Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เอามาให้อ่านนจ้า ด็อกเอ๋ยด็อกเตอร์ มีแท้โหลเทียมปลอม  

ข่าวจากไทยรัฐค่ะ ไม่ทราบเห็นกันยัง เป็นเรื่องแย่ในสังคมไทย ที่ทำโดย คนที่

(ลวง) ว่ามีการศึกษาระดับสูง อยากให้ม๊อบหมด ให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังกะเรื่อง

พวกนี้เสียที


ดีกรีการศึกษาระดับปริญญาของประเทศไทย วันนี้ไม่เพียงมากล้นด้วยปริมาณของผู้จบปริญญาตรีปีละเกือบครึ่งล้านคน เท่านั้น

ดีกรีการศึกษาขั้นสูงสุดดุษฎีบัณฑิต หรือปริญญาเอก ที่เรียนจบแล้วจะมีอักษรย่อ ดร. ด็อกเตอร์นำหน้าชื่อ-นามสกุล ก็มีคนเรียนจบแต่ละปีมากล้นไม่แพ้กัน

จากเดิมมีเรียนจบกันปีละไม่กี่คน แต่เวลาผ่านพ้นไป สถิติปี 2540 เรียนจบ 135 คน...ปี 2551 มีคนเรียนจบปริญญาเอกมากถึง 1,380 คน...เพิ่มขึ้นเกือบ 1,000%

นี่นับเฉพาะที่เรียนจบจากสถาบันในประเทศไทยเท่านั้น...ยังไม่นับที่จบด็อก เตอร์จากต่างประเทศ

และไม่นับที่ไม่ต้องไปเรียนต่างประเทศ แค่ให้จ่ายครบ จะมีฝรั่งจากไหนไม่รู้ ทำเท่ใส่ครุย 3 ขีด มาเช่าโรงแรมทำพิธีแจกปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้รับกันเห็นๆในเมืองไทยอีกต่างหาก

ด้วยวันนี้มีคนอวดตัวจบด็อกเตอร์มากล้น ราวกับเป็นของโหลที่ใครพอมีเงินสามารถซื้อหากันได้...ทำเอาคนที่อุตส่าห์ ดั้นด้นเรียนจบด็อกเตอร์แต่ดั้งเดิมรู้สึกเขินอาย ไม่กล้าใช้ ดร.นำหน้าชื่อตัวเองกันหลายคน

ดีกรีการศึกษาสูงสุดกำลังเสื่อมค่า กลายเป็นปุจฉา...ด็อกเตอร์ที่มีเกลื่อนก่น จะรู้ได้ยังไง...อย่างไหนที่เรียกว่า เป็นด็อกเตอร์ของแท้ ที่เราพอจะยกย่องได้บ้าง

"ด็อกเตอร์แท้ไม่แท้ ถ้าจะว่ากันตามเป้าหมายของการศึกษา ใบปริญญาเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น คนจะเป็น ดร.ของแท้ต้องดู หลังจากได้ใบปริญญาดุษฎีบัณฑิตแล้ว มีผลงานค้นพบอะไรที่แปลกใหม่ ที่ยังไม่มีใครค้นพบหรือเปล่า นี่ต่างหากที่ยกย่องได้ว่า เป็นผู้มีความรู้ระดับด็อกเตอร์จริงๆ"

ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการพัฒนามหาวิทยาลัย (UDC) ให้ความเห็นในการแยกแยะ

เพราะการเรียนระดับปริญญาตรี ที่มีชื่อปริญญาว่า  BACH ELOR DEGREE ถ้าแปลกันตรงตัว จะได้ความว่า ปริญญาคนโสด

เป้าหมายของปริญญาระดับนี้ก็คือ เรียนให้พอมีความรู้แบบคนโสด ที่ยังไม่มีประสบการณ์ชีวิตอะไรมากมาย

ถ้าจะรู้อะไรให้มากขึ้น ก็ต้องเรียนต่อในระดับปริญญาโท ที่มีชื่อปริญญาเป็นภาษาอังกฤษว่า MASTER DEGREE แปลตรงตัว...ปริญญาหัวหน้าครอบครัว

เป้าหมายของการเรียนปริญญาโทนี้ ดร.โกวิท อธิบายว่า เรียนให้มีความเชี่ยวชาญในระดับที่จบไปแล้ว สามารถไปเป็นครูอาจารย์ที่จะสั่งสอนให้ความรู้คนอื่นได้ เปรียบได้กับหัวหน้าครอบครัวที่มีความรู้ประสบการณ์ สั่งสอนลูกได้นั่นแหละ

