 |
ความคิดเห็นที่ 8 |
ตอบคุณปฤษณะ
นั่นน่ะสิ สิ่งที่คุณพูดไว้ใน คคห5 มันน่าคิดนะ เพราะวิชามารอาจกาลเป็นวิชาเทพ และวิชาเทพอาจกลายเป็นวิชามารไป ก็ได้ สุดแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น เราเกิดมามีโรคประจำตัวเหมือนแม่เราทุกประการ ตั้งแต่ iq ต่ำกว่ามนุษย์ทั่วๆไป ป่วยเป็น ocd (ย้ำคิดย้ำทำ) ป่วยเป็น adhd (สมาธิสั้น) แล้วขาข้างหนึ่งเรากำลังจะพิการไปแล้ว (แต่ของแม่เราพิการไปแล้ว) พอเราฝึกคัมภีร์โบราณพวกนี้ เรากลับกลายเป็นรักษาโรคทุกอย่างหายหมดได้โดยไม่ีต้องกินยาและไม่ต้องหาหมอเลย เราเคยพยายามถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แม่เราเพื่อรักษาแม่เรา แต่มันขัดกับหลักคำสอนของพุทธแบบเถรวาท ที่ยึดมั่นในความบริสุทธิ์ผุดผ่องคือละกิเลศละเรื่อง sex พ่อแม่เราฟังเนื้อหาวิชาของเราซึ่งมันเกี่ยวกับการสร้างและผลิต sex hormones และขับเคลื่อน sexual energy เพื่อรักษาโรคและสร้างความเปล่งปลั่งให้แก่ตัวเอง เพื่อพัฒนา cells สมองและร่างกายเพื่อเพิ่มพลังสมองและคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล แล้วพ่อแม่เราก็ "รับไม่ได้" และบอกว่า "มันเป็นวิชามาร" และขอร้องให้เรากลับเนื้อกล้ับตัวกลับใจมานับถือศาสนาพุทธแบบเถรวาทใหม่ คือ "ถ้าป่วยก็ทำบุญตักบาตรและจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปบนบานให้หายป่วย" แต่เราขัดขืนคำสั่งพ่อแม่เรา และเดินทางสายอื่น นั่นก็คือ "ฝึีกเดินกำลังภายในตามวิธีการของนักพรตเต๋าแทน แล้วเลิกทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธแบบเถรวาทอีกต่อไปเลิกเข้าวัดอีกต่อไป"
แต่ในที่สุดการฝึกวิชามารกลายเป็นทำให้เรารักษาตัวเองจนหายป่วยหมด ในขณะที่แม่เรานอนป่วยยังลุกไม่ขึ้นเลย เพราะอาการที่เรียกว่า Her illness has become iatrogenic. นั่นก็คือป่วยมากขึ้นจนถึงปางตาย เพราะวิธีการวินิจฉัียและรักษาโรคของแพทย์แผนปัีจจุบัีน ที่ให้แต่ยา และใช้ศัีลยกรรมตัดต่ออวัยวะแม่เรา เพื่อมุ่งหวัีงทำลายอาการ (ที่เรียกว่า symptomatic medicine) อีกทั้งการทำบุญตักบาตรและจุดธูปเทียบบูชาพระพุทธรูปก็ไม่ได้ช่วยรักษาแม่เราให้หายขาดได้เลย
ตอนนี้เราเริ่มคิดแล้วว่า บางทีวิชามารของเรา แท้จริงแล้วมันน่าจะกลายเป็น วิชาเทพไปก็ได้ ในเมื่อสิ่งที่เราศึกษาและเชื่อมันขัดกับแนวคิดของพุทธแบบเถรวาท ซึ่งเป็นศาสนาที่พ่อแม่เรานับถือและยัดเยียดให้เรานับถือ ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่เราจะแขวนพระเพื่อแคล้วคลาด (พ่อแม่บอกว่างั้น) แต่ศาสนาเต๋าสอนว่าให้ตั้งสมาธิไปที่จุด dantian แล้วสื่อสาร sexual energy กับ The Creator (เพราะ The Creator ใช้ sexual energy สร้างมนุษย์) แล้วจะแคล้วคลาด เราเลยเอาพระเครื่อง ไปคืนพ่อแม่เรา แล้วบอกว่า "พระอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุอะไรซึ่งเอามแขวนคอ" หลังจากนั้นเราก็ไปขอร้องให้ที่ว่าการอำเภอลบคำว่า "พุัทธ" ออกไปจากบัตรประชาชนของเรา เรื่อง Dao De Jing นี่เราตีความได้โดยบังเอิญ และพออ่านนิยายเกี่ยวกับนักวรยุทธ์จีนเราก็เจอเนื้อเรื่องว่ามีคนเอาไปใช้ฝึกเป็นวรยุทธ์ได้ และฝึกจน attain immortality (เป็นเซียน) ได้
