ความคิดเห็นที่ 1 ที่มา : http://www.apexsiam-square.com/aboutus.asp จุดก่อกำเนิดของโรงภาพยนตร์ ที่ สยามสแควร์ เนื่องจากคุณพิสิฐ ตันสัจจา โชว์แมนคนสำคัญของเมืองไทย ในขณะนั้นหลังจากที่ประสบผลสำเร็จอย่าง มากในการทำโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย จากที่เคยเป็นโรงละครมา เป็นโรงภาพยนตร์ ศาลาเฉลิมไทย ที่ทำรายได้มากมาย เป็นผู้ริเริ่มคนแรก ในการนำเข้าระบบการฉายภาพยนตร์ในแบบ ต่าง ๆ เช่น        - ระบบสามมิติ - ระบบ ทอคค์ - เอ โอ        - ซีเนมาสโคป - ซีเนรามา (เลนส์เดียว)        - 70 ม.ม. - ซีเนรามา ฉายพร้อมกัน 3 เลนส์ จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:37:28

ความคิดเห็นที่ 2 จากความสามารถที่ปรากฏให้เห็นในด้านธุรกิจบันเทิงของคุณพิสิฐ ตันสัจจา จึงทำให้ได้รับการติดต่อจากคุณกอบชัย ซอโสตถิกุล เจ้าของบริษัท เซาท์ อีสเอเซีย ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินบริเวณนี้มาปรับปรุงให้กับจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย โดยบริษัท เซาท์ อีสเอเซีย ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ออกแบบ และก่อสร้างอาคารต่าง ๆ บนที่ดินผืนนี้ คุณพิสิฐ ตันสัจจา มาร่วมด้วยโดยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงภาพยนตร์ทั้งสามโรง ภาพคุณพิสิฐ ตันสัจจา จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:39:14

ความคิดเห็นที่ 3 เดิมแต่แรกตอนเริ่มต้นก่อสร้างใหม่ ๆ บริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ยังไม่มีร้านค้าใดเลย สมัยที่โรงภาพยนตร์โรงแรกเสร็จ ยังต้องส่งปิ่นโตให้กับพนักงานทาน เพราะแถวนี้ไม่มีร้านอาหารเลย จะต้องไปไกลถึงสามย่าน ซึ่งสมัยนั้นกว่าจะถึงสามย่าน ก็ต้องใช้เวลานานมากมีรถเมล์น้อยสาย ไม่ทันที่จะกลับมาทำงาน ตามรอบได้ทันเวลา แสงสว่างรอบ ๆ โรงภาพยนตร์ จะต้องใช้ไฟของโรงภาพยนตร์ ต่อไปใช้ตามที่จอดรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาชมภาพยนตร์รอบค่ำ และสมัยนั้นค่าชมภาพยนตร์ราคาตั้งแต่ 10 บาท 15 บาท สูงสุด 30 บาท โรงภาพยนตร์สยาม 800 ที่นั่ง เปิดฉายเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2509 ด้วยเรื่อง "รถถังประจัญบาน" (BATTLE OF THE BULGE) ของบริษัทภาพยนตร์ วอร์เนอร์ บราเดอร์สฯ นำแสดงโดย เฮนรี่ ฟอนด้า, โรเบิร์ต ชอว์ และเป็นโรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยที่สุด มีบันได้เลื่อนขึ้นลง เป็นแห่งแรก จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:44:49

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน 2511 เปิดโรงภาพยนตร์ลิโด ที่นั่ง 1,000 ที่ ด้วยภาพยนตร์เรื่อง "ศึกเซบาสเตียน" (GAMES FOR SAN SEBASTIAN) ของบริษัท เมโทร โควิลด์ฯจำกัด นำแสดงโดย แอนโธนี่ ควินส์ ฯลฯ และต่อมาวันที่ 31 ธันวาคม 2512 เปิดโรงภาพยนต์ สกาลา จำนวนที่นั่ง 1,000 ที่ด้วยภาพยนตร์เรื่อง "สองสิงห์ตะลุยศึก" นำแสดงโดยจอห์น เวนย์, ร็อค ฮัดสันและ ไท ฮาดีน ฯลฯ เป็นโรงภาพยนตร์ซีเนรามาที่สมบูรณ์ขั้น มาตรฐานโลกแห่งที่ 3 ณ บริเวณศูนย์การค้าแห่งนี้ จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:45:56

