ความคิดเห็นที่ 1 สำหรับประวัติของศาลเจ้าแห่งนี้ เล่ากันสืบมาว่า ถูกสร้างโดยชาวจีนซึ่งตามเสด็จพระเจ้าตากสิน มาตั้งถิ่นฐานอยู่ปากคลองบางหลวง โดยสร้างศาลเจ้าไว้สองศาล ใกล้ๆกัน คือ ศาลหนึ่งประดิษฐานเจ้าพ่อโจวซือกง  และอีกศาลหนึ่งประดิษฐานเจ้าพ่อกวนอู เจ้าพ่อกวนอู องค์ใหม่ในศาล จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:36:30

ความคิดเห็นที่ 2 และเมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ชาวจีนได้อพยพย้ายกันไปอยู่ในชุมชนสำเพ็งและตลาดน้อยกันอย่างหนาแน่น เนื่องจากกรุงเทพฯ ได้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ ทำให้บริเวณฝั่งธนบุรีมีผู้คนเบาบางลง ต่างก็ไปกระจุกตัวอยู่ในชุมชนใหม่ และไม่ได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องทำให้ศาลเจ้าทั้งคู่ทรุดโทรมลง จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:38:08

ความคิดเห็นที่ 3 จนเมื่อพุทธศักราช 2368 เป็นปีที่ 2 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เจ้าพระยานิกรบดินทร์ ซึ่งเป็นต้นตระกูลกัลยาณมิตร ได้อุทิศบ้านและซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อสร้างวัดกัลยาณมิตรขึ้นนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับชาวจีนฮกเกี้ยน ตำบลเจียงจิว และจัวจิว ซึ่งเป็นต้นตระกูลของสกุลตันติเวชกุล และ สิมะเสถียร ได้เดินทางมาไหว้ศาลเจ้าทั้งสอง และเห็นว่าทรุดโทรม จึงได้ร่วมมือกันบูรณะก่อสร้างศาลเจ้าใหม่ให้ โดยก่อสร้างเป็นศาลเจ้าเพียงหลังเดียว แต่เมื่อการสร้างศาลเจ้าเสร็จแล้ว ใน พ.ศ. 2391 ได้อัญเชิญเจ้าแม่กวนอิม มาประดิษฐานไว้เป็นองค์ประธาน องค์นี้ถูกอัญเชิญจากศาลเจ้าแชฮุดเต็ง จากประเทศจีน (ส่วนเจ้าพ่อกวนอู และเจ้าพ่อโจวซือกง  ไม่ปรากฏว่าไปไว้ที่ใด) พร้อมระฆังหล่อสำริด และได้สถาปนาชื่อใหม่ว่า “ศาลเจ้าเกียนอันเกง” มีความหมายว่า วังที่สร้างความสงบสุขให้แก่แผ่นดินและผู้มากราบสักการะ และถือว่าตระกูลทั้งสองเป็นชาวฮกเกี้ยนได้ทำการก่อสร้างศาลนี้ ทำให้เป็นศาลเจ้าของชาวฮกเกี้ยนโดยปริยาย รูประฆังที่ถูกหล่อขึ้นจากประเทศจีน ส่งมายังกรุงสยามเพื่อเป้นพยานว่า ศาลเจ้าแห่งนี้ได้สร้างเสร็จแล้ว คือมีอักษรจีนว่าหล่อขึ้นในในฤดูใบไม้ผลิ ปีที่ 25 ในรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 53 06:49:19 จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:44:58

ความคิดเห็นที่ 4 พร้อมกันนี้ได้นำองค์พระประธานของศาลมาด้วย คือ "องค์เจ้าแม่กวนอิม" มาประดิษฐานเป็นองค์ประธาน แห่งศาลเจ้าเกียนอันเกง จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:47:03

ความคิดเห็นที่ 5 หากมองจากฝั่งกรุงเทพ มองไปยังวัดกัลยาณมิตร ในวงกลมแดง คือ พื้นที่ของศาลเจ้าดังกล่าว จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:48:49

ความคิดเห็นที่ 6 หลวงพ่อโต คือ ซำปอกง  ใช่ไหมครับ สงสัยนิดนึง  สุภาพสตรี 3 คน  เป็นภาพบุคคลทั่วไป หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนด้วยหรือเปล่า เทศกาลที่นิยมไหว้ คือเทศกาลอะไรครับ   ส่วนมากการไหว้มักจะอธิษฐานอะไรครับ   ขอถามเยอะข้อหน่อยนะครับ จากคุณ : techkon_d เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:52:43

