ความคิดเห็นที่ 1 คงแก้ไขอะไรได้ยาก เนื่องจากระบบการศึกษาไทยมันไม่ได้สอนให้เด็กคิดอยู่แล้วนี่นา มันสอนให้เด็กท่องจำ เวลาไปเรียนก็แบกหนังสืออะไรต่อมิอะไรไปมากมายจนหลังแทบหักตาย เรียนหลายวิชามีแต่ท่องจำไม่ได้สอนให้คิด ที่เรียนหลายวิชามากเกินกว่าจะเชี่ยวชาญอะไรได้จริงๆสักอย่าง มันก็ด้วยเหตุผลอันง่ายๆคือ "หนังสือพวกที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในโรงเรียน ส่วนใหญ่คนที่จัดพิมพ์หนังสือยัดเงินใต้โต๊ะให้คนในวงการศึกษาิอนุมัติ" เด็กก็เลยต้องรับกรรมเรียนเรื่องอะไรที่ไร้สาระรกสมองมากมาย ไม่มีทางเลือกว่าอยากจะเรียนอะไร โตมาก็โง่ และปกครองง่าย สิทธิมนุษยชนของชาวไทยถูกละเมิดมาตั้งแต่มีชีวิตวันแรกเกิดไปจนถึงวันตายมาหลายชั่วคนแล้ว ถ้าอยากให้ประเทศชาติก้าวหน้าผู้่คนในสังคมควรให้การยกย่องคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนหรือในมหาลัยแต่คิดเองเป็นบ้าง ดังเช่นในอเมริกาเขายกย่อง Thomas Edison ว่าเป็นอัฉริยะทั้งๆที่ Thomas Edison ไม่ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียน (เคยเรียนที่โรงเรียนแค่ไม่กี่เดือนแล้วมีปัญหาสมองสับสน แม่เลยสอนเองที่บ้าน) แล้วเขาก็ไม่ได้เรียนมหาลัยด้วย แต่คิดเองเป็นค้นคว้าเองเป็น ไม่ต้องไปแข่งขันแย่งกันเรียนปริญญาโทปริญญาเอกแล้วจ้างคนเขียนวิทยานิพนธ์หรือดุษฎีนิพนธ์เหมือนคนไทยเป็นจำนวนมากที่เรียนไม่เก่งแต่อยากได้วุฒิการศึกษาสูงๆมาสมัครงาน เนื่องจากสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานหรือบริษัทห้างร้านต่างๆส่วนใหญ่มีข้อกำหนดว่า "ค่าของคนอยู่ที่กระดาษแสดงวุฒิการศึกษาสูงๆ ไม่ได้อยู่ที่ผลงานหรือความสามารถที่แท้จริง" ผลก็คือ คนไทยเป็นจำนวนมากที่คิดไม่เป็น แต่มีวุฒิการศึกษาสูงๆพวกนี้ นั่นแหละ ที่เข้ามาบริหารงานระดับบิ๊กๆ ใช้ระบบเส้นสายพวกพ้องเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับกลุ่มผลประโยชน์ของตนเอง จนประเทศชาติเจริญลง ไปเรื่อยๆ ถึงขั้นแทบจะล่มจมอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 53 08:28:27 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 08:22:32

ความคิดเห็นที่ 2 ครูก็ยังเป็นคนธรรมดา เป็นปุถุชน เมื่อเป็นปุถุชนก็ย่อมยังมีอคติได้เหมือนปุถุชนอื่นๆ ไม่เว้นว่าใคร รวมทั้งอคติทางการเมือง ครูเป็นอย่างไรก็คงพยายามถ่ายทอดให้ลูกศิษย์เป็นอย่างนั้น คงหลีกไม่ได้ กระบวนการเรียนการสอนนั้นมุ่งเปลี่ยนคน เปลี่ยนจากไม่รู้เป็นรู้ เปลี่ยนจากทำไม่เป็นให้เกิดความชำนิชำนาญ และเปลี่ยนความชอบหรือไม่ชอบ ที่เจ้าของกระทู้กังวลคงเป็นประการหลัง ที่เรียกว่าการเปลี่ยนในเจตคติพิสัย เรื่องการมีอคติของครูนั้นคงหลีกไม่ได้เพราะความเป็นปุถุชนของครู แต่อย่าลืมว่าการเปลี่ยนคนนั้นไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากที่บ้านของเด็กมีอคติหรือมีระบบความเชื่อที่ต่างกับครู หากทั้งบ้านและโรงเรียนเห็นเหมือนกัน ก็คงช่วยไม่ได้ที่ระบบความคิดความเชื่อของเด็กจะเป็นอย่างนั้น หากบ้านและโรงเรียนเห็นต่างกัน เด็กก็คงได้มุมมองที่ต่างกัน ผมว่าดีออก จะได้คิดเป็น จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 08:26:24