ความคิดเห็นที่ 5 โรงภาพยนตร์ "สยาม" เดิมทีเดียว ตั้งใจจะใช้ชื่อว่าโรงภาพยนตร์ "จุฬา" แต่มีผู้ใหญ่คัดค้านเข้าใจว่าจะเป็น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ บอกว่าเป็นชื่อของ พระมหากษัตริย์ และเป็นชื่อของมหาวิทยาลัย ไม่สมควรจะใช้ชื่อเดียวกัน จึงเปลี่ยนเป็น "สยาม" โรงภาพยนตร์ทั้ง 3 โรงนี้ เป็นผู้นำในการจัดฉายภาพยนตร์เพื่อการกุศล โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น รายได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โดยทูลเชิญเสด็จล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินรอบปฐมทัศน์อาทิ เช่น เรื่อง "OLIVER" และเรื่อง "HELLO DOLLY" และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จรอบปฐมทัศน์ รายได้สมทบทุน "ประชาธิปก" ภาพยนตร์เรื่อง "LOST HORIZON" ฯลฯ จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:48:35

ความคิดเห็นที่ 6 ผมเรียนพิเศษที่โรงหนังสยามนี้แต่เด็ก เดินเข้าเดินออกเดินเล่น ยังจำบรรยากาศตอนเป็นเด็กน้อยได้ดี เศร้าใจมาก จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:54:03

ความคิดเห็นที่ 7 การ โฆษณาให้คนรู้จักโรงภาพยนตร์ทั้ง 3 มากขึ้น ทางผู้บริหารโรงภาพยนตร์ ได้จัดพิมพ์หนังสือ ซึ่งเรียกว่า "สูจิบัตร" ข่าวภาพยนตร์ขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2513 เรียกตุลาบันเทิง เพราะในสมัยนั้น จัดว่าเป็นโรงภาพยนตร์ที่โก้ที่สุดในเมืองไทย สูจิบัตรนี้แจกฟรีกับผู้ที่มาดูภาพยนตร์จะมีข้อมูลทุกอย่าง ออกเป็นรายเดือน เล่มใหญ่ มีเนื้อหาสาระมาก เกี่ยวกับภาพยนตร์ และคำว่า "สยามสแควร์" ที่เป็นที่รู้จักกันมาจนทุกวันนี้ มาจากคุณพอใจ ชัยเวฬ เขียนคอลัมน์ ซุบซิบเกี่ยวกับคนบันเทิง และผู้ที่มีชื่อเสียงรู้จักมักคุ้น เขียนเป็นคอลัมน์ "สยามสแควร์" ในหนังสือสูจิบัตร ข่าวภาพยนตร์นี้เอง โดยจะมีผู้มีเกียรติเขียนลงในหนังสือเล่มนี้ อาทิเช่น สันตศิริ หรือครูสงบ สวนสิริ, ประมูล อุณหธูป,วิลาศ มณีวัตร, บัวบาน , สุจิตต์ วงษ์เทศ สายัณห์ แห่ง เดลินิวส์, ขรรค์ชัย บุนปาน, เวทย์ บูรณะ, ประจวบ ทองอุไร ฯลฯ ปล.ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 08:59:58

ความคิดเห็นที่ 8 จากหนังสือแจกฟรี ก็มีจดหมายติชม ขอบคุณ ที่ทางผู้บริหารโรงภาพยนตร์ได้มอบสิ่งดี ๆ ตอบแทนให้กับผู้มาใช้บริการโรงภาพยนตร์ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ สยามสแควร์ ก็ยังคงเป็นความทันสมัย เป็นสีสรรบันเทิงของคนกรุงเทพฯ เป็นสถานที่สำหรับวัยรุ่นพบปะกัน เป็นแหล่งซื้อหาเสื้อผ้าที่นำสมัย อยู่ตลอดระยะเวลา 36 ปี ทุกอย่างยังคงดำเนินไป และคงเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่เหมือนกับแห่งอื่น คือเป็นผู้นำตลอดมา โดยความร่วมมือ ร่วมกันของชาวสยามสแควร์ และรวมถึงการสนับสนุนจากทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:02:56

ความคิดเห็นที่ 9 บัตรสะสมแต้มของ โรงหนัง APEX Point สะสมครบสิบที่นั่งสามารถแลกตั๋วหนังได้หนึ่งใบ ส่วนบัตรที่สะสมครบแล้ว เมื่อสะสมครบสิบใบก็นำมาแลกเป็นตั๋วหนังได้อีกสองใบ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น จะหนังใหม่ หนังทำเงิน สามารถใช้ได้ทั้งนั้นครับ จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:04:42

