ความคิดเห็นที่ 1 เห็นด้วยกับ จขกท นะคะ บางทีเราเองก็อยากช่วยตอบคำถามภาษาอังกฤษ แต่ไม่แน่ใจว่าตอบถูกรึเปล่า ก็เลยไม่ตอบดีกว่า กลัวจะให้คำตอบผิดๆ ไปค่ะ จากคุณ : ไอชิเตรุ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 10:44:25

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าจะเอาอย่างนั้นผมก็คงงดตอบทุกกระทู้ เพราะผมไม่ใช่ผู้รู้จริง แต่ผมคุยกับคนทั่วโลกโดยใช้ภาษาอังกฤษได้ก็แล้วกัน เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติมาแล้วก็หลายครั้ง ถ้าน้องๆ ที่เข้ามาถาม อันที่จริงไม่ใช่รุ่นน้องหรอก หลายต่อหลายคนเป็นรุ่นลูกรุ่นหลาน ทำได้เท่าผมตอนนี้ เท่ากับเขาก้าวกระโดดไปหลายสิบปีทีเดียว จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 10:52:18

ความคิดเห็นที่ 3 และผมเชื่อว่าถ้าจะเอาแบบนี้กันจริงๆ นะ เซียนๆ ทั้งหลายคงงดตอบกันหมด ทั้งๆ ที่บางคนเฃี่ยวชาญถึงระดับ bilngual บางคนเคยเป็นล่ามในศาลซึ่งยากมาก บางคนแปลหนังสือซึ่งได้ค่าแปลเป็นเลขเจ็ดหลัก บางคนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่จบ ม.6 เรียนจบแล้วทำงานในสถานฑูตอเมริกาในอังกฤษจนเกษียณแล้วจึงกลับเมืองไทย แต่งำประกายมิดชิด ไม่ค่อยเห็นออกมาตอบปัญหา คงเห็นว่ามีคนช่วยเยอะแล้วมั้ง แล้วเซียนทุกคนในห้องนี้ก็จะงำประกายมิดชิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน จะเอาแบบนั้นไหม? จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 11:03:17

ความคิดเห็นที่ 4 ... ผมไม่เก่งอังกฤษหรอก แต่ชอบดูหนัง ฟังเพลงฝรั่ง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนจีน.. ...  ถ้าเป็นอย่างที่ว่า ... ถามไปแล้ว คงไม่มีใครกล้ามาตอบ  กระทู้คงเงียบนะครับ... จากคุณ : มิตรภาพไม่รู้จบ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 11:07:57

ความคิดเห็นที่ 5 "..ผู้ที่รู้จริงๆ.." >> ไหนใคร? โน่นไง? แฝงตัวร่มเงาไม้ใหญ่ ใช่ใครที่เขาว่ากัน มันลำบากครับ แค่ไหนถึงจะยอมรับได้ว่ารู้จริง? ประการแรก ลำบากเพราะข้อจำกัดของคนเรา ไม่มีใครเก่งทุกอย่างหรอก แล้วก็ไม่ได้เก่งมาจากท้องพ่อท้องแม่ ก็อาศัยหัดเอาทีหลังทั้งนั้น แล้วจะหัดอยู่นานแค่ไหนถึงจะถือว่ารู้จริง? เรื่องนี้ก็เถียงกันได้นาน ประการที่สอง ลำบากเพราะธรรมชาติของตัวความรู้เอง ความรู้นั้นไม่มีสิ้นสุด วันนี้รู้แค่สระบุรี พรุ่งนี้รู้ไปถึงมวกเหล็ก มะรืนนี้รู้ไปถึงปากช่อง มะเรื่องนี้รู้ไปถึงสีคิ้ว มันรู้ไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นแค่ไหนจึงถือว่ารู้จริง? สระบุรี หรือ มวกเหล็ก หรือ ปากช่อง หรือ สีคิ้ว? นอกจากนั้นสิ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งที่รู้ในวันนี้ พรุ่งนี้อาจเป็นอะไรที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิงก็ยังมี เมื่อวานยังยอมรับกันหยกๆว่าโลกแบน วันนี้ไหงไปเชื่อไอ้เวรที่ไหนก็ไม่รู้ชื่อโคลัมบัสที่มันมาบอกว่าโลกกลม แล้วที่ครูเคยสอนว่าแผ่นดินไหวเพราะปลาอานนท์มันพลิกตัว ที่ไหนได้ ตอนนี้เขาบอกว่า ไม่ช่ายยยย ไม่ช่ายยยย แผ่นดินไหวเพราะ tectonic plates มันชนกัน แล้วพรุ่งนี้มันจะว่าไงอีกก็ไม่รู้ ประการที่สาม ลำบากเพราะธรรมชาติการเป็นตลาดนัดของเว็บบอร์ดเอง ตลาดนัดน้ันเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนไม่เลือกชาติชั้นวรรณะมาเดินจับจ่ายใช้สอยแลกเปลี่ยน ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ใครใคร่ขายก็ขาย ใครใคร่แลกเปลี่ยนก็แลก ทุกคนเสมอภาคกัน ใครจะมาก็มา จะไปก็ไป ห้ามกันได้เสียที่ไหน จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 11:43:25

ความคิดเห็นที่ 6 Agreed. I'm just going to lurk from now on. Adios. จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 12:30:58

ความคิดเห็นที่ 7 อย่าเพิ่งอำลา คุณ Genuine XXX ผมเสียดายความรู้ของคุณที่จะ contribute สังคมได้อีกมาก เราแค่บอก จขกท ให้ตระหนักเท่านั้นแหละ อันที่จริง มันไม่ใช่แค่การช่วย edit การแปลหรือตอบข้อสงสัยเท่านั้นนะ แต่ในหลายๆ กระทู้ สอดแทรกการถ่ายทอดประสบการณ์จากพวกเขี้ยวลากดินทั้งหลายเป็นของแถมให้ไปด้วย จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 12:48:38

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่เห็นด้วยอะครับ ภาษาศาสตร์ ไม่ใช่คณิตศาสตร์ เท่าที่เห็น ทุกๆคนที่มาตอบกระทู้ ก็แนะนำได้อย่างดี และหลากหลาย แม้แต่ในเวปบอร์ดของฝรั่งเอง บางครั้งก็ยังเห็นเค้าเถียงกันเองเลย แล้วใครจะกล้ามาประกาศว่า เรารู้จริงๆขนาดนั้น อ่านไปเพื่อให้ได้ความรู้หลากหลาย ดีกว่ามานั่งมองว่าใครบอกผิดบอกถูก หรือถ้าเราเห็นว่า คนอื่นแนะนำไม่ถูก เราก็คอมเม้นส์ไป ว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้นะ มันจะทำให้ได้ความรู้กัน ทั้งคนอ่าน คนโพสต์ ไม่ดีกว่าเหรอครับ จากคุณ : anisole เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:06:26

ความคิดเห็นที่ 9 บ่อยครั้งนะครับ ที่คนที่มีความรู้มากๆ หรือรู้จากตำรา ตอบไม่ได้ เพราะมันไม่ได้อยู่ในตำรา ต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์ หรือเรียนจากข้างถนนมาตอบ จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:19:47

ความคิดเห็นที่ 10 Count me out too, Sarge! Hasta la vista, amigos. Buenos dias. จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 16:36:00

ความคิดเห็นที่ 11 ขอขอบพระคุณทุกความเห็น ถือว่า เป็นเรื่องมองต่างมุมก็แล้วกันนะ จริงๆ เราเพียงแต่อยากให้คนที่เข้ามาตอบทุกๆคนมีจิตสำนึกสาธารณะ ( Public Conciousness )  อย่างที่คุณ คห 1 มีเท่านั้นเองแหละ ( .." ไม่แน่ใจว่าตอบถูกรึเปล่า ก็เลยไม่ตอบดีกว่า       กลัวจะให้คำตอบผิดๆ ไปค่ะ "    ) ถ้าเราสามารถฝึกหัดการมีจิตสำนึกสาธารณะ ไม่มองข้ามเรื่องเล็กๆน้อย แบบนี้ จะได้ติดเป็นนิสัยที่จะไม่ทำเรื่องเสียหายที่ใหญ่กว่าในอนาคตยังไงล่ะ อย่างไรก็ตาม  หากการตั้งกระทู้นี้ ไม่สบอารมณ์ท่านใด ต้องขออภัย เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วย จากคุณ : positive thought เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 17:04:36

