Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เสือร้าย พล.1 ตอนที่ 3{แตกประเด็นจาก K9105192}  

เบื้องหลังเสือเจ็บ
ขุนศรีศรากรผู้อยู่ในเหตุการณ์ทำร้ายพระยาเสนาสงครามบันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า…

"เมื่อพลตรีพระยาเสนาสงครามเปิดประตูเล็ก ก้าวเท้าออกมา 3 ก้าว ข้าพเจ้าก็ก้าวหน้าไป 1 ก้าว พร้อมกับยกมือขวาขึ้นทำวันยาหัตถ์ แต่นิ้วมือข้าพเจ้ายังไม่ทันจดขอบหมวก พระยาเสนาฯก็ถูกตีที่ศีรษะข้างหลัง ท่านได้ทรงตัวหงายทำท่าชักปืนพกออกจากเอว ทันใดนั้น ก็มีเสียงปืนดังมาจากข้างหลังทางขวามือของข้าพเจ้า 1 นัด เข้าใจว่าร้อยโทเหล่าแผนที่ (ขุนจำนงภูมิเวทย์) เริ่มยิงและเขาตัดสินใจยิงของเขาเอง โดยข้าพเจ้ายังไม่ได้สั่งการอย่างใด คนตีก็เป็นคนของเราเอง และเขาตีโดยข้าพเจ้าไม่ได้สั่งตีเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนวิ่งออมาจากบ้านพลตรีพระยาเสนาฯจึงมองดู เห็นผู้หญิงวิ่งออกหน้าและมีคนวิ่งตามมาข้างหลัง ต่างคนต่างถือปืนออกมาด้วย ข้าพเจ้าจึงเริ่มยิงท่านพลตรีพระยาเสนาสงครามอีก 1 นัด ประสงค์จะให้บาดเจ็บสาหัส เพื่อป้องกันมิให้ท่านนายพลเดินทางไปสั่งงานยังกรมกองทหารภายใต้การบังคับบัญชา ข้าพเจ้าปฏิบัติให้สมบูรณ์ตามหน้าที่และในระยะเผาขนนั้น ข้าพเจ้าได้ยิงท่านที่ท้อง"

นายหนหวยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "ส่วนนักเลงที่ตีศีรษะพระยาเสนาสงครามนั้น ชื่อนายจ้อย เป็นนักเลงโตแปดริ้ว ขณะที่ขุนศรีศรากรซึ่งเป็นหัวหน้าสาย ยกมือขึ้นทำวันยาหัตถ์แบบทหารนั้น นักเลงจ้อยเข้าใจว่าให้สัญญาณตี ก็เลยตีเข้าให้ด้วยความชำนาญในแบบฉบับของนักเลงฆ่าคน"

ในส่วนของพระยาเสนาสงครามนั้นต่อมาท่านได้เล่าให้หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญท่านหนึ่งของคณะปฏิวัติฟังและท่านได้ทรงบันทึกไว้ในหนังสือ"สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น"ของท่านว่า…

