Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จำเลยพูดไม่ได้ (คนดีแผ่นดินซ้อง ๒๓)  

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒๓ จำเลยพูดไม่ได้

“ เล่าเซี่ยงชุน ”

เปาบุ้นจิ้นกลับมาถึงบ้านแล้ว เห็นเต๊กเหล็งยังไม่ฟื้นคืนสติ ก็มีความวิตกนัก แต่ก็เห็นว่าซึงคี้มีพิรุธ ในขณะที่แก้ตัวหน้าที่นั่ง จึงใช้อุบายให้คนสนิทชื่อเตียเหล็ง ไปเฝ้าเต็กไทเฮาที่วังน่ำเชงเกง เมื่อถวายคำนับแล้วกราบทูลว่า

“…………เปาเล่งถูให้ข้าพเจ้ามาทูลว่า อยากจะได้สาวใช้คนสนิท ของนาง เตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ ไปไต่ถามความลับในเรื่องที่เต๊กเหล็งถูกฟ้อง ขอให้เนี่ยเนี้ยทรงช่วยเป็นธุระด้วย แต่ต้องปกปิดอย่าให้รู้ถึงหูซึงคี้เป็นอันขาด………”

เต็กไทเฮานั้นตั้งแต่ทรงทราบว่า เต๊กเหล็งผู้เป็นหลานถูกใส่โทษก็ทรงวิตกเป็น อันมาก ครั้นได้ทรงฟังดังนั้นก็ค่อยคลายพระทัย เพราะเชื่อว่าถ้าเปาบุ้นจิ้นเป็นผู้ชำระแล้ว เต๊กเหล็งก็คงพ้นผิด จึงรับสั่งให้ตามตัว นางเอียซีเอ็ง สาวใช้คนสนิทของนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ มาที่วัง โดยอ้างว่ามีธุระจะใช้ ครั้นนางเอียซีเอ็งมาแล้ว ก็มอบตัวให้เตียเหล็งไป เตียเหล็งก็ถวายคำนับลา พานางเอียซีเอ็งไปให้เปาบุ้นจิ้นสอบสวน

เปาบุ้นจิ้นถามชื่อแซ่ นางก็บอกตามจริงและว่า ได้รับใช้กงจู๊มาได้ห้าปีแล้ว เปาบุ้นจิ้นจึงว่า

“……เมื่อคืนนี้กงจู๊มาเข้าฝันบอกแก่เราว่า ให้เรียกตัวเจ้ามาถามดูจะรู้เรื่อง ถ้าเจ้าไม่บอกความตามจริงแล้ว ปีศาจกงจู๊จะมาหักคอเจ้าเสีย เราจึงให้ไปตามตัวเจ้ามา เจ้ารู้อย่างไรจงให้การไปตามความจริงเถิด จะได้แก้แค้นแทนกงจู๊ผู้เป็นนาย……..”

นางเอียซีเอ็งได้ยินเปาบุ้นจิ้นกระทบหลอกเช่นนั้น สำคัญว่าจริงก็ตกใจ คิดว่าความเรื่องนี้ ขืนปิดบังไว้อันตรายก็จะตกอยู่กับตนเอง จึงเล่าความจริงโดยละเอียด มีความว่า

ซึงคี้นั้นมีความพยาบาท คิดทำร้ายเพงไซอ๋องอยู่มิได้ขาด เคยพูดกับนาง เตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ว่า

“……บิดาข้าพเจ้าชื่อซิงชิว เป็นผู้รักษาด่านซำก๋วน เพงไซอ๋องคิดอ่านกำจัดบิดาข้าพเจ้าและพังหองผู้เป็นตา ตั้งแต่อายุข้าพเจ้าพึ่งย่างขึ้นสามขวบ เรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความเจ็บแค้นนัก ถ้าแก้แค้นแทนบิดาไม่ได้ก็หามีความสุขในใจไม่ ถ้ากงจู๊ตั้งใจร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้าพเจ้าจริงแล้ว จงช่วยกันคิดอ่านหาอุบายกำจัดเพงไซอ๋องเสีย ข้าพเจ้าจะไม่ลืมบุญคุณของกงจู๊จนวันตาย.”

นางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ก็ตกใจ เพราะมิรู้เลยว่าซึงคี้เป็นเชื้อสายกังฉิน เพงไซอ๋องนั้นก็เป็นหลานเต็กไทเฮา ซึ่งนางนับถือว่าเป็นย่า นางจึงตอบว่า

“………ถ้าเป็นทุกข์ร้อนอย่างอื่น ข้าพเจ้าพอจะช่วยเหลือ แต่เรื่องที่ให้คิดร้ายแก่เพงไซอ๋องนั้น เห็นจะจนใจอยู่ เพราะเพงไซอ๋องเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดินมาก การที่เพงไซอ๋องกำจัดบิดาท่านและพังหองเสียนั้น ก็เพราะคนทั้งสองคิดประทุษร้ายต่อเพงไซอ๋องก่อน ไหน ๆ การก็ล่วงเลยมานานแล้ว ท่านอย่าคิดวุ่นวายไปเลย จงกลับใจประพฤติแต่การที่ชอบธรรมเถิด…….”

เมื่อกงจู๊ไม่เห็นด้วย ซึงคี้จึงไปคบคิดกับอึ้งซิวขันที ล่อลวงเอาตัวเต๊กเหล็งเข้าไปในตำหนัก และรับรองเป็นอันดี ครั้นสนทนากันอยู่สักครู่หนึ่งเต๊กเหล็งก็ลุกขึ้นจะลาไป ซึงคี้ก็หน่วงเหนี่ยวไว้ขอให้อยู่เสพสุราด้วยกันก่อน พอเต๊กเหล็งเสพสุราได้สามถ้วยก็เมาหลับอยู่บนโต๊ะ เพราะสุรานั้นเป็นสุรายาพิษ ถ้าใครดื่มเข้าไปแล้วต้องนอนหลับไปหลายวัน ซึงคี้จึงอุ้มเอาเต๊กเหล็งเข้าไปนอนอยู่บนเตียงของกงจู๊ แล้วรีบกลับออกมาเสีย

ครั้นนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ กลับจากช่วยงานแซยิดนางเต็กไทเฮา ตอนกลางคืนเมื่อเข้าไปในห้อง เห็นเต๊กเหล็งนอนอยู่บนเตียงก็ตกใจ ออกมาซักถามสาวใช้ได้ความว่า ซึงคี้เป็นคนวางอุบาย นางก็โกรธแค้นใจว่าซึงคี้คิดอุบายใส่ร้ายเต๊กเหล็ง แต่ทำให้นางมีราคีด้วย แต่ไม่สามารถจะถ่ายเทเป็นอย่างอื่นได้ จึงฉวยกระบี่ที่ข้างฝามาเชือดคอตาย โดยพวกสาวใช้แก้ไขไม่ทัน

เมื่อซึงคี้รู้ว่ากงจู๊ฆ่าตัวตายก็ไม่ได้ตกใจ แต่แกล้งกอดนางเตียวเง็กบ๊วยร้องไห้ร่ำรัก และด่าเต๊กเหล็งว่า

“………อ้ายชาติทรยศ กูมีความนับถือเชิญมากินโต๊ะเสพสุราด้วย ควรหรือมาข่มขืนกงจู๊ จนต้องฆ่าตัวตายดังนี้………”

แล้วก็เรียกคนใช้มาช่วยกันจับเต๊กเหล็งมัดไว้ และรีบเข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ฮ่องเต้รีบเสด็จมาทอดพระเนตรศพกงจู๊ เห็นนอนตายอย่างน่าทุเรศก็ทรงพระกันแสง และทรงกริ้วโกรธเต๊กเหล็งยิ่งนัก จึงรับสั่งให้เอาตัวเต๊กเหล็งไปชำระ

นางเอียซีเอ็งย้ำว่านางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊นั้น มีความอายด้วยต้องเป็นภรรยาคนกังฉิน จึงฆ่าตัวตายเสีย เรื่องนี้นอกจากตนแล้วหามีผู้ใดรู้ไม่

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังแล้วก็ซักไซ้ไล่เลียง เอาคำมั่นสัญญาจากนางเอียซีเอ็ง เป็นมั่นเหมาะแล้ว ก็จัดแจงเขียนเรื่องราวกล่าวโทษซึงคี้ ตามคำให้การของนางเอียซีเอ็งเตรียมไว้ รุ่งขึ้นฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ก็เข้าไปถวายคำนับยื่นเรื่องราวถวาย ฮ่องเต้รับไปทอดพระเนตรจบแล้ว ก็ทรงพระพิโรธเป็นอันมาก และรับสั่งว่า

“………เราไม่รู้เลยว่าอ้ายลูกกังฉินมันจะมาทำความเดือดร้อนให้ดังนี้ โทษของมันควรแล้วที่จะประหารชีวิตเสีย การที่เรายกกงจู๊ให้แก่มันนั้น เมื่อเดิมมันก็มิได้บอกให้เรารู้ความจริง ว่ามันเป็นเชื้อสายของอ้ายพวกกังฉิน เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ท่านเป็นผู้ชำระสะสาง ก็จะทำให้หลงลงโทษเต๊กเหล็งเปล่า ๆ ………”