ความคิดเห็นที่ 12 . จากคุณ : นิรมาณ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 17:04:53

ความคิดเห็นที่ 13 จิตสำนึกสาธารณะ ??? ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของจิตสำนึกทางสังคม หรือจิตสำนึกสาธารณะว่า  คือ การตระหนักรู้และคำนึงถึงส่วนรวมร่วมกัน หรือการคำนึงถึงผู้อื่นที่ร่วมสัมพันธ์เป็นกลุ่มเดียวกัน •       สำนักงานคณะกรรมการ วิจัยแห่งชาติ ได้ให้ความหมายว่า การรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องของส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อ ประเทศชาติ  มีความสำนึกและยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อสิ่งผิด เน้นความเรียบร้อย ประหยัดและมีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ         ดังนั้น จิตสำนึกสาธารณะ  คือ จิตสำนึกของสังคม (Social Consciousness) ที่ถ่ายทอด สืบต่อกันมาตราบเท่าที่ยังมีการดำรงอยู่ของสังคม (Social Being) จิตสำนึก สาธารณะ ประกอบด้วยคำว่า “จิตสำนึก” และ “สาธารณะ”        “จิตสำนึก” เป็นเรื่อง ของ Mind หรือ Spirit  ก่อนที่เรา จะกระทำสิ่งใด จิตที่สามารถส่งผ่านการสั่นสะเทือนทางอารมณ์โดยผ่านไปยังสมองก่อนจะกระทำทาง กาย คือจะต้องคิดก่อนกระทำนั่นเอง “สาธารณะ” Public เป็น เรื่องของส่วนรวมที่ทุกคนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน มีสิทธิในการใช้และมีหน้าที่บำรุงรักษาร่วมกัน           จิตสาธารณะเพื่อส่วนรวม 1. โดย การกระทำของตนเอง ต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบและเกิดความเสียหายต่อส่วนรวม           2. มี บทบาทช่วยสังคมในการรักษาประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อแก้ปัญหา สร้างสรรค์สังคม ซึ่งถือว่าเป็นความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม http://nounlaor123.exteen.com/20090407/entry แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 18:34:31 จากคุณ : นิรมาณ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 17:14:46

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าไม่แน่ใจในคำตอบก็สามารถบอกว่า - เคยได้ยินมาว่า, ไม่แน่ว่า, เคยเห็น บลาๆ ก็ได้ครับ ไม่งั้นกลุ่มย่อยนี้ คงเงียบเหงาแย่ จากคุณ : นิรมาณ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 17:20:33

ความคิดเห็นที่ 15 อืมม .. จขกท ในคห.11 ยังไม่เข้าใจอยู่ดีแหละ แถมยังมาใช้วาจาเช่นนี้ ป่วยการที่จะคุยต่อ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 18:45:14

ความคิดเห็นที่ 16 เราว่าที่ผ่านมาดีอยู่แ้ล้วค่ะ ต้องขอบคุณหลายๆท่านที่สละเวลาเข้ามาตอบให้ความรู้น้องๆและคนที่ไม่รู้  แต่ละคนเก่งๆและผ่านประสบการณ์มากมาย เท่าที่เห็นส่วนมากเค้าก็มีข้อมูลอ้างอิงการใช้มาด้วยนะคะ จากคุณ : Luv~Berry เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 21:09:29

ความคิดเห็นที่ 17 "เนื่องจากภาษาอังกฤษมันมีหลักการใช้ที่ค่อนข้างชัดเจน" แค่นี้ก็ผิดแล้วค่ะ ภาษาอังกฤษดิ้นได้ค่ะ ประโยคเดียวกัน คำเดียวกัน ในบริบทหนึ่งหมายความว่าอย่างหนึ่ง ในอีกบริบทหมายความอีกอย่าง ตัวอย่างประโยคนี้ที่มีคนตั้งกระทู้ถาม "Something is moving intensely. The seal is here!" คำว่า seal มีคำแปลตั้งหลายอย่าง ตัวเองเห็นประโยคแค่นี้แปล seal ว่า แมวน้ำ เหมือนน้าแอ๊ดแปล คุณเคแปลว่า ยันต์ ซึ่งก็ถูกเหมือนกัน ปัญหาเท่าที่เห็นมักไม่ใช่คนไม่รู้มาตอบ แต่คนถามตั้งคำถามคลุมเคลือมากกว่าค่ะ คือยกมาแค่ประโยคเดียวแบบนี้คนตอบตอบไปได้ตั้งหลายแบบ และก็ถูกทุกแบบด้วย ถ้าคนถามยกมาทั้งย่อหน้า จะตอบได้ตรงกว่า ที่เห็นๆ มาจะเป็นลักษณะนี้มากกว่าค่ะ อีกกรณีก็อย่างที่ความเห็นข้างบนว่า ประโยคเดียวกันถ้าว่ากันตามหลักไวยากรณ์คือตามหนังสือเป็นอย่างหนึ่ง คนที่มีประสบการณ์ในภาคพื้นดิน หมายถึงใช้ในชีวิตประจำวันจะเข้าใจความหมายไปอีกอย่าง ต่างก็พยายามเข้ามาช่วยตอบ ความรู้สึกของคนอ่านอาจคิดว่าไปกันคนละเรื่องเลยนิ แต่เปล่าเลยค่ะ คนที่เข้าใจจะรู้ว่าคำตอบคือการใช้ภาษาในลักษณะไหน จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 21:43:10

ความคิดเห็นที่ 18 อ้าว เห็นคุณ XXX กับคุณแอ๊ดลาแล้วหรือคะ คอยด้วย ไปด้วยนะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 21:45:59

ความคิดเห็นที่ 19 หืมคนที่ไม่รู้แน่จริงๆเค้าก็ต้องมีเกริน อย่างเช่นเราจะเกรินตอนขึ้นนำเลยว่า "ตามความคิดเรา..." "เราคิดว่า..." อะไรแบบนี้คือไม่ชัวร์ ไม่อยากให้คนจำไอ้ที่เราบอกไป เพียงแต่เสนอเป็นทางเลือก เผื่อจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ในวันข้างหน้า เพราะ 1 เราไม่ใช่เจ้าของภาษา 2 เราไม่อยากให้ใคร(อย่างคุณ จขกท. มาว่าได้) เพราะเราก็เป็นแค่นักศึกษาที่คิดว่าถ้ารู้อะไรแล้วช่วยคนอื่นได้ก็อยากจะช่วยหนะค่ะ และถ้ามีคนตอบกระทู้ผิด ก็จะมีผู้ที่รู้มากกว่ามาคอยแก้ไขให้เสมอหละค่ะ ถ้าคุณจะมาลิมิตแค่พวกผู้รู้จริง คงต้องไปตั้งกลุ่มใหม่แล้วแหละ แล้วใครจะเป็นผู้ตอบก็คงต้องมีการคัดเลือกอย่างจริงจังด้วย 555 การที่คุณตั้งกระทู้นี้เหมือนกับบอกคนที่อยากจะแชร์ความรู้ว่าไม่ต้องมาทำเสร่อแถวนี้ เราว่ามันไม่ยุติธรรมนะคะ แล้วที่คุณบอกว่าภาษาอังกฤษมีหลักการตายตัว เราว่าก็ถูกแค่ส่วนไวยากรณ์ แต่ถ้าเป็นพวกการตีความประโยคอะไรแล้ว รู้แค่หลักการมันก็ยังไม่พออยู่ดี อย่างพวกคนที่เรียนอังกฤษเก่งมากสอบได้เกรดสี่มาตลอด แต่แปลออกมาได้ไม่รู้เรื่องเลย หรือไม่รู้ว่าจะแปลยังไง เพราะของพวกนี้มันก็ต้องใช้ประสบการณ์เหมือนกันอย่างที่ท่านอื่นๆด้านบนได้ให้คำตอบไปแล้วนะคะ ขอให้คุณเปลี่ยนความคิดดีกว่า เพราะที่นี่เป็นบอร์ดสาธารณะ ไม่ใช่เป็นทางการอะไร คนก็มีผิดได้ ผู้รู้จริงหลายๆท่านก็เรียนรู้มาจากความผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น และคิดว่าทุกคนก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไป คนที่เป็นเจ้าของภาษาเองบางทียังไม่ถือเป็นผู้รู้จริงทั้งหมดเลย ไม่อย่างนั้นจะมี Grammar Girl ไว้ทำไม! :D แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 53 23:28:27 จากคุณ : หนูฟั่นเฟือน เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 23:24:47