"เวลาราวย่ำรุ่งมีโทรศัพท์ไปตามว่าทูลกระหม่อมบริพัตรฯรับสั่งให้เข้าเฝ้าเดี๋ยวนั้น ก็รีบแต่งตัวออกจากบ้าน พอพ้นประตูแลไปข้างหน้าเห็นทหารแต่งตัวยูนิฟอร์มยืนเป็นระยะไปตามทางเดิน 2 คน ผ่านคนที่ 1 มันไม่คำนับ ก็นึกว่ามันบ้า และจะรีบไปก็ไม่เอาใจใส่ แต่พอก้าวขาไปอีก 2 ก้าว ก็รู้สึกตาพร่า เหมือนในหนังเล่น และรู้สึกว่าถูกตีหัวข้างหลังก็ล้มไปไม่รู้สึกตัว แต่พอสักครู่ก็หายค่อยๆลืมตาและเห็นมีคนยืนคร่อมอยู่บนตัวถือปืนจ่อท้องอยู่ แล้วรู้สึกร้อนเหมือนบุหรี่จี้ จึงค่อยๆหดแขนข้างหนึ่งขึ้นยันจะลุกขึ้น ก็แลไปเห็นคนปลายทางเล็งปืนมาอีกคนหนึ่ง แล้วมันก็วิ่งหนีไปตามกัน 3 คน ออกถนนใหญ่ไป พระยาเสนาฯลุกขึ้นได้ก็ค่อยๆยันตัวกับรั้วสังกะสีกลับเข้าไปในบ้านร้องเรียกเมียว่า"ฉันถูกยิง" คุณหญิงแสภรรยาก็ควักปืนออกมาจากลิ้นชักวิ่งลงบันไดมากับบ่าวไพร่ ช่วยกันประคองเจ้าคุณขึ้นวางไว้บนเก้าอี้แล้วคุณหญิงแสก็วิ่งตามทหาร 3 คนนั้นไปกับปืน พอถึงถนนใหญ่ก็พอดีเห็น 3 คนนั้น อยู่บนรถกระบะของทหารกำลังออกรถไปได้แล้วหน่อยหนึ่ง คุณหญิงแสโดดขึ้นรถยนต์สีแดงซึ่งจอดอยู่ที่นั่นคันหนึ่ง เอาปืนจ่อคนขับว่า"ไล่รถคันนั้นไป" คุณหญิงแสบอกข้าพเจ้าว่า "มันไม่ถึงที่ พอชักลูกขึ้นลำกล้องก็รู้ว่าหยิบปืนผิดกระบอกเพราะไม่ได้บรรจุกระบอกนี้ไว้" ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่ายิงปืนแม่นอยู่ด้วย แต่ก็ยังเอาปืนนั้นขู่คนขับรถให้ไล่ตามคันหน้าไปจนได้ เพราะอยากจะรู้ว่ามันมาจากไหนกัน พอถึงถนนลานพระบรมรูปทรงม้าก็เห็นรถกระบะนั้นหายเข้าไปในพระที่นั่งอนันต์ฯ แกก็กลับไปรับเจ้าคุณไปส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ส่งเข้าห้องผ่าตัดแล้วก็ออกไปดูเหตุการณ์ แล้วกลับไปอยู่โรงพยาบาลกับสามี"

คณะผู้ก่อการสายทหารนั้น อย่างที่ทราบกันอยู่ว่ามิได้มีกำลังติดอาวุธในมือสักเท่าไหร่ เพียงแต่มีความสามารถในการพลิกแพลงหลอกให้กำลังมารวมกันที่ลานพระราชวังสวนดุสิตเพื่อทำการฝึกแล้วฉวยโอกาสประกาศปฏิวัติ

กำลังทหารราบส่วนใหญ่ในพระนครนั้นอยู่ในกำมือของ ผบ.พล.1 รอ.พล.ต.พระยาเสนาสงครามซึ่งมีความจงรักภักดีเหนียวแน่น ถึงขนาดที่ พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รวบรวมกำลังยังออกปากว่า สำหรับพวกทหารราบนั้นตายแล้วเกิดก็ไม่สามารถดึงมาเป็นกำลังได้

ดังนั้น โฉมหน้าของประวัติศาสตร์ในเช้ามืด 24 มิ.ย.2475 อาจเปลี่ยนเป็นตรงข้ามหากเสือร้าย พล.ต.พระยาเสนาสงครามสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ผบ.พล.1 รอ.ระดมกำลังหน่วยทหารในบังคับบัญชาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารรักษาพระองค์ที่ต้อง"จงรักภักดี และยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า"

การลอบตีที่ศีรษะแล้วยิงซ้ำหากอ่านจากบันทึกของขุนศรีศรากรแล้วก็ดูคล้ายมิได้เกิดจากความตั้งใจ หากบันทึกนี้เป็นจริงเช่นนั้น นั่นก็เป็นเพียงเรื่องของตัวท่านเองเท่านั้น ส่วนคณะที่ร่วมมาด้วยทั้งนักเลงจ้อยและขุนจำนงภูมิเวทย์นั้น ใครประกันได้ว่าไม่มี"วาระซ่อนเร้น"?