แท้จริงแล้วปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนคัมภีร์ Dao De Jing ไว้หลอกให้บัณฑิตให้ตีความผิดหลงคิดว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรม หรือรัฐศาสตร์ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นวิชา Alchemy (วิชาเล่นแร่แปรธาตุ) คือการผสาน jing (น้ำกาม), qi (ลมปราณ) และ shen (วิญญาณ) เพื่อสร้าง elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) เพื่อสร้าง immortal fetus (ทารกอมตะในครรภ์ที่กำลังจะกลายเป็นเซียน (ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตั้งครรภ์ได้โดยไม่ต้องมี sex...และนี่คือคำอธิบายว่าทำไม virgin birth ในศาสนาคริสต์จึงเป็นเรื่องจริงได้) เมื่อผู้ฝึกพัฒนา immortal fetus จนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว (อยู่ในรูปแบบของวิญญาณ) เขาก็จะบรรลุความเป็นเซียน คือดึง immortal fetus (ซึ่งบัดนี้เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ออกจากร่างผ่านจุด bai hui (จุดกลางกระหม่อม) แล้วลอยขึ้นสวรรค์กลายเป็นเซียนไป (ทิ้งร่างกายไป)
ลองไปอ่านดูการตีความแบบถอดรหัส Dao De Jing ที่เราทำไว้ (เมื่อตอนใช้ login เดิมคือ agelesstansy...ในกระทู้ที่ว่านี้ (เราเขียนไว้เมื่อปี 2008) เราเริ่มตีความ Dao De Jing ตั้งแต่ คคห 11 - 15)
ตาม link นี้ไป
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/07/K6813048/K6813048.html
จริงๆแล้วเราเขียนบทความทำนองนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2547 (2004) (อาจมีเขียนไว้ก่อนหน้านี้อีกด้วย แต่หาไม่เจอ) แล้ว (ตอนนั้นเราใช้ชื่อ tansy แต่ไม่ได้ใช้ login) คือกระทู้นี้
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W2699854/W2699854.html
ระหว่าง 2 versions นี้ อันที่เขียนในปี 2004 มีเรื่องแนวคิดของ Zen ปนอยู่หน่อยๆและมีตัวสะกดผิดเยอะหน่อย แต่ใน version ที่เขียนปี 2008 สะกดผิดน้อยลง แล้วเอาเรื่อง Zen ออก แต่เติม technical terms เป็นภาษา Sanskrit เข้าไป ซึ่งเอามาจากวิชา tantra ของฮินดู ซึ่งคำสอนคล้ายๆกัน และ chart ที่แสดงเส้นสายลมปราณต่างๆเหมือนกับของเต๋ามากๆ เพียงแต่ของเต๋ามีอักขระจีนกำกับไว้ แต่ของฮินดูมีภาษา Sanskrit กำกัีบไว้แทน
ครั้นเมื่อพิจารณาเรื่องแนวคิดที่ว่ามนุษย์ต้อง recharge พลัีงในร่างตนเองกัีบพลังจักรวาล (กับ The Creator) มันจึงทำให้เราอยากศึกษา The Bible กับศาสนาคริสต์มากๆ เพราะเราตีความ The Bible คล้ายๆ Dao De Jing ไปเสียแล้ว และเมื่ออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธเป็นภาษาอังกฤษ ที่คนจีนแปลจากภาษาจีนเป็นอังกฤษ หรือฝรั่งแปลจากภาษาอินเดียเป็นภาษาอังกฤษ เรากลายเป็นมองเห็นว่า ศาสนาพุทธแบบมหายาน (น่าจะเป็นพุทธที่พระพุทธเจ้าสอนจริงๆ) ซึ่งมี "พระอยู่ที่ใจ" ไม่ใช่เอาพระมาแขวนคอ มหายานเป็นอะไรที่คล้ายๆเต๋า ฮินดู และคริสต์มากๆ และเข้ากันได้มากๆเลยถ้าจะฝึกพลังตามศาสนาทั้ง 4 ศาสนานี้ แต่ถ้าฝึกตามพุทธแบบเถรวาท จะกลายเป็นผิดศีลไปหมด เราจึงไม่เรียกตัวเราว่าเป็นชาวพุทธอีกต่อไป เพราะการเป็นพุทธแบบคนไทย ก็คือพุทธแบบเถรวาท ซึ่งขัดกับวิถีชีวิตของเรา
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 53 09:56:40
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 53 09:45:33
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 53 09:43:22
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
2 มิ.ย. 53 09:31:04
|
|
|
|
 |