ความคิดเห็นที่ 20   พี่ๆอย่าเพิ่งไปกันน่ะค่ะ T_T อย่าไปสนใจเจ้าของกระทู้เรยคะ เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 7 ของคุณหนุ่มไทยไร้นามค่ะ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 53 00:08:06 แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 53 00:06:32 จากคุณ : I'm what I am ka (I'm what I am ka) เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 00:06:13

ความคิดเห็นที่ 21 ผมเองเคยเข้ามาตอบกระทู้ช่วยคนอื่นแล้วก็ผิดไปเต็มประตู แต่ผมกลับคิดว่าการได้แสดงความเห็นก็คือการที่เรากล้าใช้ความคิดดีกว่าเก็บงำเอาไว้ การที่เราได้ใช้ความคิดออกไปและมีผู้อื่นมาแก้ไขให้ถูกต้องเท่ากับเราได้เปิดโลกทรรศน์ของตัวเองให้กว้างขึ้นด้วย ถ้าเราจะรอผู้รู้จริงอย่างเดียวมาตอบ คนเราอาจไม่มีการเรียนรู้เลยก็ได้ เพราะคนรู้จริงกว่าจะรู้จริงก็ต้องลองผิดลองถูกมาเหมือนกัน ไม่มีใครเป็นอัจฉริยะมาแต่กำเนิดที่จะรู้ได้ทุกอย่าง หากไม่เกิดความผิดพลาดคนเราจะรู้จักเรียนรู้และทำการแก้ไขให้ดีขึ้นได้อย่างไร และสุดท้ายกระทู้สาธารณะควรมีไว้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ทั้งรู้จริงและไม่จริงก็ควรมีไว้จะได้รู้ได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง เป็นการช่วยเหลือกันและกันมากกว่าการกันคนไม่รู้ให้ออกไปห่าง ๆ เสีย จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 00:15:07

ความคิดเห็นที่ 22 ประมาณว่า โจทย์ : จงเลือกข้อที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ที่สุด ก) พอสอสองพันห้าร้อยสี่ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ข) ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรืองราวที่ได้ประชุมมา ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร ค) ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่า สุกร นั้นคืออะไร ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด ง) สุกรนั้นไซร้ คือ หมาน้อยธรรมดา หมาน้อยธรรมดา หมาน้อยธรรมดา ทุกข้อก็เป็นประโยคตามหลักไวยากรณ์หมด แต่.... ข้อใหน คือ ที่สุด..... เอ๊ะ ไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้ นี่หน่า ขอโทษครับ จากคุณ : Diwali เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 01:02:33

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามาเห็นกระทู้นี้แล้วตกใจกับคนตั้งกระทู้น่ะครับว่าเค้าคิดได้อย่างไร แล้วผีห่ าซาตานที่ไหนเข้าสิง ผมไม่คิดเลยว่าจะมีคนแบบ จขกท ในโลกใบนี้ซะอีก คุณ จขกท ครับ ไม่มีใครรู้ทุกอย่างบนโลกใบนี้หรอก ขนาดภาษาไทยเองเราคนไทยแท้ ๆ ยังใช้กันผิด ๆ ถูก ๆ เลย คนในเว็บก็คนปุถุชนทั่วไปครับ ไม่ใช่ศรีธนญชัย (เขียนผิดป่ะ) หรือไม่ใช่อับดุลที่จะรู้ไปซะทุกเรื่อง ถ้ามีคนหยั่งรู้จริง ๆ รู้ไปซะทุกเรื่อง งั้นยกเลิกการมีเว็บบอร์ดเลยดีกว่ามั้ย ให้คนที่เค้ารู้จริง ผู้รู้ออกมาแสดงตัว แล้วคุณก็ไปถามเค้าคนเดียว ผมเองไม่ได้อยากจะบอกว่าตัวเองเก่งภาษาอังกฤษ แต่จากการที่ผมเคยอ่านคอมเมนท์หลาย ๆ คนในนี้ที่ว่าเก่งภาษาอังกฤษ ที่เป็นขาประจำห้องนี้ (คงรู้ตัว มีอยู่ไม่กี่คน) ผมก็เคยเห็นเค้าตอบผิด เขียนผิดอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่พูด แต่อันนัั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือเค้ามีน้ำใจในการที่จะมาแสดงความคิดเห็น จะตอบถูกหรือตอบผิด มันก็คือการที่เราได้แสดงความเห็น เป็นการแสดงความคิด มันไม่เสียหาย แต่เค้ามีน้ำใจ คนเราไม่เก่งไปทุกเรื่องหรอกครับ ถ้าผิดก็คือผิด ก็ยอมรับกันไป ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องหน้าอาย หรือเสียหน้าอะไรทั้งนั้น แต่อาจจะเป็นเพราะคนไทยมักจะไม่ชอบให้ใครมาติ แต่กระนั้นก็เถอะ ผมเองก็ยังชื่นชมหลายต่อหลายคนในที่นี้ที่เค้ามีน้ำใจ มันเป็นสิ่งที่แสดงว่าคนไทยยังมีน้ำใจ ให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วผมถาม จขกท หน่อยนะครับว่า คุณรู้อะไรบ้าง หรือว่าติเป็นอย่างเดียว ขนาดครู อาจารย์ยังมีสอนผิดเลย เจ้านายผมเป็นชาวต่างชาติ พูดกับผมว่า อย่าไปวอรี่มันเลย ภาษาอังกฤษมันเครซี่ ขนาดไอบางทียังงงอะไรประมาณนี้ แล้วคุณจะให้คนไทยที่อ่านเว็บไทย ๆ ตอบเว็บไทย ๆ รู้จริงเรื่องภาษาอังกฤษหรอ ผมว่าคุณเนี่ยความคิดแคบมากนะครับ สมมุติคุณเดินหลงทาง แล้วไปถามทางสักคนแล้วเค้าอยากช่วยคุณจริง ๆ แต่เค้าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็อยากช่วย นี่คุณคงไม่ด่าเค้าลับหลัง สาปแช่งเค้าหรอกนะครับ จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 01:04:21

ความคิดเห็นที่ 24 เบาๆ หน่อยครับ คุณปีเตอร์นอร์ธ แค่นี้ จขกท ก็เป๋ไปเป๋มาแล้ว ผมเชื่อว่า จขกท มีเจตนาดี เพียงแต่ยังมองไม่รอบด้าน และผมเชื่อด้วยว่าเซียนๆ ทั้งหลายก็ยังคงทำตามเจตนารมณ์ในการช่วยสังคมต่อไปเหมือนเดิม กระทู้นี้กระทู้เดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์นั้นได้ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 04:58:52

ความคิดเห็นที่ 25 แอบเข้ามาอ่านความรู้ในห้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นประจำค่ะ แต่ไม่ได้โพสต์ เจอกระทู้นี้ทนเงียบอยู่ไม่ได้ บอร์ดที่เปิดกว้างจะเป็นประโยชน์มากกว่าบอร์ดที่จำกัดคนที่มาตอบแน่นอนค่ะ เพราะบ่อยครั้งที่เราคิดว่าเรารู้คำตอบแล้ว แต่หลังจากที่ได้อ่านคำตอบที่หลากหลายของหลายๆท่าน ทำให้รู้ว่าเราแทบจะไม่รู้อะไรเลย หรือรู้แค่มุมมองเดียวเท่านั้น  คำตอบอาจมีมากมายแต่ไม่จำเป็นว่าเราต้องเชื่อไปทั้งหมด  ห้องสมุดแห่งนี้ไม่ได้ป้อนความรู้ให้อย่างเดียว แต่สอนให้เราคิดเป็นและรู้จักหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง ขอบคุณคนใจดีทุกคนในห้องสมุดนี้ที่สละเวลามาให้ความรู้ เป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคุณ : Noshka เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 05:06:35

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านแล้วนึกถึง(หรือ นึกไม่ถึง) มงคลที่ ๗ ความเป็น(หรือ ความไม่เป็น) พหูสูตร http://www.dhammathai.org/treatment/poem/poem07.php จากคุณ : ta/'o-o/' เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 05:40:43