ยิ่งมาอ่านคำบอกเล่าของท่านและคุณหญิงจากบันทึกของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุลแล้วก็ยิ่งน่าเชื่อว่า เรื่องนี้น่าจะเจตนาเล่นกันถึงเลือดถึงเนื้อจริง ซึ่งสอดคล้องกับบางตอนของนายหนหวยที่เขียนไว้ว่า"แต่สายที่ไปจับผู้บัญชาการกองพลที่ 1 นี้คงจะต้องมีคำสั่งพิเศษจึงมุ่ง
"เก็บ"กันเลยทั้งตีทั้งยิงไม่ยั้งมือ และใช้นักเลงฆ่าคนที่จ้างเป็นพิเศษจากแปดริ้วมาร่วมปฏิบัติการกับนายทหารในเครื่องแบบ"

นับว่ายังเป็นโชคดีที่แม้จะถูกตีจากนักเลงมือฆ่าแล้วถูกยิงซ้ำอีก 2 นัด แต่ก็แค่ทำให้เสือเจ็บเท่านั้น เพราะกระสุนที่ใช้ยิงนั้นมาจากอาวุธประจำกายนายทหารสมัยนั้นคือบราวนิงก์ขนาด 7.65 มม.จึงแค่บาดเจ็บ ไม่ใช่ .357 หรือ .45 เหมือนอย่างที่มือปืนสมัยนี้เขานิยมใช้กัน

เสือท่านนี้จึงมีโอกาสอาละวาดต่อไป…พร้อมนางสิงห์คุณหญิงของท่าน

เสือร้ายไม่สิ้นลาย
เล่าติดต่อกันมาถึงตอนนี้ ผมก็เกรงว่าจะเป็นการให้ร้ายเสือร้ายอีกท่านหนึ่งคือพระยาทรงสุรเดช คู่อาฆาตของเสือร้าย ผบ.พล.1 รอ.มากเกินไป แต่เท่าที่อ่านจากเอกสารหลายเล่มก็เชื่อได้ว่า ผบ.พล.1 รอ.นั้นเป็นเป้าหมายสำคัญของคณะปฏิวัติอย่างแน่นอน เพราะฝ่ายปฏิวัติแทบจะไม่มีกำลังในมือเลย แผนเหนือเมฆที่พระยาทรงฯกำหนดขึ้นนั้นล้วนเป็นแผนลวงเอากำลังที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาร่วมปฏิวัติทั้งสิ้น ขณะที่ ผบ.พล.1 รอ.นั้นกุมกำลังทหารราบเกือบทั้งหมดในพระนคร และล้วนมีความจงรักภักดี ถ้าไม่หยุดไว้แต่ต้นมือ หากท่านมีโอกาสเข้าบัญชาการต่อหน่วยทหารของท่าน คณะปฏิวัติคงต้องขึ้นศาลในข้อหากบฎกันเป็นแถว

มีบันทึกอีกเรื่องหนึ่งที่สะท้อนถึงความสำคัญของพระยาเสนาสงครามในหนังสือ"ฝากเรื่องราวไว้ให้ลูกหลาน"ของจอมพล ประภาส จารุเสถียร ซึ่งเข้าร่วมปฏิวัติ 2475 ด้วยตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยปีสุดท้าย ท่านเล่าให้ฟังว่าได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบหมู่ปืนกลหนัก 2 กระบอกที่ยังว่างไม่มีใครใช้บนหลังคาพระที่นั่งอนันตสมาคม พอถึงเวลาประมาณ 19.00 น.ของ 24 มิ.ย.2475 ขณะกำลังนอนเล่นอยู่ข้างปืนกลหนัก ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจากบริเวณหน้าพระบรมรูปทรงม้านัดหนึ่งก่อน แล้วตามมาอีก 3 นัด จากนั้นก็มีเสียงยิงกันตลอดแนว โดยไม่รู้ว่าใครยิงกับใคร ท่านก็เลยสั่งให้หมู่ปืนกลหนักในความรับผิดชอบยิงบ้าง ยิงกันสนั่นอยู่พักหนึ่งจึงมีคำสั่งให้หยุดยิง และต่อมารุ่งขึ้นเมื่อมีการสอบสวนก็ได้ความว่า