"ส่วนปริญญาเอก ที่มีชื่อปริญญาว่า Ph.D หรือ Docter of Philosophy แปลตรงตัวง่ายๆ ก็คือ ผู้รู้แห่งปรัชญา การเรียนในขั้นนี้มีเป้าหมายไม่ใช่แค่ไปสอนคนอื่นได้ แต่เรียนไปเพื่อให้เกิดค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในสาขาวิชาที่ตัวเองเรียน

เรียนจบแล้ว ออกมาทำงานก็ต้องพยายามค้นหาสิ่งใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกตลอดเวลา ไม่ใช่ค้นพบสิ่งใหม่ๆ แค่ขอให้เรียนจบ หลังจากนั้นไม่ค้นหาสิ่งใหม่ๆเพิ่มเติมอีกเลย

วันๆเอาแต่พูดสอนเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ตัวเองจบปริญญาเอกมาหากินอยู่อย่าง เดียว อย่างนี้เขาก็ไม่นับว่า เป็นด็อกเตอร์เหมือนกัน"

นั่นเป็นความหมายเนื้อแท้ของด็อกเตอร์ผู้ทรงความรู้ จะรู้แจ้งเห็นจริงด็อกเตอร์แท้ไม่แท้ต้องดูกันยาวๆ ใช้เวลานานหลายปี...ยากจะประจักษ์ชัดได้ ภายในเร็ววัน

แต่ถ้าจะให้เห็นชัดกันแบบง่ายๆ ดูจากรูปแบบภายนอก...ดูใบปริญญา

"ใบปริญญาเอกจะน่าเชื่อถือแค่ไหน จบจากสถาบันที่ได้รับการยอมรับหรือเปล่า ถ้าจะเอาตามแบบมาตรฐานสหรัฐอเมริกา ต้องดูว่าใบปริญญาเอกนั้นได้มาจากมหาวิทยาลัยที่ สมาคมรับรองวิทยฐานะ แห่งสหรัฐอเมริกา หรือ United States Regional Accrediting Associations ให้การรับรองหรือเปล่า ถ้าจบจากมหาวิทยาลัยที่สมาคมนี้รับรอง ถือว่าโอเค ยอมรับกันได้"

สมาคมรับรองวิทยฐานะนี้เป็นองค์กรอิสระของเอกชน ทำหน้าที่คอยดูแลประเมินผลคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิก ที่ประเมินผลกันตั้งแต่เรื่อง ทรัพยากรของมหาวิทยาลัย มีขนาดเนื้อที่มากแค่ไหน มีงบประมาณมากพอที่จะลงทุนพัฒนาด้านการศึกษา มีเงินทุนพอที่จะจ่ายเงินเดือนจ้างอาจารย์ อัตราส่วนของอาจารย์กับนักศึกษาเป็นอย่างไร  นักศึกษามากกว่าอาจารย์เกินไปหรือเปล่า หลักสูตรการออกข้อสอบตรวจข้อสอบเป็นอย่างไร

อาจารย์สอนนักศึกษาปริญญาเอกเรียนจบปริญญาเอกมาหรือเปล่า ไม่ใช่เอาอาจารย์จบปริญญาโทมาสอนคนเรียนปริญญาเอก

ดูประเมินผลแม้กระทั่งเรื่องห้องสมุด มีหนังสือให้นักศึกษาได้ค้นคว้าหาความรู้มากแค่ไหน ดร.โกวิท ยกตัวอย่าง ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ในห้องสมุดมีหนังสืออยู่ด้วยกันทั้งหมด 15,826,570 เล่ม (Volume)

นับกันเฉพาะหนังสือเล่มใหญ่ยักษ์ ขนาดเอนไซโคลปิเดีย...เล่มขนาดพ็อกเกตบุ๊ก วารสาร นิตยสาร หนังสือ อย่างนี้เขาไม่นับ

"ส่วนจะดูแค่ว่าจบมาจากมหาวิทยาลัยของรัฐหรือเปล่าก็ไม่ได้ เพราะมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานสูง อย่าง ฮาร์วาร์ด เยล เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ศักดิ์ศรีคุณภาพยังสูงกว่ามหาวิทยาลัยของรัฐซะอีก แต่มหาวิทยาลัยของรัฐในสหรัฐฯมีข้อดีตรง มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีคุณภาพอยู่ในระดับกลางไปจนถึงดี