ความคิดเห็นที่ 27 เนื่องจากภาษาอังกฤษมันมีหลักการใช้ที่ค่อนข้าง ชัดเจน ...................................................... ผมเห็นตรงข้ามกับประโยคข้างบน ผมคิดว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มั่วที่สุดในโลก มีหลักการน้อยมาก ขึ้นอยู่กับ usage เป็นส่วนใหญ่ คือแล้วแต่คนนิยมใช้กัน แล้วบางทีที่คนนิยมใช้ก็แตกต่างกันตามภูมิภาค คนอเมริกันใช้แบบหนึ่ง คนอังกฤษใช้อีกแบบหนึ่ง ดูการใช้ visit with สิ ทำไมต้องมี with ด้วยล่ะ visit with someone to pay a social call on someone. I would like to come by and visit with you for a while. I will enjoy visiting with you. การใช้ interview ก็แปลก แบบที่ 1 เป็นแบบปกติ แต่แบบที่ 2 นี่แปลก 1. interview someone for something [for an employer] to discuss employment in a particular job with a person seeking employment. We will interview her for the manager's job. We will interview the rest of them for the position tomorrow. 2. interview (with someone) for something [for a person seeking employment] to discuss employment in a particular job with an employer. She interviewed with the civic opera company for a job in the business department. I interviewed with Roger for the job. interview with กลายเป็นไปสัมภาษณ์งาน (ถูกสัมภาษณ์) ที่บริษัท... สรุปว่าภาษาอังกฤษหาหลักการยากมาก ขึ้นอยู่กับ usage การที่คนนิยมใช้กันมากกว่า จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 06:02:31

ความคิดเห็นที่ 28 คห.23 แรงไปไหมคะ  เอาแบบคห. 24 ก็พอค่ะ ขอนอกเรื่องถึงคำว่า "พหูสูตร" ในคห.26 นิดหนึ่งค่ะ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานค้นได้อย่างนี้ค่ะ พหู ว. พหุ. พหูพจน์ น. คําที่กล่าวถึงสิ่งมากกว่าหนึ่ง. พหูสูต น. ผู้มีความรู้เพราะได้สดับตรับฟังหรือศึกษาเล่าเรียน มามาก. (ป. พหุสฺสุต). http://rirs3.royin.go.th/word28/word-28-a4.asp จากคุณ : มยุรา ธนบัตร เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 07:30:18

ความคิดเห็นที่ 29 Thank you for your kind words ค่ะ คุณ หนุ่มไทยไร้นาม คุณ จขกท คงหมายถึงพวกสุดโต่งน่ะค่ะ เช่นถามว่า หูช้างของรถยนต์เรียกว่าอะไรในภาษาอังกฤษ ก็อาจจะมีคนมาตอบว่า elephant's ear อย่างไรก็ดี ดิฉันขอแสดงความคิดเห็นว่า พยายามอย่าใช้คำพูดแรง ๆ กันดีไหมคะ ยิ่งพูดแรง อารมณ์มันก็แรงตาม ที่ดิฉันได้อ่านมาถึงตรงนี้ ทำให้ฉุกคิดได้ว่า ในห้องนี้มีคนตอบกันอยู่ประจำเป็นจำนวนไม่มาก ทว่า อาจจะมีเด็ก ๆ มาแอบอ่านเอาความรู้ (บ้างไม่รู้บ้าง) กันอยู่ไม่น้อย ก็อยากให้เด็ก ๆ ได้อะไรไปนอกเหนือจากวิชาอย่างเดียวนะคะ เมืองไทยวันนี้ หลายคนว่าจะตามบั้นท้ายเวียตนามแล้วค่ะ สามัคคดีกันดีกว่านะ สวัสดีค่ะคุณ กุลธิดา (kdunagin) ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเหลือง สบายดีนะคะ ฝากเพลง(เก่า)ให้ฟังค่ะ ครายจาไปยกมือขึ้นนนน โย่ว โย่ว จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 08:30:35

ความคิดเห็นที่ 30 จะยังไงก็ตามแต่  เราก็ยังอยากให้ทุกคนเน้นจิตสำนึกสาธารณะ  มากๆ  โดยเฉพาะ คห 23  เราว่า คุณยังหลงตัวเองอยู่มากเลยนะ  ดูจากที่คุณบอกว่า " ...ผมเองไม่ได้อยากจะบอกว่าตัวเองเก่ง  ภาษาอังกฤษ..."  แต่จริงๆแล้ว ในใจของคุณก็คิดว่า ตัวคุณเก่งมากนั่น  แหละ ..เราว่า  แค่นี้คุณก็สับสนกับชีวิตตัวเองแล้วล่ะ  อยากให้คุณหาโอกาสอยู่กับตัวเอง ทำจิตใจให้นิ่งมากขึ้น และมองเข้าไป  ในตัวเอง ตามรู้ทันความคิดตัวเองมากขึ้น เพื่อให้เข้าใจตัวตนของตัวเอง   ตามความเป็นจริง   คนเราทำอะไรจะเอาแต่ความมัน ความสะใจอย่างเดียวไม่ได้หรอก จากคุณ : positive thought เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 09:12:54

ความคิดเห็นที่ 31 เรียน คห 29 ขอชื่นชมด้วยความจริงใจว่า คุณมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงมากๆเลย อิจฉาคนที่อยู่ใกล้หรือทำงานร่วมกับคุณจัง ทุกคนคงพลอยได้รับกระแส แห่งความสุข ความสบายใจไปด้วยเลยนะเนี่ย   ขอบคุณมากๆสำหรับสิ่งดีๆที่มีให้แก่กัน จากคุณ : positive thought เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 09:22:22

ความคิดเห็นที่ 32 >> เช่นถามว่า หูช้างของรถยนต์เรียกว่าอะไรในภาษาอังกฤษ ก็อาจจะมีคนมาตอบว่า elephant's ear << ก๊ากกกก คุณ Genuine XXX ทำให้ผมนึกถึงกระทู้นึงนะ เมื่อประมาณหนึ่งปีมาแล้ว จขกท กระทู้นั้นเขาถามว่าเห็ดหูหนูภาษาอังกฤษเรียกอย่างไร โอ กระทู้นั้นสนุกมากครับ มาคั่นจังหวะ ผ่อนคลายบรรยากาศน่ะ เกือบลืม เกือบลืม เดี๋ยวน้องๆ จะเข้าใจผิด คุณ Genuine XXX เขาหยอดมุขน่ะ หูช้างของรถคือ wind wing เป็นรถรุ่นเก่ามากแล้ว หูช้างมีไว้เพื่อเปิดรับลม รถสมัยนี้ไม่มีหูช้างแล้ว ติดแอร์กันหมด เด็กรุ่นหลังๆ อาจนึกภาพไม่ออก คนละเรื่องกับรถที่มี sun roof / moon roof นะครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 10:25:36

ความคิดเห็นที่ 33 การเข้ามามีส่วนร่วมในเว็บบอร์ดนั้นเหมือนกับเดินตลาดนัด ผมเคยบอกไว้แล้ว แน่นอนว่าในตลาดนัดนั้นมีทั้งเด็กเล็ก หนุ่มสาว วัยกลางคน ไปยันเฒ่าชรา บ้างซื้อบ้างขาย ซื้อของตลาดนัดก็แน่ละว่าของพอใช้ได้ราคาถูกจะมีเยอะ ของดีราคาแพงก็มี ของดีราคาถูกแม้จะหายากก็ยังพอหาได้ แต่สิ่งที่คนเดินตลาดนัดควรสามารถแยกแยะและมองออกให้ได้ก็คือ ของเก๊ราคาแพง ใครแยกไม่ออกก็รับความเสี่ยงไป มันสนุกตรงนี้แหละ ผมว่าคนเข้ามาในนี้เขาทำใจอยู่แล้ว กลั่นกรองเป็นอยู่แล้ว คงไม่มีใครที่กลืนข่าวสารทุกอย่างที่ได้จากเว็บบอร์ดแบบที่ฝรั่งว่า hook, line and sinker คือเหมือนปลาที่กลืนเบ็ดทั้งยวงโดยไม่พิจารณาก่อนว่านี่มันเบ็ดนี่หว่า ผมเองถือว่าผมเดินตลาดนัดที่นี่ผมได้คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม จะมีที่ไหนที่เปิดโอกาสให้ผมได้พบกับคนที่มีความชำนาญเชี่ยวชาญหลายๆสาขาและขอคำปรึกษาเขาได้ ของฟรีด้วยนะ นี่แหละ ของดีได้ฟรี หาให้เจอก็แล้วกัน ผมจะไปเจอคนอย่างอาจารย์กุลธิดาได้ที่ไหนในชีวิตจริง หรือคนอย่างคุณหนุ่มไทยไร้นาม คนอย่างอาจารย์ธนู อย่างคุณ Paphmania หรือ อาจารย์ krisdauw หรือเจอสาวๆหน้าใสผู้เก่งกล้าอย่างอย่างน้อง แพนด้ามหาภัย อะไรที่ดีก็เลือกเก็บไป อะไรไม่ดีก็ทิ้งไป ผมว่านี่มันเป็นคติพจน์ของคนเดินตลาดนัดอยู่แล้วละ ผมมาตลาดนัดมาเจอเพื่อนฝูง ผมก็พกเอาของที่ผมพอจะมีแลกเปลี่ยนมาโชว์ แล้วก็รับเอาของคนอื่นเขาไป เราทุกคนก็ได้กันหมด จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 11:26:28

