ความคิดเห็นที่ 1 งามสรรพจบปริญญาตรีครุศาสตร์มาค่ะ ไม่ได้เป็นครูมา 9 ปีตั้งแต่เรียนจบ แต่ตอนนี้จะต้องกลับไปเป็นครูแล้วค่ะ คิดว่า จขกท.ต้องเป็นพี่งามสรรพแน่ๆ ขอชื่นชมและนับถือน้ำใจของพี่ที่ทำอาชีพนี้มา 9ปี เรื่องเรียนต่อ ป.โท คงต้องไปสายที่พี่จบ หรือสอนมาค่ะ เช่น คณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีหลักสูตร การสอน..วิชา..  ในโครงสร้างหลักสูตรนั้นพี่ต้องเรียนทฤษฎีหลักสูตรและการสอนอยู่แล้วค่ะ และทำวิจัยลงลึกเน้นไปทางด้านวิชาที่พี่ถนัด ตามชื่อวิชาเอก และเมื่อจบแล้วอยากเรียนปริญญาเอกต่อ ก็สามารถเรียนสาขาวิชาหลักสูตรและการสอนได้ หรือเรียนทางด้านนิเทศการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรได้ จะเน้นเรียนทฤษฎีแบบเต็มๆ และนำทฤษฎีนั้นมาจับเนื้อหา หรือเปรียบเทียบกับหลักสูตรในสถานศึกษา ที่กระทรวงเป็นผู้กำหนด วิเคราะห์ สังเคราะห์ออกมา ซึ่งอาจเกิดทฤษฎีและแนวคิดใหม่ๆได้ค่ะ ที่คณะครุศาสตร์ จุฬา สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน เปิดทั้งแบบ ป.โทควบเอก และ ป.เอกอย่างเดียวค่ะ ส่วนสาขาวิชานิเทศการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรนั้น มี ป.โท อย่างเดียวค่ะ ตามนี้เลยค่ะ http://portal.edu.chula.ac.th/academic/view.php?Page=1243999546337277 ยกตัวอย่างมาให้ที่จุฬาที่เดียวเพราะ ไม่คุ้นกับที่สถ่าบันอื่นๆ เช่น มศว ก็ดีหลายหลักสูตรเลยค่ะ แค่ว่าแต่ละหลักสูตร กศ.ม.ของที่นั่นนั้นกระจายอยู่ตามคณะต่างๆค่ะ เดี๋ยวต้องรอผู้ที่คุ้นเคยหรือเคยเรียนที่อื่นๆมาให้คำตอบเพิ่มเติมนะคะ จากคุณ : งามสรรพ เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 23:41:46

ความคิดเห็นที่ 2 จขกท จบสาขาอะไรครับ จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 23:56:45

ความคิดเห็นที่ 3 เทคโนฯ ค่ะ ถ้าแบบที่คุณอยากเรียนนะค่ะ บางที่จะเรียนว่าโสต ฯ ค่ะ เรียนเกี่ยวกับระบบการเรียนการสือ แล้วก็ทำสือการเรียนการสอน เคยเรียนโท แต่ไม่จบเอาฝั๋วสักก่อน อย่ามาเรียน ป โท มชนะค่ะสาขานี้ จากคุณ : มนชิจัง เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 00:20:49

ความคิดเห็นที่ 4 สอนหนังสืออย่างไร ไม่ให้เด็กเบื่อ ตาม link นี้ครับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nonlimited&month=01-2009&date=13&group=1&gblog=11 เมื่อ นักเรียน มาถามการบ้าน เราจะอธิบายอย่างไร จึงจะเหมาะ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9277539/X9277539.html ครูที่ดีพึงระลึกเสมอว่า หลังจากสอนไปแล้ว นักเรียนควรจะมีพัฒนาการสำคัญ หก ลำดับดังนี้ 1. มีความรู้ ความจำ 2. มีความเข้าใจ 3. สามารถวิเคราะห์ ปัญหาได้ 4. สามารถสังเคราะห์ ความสำคัญของสิ่งต่างๆได้ 5. สามารถนำความรู้ไปประยุกต์หรือต่อยอดได้ 6. สามารถนำความรู้ไปใช้ได้ ในด้านต่างๆ ได้ จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 02:04:04