ผิดกับมหาวิทยาลัยเอกชนมีปะปนหลายระดับ ตั้งแต่ดีเลิศลงไปถึงแย่สุด อย่างมหาวิทยาลัยห้องแถวที่ชอบบินมาแจกปริญญาเอกให้พวกเศรษฐีตามโรงแรมใน เมืองไทย"

ยิ่งยุคนี้ด้วยแล้ว ดร.โกวิท บอกว่า การดูแค่ชื่อสถาบัน เป็นมหาวิทยาลัยดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่อดีตหรือเปล่า...ดูชื่อแค่ ผาดๆไม่ได้ ต้องดูให้ละเอียดด้วยว่า ชื่อมหาวิทยาลัยชื่อดังดั้งเดิมนั้น มีอะไรมาต่อท้ายชื่อหรือเปล่า

กรณีแบบนี้ไม่ได้มีเฉพาะในสหรัฐฯ ในอังกฤษที่เศรษฐีไทยนิยมส่งลูกไปเรียนก็มีเหมือนกัน จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง อย่าง OXFORD ต้องดูให้ดีว่า หลังคำว่า OXFORD มีอะไรมาต่อท้าย หรือมีวงเล็บเพิ่มมาหรือเปล่า...ถ้ามีก็ถือว่า ไม่ใช่ของแท้

เพราะโลกวันนี้ การศึกษาได้กลายเป็นธุรกิจค้ากำไร ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาวงการศึกษาในอังกฤษกับออสเตรเลีย มีการเปลี่ยนแปลง...ยกระดับโรงเรียนเทคนิค วิทยาลัยเล็กๆ ขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยกันมาก

คล้ายๆกับบ้านเรานี่แหละ...ซึ่งไม่อยากสรุปว่าฝรั่งก๊อบไทย หรือไทยก๊อบฝรั่งกันแน่

เปิดกันขึ้นมาก็เพื่อหารายได้จากลูกค้า โดยเฉพาะนักศึกษาจากประเทศโลกที่ 3 ที่เห่อใบปริญญาเมืองนอก...เลยทำให้วันนี้มีคนไทยไปเรียนเมืองนอกกันเป็นว่า เล่น

เพราะมหาวิทยาลัยเกิดใหม่เหล่านี้ เข้าง่ายจ่ายครบจบแน่...แต่จบแล้วจะหางานทำได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องที่ต้องลุ้นกัน ถ้าก่อนไปเรียนไม่สอบถามให้ดีว่า เป็นสถาบันที่ ก.พ.ให้การยอมรับหรือเปล่า

สำหรับการเรียนด็อกเตอร์ในบ้านเรา ดร.โกวิท มองว่า เรียนจบจากภาคปกติ ยังเป็นที่ยอมรับกัน...มีศักดิ์ศรีไม่แพ้จบจากต่างประเทศ

เรียนจบจากภาคพิเศษ ค่าเรียนแพงที่แข่งกันเปิดเป็นว่าเล่น ตามห้างก็ยังมี เพราะช่วยให้มหาวิทยาลัยและอาจารย์สอนมีรายได้ดี... ปริญญาเอกแบบนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ

เพราะเรียนจบแล้ว สภามหาวิทยาลัยอนุมัติปริญญาแบบเป็นการภายใน จัดพิธีรับปริญญาเอกแบบลับเฉพาะ...ไม่ให้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรร่วมกับ ปริญญาอย่างอื่น

บางคนจบตรี-โทจากนอก ยอมจ่ายค่าเรียนด็อกเตอร์ภาคพิเศษ 7 แสนบาท ใบปริญญาเอกที่ได้มา เอาไปใช้สมัครงานที่ไหน...ก็ไม่มีหน่วยงานไหนยอมรับ

ศักดิ์ศรีดีกรียังต่ำเตี้ยยิ่งกว่า ใบปริญญาปลอมราคาไม่กี่พันบาท ที่หาซื้อได้แถวถนนข้าวสาร

เพราะถึงจะปลอม แต่ฝรั่งก็สามารถซื้อไปใช้หลอกสมัครเป็นอาจารย์ สอนภาษาในโรงเรียนอินเตอร์ได้ก็แล้วกัน.


โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ วันที่ 21 เมษายน 2553

link http://www.thairath.co.th/today/view/78097

 
 

จากคุณ : bobby_bee
เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 53 10:19:58




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com