ความคิดเห็นที่ 34 ผมมาเที่ยวตลาดนัดอย่างที่ลุงแอ๊ดว่า พอเห็นคำว่า "หูช้าง" อย่างที่คุณ Genuine XXX บอก หรือ "wind wing" อย่างที่คุณหนุ่มไทยไร้นาม อธิบายไว้ ก็เลยนึกคันมือ เพราะสิบปากว่า ก็คงไม่เท่าตาเห็น ครับ ก็เลยหารูปเอามาลงให้ดูกัน เผื่อว่าผู้ที่เคยได้ยินแต่ ไม่เคยเห็น หรือไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรือผู้ที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น จะได้เห็นและรู้กัน จุดประสงค์ของ "หูช้าง" มีอยู่ด้วยกัน 2 อย่าง (ขึ้นอยู่กับประเภทของรถ) คือ ๑) ภาพบน มีไว้กั้นลม ไม่ให้พัดโดนหน้าคนขับ สำหรับรถสปอร์ต (รถเปิดประทุน) ๒) ภาพล่าง มีไว้ดักลม เพื่อให้ลมเข้าในรถได้ดีขึ้น สำหรับรถเก๋ง (รถที่มีหลังคา) จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 12:12:44

ความคิดเห็นที่ 35   ความรู้สึกครั้งแรกที่เกิดขึ้นทันทีที่ได้อ่านกระทู้นี้ ก็คือบอกกับตัวเองว่า “เห็นทีเราจะต้องมีสติพิจารณาตัวเองให้รอบคอบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสนอตัวเองเข้ามาให้วิทยาทาน/แบ่งปันความรู้ หรือการเข้ามาเก็บเกี่ยวหาความรู้จากท่านผู้รู้ หรือผู้อาวุโส ปรมาจารย์ก็ตาม” จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้จากการซื้อหนังสือฝึกภาษาอังกฤษมาอ่านก็หลายเล่ม ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะพบทั้ง typos และที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือผิดหลัก grammar อย่างจัง! (Ex: She don’t…….) ทั้งๆ ที่เป็นการยกตัวอย่างประโยคประกอบการอธิบายธรรมดา ๆ เท่านั้น! ทำให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจต่อท่านผู้แต่ง/ผู้เรียบเรียง ผู้ตรวจทาน และสำนักพิมพ์ที่จะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อแวดวงการศึกษาให้มากๆ! ไม่ใช่หวังแต่รีบเขียน/รีบเรียบเรียง-รีบพิมพ์-เร่งออกวางตลาด-รุดทำเงินเข้ากระเป๋า ขณะเดียวกับก็อดรู้สึกสงสารผู้อ่าน/ผู้ใฝ่รู้ที่มีความรู้น้อยกว่าเราไม่ได้ ที่จะต้องตกเป็นบาปบริสุทธิ์ของตลาดสื่อสิ่งพิมพ์การเรียนการสอน ส่วนตัวลึกๆ ยังเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของเจ้าของกระทู้นี้ แต่น่าเสียดายที่การสื่อความกังวล/ความห่วงใยที่ท่านมีต่อเหล่าสมาชิกที่อ่อนภาษาอังกฤษยังขาดการขยายความที่สมบูรณ์ อีกอย่างท่านคงจะซาบซึ้งในสำนวนที่ว่า “First impression is the most lasting / 先入为主” เพราะการศึกษานั้น หากรับรู้ไม่ถูกต้องเสียตั้งแต่แรกเริ่ม การจะมาตามแก้ไขภายหลังนั้น มันยากจริงๆ เพราะ “Old habits die hard / 积习难除、积重难反= ความเคยชิน และ/หรือข้อเสียที่ก่อตัวขึ้นเป็นเวลาช้านานแล้ว ขจัดยากนัก” --------------------------------------------------------------------------------- แถมคำศัพท์ปิดท้าย เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เจ้าของกระทู้โดนติเตือนจน “อ่วม/น่วม, มึน (เหมือนนักมวยเมาหมัด) = Punch-drunk / Like a punch-drunk boxer. Ex: Khun Positive Thought is punch-drunk from the criticism he received in this Forum (Library). (เจ้าของกระทู้ อ่วม/น่วม กับคำวิพากษ์วิจารณ์ใน “ห้องสมุดภาษาอังกฤษ” แห่งนี้) จากคุณ : ร่วมด้วยช่วยกัน เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 12:21:29 A:58.8.47.11 X: TicketID:255444

ความคิดเห็นที่ 36 ^ ^ ^ ^^ ( ไม่มีอะไร อยากลดอุณหภูมิครับ แห่ะ ๆ ... ) .... ว่าแล้วก็จัดสุราอาหารมาเลี้ยงดูกัน จากคุณ : มิตรภาพไม่รู้จบ เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 12:36:45

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณ มยุรา ธนบัตร ค่ะ ตอนที่อ่านกระทู้นี้ คำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวคือคำนี้ แต่ไม่ได้เห็นเขียน ไม่ได้เห็นใช้มานานแล้ว รู้แต่ว่า แปลว่า อ่านมาก ฟังมาก เลยไปกูเกิ้ล เจออันความหมายตรงกับที่เข้าใจก็เลยเหมาเอามา ไม่ได้เช็คคำเขียน ขอบคุณค่ะ ที่คิดถึงคำนี้ เพราะไม่เคยคิดว่า จะมีใครที่ ถาม แล้วฟังคำตอบเดียว เชื่อเลย ตัวเราเคยแต่ฟังหลายอัน เอาไปค้นต่อ แล้วเอามาสรุปเป็นของเราเอง ก็เลยคิดว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน ดังนั้น ไม่เห็นว่า การที่หลายๆคนเข้ามาตอบ มาแสดงความคิด จะเสียหายอะไร ดีเสียอีก แต่เห็นด้วยว่า ถ้าเห็นใครตอบผิดจะจะ อาจจะเป็นด้วย รู้มาผิด เข้าใจผิด ก็ควรจะมีคนบอกจะจะ ว่าผิด ซึ่ง คนที่จะบอกว่าผิดจะจะนี้ จะต้องรู้จริง อาจรู้แค่ ว่าผิดแน่ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าที่ถูกจริงเป็นอย่างไร ก็บอกแค่ว่า แน่ใจว่าไม่ถูกแน่ แต่ต้องรอคนที่รู้มาอธิบาย ทำนองนั้น จากนี้ไป ถึงจะไม่ควรมีการเดา ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวค่ะ จากคุณ : ta/'o-o/' เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 13:08:06

ความคิดเห็นที่ 38 โห ไปขุดเอารูปมาจากไหนน่ะครับ คุณ tnu พูดแล้วก็นึกอยากได้รถสปอร์ตรุ่นเก๋ากึ้กแบบนี้สักคัน เอาสีแดงเลือดนกเลย เท่ห์ระเบิด จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 13:45:01