ความคิดเห็นที่ 7 มาดูลำดับการพัฒนาของพื้นที่บริเวณกุฎีจีน ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มจากแผนที่กรุงเทพ เมื่อ พ.ศ. 2367 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะสร้างวัดกัลยาฯ และยังมีสองศาลเจ้าอยู่ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:53:07

ความคิดเห็นที่ 8 ต่อมาเป็นแผนที่ พ.ศ. 2397 อันเป็นเวลาที่ศาลแห่งนี้ สร้างเสร็จแล้ว จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:54:38

ความคิดเห็นที่ 9 แผนที่เมื่อ พ.ศ. 2439 เห็นศาลชัดเจน ริมคลองติดกับวัด จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:56:51

ความคิดเห็นที่ 10 มาใน พ.ศ. 2553 ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม ทำให้เราได้เห็นภาพในมุมองต่างๆ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:57:56

ความคิดเห็นที่ 11 กลับมาชมศาลเจ้ากันต่อ ศาลเจ้าแห่งนี้มีศิลปกรรมจีน ชิ้นเอกอยู่หลายอย่าง สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือ งานแกะสลักไม้ และงานตุ๊กตาประดับผนัง จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 20:59:50

ความคิดเห็นที่ 12 ปากประตูทางเข้าศาลเจ้า ด้านบนเป็นงานไม้แกะสลักฝีมือชั้นเทพ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:00:43

ความคิดเห็นที่ 13 ภายในศาล สงบ ขรึม น่าศรัทธา เลื่อมใส จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:01:48

ความคิดเห็นที่ 14 18 เซียน ก็มีให้กราบสักการะบูชาด้วย จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:03:55

ความคิดเห็นที่ 15 หลังจากชื่นชมศาลเจ้าเกียนอันเกง แล้วก็เดินไปซื้อของขึ้นชื่อประจำย่านนี้กันครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:05:26

ความคิดเห็นที่ 16 ขนมฝรั่งกุฎีจีน ครับ ซึ่งคำว่ากุฎี ก็คือวัดนั่นเอง หมายถึง ศาลเจ้าเกียนอันเกง ... นั่นเอง และขนมเป็นของชาวโปรตุเกสตำรับไทยๆ ครับ เป็นขนมอบแบบโบราณ คือ ใช้ความร้อนผิงบน และล่างของขนม ตัวขนมใส่ไข่ ซึ่งตำรับขนมไทยไม่ใส่ไข่ มีการตกแต่งหน้าด้วยฟักเชื่อม ลูกเกต และโรยน้ำตาล กินกับน้ำชาจีนร้อนๆ เข้ากันได้ดี จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:08:38

ความคิดเห็นที่ 17 ใช่ครับ คุณ techkon_d .. ซำปอกง ก็เรียกกันครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 53 21:27:00

ความคิดเห็นที่ 18 ดูสงบน่าไปเที่ยวชมจังนะครับคุณหนุ่มฯ จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 00:23:07

ความคิดเห็นที่ 19 ข้อมูลที่ลอกต่อๆกันมา ที่จขกท. นำมาแสดงนั้นมีปัญหา ดูเหมือน รูประฆัง ใน คห.3 ระบุรัชสมัยว่า เป็น “ เต้ากวง ” นะครับ และถ้าจำไม่ผิด ระฆังนี้เขาจารึกว่าถวาย แชหุ่งเต้ง แชฮุ้ง หรือเมฆเขียว หมายถึงสวรรค์ชั้นฟ้าระดับสูง ตามคติเต๋า ส่วนภาพใน คห.14 เป็น 18 อรหันต์(ความเชื่อของพุทธฝ่ายอาจารยวาท) ไม่ใช่เซียนในคติเต๋า ... แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 53 01:18:43 แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 53 01:10:45 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 01:04:21

ความคิดเห็นที่ 20 ชอบหน้าบันศาลเจ้าครับ สุดยอดจริงๆ หมดจดงดงามอ่อนช้อยเป็นยิ่งนัก ขนมฝรั่งกุฎีจีน ก็น่าเอามากินแกล้มชา เป็นยิ่งนัก แฮ่ะๆๆ จากคุณ : น้ำค้างหยกเก้าบุปผา (Jade Dew) เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 01:36:55