ความคิดเห็นที่ 3 ผ่านมาพอดี ครูแบบนั้นคงมีไม่มากหรอกจ้ะ เราก็เป็นครูแต่ไม่เคยเอาการเมืองมาใส่หัวเด็ก แต่มีมากที่สุดคือเรื่องรักในหลวง จะย้ำ และให้ดูพระองค์เป็นตัวอย่าง ตัวเองก็พยายามเดินตามแนวทางของพระองค์ท่าน นี่คงไม่ผิดนะ จากคุณ : ครูแกง (skhonchom) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 11:22:01

ความคิดเห็นที่ 4   ตอนผมอยู่ ม.3 เจอครูสองคน คนหนึ่งบอก ถ้าไม่มีทักษิณนี่แย่เลย เค้าช่วยคนจนได้มาก โดยเฉพาะเรื่อง 30 บาท อีกคนหนึ่งบอก ทักษิณมันตัวโกงกิน โกงทุกอย่าง ผมเลยไม่รู้จะเชื่อใครดี *-* ปล.ถ้าจขกท คิดอย่างนั้น พ่อแม่น่าจะมีส่วนยิ่งกว่าครูอีกนะ อย่างพ่อแม่แดง ลูกก็แดง พ่อแม่เหลือง ลูกก็เหลืองอะ ผมเห็นเพื่อนผมหลายครอบครัวล่ะ จากคุณ : Guiman เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 11:33:34

ความคิดเห็นที่ 5 -บางครั้งการที่จะเริ่มให้เด็กคิดเองอาจจะเริ่มต้นจากการที่ตัวครูต้องวิเคราะห์ให้เด็กฟัง ครูได้รับข้อมูล มีข้อมูล มีความคิดเห็นอย่างไร ก็อาจถ่ายทอดเพื่อให้นักเรียนได้คิด แต่ข้อมูลนั้นอาจส่งผลกับการตัดสินใจต่อนักเรียน ในการเลือกที่จะมีความคิดเห็นอย่างไร ใช่หรือไม่ครับ -ครูเองยังเป็นปุถุชน มีอคติ มีอะไรเหมือนกับปุถุชนทั่วไป บางครั้งเมื่อนักเรียนต้องการให้แสดงความห็นว่าครูคิดเห็นเช่นไร ครูเองก็แสดงความคิดเห็นไป พร้อมกับเหตุผล นั่นจึงเป็นปัจจัยส่งผลต่อกระบวนการคิดของเด็ก -สำหรับคำตอบของผมสำหรับคำถามที่คุณว่า คนเป็นครูควรโฆษณาชวนเชื่อเรื่องการเมืองในมุมมองของตนเองหรือ ??? ผมว่าถ้าโฆษณาชวนเชื่อนั้นเป็นการไม่สมควร แต่ถ้าแสดงความเห็นอาจจะเท่าที่ครูท่านนั้นรู้ ก็ไม่แปลกอะไร เด็กมีสิทธิที่จะคิดเอง หากคุณบอกว่าครูทำแบบนั้นจะเป็นการทำให้เด็กไม่รู้จักคิดหรือเปล่า บางครอบครัวเองพ่อแม่ก็ไม่ได้สอนให้เด็กรู้จักคิดนักหรอก "สีนั่นมันเลว อีกสีสิดี" "สีนู่นเลวยังไง อีกสีดียังไงเหรอครับ" "รู้แค่นั้นก็พอ" แนวนี้มีเยอะอยู่ครับ #1 ผมเชื่อว่าระบบอุปถัมหายไปจากเมืองไทยยากและไม่น่าจะหายไปด้วยครับ คุณอาจจะทำอะไรมาด้วยตนเองตลอด จึงคิดแบบนั้น แต่ผมซึ่งเคยได้รับประโยชน์จากระบบอุปถัมอยู่บ้างก็ย่อมจะมีแนวความคิดแตกต่างจากคุณ แม้ครั้งหนึ่งครูได้สอนเรื่องความไม่ดีของระบบอุปถัม ผมก็ไม่ถูกความคิดนั้นครอบงำ เพราะตนเองเคยได้รับประโยชน์จากระบบนั้น แม้จะเล็กๆน้อยๆก็ตามที จะให้ผมลืมสิ่งที่ผมคิดว่าเป็น บุญคุณ ที่ได้รับไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : ไม่รู้-ผมเมา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 15:24:06