แล้วก็มีรับสั่งให้เรียกตัวนางเอียซีเอ็งมาซักถาม ก็ได้ความต้องกันกับที่เปาบุ้นจิ้น ชี้แจงในเรื่องราวทุกประการ พระเจ้ายินจงทรงขัดเคืองเป็นอันมาก จึงมีรับสั่งให้พนักงานไปจับตัวซึงคี้มาโดยเร็ว แต่อึ้งซิวขันทีผู้ร่วมคิด รู้ข่าวว่าเนื้อความแตกก็ตกใจ เกรงว่าซึงคี้จะเป็นอันตราย จึงแอบไปลักธงอาญาสิทธิ์สำหรับเบิกทาง มาให้ซึงคี้แล้วเล่าเรื่องที่มีรับสั่งลงโทษ ให้ทราบและให้รีบหนีเอาตัวรอดไปก่อน

ซึงคี้ได้ฟังก็ตกใจแทบสิ้นสติ รับธงมาจากอึ้งซิวแล้วก็หนีออกจากวังไปโดยเร็ว เมื่อเจ้าพนักงานมาถึงไม่พบซึงคี้ จึงจับเอาตัวอึ้งซิวไปแทน

ฮ่องเต้ได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานแล้ว ก็ทรงกริ้วโกรธเป็นอันมาก มีรับสั่งให้ขุนนางไปสั่งปิดประตูเมืองเสีย อย่าให้คนเข้าออกได้ อึ้งซิวจึงทูลว่าตนไม่มีความผิดเหตุใดจึงถูกจับมาดังนี้ อันความผิดของซึงคี้นั้นหาได้เกี่ยวข้องกับตนไม่ ฮ่องเต้ได้ฟังก็ทรงพิโรธยิ่งนัก แต่สู้สะกดพระทัยไว้ แล้วตรัสว่า

“………..ตัวเจ้านั้นน่าสงสัยว่าจะร่วมคิดกับซึงคี้ แต่ถ้าเจ้าแก้ให้เต๊กเหล็งฟื้นได้แล้ว เราจะลดหย่อนผ่อนโทษให้…….”

อึ้งซิวได้ฟังก็ดีใจสำคัญว่าจะพ้นโทษ จึงจัดแจงหายามากรอกให้เต๊กเหล็งกิน สักครู่เต๊กเหล็งก็ฟื้นคืนสติ ฮ่องเต้จึงรับสั่งกับอึ้งซิวว่า

“………ความผิดของเจ้าหนักนัก โทษถึงต้องแล่เนื้อเสียจึงจะสม แต่ไหน ๆ เราได้ลั่นปากว่าจะลดโทษให้แล้ว ก็จะไม่ให้เสียวาจา เป็นอันว่ายอมลดโทษทรมานให้ แต่จะให้พ้นความผิดทีเดียวนั้นไม่ได้……..”

แล้วจึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาตัวอึ้งซิน ไปประหารชีวิตเสีย ขณะนั้นขุนนางที่ไปตามรับสั่งให้ปิดประตูเมือง กลับมาทูลว่าซึงคี้มีธงอาญาสิทธิ์เบิกทางออกไปจากเมืองได้แล้ว ผู้รักษาประตูได้ส่งธงนั้น มาถวายให้ทอดพระเนตรเป็นสำคัญ บัดนี้ได้จัดทหารออกไปติดตามแล้ว แต่เกรงว่าจะไม่ทัน

ฮ่องเต้ก็เสียพระทัยแต่มิรู้จะทำอย่างไรจึงนิ่งอยู่ เปาบุ้นจิ้นจึงทูลว่าควรจะให้ช่างเขียนรูปซึงคี้ส่งไปตามหัวเมืองรายทาง ให้รีบจับตัวส่งมาฆ่าเสียให้สิ้นเสี้ยนหนาม ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานเขียนรูป และออกหมายประกาศจับตัวซึงคี้ส่งไปตามหัวเมืองทั่วไป แล้วก็เสด็จขึ้น