ความคิดเห็นที่ 21 ข้อมูลที่ลอกต่อๆกันมา ที่จขกท. นำมาแสดงนั้นมีปัญหา ** ไม่มีปัญหาหรอกครับ พิมพ์ผิดเองครับ แก้ไขเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 06:50:56

ความคิดเห็นที่ 22 คคห ๑ แล้วเจ้าพ่อกวนอูองค์เก่าไปไหนแล้วครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 07:55:37

ความคิดเห็นที่ 23 恩很好 จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 08:11:17

ความคิดเห็นที่ 24 ศาลเจ้าเกียนอันเกงสวยงามมากค่ะ จากคุณ : Noshka เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 08:41:42

ความคิดเห็นที่ 25 งดงาม ทรงคุณค่ามากครับ จากคุณ : jin leng เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 08:46:51

ความคิดเห็นที่ 26 เส้นทางนี้เลียบแม่น้ำเจ้าพระยา น่าเดินเล่น  บางที่มีฝรั่งปั่นจักรยานเที่ยวด้วย เส้นนี้เริ่มตั้งแต่ วัดหลวงพ่อโต ศาลเกียนอันเกง วัดซางตาครู้ส จนสิ้นสุดที่สะพานพุทธ ทุกที่มีประวัติศาสตร์น่าเที่ยวน่าศึกษา ถ้าเลือกผมเป็นผู้ว่าสมัยหน้า  จะทำทางต่อไปศาลเจ้าพ่อกวนอู  ที่ประทับเดิมของสมเด็จย่า อีกด้านก็จะทำไปถึงพระราชวังเดิม อย่าลืมเลือกผมนะครับ ใน "สาส์นสมเด็จ" สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสไว้ว่า                   ....ที่เรียกกุฎีจีนนั้น มีตัวกุฎีจริง และเป็นของสำคัญในทางโบราณคดี ด้วยหม่อมฉันก็เผอิญไปรู้เห็นโดยมิได้คาดคิด ครั้งหนึ่งหม่อมฉันรับเชิญไปช่วยงานหล่อระฆังใหญ่ที่วัดกัลยาณมิตร กระบวนงานออกจะยุ่ง ต้องคอยอยู่นานกว่าชั่วโมง หม่อมฉันจึงไปเที่ยวเดินดูวัดกัลยาณมิตร ไปถึงเขตวัดทางด้านใต้ริมคลองกุฎีจีน แลดูข้ามฟากคลองไปสักสองเส้นยังบริบูรณ์ดี ดูเหมือนจะยังมีผู้คนนับถือ หม่อมฉันถามคนที่ไปด้วยว่านั่นศาลอะไร เขาเรียกว่า ศาลเจ้ากุฎีจีน ได้คิดก็ “หูผึ่ง” ด้วยรู้ว่าศาลเจ้านั้น พวกจีนคงสร้างแต่เมื่อที่ตรงนั้นเป็นแหลมแม่น้ำเลี้ยว เหมือนชอบสร้างในที่อื่นๆเช่นเดียวกัน คือ สร้างเมื่อสายแม่น้ำเจ้าพระยายังไปทางคลองบางกอกใหญ่ เวลาที่ตรงวัดกัลยาณมิตรยังเป็นแม่น้ำในสมัยแรกหรือก่อนขุดคลองลัดบางกอก ครั้งรัชกาลสมเด็จพระชัยราชาธิราช คลองกุฎีจีนเป็นแนวฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยนั้น แต่ตรงที่สร้างวัดกัลยาณมิตรเห็นจะตื้นเขินจนเกิดคลองกุฎีจีนมาแต่ในปลาย สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรี ตั้งเมืองธนฯเป็นราชธานี รวบรวมผู้คนที่แตกฉานกระจัดกระจายให้มาอยู่ที่กรุงธนฯจึงโปรดให้พวกจีนชาว พระนครศรีอยุธยา มาตั้งบ้านเรือนอยู่เหนือข้างคลองกุฎีจีนตรงที่วัดกัลยาณมมิตร เจ้าสัวมันบิดาเจ้าพระยานิกรบดินทร์ มาอยู่ที่นั่นและเจ้าพระยานิกรบดินทร์เกิดที่นั่นจึงเป็นเหตุที่สร้างวัด กัลยาณมิตรเมื่อรัชกาลที่ 3 ท่านก๋งของเราก็มาอยู่ที่นั่นแต่อยู่แพจอดตรงที่ทูลกระหม่อมทรงสร้างหอไตร วัดกัลยาณมิตร ส่วนฝรั่งเชื้อสายโปรตุเกสที่เคยอยู่ ณ พระนครศรีอยุธยาก็ให้รวมกันตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำใต้กุฎีจีนต่อลงไป จึงเรียกว่า ฝรั่งกุฎีจีน.... ไปเที่ยววัดกัลยาณมิตร  ศาลเจ้าเกียนอันเก๋ง  แล้วอย่าลืมวัดซางตาครู้สนะครับ  หน้าวัดมีก๋วยเตี๋ยวสูตรโบราณ  นั่งกินรับลมเย็นๆ จากเจ้าพระยา  ได้บรรยากาศดีครับ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 53 10:26:07 จากคุณ : กัมม์ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 10:06:32