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพบัตรสะสม point ด้านหลัง Credit : Google.com จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:05:29

ความคิดเห็นที่ 11 ทุกอย่างมีผู้บริหารคิดทำขึ้น ก็เพื่อต้องการให้ผู้รับบริการของเราได้ในสิ่งที่ดี ไม่ถูกการเอาเปรียบ แม้แต่การเลือกภาพยนตร์ในสมัยก่อน จะต้องศึกษาอย่างจริงจัง และล่วงหน้าว่าบริษัทฯไหนมีภาพยนตร์ที่ดี, ใหญ่ ก็จะเซ็นสัญญาล่วงหน้ากันไว้ การที่มีโรงภาพยนตร์หลายโรงก็เพื่อต้องการให้มีความหลากหลาย ไม่เหมือนการจัดหนังในปัจจุบันนี้ทุกโรงฉายเหมือนกันหมด จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:06:34

ความคิดเห็นที่ 12 ศูนย์ การค้าแต่ละแห่งที่ผ่าน ๆ มา ก็จะหยุดหายกันไป ไม่มีใครอยู่ได้นานเท่ากับสยามสแควร์ แห่งนี้ มองจาก โรงภาพยนตร์ทั้ง 3 โรงดังกล่าวข้างต้นนั้นแล้ว จะเห็นความสวยงามกันคนละแบบ เป็นโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ มีความงามในตัวของเขาเอง แม้ 36 ปีล่วงมาแล้ว โรงภาพยนตร์สกาลายังคง ความสวยงามในด้านสถาปัตยกรรม ผสมผสาน ระหว่างตะวันตก และตะวันออก และยังคงเป็นที่กล่าวถึงมาจนทุกวันนี้ ซึ่งผู้บริหารโรงภาพยนตร์มีความภาคภูมิใจมาก แม้มีโรงภาพยนตร์ขึ้นมาอีกมากมาย ก็ไม่สามารถสร้างได้ใหญ่ และสวยเท่า ยิ่งไปกว่านั้นการ ดำเนินงานปรับปรุง และเสริมสิ่งใหม่ ๆ ให้กับโรงภาพยนตร์ทั้ง 3 โรง ในสยามสแควร์นี้ก็เป็นไปอย่างไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศหน้าโรงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของถนนพระราม 1 การติดตั้ง"DOLBY DIGITAL" ที่ได้ติดตั้งก่อนผู้อื่นตามด้วยระบบ SRD DTS SDDS รวมทั้ง SURROUND ที่ติดตั้งก่อนผู้อื่นเช่นกัน และล่าสุดติดตั้ง "OZONE" ให้อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ เพื่อความสุขอีกระดับของผู้ชม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ โรงภาพยนตร์ทั้ง 3 โรงในสยามสแควร์ ยังคงตรองใจในการให้ความสุขครบถ้วน แก่ผู้ชมภาพยนตร์ทุกท่าน ภาพประกอบ : ฉากหนึ่งในโรงหนังสกาลาจากเรื่อง รักแห่งสยาม ***แก้ไขและเพิ่มเติมข้อความ *** ขอบคุณคุณ : surgman  ที่หลังไมค์มาบอกนะครับ จากคุณ surgman เพิ่มเติม ชื่อโรงหนัง เคยอ่านพบว่า แรกจะใช้ชื่อโรงหนังแห่งนี้ว่า Rama ตามชื่อถนนพระรามหนึ่งหน้าโรง และ โรงที่สองให้ชื่อ Sita คู่กันเป็น พระราม สีดา แต่เปลี่ยนใจในที่สุด เป็นโรงแรกที่ยกระดับค่าตั๋วเป็นขั้นละ ๕ บาท โดยเริ่มจาก ๑๐ บาท และสูงสุดที่ ๒๕ บาท ก่อนที่จะปรับเพิ่มขึ้นในเวลาต่อมา แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 53 10:47:38 จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:10:39