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีคะ ดิฉันมาบอกข้อมูลเพิ่มเติมคะ ดิฉันจบปริญญาตรี วิทยาศาสตร์มหิดลคะ ตอนนี้ก็สอนวิทย์ โรงเรียนเอกชนคะ ขอบคุณุทุกท่านที่ให้คำแนะนำนะคะ จากคุณ : ให้รักนำทาง (ให้รักนำทาง) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 09:24:53

ความคิดเห็นที่ 6 ขออนุญาตขยายความหน่อยนะครับ(เผื่อมีคนอื่นเข้ามาอ่าน) จริงๆหลังการสอนไปแล้วนร.ควรจะมีพัฒนาสำคัญ 3 ด้านครับ 1. ด้านสติปัญญาหรือพุทธพิสัย (cognitive domain) ซึ่งก็มีหลายทฤษฏีมากครับ แต่ที่นิยมใช้ในบ้านเราคือของ Bloom ครับ และเป็นของแบบเก่าด้วยครับ   มี 6 ขั้นคือ  1.  ความรู้ความจำ                              2.  ความเข้าใจ                              3.  การนำไปใช้                              4.  การวิเคราะห์                              5.  การสังเคราะห์                              6.  การประเมินค่า   นี่เป็นรูปแบบเก่าที่บ้านเรายังใช้กันอยู่ครับ ถือว่าเป็นคลาสสิค ปัจจบันอ.มหาวิทยาลัยสายศึกษาก็ยังใช้สอนกันอยู่  แต่แบบใหม่เค้าจะสลับขั้น 5 กับ 6 และเปลี่ยนเป็นรูปกริยาครับ  ซึ่งเป็นแนวคิดของแอนเดอสัน ลูกศิษย์ของบลูมครับ  สนใจอ่านคร่าวๆเพิ่มเติมได้ http://www.nwlink.com/~donclark/hrd/bloom.html ทีนี้จะมีปัญหาว่า ไหนตอนแรกบอกว่าต้องเป็นขั้น  ต้องเรียงลำดับ แล้วทำไมทฤษฏีใหม่มันสลับ2ขั้นสุดท้ายไปหละ  ที่สอนมาตั้งแต่ปี คศ. 1956 มันผิดเหรอ แล้วถ้าผิดทำไมมันได้ผล...... นั่นแสดงว่าใน 2-3 ขั้นสุดท้ายสามารถสลับได้ครับ แต่ที่แน่ๆ 3 ขั้นแรก (ความรู้ความจำ  เข้าใจ และ  นำไปใช้   ) มันต้องเป็นขั้นครับสลับไม่ได้ ถ้ากดเข้าไปดูจะทราบว่า เวลาสอนเราควรจะให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน หรือที่บอกว่าครบ 3 domain นะครับ 1 Cognitive Domain (กล่าวไปแล้ว) 2 Affective Domain พวกลักษณะนิสัย เจตคติ ทัศนคติครับ 3 Psychomotor Domain พวกทักษะพิสัย ทักษะทางกายครับ 2 ด้านหลังนี้ (Affective Domain และ Psychomotor Domain ) ส่วนใหญ่ก็ยึดของ Bloom กันครับ ซึ่งแต่ละโดเมนก็มีขั้นย่อยอีก เป็นขั้นๆครับ (ไม่ขอกล่าวครับ เพราะผมไม่ได้ใช้ของบลูมครับในด้านทักษะพิสัย)   ทีนี้ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ จะมีเพิ่มเข้ามาอีกครับ คือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อีก 13 ขั้น ของสสวท ซึ่งดัดแปลงจากสมาคมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ AAAS ดังนั้นครูต้องนำมาปรับใช้กับ 3 โดเมนนี้อีกครับ ทีนี้มันมีปัญหาอีกครับว่าครูส่วนใหญ่ไปเน้นสอนเด็กด้านเดียว ก็คือด้านพุทธพิสัยหรือด้านสติปัญญา  เน้นความคิด ความอ่าน เน้นทางด้านสมอง  แต่ลืมเน้นคุณลักษณะ ทัศนคติ ทักษะทางกายต่างๆ เช่น  เก่งวิทย์ วิเคราะห์ได้ แต่พอให้ทำเลปกลับง่อย ทำได้ไม่ดี   หรือเรียนเก่ง แต่มีทัศนคติไม่ดีในบางเรื่อง   หลักสูตรแกนกลาง 2551 จึงเน้น และเพิ่มคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และสมรรถนะของผู้เรียนเข้ามาอีกครับ ดังนั้นปัจจุบัน นอกจากเด็กไทยจะต้องเกิดการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านแล้ว ยังต้องเกิด  คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และสมรรถนะของผู้เรียน ด้วยนะครับ ดังนั้นการเรียนการสอนที่รร.จะต่างกับกวดวิชานะครับ กวดวิชาจะเน้น ด้านสติปัญญาอย่างเดียว แต่ที่รร.จะเน้นครบ 3 ด้าน และอีก 2 อย่าง(คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และสมรรถนะของผู้เรียน)   นี่คือความต่างของการเรียนที่รร. กับการเรียนที่กวดวิชาครับ จากคุณ : มาม่าต้ม เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 11:31:51