ความคิดเห็นที่ 27 ศาลเจ้ากวนอูเลยไปอีกนิดหนึ่งครับ ตรงนี้น่าจะมีรูปเจ้ากวนอูที่พี่หมอถามถึงครับ ปั่น ไปชม "มนต์เสน่ห์แห่งคลองสาน" กับชมรมจักรยาน TCC http://www.oknation.net/blog/print.php?id=298456                         ..... "ศาลเจ้ากวนอู" เป็นศาลเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมากว่า 268 ปี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในชุมชมสมเด็จย่าใกล้กับสวนสมเด็จย่า หลังวัดอนงคารามย่านคลองสาน ฝั่งธนบุรี ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ในเก๋งศาลเจ้ากวนอู มีเจ้าพ่อกวนอูอยู่ด้วยกัน 3 องค์ องค์เล็กสุดเป็นองค์แรกที่เข้ามาในประเทศไทยราวปี พ.ศ. 2279 ตรงกับสมัยพระ เจ้าเฉินหลงฮ่องเต้ จักรพรรดิราชวงศ์ชิง โดยชาวจีนฮกเกี้ยนได้อัญเชิญมาจากมณฑลฮกเกี้ยนโดยทางเรือ มาประทับอยู่ในเก๋ง ซึ่งแต่เดิมเป็นเก๋งเล็กๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2345 ตรงกับสมัยพระเจ้าเจียชิงฮ่องเต้ จักรพรรดิราชวงศ์ชิง ได้มีผู้อัญเชิญเจ้าพ่อกวนอูองค์กลางมาเพิ่มอีกองค์หนึ่ง พร้อมติดป้ายชื่อเก๋งว่า "กวง ตี่ กู เมียว" และต่อมาในปี พ.ศ. 2365 ตรงกับสมัยพระเจ้าเต๋ากวงฮ่องเต้ จักรพรรดิราชวงศ์ชิง มีเจ้าสัวชื่อ "นายคงเส็ง" ได้บูรณะเก๋งแห่งนี้ให้ใหญ่ขึ้น และได้อัญเชิญเจ้าพ่อกวนอูองค์ที่สามมาประทับร่วมกันในเก๋งรวมเป็นสามองค์ พร้อมสร้างระฆังไว้หนึ่งใบ ..... ขี่ป้ามาร์ธา พาเพื่อนเที่ยว http://www.oknation.net/blog/print.php?id=497721 แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 53 10:25:38 จากคุณ : กัมม์ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 10:18:15

ความคิดเห็นที่ 28 คุณกัมม์ ลิงค์ใน คคห ๒๗ มันเข้าไม่ได้ครับ ผมจะสนใจศาลเจ้าที่เป็นของฮกเกี้ยน โดยเฉพาะที่มีกวนอูเป็นพิเศษครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 10:48:40

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากๆครับผม แถวนั้นสมัยเด็กๆผมตามน้าชายไปตกปลาริมน้ำบ่อยๆ หุหุ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 16:17:49

ความคิดเห็นที่ 30 โอยยยย ขนมน่ากินคร้าบ จากคุณ : เหมียวออก้า (orcahappy) เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 16:32:25