ความคิดเห็นที่ 13 แห่งช้อปปิ้ง สยาม   จากความทรงจำของผมจำได้ก็เดินที่แห่งนี้มาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก แม้่กระทั่งจบโทที่จุฬาฯ ก้ยังมาเดินมันทุกวัน ในโรงหนังสยาม และทางเดินหน้าโรงหนังมีของขายเยอะมาก (ดูกันไม่หวาดไม่ไหว) มีอารมณ์ครบทุกอารมณ์ สุข เศร้า เหงา รัก อกหัก (เคยโดนหักอกที่สยามนี่แหละครับ เง้ออT_t)   และหน้าโรงหนังสยามจะมีรถสปอร์ตแบบสวยๆ เท่ห์ๆ มาจอดทุกคืน น่าเสียดายที่โรงหนังในตำนานแห่งนี้ต้องปิดตัวลง แต่คาดหวังว่าจะกลับมาได้อีก จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:17:08

ความคิดเห็นที่ 14 ร่วมรำรึกด้วยอีกแรงครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:20:01

ความคิดเห็นที่ 15 ท่านใดมีข้อมูล หรือประสบการณ์ มาร่วมแชร์กันได้นะครับ จากคุณ : pome2005 เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:22:34

ความคิดเห็นที่ 16 เสียดายมากครับ เคยไปดูหนังที่สยาม ค่าตั๋ว 20 บาท ใน 3 แถวหน้า(ตอนนั้นเป็นักเรียน ไม่มีตัง) จำได้ว่า สยามนี่ส่วนใหญ่ฉายหนังไทย ส่วนลิโด้ และ สกาล่า ฉายหนังฝรั่ง เสียดายมากครับ ....สยาม ถือว่าเป็นโรงหนังอมตะของเมืองไทย เวลาซื้อตั๋ว...การจองที่นั่งยังเป็นกระดาษเลย เวลาจองแล้วก็จะใช้ปากกาขีดฆ่าที่นั่ง แถมเวลาหนังฟอร์มยักษ์เข้า...เช่นหนังของคุณกำธร คัพทันไร (เป็นหนังตลก) ไม่เคยไปซื้อตั๋วได้ทันเลย ถ้าไม่นั่งเก้าอี้เสริม ก็ต้องซื้อตั๋วผี บัตรราคา 20 บาท ก็เป็น 30 บาท แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 53 09:29:52 จากคุณ : เจ้าคุณปู่ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:27:44

ความคิดเห็นที่ 17 ดูหนังเรื่องสุดท้ายที่เมืองไทยเรื่อง หย่าเพราะมีชู้ ที่โรงหนังสยามค่ะ จำได้ว่าตั๋วราคา 20 บาท ต้องนั่งเก้าอี้เสริมเป็นเก้าอี้พับเพราะรอบนั้นคนแน่นมาก 20 เท่าไหร่ปีมาแล้วก็จำไม่ได้แน่ มาเมืองไทยอีกทีเห็นว่าดูหนังที่เมืองไทยเดี๋ยวนี้ค่าตั๋วเป็นร้อยบาทแล้ว พูดถึงโรงหนังลิโด้ก็คิดถึงเรื่อง ขุมทองแมคเคนน่า ค่ะ ตอนที่ฉายที่ลิโด้เป็นหนัง 70 ม.ม. จอ cinemascope เสียงรอบทิศทาง คนดูแน่นเอี๊ยด แทบจะเรียกว่าแย่งกันดู เพลง Old Turkey Buzzard ยังอมตะอยู่เลย แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 53 09:51:19 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 09:49:07

ความคิดเห็นที่ 18 ตั๋วฉีก พนักงานสูงวัยใส่สูทสีเหลือง ไม่มีอีกแล้ว แล้วผมจะไปดูหนังแนวได้อีกที่ไหน... จากคุณ : คนบ้าบิต เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 10:24:22

ความคิดเห็นที่ 19 ยังเคยซื้อตั๋วผีหน้าโรงนี้ประจำ 30 บาทขาย 50 บาท รับไหมคร๊าบ จากคุณ : beebeemom เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 12:29:28

ความคิดเห็นที่ 20 คิดถึงข้าวหน้าไก่ หูฉลาม เป็ดปักกิ่ง จากคุณ : Tanis เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 13:00:45