ความคิดเห็นที่ 39 อาจจะเป็นอย่างที่คุณ คห ที่ 35 พูดก็ได้   คือเรามีเจตนาดี แต่อาจจะสื่อความหมายได้ไม่ชัดเจน   ทำให้บางท่านที่มีอัตตาสูง รู้สึกว่าถูกสบประมาทว่าไม่ใช่ " ผู้รู้จริง " ทั้งที่ คำว่า "ผู้รู้จริง" ของเรา ไม่ได้หมายถึงเพียงคนที่จบด้านภาษาศาสตร์ อย่างที่บางท่านเข้าใจ จะ เป็นใครก็ได้ ขอให้รู้ว่า คำตอบที่จะให้ไปนั้น ถูกต้อง ก็ถือว่า เป็น " ผู้รู้จริง" แล้ว แต่ไม่ใช่ประเภทให้คำตอบไป เพื่อให้ผู้ถามไปคิดกลั่นกรองต่อเอง ว่าถูกหรือไม่ถูก ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น  เราว่า เอาเวลาไปนอนแคะเล็บยังจะได้ประโยชน์กว่า  ส่วนเรื่องจิตสำนึกสาธารณะนั้น เราอยากให้สังคมไทยมีมากขึ้น  โดยเริ่มใส่ใจจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ ยกตัวอย่าง เรื่องการเข้ามาช่วยตอบภาษาอังกฤษนี่แหละ ก็ควรจะต้องมั่นใจว่า ถูกต้องจริงๆ เพื่อไม่ให้ผู้ถาม จำไปใช้ผิดๆ ( ส่วนในคห ที่ 33 ที่บอกว่า " ใครแยกไม่ออกก็รับความเสี่ยงไป " เราว่า เป็นความคิดที่มักง่ายและไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองเลยนะ )    ลองฟังเรื่องต่อไปนี้  ถ้าเกิดขึ้นกับตัวคุณหรือคนที่คุณรัก คุณจะรู้สึก  ยังไง  สมมุติว่า คุณแม่ของนาย A ป่วย นาย A ไม่มีเงินพาแม่ไปหาหมอ จึงเข้ามาตั้งกระทู้เพื่อขอคำแนะนำเรื่องยา  ปรากฏว่า มีผู้หวังดีแนะนำไปผิดๆ ถามว่า เรายังจะพูดว่า  " ใครแยกไม่ออกก็รับความเสี่ยงไป " อีกหรือ ? สรุปคือ นาย A ต้องเอาชีวิตแม่ มาเสี่ยงกับความมักง่ายของคนบางคน เช่นนั้นหรือ ? ทั้งหมดนี้แหละ คือสิ่งที่เราต้องการจะสื่อให้ฟัง หากเรามักง่ายในเรื่องเล็กๆน้อยได้ สักวัน เราก็จะมีโอกาสมักง่ายในเรื่อง ที่ใหญ่ขึ้น และมีผลกระทบรุนแรงยิ่งขึ้น คงเคยได้ยินกันว่า  ความผิดใหญ่ก็เริ่มจากการทำความผิดเล็กๆก่อนทั้งสิ้น โจรปล้นธนาคารก็มาจากพวกลักเล็กขโมยน้อย พวกขนยาบ้าเป็นแสนเม็ด  ก็เริ่มต้นจาก 5 เม็ด 10 เม็ด เช่นเดียวดัน ความมักง่ายในเรื่องใหญ่  มันก็เริ่มจาก ความมักง่ายในเรื่องเล็กๆน้อย นั่นเอง ฝากพิจารณาใคร่ครวญด้วย  อย่าให้ต่างชาติมาดูถูกว่า คนไทยเป็นพวก ทำอะไรตามใจ คือไทยแท้  มากไปกว่านี้อีกเลย จากคุณ : positive thought เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 13:47:26

ความคิดเห็นที่ 40 ใครหว่า อัตตาสูง ^^ จากคุณ : anisole (anisole) เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 14:15:56

ความคิดเห็นที่ 41 ข้อมูลทางอินเตอร์เนตนั้นมีมากมายมหาศาล ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่ทุกๆข้อมูลจะเป็นเรื่องจริง เราในฐานะผู้ที่จะเสพข้อมูลต้องรู้จักเลือกตรึกตรองพิจารณาเอง จขกท ควรมารณรงค์ให้เด็กๆรู้จักค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่ดีกว่าหรือครับ จากคุณ : anisole (anisole) เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 14:27:52

ความคิดเห็นที่ 42 อาจเป็นเพราะ จากคุณ : นิรมาณ เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 14:48:01

ความคิดเห็นที่ 43 คุณ 30 ครับ จากความเห็นผม 23 เจตนาของผมคือผมไม่ได้เก่ง ไม่ได้จะบอกว่าตัวเองเก่ง แต่ผมกำลังจะบอกคุณว่า บางครั้งตัวผมเองก็เก่งได้ขึ้นเรื่อย ๆ จากเว็บต่าง ๆ ที่สอนภาษาอังกฤษ ถ้าผมเองบอกว่าผมเก่งมาก ผมคงบอกไปแล้วแหละ แต่จริง ๆ แล้ว ผมจะบอกคุณว่า มันสามารถพัฒนาได้จากเว็บไซท์เท่านั้นเองครับ ผมไม่ได้จะหลงตัวเอง ก็เพราะมันยังไม่เก่งจริง ๆ ไงล่ะ ผมก็คนไทย เกิดเมืองไทย อยู่เมืองไทย จะเก่งอังกฤษแบบฝรั่งคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ อีกอย่างนึงประเด็นตรงนี้อาจจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่กำลังรวมถึงประเด็นความรู้ด้านอื่น ๆ เช่น มีคนตั้งกระทู้ถามประวัติอะไรสักอย่างด้วย แล้วแต่ละคนก็ตอบแบบไม่เหมือนกัน แค่นั้นเองครับ ไม่ได้จะบอกว่าตัวเองเก่งเลิศเลออะไร เพียงแต่อยากให้ จขกท ได้รู้ว่าคนเราควรมองกว้างและไม่ใจแคบ ผมแค่อยากแนะนำ จขกท ลองชั่งน้ำหนักดู ระหว่างคนที่เค้าเข้ามาตอบกระทู้จริง ๆ จะผิดหรือไม่ผิดไม่รู้ กับอีกจำพวกคนที่แกล้งเข้ามาตอบเล่น ๆ แบบผิด ๆ สนุก ๆ ถ้าเกิดเป็นแบบพวกที่ 2 มันก็ไม่น่าให้อภัยหรอกครับ แต่ถ้าเป็นแบบแรกนี่ยังโอเค เพราะเค้าอาจจะเข้าใจแบบนี้มาตลอดแล้วก็คิดไปว่ามันถูกต้องมาตลอดระยะเวลาที่เค้าได้ร่ำเรียนมา หรือใช้มา มันจึงทำให้เค้าคิดว่ามันใช่หรือถูก แต่ประเภทแกล้ง ๆ เข้ามาตอบนั้นมันก็คนละเรื่อง ผมเพียงแค่อยากให้คุณใจกว้างกว่านี้ แต่ถ้าพูดกันแบบจริง ๆ จัง ๆ ในเว็บพันทิพย์จะไม่มีคนแบบประเภท 2 ไม่เหมือนเว็บอื่น สำหรับคนที่พอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษบ้างแล้ว ผมเชื่อว่าเค้าสามารถที่จะคิดและไตร่ตรองก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่า "เฮ้ยยย...มันโอเคนะ ประโยคเนี้ย ฉันว่าใช่แน่เลย" แต่ถ้าคุณตั้งกระทู้ถามแล้วมีบางคนมาตอบแบบไม่เข้าแก็ปหรือคุณคิดว่ามันไม่ใช่ คุณก็ผ่านไปก็ได้ครับ ผมเชื่อว่าไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่กำเนิดหรอกครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดว่าในเว็บไม่สามารถเพิ่งพาได้ (เท่าไร) คุณเองก็สามารถหาวิธีอื่นเข้าไปพึ่งได้ครับ (ผมรักคุณหนุ่มไทยไร้นามครับ) แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 53 15:21:43 จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 15:11:58

