝ่ายเสื้อแดงก็เจ็บตายกันขนาดนี้ จะให้ยอมง่ายๆคงไม่มีทาง หรือรัฐบาลจะมีวิธีอะไรจะสลายกลุ่มคนเสื้อแดง โดยไม่ต้องมีการฆ่าฟันกันไปมากกว่านี้ ดูไปแล้ว คำตอบของคนเรามันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์และสถานการณ์จริงๆ อย่าว่าแต่ผมเลย คุณอภิสิทธิ์เองยังพูดกลับไปกลับมา แต่ในเมื่อผมไม่มีภาระที่ต้องรัษาจริยธรรมมมากกว่าคนทั่วไปอย่างนายก ผมเลยไม่รู้สึกอะไรมากนัก อิอิ ท่านอื่นๆผมขอเวลาสักหน่อยจะมาเสวนาต่อนะครับ ช่วงนี้ต้องเร่งงานละ ขอบคุณครับ จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 53 22:19:30

ความคิดเห็นที่ 49 ผมว่าปัญหาชนชั้น มองได้ 2 มิติ คือ -มิติเศรษฐกิจ มันก็จะเป็นปัญหาที่คู่กับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมอยู่แล้ว ไม่มีใครแก้ได้นะครับ -มิติการเมือง ลักษณะอภิสิทธิ หรือ อำนาจ ซึ่งการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ต่อให้ กดดันให้ยุบสภาสำเร็จ ต่อให้ ฝ่ายที่ชุมนุมชนะเลือกตั้ง ต่อให้ ฝ่ายอำมาตย์หรือสูงกว่า ถูกโค่นล้มไป ต่อให้ ฝ่ายใต้ ถูกจัดการไป ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง อำนาจเศรษฐกิจ ก็อยู่ในมือกลุ่มนายทุนเช่นเดิม แค่คนละฝ่ายเท่านั้น อำนาจการเมือง ก็อยู่ในมือ นักการเมือง เช่นเดิม แค่คนละฝ่ายเช่นกัน(อิงอำมาตย์/ไม่อิงอำมาตย์) ผมถึงเห็นด้วยอย่างมากกับ #37 ที่ว่า จริงๆแล้วเป็นสงครามที่จะเปลี่ยนเป็นแอกอันใหม่เท่านั้นเอง ไม่ใช่ การปลดแอกอย่างที่เข้าใจ จากคุณ : Hoo เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 53 20:37:02

ความคิดเห็นที่ 50 คุณ ช้างพลาย ได้อ่านความเห็นแล้วทำให้ผมนึกถึงทฤษฎี "แบ่งแยก เพื่อปกครอง" เลยครับ ผมเคยตั้งคำถามง่ายๆกับเพื่อน ว่าทำไมอำมาตย์จะต้องเลือกสนับสนุนพรรคที่ได้คะแนนเสียงน้อยกว่า ถ้ามองเหมือนการขายแอด ก็ควรจะมองสิ่งพิมพ์ที่มียอดจำหน่ายสูงกว่า ใช่หรือไม่? ผมคิดว่า การที่ชนชั้นสูง เลือกจะถือหางชนชั้นกลาง มันช่างคล้ายกับประเทศอังกฤษ ที่มักจะเลือกชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ยึดครอง มาไว้เป็นมือเป็นเท้า จัดการกับคนหมู่มาก เหตุผลสำคัญนั้น ผมคิดว่ามีดังนี้ 1. ชนกลุ่มน้อยที่ว่านั้น ย่อมจะต้องทำตามผู้ปกครองอย่างไม่มีข้อบิดพริ้ว เพราะรู้ว่าลำพังกำลังตน ไม่อาจจะสู้กับชนหมู่มากได้ เหมือนกรณีบ้านเราในตอนนี้ ชนชั้นกลางหลายคน ยอมปิดหูปิดตา ให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ ที่จะเป็นการสลายกำลัง(ในที่นี้ผมไม่ได้หมายความเพียงการสลายการชุมนุม)ของกลุ่มเสื้อแดง เพราะเขารู้ว่าถ้าให้เลือกตั้งอย่างเสรี จะทำให้เขาตกเป็นรองกลุ่มชนชั้นล่าง ในที่นี่ คือการยอมทั้งให้มีการรัฐประหาร จนถึงการยอมรับให้อภิสิทธิ์ยังอยู่ต่อไป แม้ว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด ในการเสียชีวิตของประชาชน นั่นเพราะเขากลัวอนาคตที่อาจเกิดขึ้น กลุ่มอำมาตย์ จึงเป็นเสมือนผู้พิทักษ์สำหรับชนชั้นกลาง 2. หากชนกลุ่มน้อย สามารถกดหัวชนหมู่มากได้  สถานะของชนชั้นปกครองจะมั่นคงมากยิ่งขึ้น เพราะโดยลำพังของชนกลุ่มน้อย ย่อมไม่สามารถจะต่อกรกับชนชั้นปกครองได้ และความไม่ปรองดองระหว่างชนสองกลุ่ม จะทำให้ทั้งสองกลุ่มไม่สามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 53 21:27:29