เมื่อเพงไซอ๋องกลับไปถึงบ้าน จึงบอกเต๊กเหล็งว่าเปาบุ้นจิ้นมีคุณแก่เจ้าเป็นอันมาก ถ้าไม่ได้ท่านเป็นผู้ชำระความเรื่องนี้ ชีวิตเจ้าคงจะต้องตายเพราะอุบายของพวกกังฉินเป็นมั่นคง เต๊กเหล็งเพิ่งรู้เรื่องโดยตลอดก็ตกใจ แล้วรุ่งขึ้นเพงไซอ๋องก็พาเต๊กเหล็งไปคำนับขอบคุณ เปาบุ้นจิ้นที่บ้าน

ทางฝ่ายเต็กไทเฮาได้ทรงทราบว่าหลายชายพ้นโทษแล้ว ก็ดีพระทัยเป็นอันมาก

ต่อมาไม่นาน ลูเต็งอ๋อง เจ้าเมืองปักฮวนได้มีหนังสือมา ว่าจะยกกองทัพมาตีเมืองเปียนเหลียง โดยให้ พังปิวโฮ้ว บุตรคนที่สี่ของพังหองซึ่งหนีไปอยู่ด้วยเป็นแม่ทัพ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็ทรงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะเห็นประการใด

พวกขุนนางยังมิได้ทูลตอบ เปาบุ้นจิ้นก็ถวายคำแนะนำว่า

“……..การที่ลูเต็งอ๋องกำเริบใจมาท้าทายดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าคงมีคนดีที่เชื่อว่าจะเอาชัยชนะแก่เราได้ น่ากลัวสงครามครั้งนี้จะหนักแรงมากกว่าครั้งก่อน แต่ถ้าพระองค์จะเสด็จเป็นประธานไปในกองทัพด้วยแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะมีชัยชนะ เพราะพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ ไหนเลยข้าศึกจะอาจต่อต้านพระเดชานุภาพได้ อันบุญญาธิการของพระองค์นั้น เสมอด้วยพระอาทิตย์มีรัศมีแรงกล้า อาจปิดบังเสียซึ่งรัศมีแห่งดวงดาวใหญ่น้อยทั้งปวง……..”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็เป็นที่ชอบพระอัธยาศัยยิ่งนัก จึงรับสั่งว่า

“……..กษัตริย์เมื่อครั้งต้นวงศ์ของเราก็เคยเสด็จออกในการทัพศึก เสมอมาทุก ๆ พระองค์ ยังแต่เราหาได้เคยไปไม่ ครั้งนี้เราจะไปให้เห็นประจักษ์แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ตามแบบอย่างกษัตริย์แต่เก่าก่อนบ้าง แต่ยังไม่รู้จะให้ใครเป็นแม่ทัพจึงจะเหมาะแก่การ……”

เปาบุ้นจิ้นจึงกราบทูลว่า

“………ผู้ที่จะเป็นแม่ทัพนั้นนอกจากเพงไซอ๋องแล้วหามีตัวไม่ เพราะเพงไซอ๋องเคยเป็นแม่ทัพมาแต่ครั้ง ศึกเมืองไซหยง และเมืองน่ำหมัน เห็นว่าคงจะสามารถฉลองพระเดชพระคุณและไว้วางพระทัยได้……..”

ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งแต่งตั้งให้เพงไซอ๋องเป็นแม่ทัพ และให้เรียกตัวทหารเสือคู่ใจของเพงไซอ๋องอีกสี่นาย คือ เจียเง็ก เล่าเข่ง เตียตง และหลีหงี ไปในกองทัพด้วย

เมื่อเตรียมไพร่พลศาสตราวุธและเสบียงอาหารพร้อมแล้ว ได้ฤกษ์ดีวันขึ้นสามค่ำ เดือนสาม เพงไซอ๋องก็ประชุมนายทหารและไพร่พลพร้อมกันยังท้องสนาม พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ก็ทูลลาไทเฮา และลาฮองเฮา เสร็จแล้วจึงมอบหมายราชการบ้านเมืองทั้งปวงให้แก่ โลฮวยอ๋อง บุตรของเต็กไทเฮา และตรัสเรียกไทจือมาประทานโอวาทตามสมควร แล้วก็เสด็จไปยังท้องสนาม เสด็จขึ้นประทับรถพระที่นั่ง พอถึงเวลาแม่ทัพก็สั่งให้จุดพลุสัญญาณขึ้นสามครั้ง แล้วเคลื่อนกระบวนทัพออกจากเมืองเปียนเหลียง ออกไปทำสงครามกับเมืองปักฮวน ก่อนที่ข้าศึกจะยกมาถึงเมืองหลวง.

###########

นิตยสารโล่เงิน
ธันวาคม ๒๕๔๗

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 53 06:54:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com