ความคิดเห็นที่ 7 บอกว่าอยากสอนเทคนิคการสอน การสื่อสาร การถ่ายทอดให้เด็กๆ มีความสุขกับการเรียน สาขากว้างๆนะครับ คือ 1.สาขาการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา /หลักสูตรและการสอน(คุณสามารถบูรณาการหรือสร้างหลักสุตรใหม่ๆได้) 2. สาขาการวิจัยการศึกษา (คุณสามารถวิจัยรูปแบบต่างๆ พัฒนาหลักศุตร หรือพัฒนาอะไรใหม่ๆก็ได้ครับ) 3. สาขาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (อันนี้กว้างมาก) 4. สาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา (มันก็กว้างทุกอันนะครับ) 5. จริงๆสาขาการวัดและประเมินผลก็ได้นะครับ เช่นคิดวิธีวัดและประเมินผลแบบสนุกๆ เพราะเดี๋ยวนี้เค้าเน้นประเมินตามสภาพจริง จะเห็นว่าสาขาไหนก็ได้ครับ อยู่ที่การทำวิจัย และการกำหนดบทบาทของคุณ แต่ปัญหาคือ คุณต้องจบเอกนะครับ จบโทไม่พอ  ตอนนี้ครูรร.มัธยมก็จบโทเยอะมาก หลายคนก็เรียนป.เอก อยู่ (อย่างปีนี้เด็กทุนครูสควค ก็เรียนป.เอกประมาณ 30 คนเค้าจะให้ทุกปีปีละ 30 คน อีกไม่ถึง 10 ปีเราจะมีครูมัธยมเป็น ดร. มากกว่า 200คน...ซึ่งแน่นอนหลายคนคงเบนเข็มไปเป็นอ.มหาวิทยาลัย )คุณจะมีคู่แข่งเยอะพอสมควร ถ้าอยากถ่ายทอดจริงๆ คุณสามารถถ่านทอดผ่านสื่อพวก e-learning ก็ได้ครับ หรือไม่ก็วิจัยแล้วเผยแพร่ ไม่ก็ลงวารสาร มีหนทางเยอะแยะครับที่คุณจะได้ถ่ายทอด อ่อ...ตอนนี้มีรายการที่เกี่ยวกับครูนะครับ แนวๆครูมืออาชีพอะไรนั่นแหละ  คุณก็สามารถติดต่ออ.มหาวิทยาลัยให้ติดต่อรายการ ให้เค้ามาอัดเทปการเรียนการสอนสนุกๆของคุณ เพื่อถ่ายทอดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ก็ได้นะครับ แต่ถ้าอยากเป็นอ.มหวิทยาลัย มีอีกทางคือเป็นครูพวกรร.สาธิต  เพราะบางแห่งคุณสามารถไปสอนระดับอุดมศึกษาได้ (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์อุดมศึกษามาสอนมัธยมมากกว่า) จากคุณ : มาม่าต้ม เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 11:52:34