ความคิดเห็นที่ 21 หนังเรื่อง "ขุมทองแม็คเคนน่า" นี่ถึงในเมืองนอกจะเป็นหนังธรรมดาๆ แต่ในเมืองไทยต้องเรียกว่าดังสุดขีดจริงๆ ละครับ ดังขนาดไหนก็ลองคิดดูแล้วกันว่าทำให้เกิดโรงหนัง "แม็คเคนน่า" ที่เชิงสะพานหัวช้างตรงข้ามโรงแรมเอเชียแล้วกัน (ปัจจุบันกลายเป็นฮอลลีวู้ดคอมเพล็กซ์ไปแล้ว) -------------------------------------------------------------------------- นอกจากตัวโรงหนังทั้งสามแล้ว สมัยก่อนที่สยามสแควร์ ยังเป็นที่ตั้งของร้านหนังสือดีๆ อีกเป็นจำนวนมาก บางร้านก็ยังอยู่มาถึงปัจจุบันอย่างโอเดียน, ดอกหญ้า แต่บางร้านก็หายไปแล้วอย่างประพันธ์สาสน์ DK และบรรณกิจ ร้านหลังนี่สมัยที่หนังกำลังภายในกำลังเฟื่องฟู สนพ. แห่งนี้คือเจ้าพ่อของวงการนิยายกำลังภายในเลยก็ว่าได้ เรียกว่าถ้าใครอยากอ่านนิยายกำลังภายในฉบับแปลของ น.นพรัตน์ ต้องไปที่ร้านบรรณากิจที่ข้างๆ โรงหนังลิโด (ถ้าจำไม่ผิด ร้านบรรณากิจกับ DK จะอยู่ติดกัน ดูเหมือนบรรณากิจจะอยู่ตรงที่เป็นร้านหมึกจีนในปัจจุบัน) สมัยโน้นนิยายกำลังภายในของ น.นพรัตน์ และ ว.ณ.เมืองลุง (คนนี้แปลกับ สนพ.บรรณาคาร) ขายดีสุดๆ จนแปลกันแทบไม่ทัน ถึงขนาดว่าต้องออกเป็นเล่มเล็กๆ หนา 96 หน้า เล่มละ 7 บาท ออกทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ กันเลย เพื่อให้ผู้อ่านที่ติดงอมแงมได้อ่านกันก่อนที่จะลงแดงตาย แล้วถึงค่อยจับมารวมเป็นเล่มใหญ่ปกแข็งอีกที แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 53 13:14:50 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 13:10:12

ความคิดเห็นที่ 22 ประมาณ พ.ศ. 2523 ยุคนั้นนักเรียนชั้น ม.ศ 5 (เทียบเท่า ม.6 ในยุคปัจจุบัน) จะจัดงานแสดงคอนเสิร์ตของวงดนตรีดังๆ เช่น McIntouch หรือ The Bless มาแสดงดนตรี บนเวทีของโรงหนังในย่านนั้น มี สยาม สกาล่า ลิโด้ และแมคแคนน่า (เชิงสะพานหัวช้าง เยื้องๆโรงแรมเอเซีย) ขายบัตรให้เพื่อนนักเรียนโรงเรียนต่างๆ ไปฟังคอนเสิร์ต เต้นระบำกันในโรงหนัง งานเริ่มเช้าตรู่ 06:00 - 10:00 โดยประมาณ พอเลิกจากงานดนตรี ก็เดินสยามสแควร์กันต่อ ไปนั่งร้าน โฮเบอร์เกอร์ เสียดายความยิ่งใหญ่ ของโรงหนังในย่านนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่หนึ่งในประเทศไทย . จากคุณ : J..... เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 15:45:13

ความคิดเห็นที่ 23 คห 22 คงจะอยู่ในรุ่น ๆ เดียวกันแน่เลย เพราะเคยดูคอนเสิร์ตแบบนี้ละ  และจำ โฮเบอร์เกอร์ได้ค่ะ คิดว่า  ที่นี่คงเป็น "อดีตรักวัยเรียน" ของพี่น้องลูกหลานห้องนี้ กันมาทั้งน้านนนนน... จากคุณ : banne เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 16:02:59

ความคิดเห็นที่ 24 จุ๊จุ๊  คุณ banne อย่าเผยไต๋สิครับ เดี๋ยวเขารู้กันหมด . จากคุณ : J..... เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 16:18:30

ความคิดเห็นที่ 25 กระทู้นี้ข้อมูล แต่กระทู้นู้น ความรู้สึกล้วนล้วน ดูด้วยกัน คุยด้วยกัน http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9274774/A9274774.html จากคุณ : คนบ้าบิต เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 19:34:27