ความคิดเห็นที่ 44 เจ้าของกระทู้แน่ใจหรือว่าคุณ "รู้จริง" "..ใครแยกไม่ออกก็รับความเสี่ยงไป.." "..เป็นความคิดที่มักง่ายและไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของ ตัวเองเลยนะ.." >> ผมเป็นคนโพสท์ข้อความนั้น ผมรับผิดชอบเอง ไม่หนีหรอก คุณ "รู้จริง" แล้วหรือว่าผมเป็นคนมักง่ายและไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง? มันเข้ากันได้กับคำเรียกร้องในกระทู้นี้ของคุณหรือเปล่าครับ คุณจะเห็นว่าผมเป็นอย่างไรก็เป็นสิทธิของคุณ ห้ามกันไม่ได้ แต่ถ้าหากหนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนจริง การกระทำมาเกือบสิบปีในนี้เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพและเจตนาของผมว่ามักง่่ายและไม่รับผิดชอบจริงหรือไม่  ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมเป้นอย่างไรก็รบกวนไปค้นหาในกุ๊กเกิ้ลด้วยคำค้นหาว่า "แอ๊ด ปากเกร็ด" นะครับ กรุณาอ่านให้หมด อ่านให้ตลอดก่อนทุกๆเรื่องนะครับ ถ้าอ่านแล้วเห็นว่าคนอย่าง แอ๊ด ปากเกร็ด เป็นคนมักง่ายและไม่รับผิดชอบอยู่ก็ไม่ว่ากัน เชิญตามสดวก เป็นหน้าที่ของใครอยากด่าผมต้องไปค้นหาประวัติผมเอาเอง ผมไม่มีเวลามากพอและเห็นว่าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ต้วเองอะไรมากมายปานนั้น ผมขอเรียนว่า ผมก็ยังยืนยันหลักการที่ผมพูดมาอย่างนั้น เพราะนี่คือธรรมชาติประจำตัวของมัชฌิมการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตซึ่งลูกร้อยพ่อพันแม่เข้ามาแปะ รวมทั้งผม รวมทั้งคุณ ใครตาดีได้ตาร้ายเสีย การรู้จักกลั่นกรองข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้วิจารณญาณเป็นคุณสมบัติสำคัญของการท่องอินเตอร์เน็ต ที่นี่ไม่ใช่ที่ซึ่งเหมาะกับคนเชื่อคนง่าย โปรดทราบ คุณสมบัติสำคัญอีกประการหนึ่งของเว็บบอร์ดก็คือ คนทุกคนมีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน หนึ่งคนหนึ่งเสียง เฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายกองไว้ข้างสนาม เมื่อมีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากันแล้ว ผมก็เห็นว่าแฟร์ที่ต้องถือว่าคนทุกคนที่มาโพสท์มาอ่านมีวิจารณญาณเท่ากันไว้ก่อนจนกว่าจะได้พิสูจน์ว่าเป็นอย่างอื่น หลักการซึ่งผู้ใช้จะต้องระมัดระวังตัวเองที่ผมว่ามานี้ ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า caveat emptor/caveat utilitorแปลว่า Let the buyer beware/Let the user beware ซึ่งถ้าหากค้นด้วยกุ๊กเกิ้ลด้วยคำว่า let the user beware ก็จะเห็นว่ามันใช้เป็นคำเตือนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตตลอดจนอุปกรณ์อีเล็กโทรนิคต่างๆให้ต้องระมัดระวังตัวเอง เป็นหลักการสากลครับ ไม่ใช่หลักการของแอ๊ด อ้อ ในทางตรรกะ การที่ผมพูดว่า "..ใครแยกไม่ออกก็รับความเสี่ยงไป.." มีค่าไม่เท่ากับ "ผมเชียร์ให้ใครโพสท์อะไรก็ได้ จริงหรือไม่จริงไม่ว่ากัน" โปรดไตร่ตรองด้วย ผมไม่ได้แย้งคุณ ผมเห็นด้วยกับคุณว่าคนที่จะโพสท์ก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองโพสท์ รวมทั้งคุณ รวมทั้งผม หลักการนี้เขาเรียกว่า caveat venditor หรือ let the seller beware แปลตรงๆคือ คนขายมีหน้าที่ต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่คนซื้อหรือรับผิดชอบต่อคนซื้อ เอ้า พูดมาขนาดนี้ จะเห็นว่าผมเป็นไงก็ตามใจ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 15:54:57

ความคิดเห็นที่ 45 เรารู้น้อย ขอเป็น caveat spectare ละกัน จากคุณ : Guga เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 16:18:14

ความคิดเห็นที่ 46   เอ่อ คุณเจ้าของกระทู้ค่ะ คือว่าหนูก้เปงหนึ่งในหลายๆคนที่เข้ามาตั้งกระทู้ถามภาษาอังกฤษ หนูว่าแบบเดิมก้ดีอยู่แล้วน่ะค่ะ แบบว่าหนูก้ไม่ได้ต้องการผู้รู้จริงอย่างที่เจ้าของกระทู้ต้องการหรอกน่ะค่ะ ความสามารถในการกลั่นกรองข้อมูลว่าคำตอบแบบไหนน่าเชื่อถือมากกว่ากันมันไม่ได้ยากมากขนาดนั้นอ่าค่ะ เนื่้องจากปกติพี่ๆที่เข้ามาตอบคำถามเค้าก้แนบแหล่งอ้างอิงข้อมูลมาให้หนูด้วย การที่คุณเจ้าของกระทู้ต้องการผู้รู้จริงน่ะ อ่า...หนูคิดว่ามันเป็นการจำกัดสิทธิพี่ๆที่อุส่ามีน้ำใจเข้ามาตอบน่ะค่ะ คุณเจ้าของกระทู้อาจมีเจตนาดี แต่สำหรับตัวหนูซึ่งเป็นหนึ่งในน้องๆที่เข้ามาถามคำถามไม่ต้องการผู้รู้จริงเหมือนอย่างที่คุณเจ้าของกระทู้คิดว่าพวกหนูต้องการแบบนั้นน่ะค่ะ หนูคิดว่าความคิดเห็นของคุณเจ้าของกระทู้เป็นความต้องการเพียงคนเดียวอ่ะค่ะ สำหรับตัวหนูแค่มีเพียงคนมาตอบคำถามให้ ไม่ว่าผิดหรือถูก หนูก้ดีใจมากๆแล้วล่ะค่ะ เพราะรู้ว่าพี่ๆทุกคนมีน้ำใจเข้ามาให้คำตอบเป็นวิทยาทาน ต้องขอบคุณพี่ๆเค้าด้วยซ้ำมากกว่าอ่าค่ะ จากคุณ : I'm what I am ka (I'm what I am ka) เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 17:03:48

ความคิดเห็นที่ 47 ก็ จากคุณ : ta/'o-o/' เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 17:09:31

ความคิดเห็นที่ 48 นิยามของคำว่า ผู้รู้จริง ไม่ตรงกันอ๊ะป่าวหว่า กระทู้นี้ถึงได้ยาวขนาดนี้ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 19:48:52

ความคิดเห็นที่ 49 เราคิดว่า เราอธิบายชัดเจนทุกอย่างแล้วนะ คนฟังที่มีEgo แรง ถ้ารุ่นราวคราวเดียวกับเราหรือรุ่นน้อง ก็คงพอเตือน พอรั้งกันไหว ว่าอย่าทำอะไรมักง่ายกันนักเลย แต่ถ้าเป็นผู้เฒ่าหัวดื้อ อัตตาแรงสูง คิดแต่ว่าตัวเองถูก ไม่ยอมรับฟัง อันนี้เราคงไม่บังอาจไปแตะต้องหรอก  คงได้แต่รอให้เขาเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาเท่านั้น  ทำได้แค่นั้นจริงๆ... จากคุณ : positive thought เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 22:27:47

ความคิดเห็นที่ 50 You call yourself 'positive thought'? You'd better change it sooner than later. จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 23:37:08

ความคิดเห็นที่ 51 นั่นน่ะสิ ผู้เฒ่าหัวดื้อ อัตตาสูง คิดแต่ว่าตัวเองถูก ไม่ยอมรับฟัง เดี๋ยวก็คงตายเอง ไม่ต้องให้คนอื่นเดือดร้อนนานนัก แต่ว่าคนหนุ่มที่หัวดื้อ อัตตาสูง คิดแต่ว่าตัวเองถูก ไม่ยอมรับฟัง คงจะอีกนานถึงตาย จะทำไงดีล่ะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 23:44:23