ความคิดเห็นที่ 31 เคยไปศาลเจ้าเกียนอันเกงครั้งหนึ่ง ประทับใจสถานที่ โดยเฉพาะงานไม้แกะสลักที่สวยงาม เสียดายที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในได้ เดินเลียบเจ้าพระจากวัดกัลยาณมิตรไปจะผ่านเรือนเก่าหลังหนี่ง ที่สวยงามมาก(ตอนนั้นกำลังบูรณะอยู่) พยายามหาขนมฝรั่งกุฎีจีนแต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเลยไม่ได้กินสักที จากคุณ : ดอกนางแย้ม เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 17:40:13

ความคิดเห็นที่ 32 น่าไปเที่ยวจังเลยครับ ๆ คุณหนุ่มรัตนะ จากคุณ : อุบาสกฉางชุน เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 20:57:20

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณค่ะที่แนะนำ ไว้วันหลังต้องแวะเวียนไปบ้าง จากคุณ : หรงเออร์ เขียนเมื่อ : 4 พ.ค. 53 23:43:04

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณมากครับ ไปไหว้ซำปอกงบ่อยมาก แต่ไม่เคยไปไหว้ศาลนี้เลยครับ   ถ้าไปต้องแวะไปไหว้ครับ จากคุณ : BIZZARE เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 53 02:21:27

ความคิดเห็นที่ 35   ฝีมือแกะสลัก..ขั้นเทพจริงๆ...อยากเห็นแบบใกล้กว่านี้ ขนมก็น่าทาน....ขอตัวไปซับน้ำลายก่อน.... จากคุณ : กาปอมซ่า เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 53 13:35:09

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามาแบบเสียดาย จำได้ว่าช่วงตรุษจีนปีนึง เคยพยายามหาวัดจีนของชาวฮกเกี้ยวแถวเยาวราช จำได้ว่าน่าจะมีอยู่วัดนึง เพราะพิธีกรในปีนั้นได้กล่าวถึง แต่ฟังไม่ทัน เลยพลาดการชมไปอย่างน่าเสียดาย ท้ายสุดแล้ว มีศาลเจ้าของชาวฮกเกี้ยวอยู่ใกล้จมูกเท่านั้นเอง(พี่ชายเราพักอยู่แถวคลองสาน)...ขอกลับไปเยียวยา รักษาใจ ไปกรุงเทพ ครั้งหน้าจะไม่พลาด ปล.วันก่อนดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง มีครอบครัวของคุณอ่ำ อมรินทร์ นิติพนดำเนินรายการ ได้พาไปชมแถวชุมชนนี้ โดยพาไปดูขั้นตอนทำขนมกฎีจีน ซึ่งมีการพัฒนาการการทำ น่าสนใจมากๆเลย ขอบคุณคุณหนุ่มรัตนะที่นำมาฝาก ยังไงรอทานก๋วยเตี๋ยวนะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 53 17:50:04

ความคิดเห็นที่ 37 สมัยก่อนผมจำได้ว่าแถวนั้นคึกคักมากๆครับ โดยเฉพาะบริเวณเชิงสะพานพุทธ เพราะมีชุมชนขนาดใหญ่อย่างตลาดพญาไม้, ตลาดวงเวียนเล็ก และเป็นจุดที่มีเรือจากปากคลองตลาดข้ามมาแวะพักกันมากมาย แต่พอปี 2521-22 เริ่มมีการเวรคืนที่ดินข้างๆสะพานพุทธเพื่อสร้างสะพานพระปกเกล้า ชุมชนแถวนั้นก็ต้องย้ายครัวเรือนออกไปเป็นจำนวนมากครับ ทำให้เงียบเหงาลงมากๆเลย จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 53 09:56:10

ความคิดเห็นที่ 38 ุ่ถ่ายภาพได้ด้วย เก่งจริงๆครับ ภายในสวยมาก ถ้าใครชอบไม้แกะสลัก นั่งดูทั้งวันก็ไม่เบื่อ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 53 18:47:55