ความคิดเห็นที่ 51 ด้วยความเค่ารพนะครับ ผมพย่ายามจะเขียนความเห็นเอาไว้ให้ย่อกระชับ แต่มิใช่เพื่อความรัดกุม และปลอดภัยต่อตนเอง ผมมองการบ้าน การเมือง การปกครองเอาไว้แบบให้เห็นภาพที่ปลายทาง .....ปลายทางที่มีความแตกแยก อันเป็นความแตกแยกที่น่ากลัวตรงที่ไม่มีใครควบคุมแรงกดดันที่อาจจะระเบิ ดได้ทุกเวลา สิ่งที่ผมไม่ได้เขียน ก็อาจจะเป็นประเด็นของการค้าผลิตภัณฑ์ที่มีผู้ประกอบการกันสองสามราย .... ที่ต้นทาง อาจจะมีการนั่งโต๊ะกลมกันตลอดเพื่อฮั้วราคา และนัดแนะแผนการตลาดกัน แต่ข้างล่าง ปล่อยให้ฝ่ายการตลาด กับฝ่ายขายแข่งกันเอาเป็นเอาตาย........พวก CEO แกล้งทำไขสือบอกกับคู่ฮั้วว่า อั๊วไม่รู้ เด็กมันทำกันเอง อั๊วไม่ได้สั่ง จากคุณ : ช้างพลาย เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 53 22:48:53

ความคิดเห็นที่ 52 ยังอ่านไม่ีครบทุกความเห็นข้างบนนะคะ แต่อยากจะขอบคุณหลายๆ คห. ข้างบนจัง  เพราะปกติจะอ่านและรับอย่างเดียว แต่รู้สึกดี ที่วันนี้เข้าห้องสมุด  ได้คห. หลากหลายมุมมอง ขออนุญาตเก็บไปวิเคราะห์ในหัวต่อก่อนค่ะ จากคุณ : Mariedar เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 53 23:29:44

ความคิดเห็นที่ 53 เสริมหน่อย ว่าจะไม่เสริมแล้ว แต่อดไม่ได้ สงครามชนชั้นไม่เกิดแน่คุณวี สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ เพราะที่เป็นอยู่นี่มันคือ "สงครามระหว่างกลุ่มผลประโยชน์" ที่ไปเอากลุ่มคนต่างๆมาเป็นฐานหนุน ใครมีประชานิยมกับกลุ่มไหนดีกว่าก็ได้กลุ่มนั้นไป สงครามชนชั้นจริงๆ มันจะเกิดมาจากการเรียกร้องของประชาชนกลุ่มล่างหรือผู้ใช้แรงงานจริงๆ ที่อดอยาก ปากแห้ง คือถ้าไม่ออกมานี่ตายแน่ๆ แบบหลายประเทศในแอฟริกา แต่ของเรามันไม่ใช่เลย ถ้าในปวศดังๆ ก็คือการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งสำเร็จได้เพราะพลังของประชาชนทั่วไปที่อดอยาก บวกกับมีแรงหนุนจากพวกนักปลุกระดมหรือนักปฏิวัติอย่าง แม็กซิมิเลี่ยน โรแบร์ ปิแอร์ ซึ่งบางคนเขาให้ฉายาว่าเป็น "บุรุษผู้สร้างความนองเลือดแห่งยุค" โดยได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองหรือผู้ต้องการล้มอำนาจเก่า และผลสุดท้ายก็ได้มาเป็นรัฐบาลชุดที่โหดเหี้ยมและเลวร้ายที่สุดชุดหนึ่งในปวศ.ชาติเขา แต่ยังดีว่าคนเขาก็รับไม่ได้เลยลุกขึ้นมาล้มกันอีกรอบ และผู้นำการปฏิวัติในครั้งแรกอย่างแม็กซิมิเลี่ยนก็โดนกิโยตินตามพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งตนเป็นผู้สังหารไป ปวศ.มีบทเรียนให้ดูเยอะแยะ หรือจะเอารอบบ้านเราก็ได้ อย่างเช่นพม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือประเทศแถบแอฟริกาที่ยิงกันทุกวันจะเห็นชัด จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 53 04:41:32