ความคิดเห็นที่ 8 ด้านเนื้อ หาวิชา นั้น ก็เป็นแบบที่ผมว่ามา มีหกด้าน ร้อยละ 90 นักเรียน ทำได้ เพียง ข้อ 1. และยังทำได้ไม่เต็ม มา ดูส่วนที่ไม่ใช่ เนื้อหาวิชา อีกสองด้านคือ 1.  Affective Domain เรื่องนี้ แทบไม่มี การสอนเลย อย่างมากก้อ เอาตำรามากาง แล้ว ก็ว่าไปตามนั้น จิตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจ เกี่ยวกับค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ และ ---- > คุณธรรม แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ 1. การรับรู้ ... เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อ สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ทั้งรูปธรรมและนมธรรม 2. การตอบสนอง ...  ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในข้อ 1. อย่างเลือกสรรแล้ว (ในทางที่ดี) 3. การเกิดค่านิยม ... .. จากข้อ 2. จะตกผลึกเป็นข้อ 3. 4. การจัดรวบรวม ...   เป็นการสร้างแนวคิดและ จัดระบบของค่านิยมที่เกิดขึ้น เข้าด้วยกัน (ในจิตใจของนักเรียน) 5. สร้างลักษณะนิสัยตามค่านิยมที่ยึดถือ หลายท่าน เข้าใจว่า  เรื่องนี้ จะอยู่ในวิชา  ศิลปศึกษา จิตรกรรม พระพุทธศาสนา จิตวิทยา เป็นต้น อันที่จริง ครู ต้องสอดแทรก สิ่งเหล่านี้ ไปในทุกวิชา ด้วยระดับที่มากน้อยต่างกัน โดยเฉพาะ การคิด เชิง บวก และมีเหตุผล เช่นในวิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ทีนี้ ที่เห็นมา กลับ เป็นการ ให้นักเรียนท่องจำ สิ่งที่ครู จะนำไปออกข้อสอบ ซึ่ง ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ อะไรเลย จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 12:51:04

ความคิดเห็นที่ 9 ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ... พฤติกรรมการเรียนรู้ที่บ่งถึง ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ แบ่งเป็น 5 ขั้นตอนคือ 1. การรับรู้ ... เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง 2. กระทำตามแบบ หรือ เครื่องชี้แนะ ...  พอทำได้ ก็มาขั้นที่สาม 3. การหาความถูกต้อง ...  ผู้เรียนสามารถทำงานได้ด้วยตนเอง   ไม่ต้องชี้แนะ  ได้อย่างถูกต้อง 4. การกระทำอย่างต่อเนื่อง ... ...คือ ทำตามรูปแบบนั้นอย่างต่อเนื่อง จนทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้   ตรงนี้ต้องฝึกฝนครับ 5. การกระทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ .  .... คือ ทำได้คล่องแคล่วว่องไว   อัตโนมัติเป็นธรรมชาติ กลุ่มนี้ หลายคนอาจเข้าใจว่า อยู่ใน วิชา ทางพลศึกษาและการกีฬา การขับรถยนต์ การขับเครื่องบิน การทำอาหาร การวาดรูป การปั้น ช่างฝีมือด้านต่าง ๆ เป็นต้น แท้จริงแล้ว มีอยู่ในทุกวิชา ด้วยระดับที่มากน้อยต่างกัน   อันที่จริง การเล่นเกมส์ คอมพิวเตอร์จะมีบางส่วน ที่เข้าลักษณะเช่นว่านี้  แต่ขาด Affective Domian ---------------------- จากทั้งหมดที่ว่ามา แล้วปริมาณ นักเรียน ห้องละ 60 คน ครู หนึ่งคนนั้น ก็มีแต่ เทวดา เท่านั้นที่จะทำได้ดี และครบทั้งหมดทุกข้อ อย่างไร ก็ตาม ครูที่ดี จะต้องพยายามไปให้ถึงฝั่ง นั้นให้ได้ จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 12:58:01

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้า จขกท เรียน ทางวิทยาศาสตร์ มา ขันต่อไป หากต้องการเป็นครู ควร เรียนวิชาชีพครู จาก U สักแห่งหนึ่ง เช่น ราม หรือ มสธ ถ้ามีเวลาพอและสามารถจัดตารางชีวิตได้ อาจเรียน ใน U ปิด ก็ได้ เพื่อจะได้ รู้ และเข้าใจ กระบวนการเรียน  การสอน และวิธีคิด ของ คนที่อยู่ใน แวดวงนี้มากขึ้น แล้ว จึงไปต่อ สาขาวิชาที่ชอบ เช่นชอบ ฟิสิกส์ ก็ไปเรียน การสอนฟิสิกส์ ในระดับ ป.โท ซึ่งมีหลาย U เปิดสอนอยู่ เช่น จุฬา มศว หรือ มช. จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 13:02:11

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับน้าพร และคุณมาม่าต้มค่ะ ตอบได้ตรงที่สุดแล้วค่ะ แต่เงื่อนไขการเข้าเป็นอาจารย์นั้น คุณต้องจบปริญญาโทเป็นอย่างน้อย แต่เมื่อเข้ามาเป็นอาจารย์ต้องพยายามเรียนต่อให้จบปริญญาเอกให้เร็วที่สุด และต้องรีบทำผลงานเพื่อเป็นผศ.ค่ะ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 53 20:27:22 จากคุณ : สองสาย เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 53 20:22:38