"นายร้อยโทขุนศรีศรากร (ชะลอ ศรีธนากร) ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปจับนายพลตรีพระยาเสนาสงคราม (ม.ร.ว.อี๋ นพวงศ์) เสนาธิการกองทัพที่ 1 (ที่ถูกต้องคือ ผบ.พล.1 รอ.-บัญชร) เวลานั้นแล้วเกิดยิงกันจนนายพลตรีพระยาเสนาสงครามได้รับบาดเจ็บ ตัวนายร้อยโทขุนศรีศรากรเองด้วยความตื่นเต้นทำให้สติชักจะวิปลาสไปชั่วขณะหนึ่ง ทางกองอำนวยการคณะผู้ก่อการจึงอนุญาตให้ไปปักผ่อนที่บ้านได้

นายร้อยโทขุนศรีศรากรไปพักผ่อนที่บ้านนางเลิ้ง ในตอนเย็นเมื่อรู้สึกตัวว่าหายดีแล้วก็เดินทางกลับมายังพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะทำหน้าที่ต่อไป แต่เนื่องจากนายร้อยโทขุนศรีศรากรไปตั้งแต่ตอนเช้าจึงไม่รู้สัญญาณผ่านซึ่งออกเวลาหลังเที่ยงวันแล้ว เมื่อถูกทหารเรือซึ่งเป็นส่วนคอยระวังเหตุอยู่ข้างหน้าถามสัญญาณผ่านจึงตอบไม่ได้ ทหารเรือจึงทำท่าเตรียมยิงและบรรจุกระสุนเข้าลำกล้อง เสียงของปืนเล็กในเวลาบรรจุกระสุนที่ดังขึ้น ทำให้สติของนายร้อยโทขุนศรีศรากรกลับฟั่นเฟือนต่อไปอีก จึงกระโดดหนีเข้าไปในสวนมิสกวัน ทหารเรือไม่รู้ นึกว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามที่พยายามจะเล็ดลอดเข้ามาจึงใช้ปืนยิงเข้าไป

บังเอิญยิงไป 3 นัดอันไปตรงกับสัญญาณที่กำหนดไว้ว่าเป็นสัญญาณบอกเหตุ ทำให้ทหารในแนวที่สองที่อยู่บริเวณรั้วพระที่นั่งอนันตสมาคมเข้าใจว่าเป็นสัญญาณบอกเหตุว่ามีฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากบุกรุกเข้ามาจึงได้ยิงทั้งๆที่ไม่เห็นตัวฝ่ายตรงข้ามเลย ทำให้พวกที่อยู่ในพระที่
นั่งอนันตสมาคมพลอยยิงตามไปด้วยโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามีฝ่ายตรงข้ามหรือไม่กลายเป็นเรื่องที่ยิงกันใหญ่ถึง 5 นาที สิ้นกระสุนไปหลายหมื่นนัด"

นี่แหละครับฤทธิ์เดชของเสือร้าย พล.1 ละ เล่นเอาคนยิงประสาทรับประทานไปเลย ดังนั้นคงเข้าใจแล้วว่า หากฝ่ายปฏิวัติจะต้อง"เก็บ"ท่านก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ประธานเหมา เจ๋อ ตุง ยังเคยพูดนี่ครับว่า"งานปฏิวัติไม่ใช่งานเย็บปักถักร้อย"..

จากคุณ : Gen.Bunchon
เขียนเมื่อ : วันเนา 53 16:19:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com