ความคิดเห็นที่ 6 เด็กคงไม่ได้เชื่อฟังครูทุกอย่างหรอกค่ะ พ่อแม่น่าจะมีส่วนมากกว่า ยิ่งถ้าโตแล้วก็คงมีความคิดของตัวเอง จากคุณ : thezircon (thezircon) เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 16:27:23

ความคิดเห็นที่ 7 "ค่าของคนอยู่ที่กระดาษแสดงวุฒิการศึกษาสูงๆ ไม่ได้อยู่ที่ผลงานหรือความสามารถที่แท้จริง" (#1...fortuneteller) ผมเห็นด้วยเต็มที่ กับใจความชุดนี้ครับ จะว่าไปแล้วครูเป็นหนึ่งมนุษย์ในวิถีการถูกครอบงำ อิทธิพลวิธีคิด/ปฏิบัติ ราชการไทยยึดความสามารถคนตามใบปริญญา...แย่มาก สมัยหนุ่มผมเคยทำงานข้ามสาขาวิชาชีพกับชาวอเมริกัน เขาให้โอกาส และประเมินที่ผลงานครับ ถึงกับได้รางวัลไปดูงานและท่องเที่ยวกันที่ญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป เมื่อไรประเทศเราจะสร้างความซื่อสัตย์ ให้ความไว้วางใจ แรงจูงใจ กล้าหาญออกนอกกรอบ แทนระบบไม่ไว้วางใจกันในสิทธิความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน ของนายกับลูกน้อง ให้เกียรติเคารพวิจารณญาณ การคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีมเป็นคณะ ชุดกรรมการ ของมนุษย์(ข้าราชการ) ได้ อย่างคู่ขนานไปกับกฏระเบียบราชการ การยึดกฏระเบียบราชการเป็นหลักปกครองแบบไม่ไว้วางใจ มองอีกแง่หนึ่งแสดงว่านายขี้เกียจ สมรรถภาพถดถอย และไม่มีเทคนิคการบริหารจัดการ/การกำกับประเมินผลเสียเลย กฏระเบียบบางเรื่องในระบบราชการ ควรได้รับการปฏิรูป หากนายกฯอภิสิทธิหวังจะทำให้สำเร็จ การพิจารณาผลงานข้าราชการควรดูที่ความสำเร็จของเป้าหมาย ยิ่งกว่ายึดระเบียบกระบวนการขั้นตอนเป็นหลัก ภาคการบริการ/ธนาคารเอกชนมีสาขาทั่วหัวระแหงนับเป็น1,000สาขา ทำไมทำได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ ทั้งที่อยู่ จับต้องกับเงินๆทองๆวันละนับล้านบาท นายคนไทยยึดเอากฏระเบียบเป็นเปลือกหอยปกป้องตัวเอง เมื่อต้องแสดงความรับผิดชอบ ไปดูการเซ็นหนังสือราชการที่เซ็นกันขึ้นไปตามลำดับ จะพบว่า หากมีเรื่อง ลูกน้องล่างสุดที่เสนอความเห็นควร,เห็นชอบ โดนเต็มๆ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 13:18:12 จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:14:17

ความคิดเห็นที่ 8 * แต่อย่าท้อแท้ครับ คนเก่ง หนี ไม่ง้อระบบการศึกษาที่เป็นทางการได้ครับ ๑๐มนุษย์ตัวอย่างชาวอเมริกัน (เมืองไทย น่าจะมีการสำรวจ นำมาอวดกันบ้าง!) http://www.stumbleupon.com/su/1GoBl2/www.time.com/time/specials/packages/article/0,28804,1988080_1988093,00.html/r:t จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:27:32