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมแสดงทัศนะ ทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผมอยากจะให้กิ๊ฟต์ผู้ร่วมเสวนาทุกท่าน แต่คงต้องรอตกเบิกเดือนหน้าเสียก่อน ที่จริงมีประเด็นที่อยากพูดคุยกันต่อ แต่เนื่องจากมีภาระการงานคั่งค้าง จึงอาจจะไม่ได้มาแสดงความเห็นอีกหลายวัน ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเก็บกระทู้นี้ไว้ และอีกสามปีเราก็มาดูกันอีกครั้ง ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร ขอขอบคุณทุึกๆท่าน จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 18 เม.ย. 53 23:09:14

ความคิดเห็นที่ 55 ผมมองว่า นี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่สุดของความแตกแยก ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ที่มีมานานมากกว่าครับ ... ที่เขาบอกว่า คนไทยขี้ลืม ท่าจะจริงแฮะ เพราะเราลืม แล้วก็พยายามบอกกับตัวเองว่า คนไทยสามัคคีกัน แล้วยกโขยงพากันลืมๆ ปัญหาไปอีก เราทิ้งปัญหาไว้ตลอดจนมันหมักหมมเรื้อรัง และเน่าเฟะแบบนี้ ... เราแตกแยกภายในกันมานาน แค่ความคิดเห็นแตกต่างกันก็มีความแปลกแยกแตกต่างแล้ว เพียงแต่สังคมนี้ไม่ยอมรับความจริง ดันทุรังจะสามัคคีท่าเดียว โดยไม่คิดจะแก้ปัญหาใดๆ เลย มันก็ต้องถึงจุดเวลาที่จะต้องสะสางกันเข้าสักวันหนึ่งนั่นล่ะครับ ... แล้วพอถึงเวลาแก้ปัญหาจริงๆ ขึ้นมา ก็เริ่มจะใช้สันติวิธีไม่ได้อีก ซึ่งมันสายเกินไปแล้วกระมัง ... รธน.40 เปิดโอกาสให้เกิดสองพรรคใหญ่จริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับตอนนี้แล้ว เนื่องจากอย่างที่เห็นๆ กัน คือ กลุ่มผลประโยชน์เข้าร่วมรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่สองก้อน และพยายามที่จะล้มล้างกลุ่มผลประโยชน์อีกฝ่ายหนึ่งเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามีกลุ่มไหนบ้าง และถึงจะมีใครรู้จริง ก็คงไม่มีใครกล้าพูดออกมา เพราะมันอาจจะทำให้ชีวีถึงฆาต อาจจะเป็นอย่างนั้นไปเลยก็ได้่ (- -*) ... ปล. หมายเลข คห. ชอบแฮะ (55) แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 53 17:31:02 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 53 17:31:40 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 53 17:29:34