ความคิดเห็นที่ 39 แปลกใจที่ จขกท. สามารถถ่ายรูปมาลงได้ เพราะคนดูแลศาลเจ้านี้หวงนักหวงหนากับการที่ใครจะไปถ่ายรูป แม้แต่ไปยืนบันทึก คัด วาด เขาก็จะมาซักและห้ามปราม ปกติเพื่อป้องกันไม่ให้ใครไปลอบถ่ายภาพ ศาลเจ้านี้จึงไม่ใคร่เปิดไฟสว่างไสวอย่างศาลเจ้าอื่นๆ ไปเมื่อไหร่ ศาลเจ้าก็มักจะมีบรรยากาศมืดๆทึมๆ อย่างที่เห็นในฉากหลังของภาพใน คห.15 เคยพาลูกๆไป ก็ไม่มีใครอยากอยู่ดู  พาเพื่อนต่างชาติไปก็ไม่เคยมีใครประทับใจ เคยไปศาลนี้กับกลุ่มศึกษาเรื่องจีนที่ระวังไม่ถ่ายรูปที่เขาหวงนักหวงหนา แต่ใครคนหนึ่งหยิบกล้องส่องทางไกลมาส่องดูภาพวาดที่ผนัง เพราะเขากั้นรั้วไว้แต่ไกล คนดูแลก็วิ่งเข้ามาห้าม สุดท้ายก็เลยกลับด้วยความเซ็งประทับใจ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ค. 53 01:31:59 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 53 01:30:41

ความคิดเห็นที่ 40 เหตุดังกล่าว ผู้รู้หลายๆคนที่ผมเคารพนับถือ จึงปฏิเสธที่จะไปทำการศึกษาอะไรที่ศาลเจ้านี้ เนื้อหาสาระหรือรูปภาพที่เกี่ยวกับศาลเจ้านี้ส่วนใหญ่เป็นเอกสาร หรือรูปที่ทางศาลเจ้าจัดทำและจ่ายแจกกับบุคคลที่ท่านพิจารณาแล้วว่าจะช่วยเผยแพร่เล่าเรื่องของศาลเจ้าอย่างได้ผลทาง.... ดังนั้นเนื้อหาที่พบตามเวป บล๊อก หรือเอกสารตีพิมพ์จึงมีเนื้อหาที่เหมือนๆกัน และเป็นสาระที่ผมเรียกมันว่า  “ สาระมีปัญหา ” จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 53 01:37:10

ความคิดเห็นที่ 41 จาก คห.3 ...ระฆังที่ถูกหล่อขึ้นจากประเทศจีน ส่งมายังกรุงสยามเพื่อเป็นพยานว่า ศาลเจ้าแห่งนี้ได้สร้างเสร็จแล้ว คือมีอักษรจีนว่าหล่อขึ้นในในฤดูใบไม้ผลิ ปีที่ 25 ในรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง ... จากภาพ ถามหน่อยเถิด ท่านนับปีที่ 25 ยังไง ส่วนไหนที่บอกว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 08:20:59 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 53 01:43:48

ความคิดเห็นที่ 42 บันทึก ปวศ.แจ้งว่า ‘จักรพรรดิเต้ากวง’ สืบราชสมบัติต่อจาก ‘จักรพรรดิเจียชิ่ง’ ที่สวรรคตใน คศ.1820 แต่การนับศักราชเต้ากวงเขาเริ่มนับหนึ่งในปี คศ. 1821 ตรงกับ การนับปีศักราชจีนโบราณปี  辛巳 หรือ  道 光 辛 巳 (年) และหากนับต่อไปตามลำดับก็จะเป็น 辛巳 壬午 癸未 甲申 乙酉 丙戌 丁亥 戊子 己丑 庚寅 辛卯 壬辰 癸巳 甲午 乙未 丙申 丁酉 戊戌 己亥 庚子 辛丑 壬寅 癸卯 甲辰 乙巳 丙午 丁未 戊申 เต้ากวงปี  道 光 戊 申 ตามที่ปรากฏในระฆัง จึงเป็นปีรัชกาลเต้ากวงที่ 28 ทั้งในข้อมูลที่ปรากฏบนระฆังนั้นก็หาได้มีส่วนใดแจ้งบอก ถึงฤดูใดใดอย่างที่แจ้งใน คห.3 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 53 23:07:30

ความคิดเห็นที่ 43 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 08:21:41 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 53 23:25:21

ความคิดเห็นที่ 44 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 08:22:24 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 53 23:29:48

ความคิดเห็นที่ 45 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 08:23:05 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 53 23:40:41

ความคิดเห็นที่ 46 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 08:24:23 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 08:47:45

ความคิดเห็นที่ 47 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 08:23:50 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 08:49:28

ความคิดเห็นที่ 48 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 08:23:29 จากคุณ : แปลงนาม เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 08:51:25