ความคิดเห็นที่ 26 อ้าว ร้านดวงกมล ไม่อยู่ตรงนั้นแล้วหรือคะ เมื่อก่อนเคยไปยืนอ่านหนังสือบ่อยๆ หนังสือภาษาอังกฤษสมัยนั้นแพงมาก ต้องไปอ่านที่ร้านค่ะ ไม่มีปัญญาซื้อ เห็น คุณสุข (เจ้าของร้าน) นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะแคชเชียประจำ สมัยนั้นร้านดวงกมลมีร้านนั้นที่เดียว ไม่มีสาขา หลังๆ ต่อมาเห็นมีสาขาอยู่ที่อื่นด้วยหรือยังไงก็ไม่แน่ใจ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 21:42:34

ความคิดเห็นที่ 27 เศร้าครับ จากคุณ : รู้น้อยไปหน่อย เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 23:27:46

ความคิดเห็นที่ 28 เห็นแล้วก็เศร้าใจคับ จากคุณ : ดุริยางคศิลปิน เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 08:24:47

ความคิดเห็นที่ 29 เป็นโรงหนังแห่งแรกที่เราเข้าไปดูหนังกับเพื่อนๆเลยค่ะ คิดถึงจริงๆ จากคุณ : เฉาก๋วยอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 18:19:27

ความคิดเห็นที่ 30 ทั้งสยาม ลิโด สกาลา เป็นโรงมหรสพที่เราชอบ และรักทั้งหมด ด้วยบรรยากาศ และอะไรต่อมิอะไรมันมีสเน่ห์ไปหมด คนที่คิดทำลายได้ก็คือคนที่ไม่รู้จักศิลปะ ไม่รู้จักค่าของวัฒนธรรม เป็นอนารยะชน มิลักขุผีเสื้อห้วย ไม่ได้รักประชาธิปไตยอันใดทั้งนั้น จากคุณ : cybrarian เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 21:18:41

ความคิดเห็นที่ 31 คิดถึงค่ะ ถึงแม้เลยวัยที่จะไปเดินเล่นแถวนั้นมานานแล้วก็ตาม เสียดายค่ะ ที่รุ่นลูกรุ่นหลาน จะไม่มีโรงหนัง "สยาม" ให้เข้าไปอุดหนุนแล้ว จากคุณ : เงือกน้อยกลอยใจ เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 23:55:37

ความคิดเห็นที่ 32 นี่คือรูปโรงหนังสยามที่มีโครงการจะปรับปรุง (ก่อนถูกเผา) ตอนนี้ไม่ทราบจะเอาไงต่อ ref. ภาพจาก skyscrapercity โดยคุณ chad แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 53 09:21:04 จากคุณ : RapidasH เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 09:20:12

ความคิดเห็นที่ 33 สยาม ลิโด สกาลา ทั้ง 3 ที่ไปดูบ่อยมากๆๆๆๆ แทบจะทุกอาทิตย์เลยครับ ของดี ราคาถูก บรรยากาศ ย้อยยุค (มีกลิ่นชื้นหน่อยๆ ) กลับมาเร็วๆนาคร้าบ คุณสยาม จากคุณ : อัสลาน เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 15:48:52

ความคิดเห็นที่ 34 เข้าโรงหนังครั้งแรกก็ที่โรงหนังสยามนี่แหละ จำได้ว่าโรงเรียนพามาดู"ด้วยเกล้า" ตอนมัธยมที่ยังไม่มีเพจ มีเพื่อนนัดดูหนังที่สยาม คนนึงไปรอหน้าสยาม คนนึงไปรอหน้าลิโด รุ่งขึ้นต่างฝ่ายต่างถามว่าอีกคนหายไปไหน จากคุณ : หงสบาท เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 20:53:21

ความคิดเห็นที่ 35 ก๊ากกก คุณ หงสบาท เจอเหตุการณ์คล้ายๆ กับผมเลย ผมนัดเพื่อนไปเจอกันที่ Booking ในโรงหนัง President คนหนึ่งไปรอที่ Booking รอบที่จะดูนั้นเลย อีกคนไปรอที่ Advance Booking แล้วจะเจอกันได้ยังไงหว่า สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือซะด้วย จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 53 06:08:10

ความคิดเห็นที่ 36 นึกถึงสมัยก่อน ตอนอยู่ ตอ. รุ่น 61 สอบเสร็จทีไร โรงหนัง ลิโด เต็มไปด้วยชุดนักเรียน 555 จากคุณ : mohicann เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:26:05