ความคิดเห็นที่ 56 ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการใช้คำของ คุณไม่ได้มีสิบมือ สักเท่าไหร่ ความหมายของคำว่า - "ประชาธิปไตย" =  ประชาชน + อธิปไตย = อธิปไตยของประชาชน - "สังคมนิยม" = สังคม + นิยม = ทำตามความต้องการของสังคม สังคมประกอบด้วยประชาชน การแสดงอำนาจอธิปไตยถือเป็นความต้องการของประชาชนด้วยเช่นเดียวกัน และัการแสดงอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน มันก็คือความต้องการของสังคมไม่ได้ต่างอะไรมากมายนัก ... ดังนั้น ผมเข้าใจว่า ที่คุณไม่ได้มีสิบมือกล่าวถึงนั้น จึงไม่ได้หมายความถึงว่าระบบประชาธิปไตยจริงๆ ... คำำ "ประชาธิปไตย" นี้เป็นเพียงคำๆ หนึ่งเท่านั้น มันไม่ใช่ระบบใดระบบหนึ่ง ... เนื่องจากทุกคนในสังคมไำม่ได้มีความเห็นเป็นเอกภาพจนสามารถนิยามได้ ว่า คำๆ นี้ คือ ระบบอะไรกันแน่ ... ฝ่ายทุนนิยม หรือเสรีนิยม (จะเรียกอะไรก็ตามแต่จิตศรัทธา) ก็บอกว่า "ของอั๊วะเนี่ยล่ะ ประชาธิปไตย" ... ฝ่ายสังคมนิยม ก็ตามเฮโลมาด้วย "ของอั๊วะต่างหากล่ะ ประชาธิปไตย ของลื้อมันของปลอม" ... ผมขอพูดตรงๆ ว่า "แล้วกูจะเชื่อใครดีเนี่ย!!" ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ที่คุณไม่ได้มีสิบมือ กล่าวถึงนั้น หมายถึงระบบเสรีนิยม ซึ่งต้องมีพรรคการเมืองหลายพรรค ในขณะที่ระบบสังคมนิยมนั้น ส่วนใหญ่ จะมีพรรคการเมืองเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์ อันพรรคนี้ก็เป็นพรรคที่จัดอยู่ระบบสังคมนิยมประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นสังคมนิยมจนสุดกู่ สุดขั้วนั่นล่ะ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกสังคมล้มล้าง เพื่อให้สังคมกลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ ระบบสังคมนิยม (แบบทั่วไป) ที่เป็นลักษณะของสังคมนิยมประเทศเดียว (พรรคเดียว) นั้น จะมีการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน (จะไม่บ่อยเท่าเสรีนิยม) ระบบของเขาคร่าวๆ จะเป็น ... ประชาชนในเขต > เลือกผู้แทน > ผู้แทนจากเขต > เลือกผู้แทนภาคนั่งในสภาของพรรค > ผู้แทนในสภา > เลือกผู้บริหารองค์กร (รัฐ) ... ลักษณะนี้ก็เป็นไปแบบเดียวกับประเทศที่ใช้ระบบคอมมิวนิสต์ทุกประการ (เพราะระบบคอมมิวนิสต์มีพื้นฐานมาจากสังคมนิยมประเทศเดียว) คือ ประชาชนในหนึ่งคอมมูน > เลือกตัวแทน > ตัวแทนจากคอมมูน > เลือกตัวแทนเขต > ตัวแทนเขตเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ > สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ > เลือกผู้บริหารองค์กร (รัฐ) ลักษณะนี้ ก็เป็นลักษณะของการเลือกตั้งอ้อมรูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับเสรีนิยม ซึ่ง ประชาชนในสังคมทั้งหมด > เลือกผู้แทนเข้าไปนั่งในสภา > ผู้แทนในสภา > เลือกผู้บริหารองค์กร (รัฐ) ... หากมองดูดีๆ จะไม่มีความต่างกันเลย ก็เข้าไปนั่งหลับกันในสภาเหมือนกัน (เอิ๊ก) ซึ่ง step ของสังคมนิยมประเทศเดียวออกจะยาวไกลไปสักนิดหนึ่ง (มั้ง) ไม่เหมือนกับของเสรีนิยมที่เป็น step แบบไม่กี่ขั้น และแม้ว่า ผู้บริหารจะอยู่ในอำนาจนานขนาดไหน เขาก็ยังมีการเลือกตั้งอ้อมอยู่ดี ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเสรีนิยมเลยสักนิด ... (จีนตอนนี้คงจะเรียกว่า เป็นประเทศสังคมนิยมประเทศเดียว (แบบปกติ) ได้แล้วกระมัง เพราะจีน ก็ไม่ได้เป็นสังคมนิยมประเทศเดียวแบบระบบคอมมิวนิสต์เดิม (สังคมนิยมประเทศเดียวแบบสุดกู่) ซะแล้ว) ที่สำคัญแนวคิดของสังคมนิยม คือ สังคมเป็นกลุ่มผลประโยชน์หนึ่งกลุ่ม มีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพรรคการเมืองเดียว ... ในขณะที่ฝ่ายทุนนิยม หรือเสรีนิยม มีแนวคิดว่า สังคมมีกลุ่มผลประโยชน์หลายกลุ่ม จึงจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองหลายพรรค เอาง่ายๆ เลย ... พรรคการเมือง ก็ คือ ตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ นั่นเองล่ะครับ (การยุบพรรคการเมือง จึงไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเอาเสียเลย เพราะกลุ่มผลประโยชน์ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่า กลุ่มผลประโยชน์เหล่านั้น ไม่ได้มีตัวแทนเข้าไปนั่งหลับในสภา มันก็เท่านั้นเอง) ผมจึงมองว่า ประชาธิปไตย มันก็แค่คำๆ หนึ่งซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่เป็นคำที่ผู้นำมวลชนชอบนำมาอ้างเสียมากกว่า ... ประชาธิปไตย มันก็คล้ายๆ กับ ยูโทเปีย นั่นล่ะ ไม่ได้แตกต่างกันเลย (โดยเฉพาะเรื่องที่มันหาต้นเค้าอะไรไม่ได้นี่ล่ะที่เหมือนกัน) สรุป ... คำว่า "ประชาธิปไตย" ของคุณไม่ได้มีสิบมือ หมายถึง "ระบบเสรีนิยม" ที่คิดแบบนี้ เพราะระบบเสรีนิยมมีความเป็นปรปักษ์กับฝ่ายสังคมนิยมอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 53 18:15:03 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 53 18:17:22 แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 53 18:20:19 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 53 18:12:08

ความคิดเห็นที่ 54 แปลกจริง ทำไมให้กิ๊ฟคุณเก้ากระบี่เดียวดายไม่ได้? จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 13:37:50