ความคิดเห็นที่ 52 บอกได้เลยว่า ไม่มีใครในโลกนี้ "รู้จริง" สักคน ตำราเองยังผิดแล้วผิดอีก แก้แล้ว เพิ่มอีก ลดแล้ว มีใบแนบอีก มี 1st edition มี 29th edition ถ้ามัน "จริง" จริงๆ คงมีแค่เล่มเดียว ใช้ไปตอลด แต่ความรู้มันไม่ใช่ มันมีเพิ่ม มีเปลี่ยนแปลง มีผิดในเวลาหนึ่งๆ มีถูกในเวลาหนึ่งๆ เสมอ ถ้าเป็นแบบนั้น คงไม่ต้องตอบกระทู้อะไรกันล่ะ ไม่ต้องมีถก มีวิเคราะห์วิจารณ์อะไรกันอีก ถ้าทุกๆ อย่างมัน absolute "รู้จริงป่ะ" ขนาดนั้น --- ผู้เฒ่า อัตตาสูงยังไม่เท่าไหร่ อีกไม่นานก็เหี่ยวเฉาไป แต่ผู้เด็ก ผู้อ่อน อัตตาสูงตั้งแต่ยังน้อย รังแต่จะเป็นปัญหา น่าเป็นห่วงกว่าผู้เฒ่าเยอะ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 4 มิ.ย. 53 23:57:25

ความคิดเห็นที่ 53 Thanks ka khun หนุ่มไทยไร้นาม and khun tnu for your clarification on "elephant's ear." Thanks for your comment #31, khun positive thought. I do agree with you when you said "เพราะน้องๆหรือเพื่อนๆบางคน เท่าที่ดูภาษาอังกฤษพื้นฐานยังค่อนข้างจะอ่อน หากแนะนำไปผิดๆ ก็จะจำไปผิดๆ" And with what khun ร่วมด้วยช่วยกัน said in comment #35 "...เพราะการศึกษานั้น หากรับรู้ไม่ถูกต้องเสียตั้งแต่แรกเริ่ม การจะมาตามแก้ไขภายหลังนั้น มันยากจริงๆ..." A perfect example would be how some of us were taught to (mis)pronounce "juice" as "jui-s" (with "ย") not "joos." Yes, some may argue that they've pronounced it "jui-s" (with "ย") and farangs can understand them. Shouldn't we, however, have a chance to learn the "proper" (if not the "right") way to say it? And if you're like me, you'd know how hard it was for me to have to re-learn and correct myself to pronounce this and other words so farangs would understand me right away. So there'd no more I-don't-understand-what-you-just-said's from them. (Disclosure: I'm still re-learning every single day. So I'm no guru.) I do agree that people should not believe everything on the Internet. (But...but...if it's on the Internet, it must be true!!! ha ha) khun positive thought, I think you've made it clear (at least to me) that your concern is for those youngsters, say maybe 12-14 years old kids who are probably unaware of Kalama Sutta, and those who are not very proficient in English. I'd like to say thanks for your thoughtfulness but I guess they'd have to learn to discern things for and by themselves at some point. Who knows? Maybe they can learn better from their mistakes? On the other hand, there are a lot of people who come here just for a quick answer. How often have you seen kratoos like "what does this word mean?" They don't even care to look up the definitions in dictionary! I'd love to see them change, but... You've exercised your right to free speech and so have others. After this "discussion," I think each of us can decide for ourselves what our role will be in this forum. If one wants to take your advice, fine. If one doesn't, that should be fine too, right? Peace. จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 01:51:47

ความคิดเห็นที่ 54 ผมจัดอยู่ในกลุ่มผู้เฒ่า อีกไม่นานผมก็ต้องลาโลก ผมพยายามถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาให้แก่คนรุ่นหลัง ใครอยากได้ก็รับไป ใครไม่อยากได้ก็แล้วแต่เขา อย่าลืมว่ากระทู้ถามเรื่องการแปล บ่อยมากที่ไม่ใช่การช่วย edit ให้อย่างเดียว แต่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องแถมให้ไปเพียบ ยกตัวอย่าง เมื่อประมาณ 2 ปีมานี้ มีนักศึกษาปริญญาโทด้านการแปลมาตั้งกระทู้ในห้องย่อยรวมพลนักแปล ขอให้ช่วย edit งานของเขา ค่อนข้างยาวครับ ก็เข้าไปช่วยกันคนละไม้คนละมือ ผมเองก็เข้าไปช่วยในส่วนที่ผมถนัด มีตอนนึงนะเขาพูดถึงเรื่องวิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน มักจะปลูกบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำ การสัญจรทางน้ำจะได้สะดวก ที่ปลูกเป็นเรือนแพก็มี เจ้าเรือนแพนี่แหละ นักศึกษาคนนั้นเขาบรรยายว่าคนสมัยก่อนปลูกเรือนแพ across the river ผมอ่านแล้วสะดุ้งโหยง เข้าใจได้ทันทีว่าเด็กคนนี้ไม่เคยเห็นของจริงเลย ก็แน่ละ เพราะเขาเกิดไม่ทัน เลยนึกภาพของจริงไม่ออก ถ้าขืนไปปลูกเรือนแพ across the river เป็นได้ถูกไม้พายแพ่นกบาลเอาน่ะสิ เพราะไปกีดขวางเส้นทางสัญจรทางน้ำของเขา ผมเลยแก้ให้เป็นว่า along the riverside เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง เพิ่มเติมสภาพความเป็นอยู่อื่นๆ ในสมัยนั้นแถมให้ไปด้วย เรื่องการ edit ภาษาอังกฤษนั้นต่างหาก ผลจากการที่ผู้เฒ่าทั้งหลายเข้ามาช่วยกันในกระทู้นั้น สุดท้ายแล้วนักศึกษาคนนั้นเข้ามาตั้งกระทู้ขอบคุณ ขอบคุณทุกคนเป็นการใหญ่ เพราะเขาได้ A จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 05:06:25

ความคิดเห็นที่ 55 หลักการ caveat emptor ผมได้ถกแถลงไปแล้ว คงไม่มีอะไรเพิ่มเติม มันเป็นหลักการที่มองได้หลายมุม ซึ่งก็ขึ้นกับการให้เหตุผลของแต่ละคน แต่ยังคาใจตรงประเด็นนี้ การกล่าวว่า ".."..เป็นความคิดที่มักง่ายและไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของ ตัวเองเลยนะ.." ของ จขกท ไม่ได้โกรธเคืองอะไร มีท่านที่เคารพนับถือหลังไมค์คุยกับผมว่าอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ผมก็ขอขอบคุณท่าน แต่ว่าประเด็นนี้ผมเห็นว่าสำคัญและไม่อาจมองข้ามได้ จึงขออนุญาตเพื่อนร่วมกระทู้นี้อีกครั้ง ท่านที่รำคาญเห็นว่าผู้เฒ่าหัวดื้อ ไม่ยอมรับฟัง ก็โปรดลากเมาส์ข้ามไปเถิด ประเด็นที่ต้องการจะนำเสนอก็คือ การเปลี่ยนท่าทีของ จขกท จากการถกแถลงในหลักการด้วยการใช้เหตุผล มาเป็นการโต้แย้งด้วยการโจมตีตัวบุคคลอย่างที่เรียกว่า argumentum ad hominem ด้วยถ้อยคำข้างต้น จริงๆแล้ว แค่นี้จิ๊บจ๊อย ผมผ่านประสบการณ์อย่างนี้มามากเกินกว่าจะพรรณนา ไม่ได้ระคาย ขอกันกินมากกว่านี้ แต่ว่าแปลกใจและคาใจตรงที่เจ้าของกระทู้ซึ่งเรียกร้องการแสดงออกด้วยการ "รู้จริง" โดยจุดประสงค์เพื่อการเรียนรู้ที่ถูกต้องของเยาวชน กลับแสดงออกด้วยการออกมาละเมิดด้วยการจาบจ้วงคู่โต้แย้งด้วยวาจาผรุสวาทเสียเอง อย่างนี้เยาวชนที่ท่านเป็นห่วงจะได้เรียนรู้อะไร? ผมได้เรียนรู้อะไรจากการเสวนาในเว็บบอร์ดนี้ไปมากมาย ผมก็หวังว่าเจ้าของกระทู้จะได้เรียนรู้บ้างเช่นกัน ขอร้องว่า ถ้าจะเถียงกัน ก็ขอให้รักษาฟอร์มของการใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และเหตุผล มาว่ากัน ไม่ใช่ด้วยการโจมตีตัวบุคคล นี่คือประเด็นที่ผมต้องการนำเสนอในวันนี้ ถ้ามีเยาวชนอ่านอยู่ก็ขอให้หนูๆทั้งหลายได้รับทราบและเรียนรู้ในประเด็นนี้ด้วยเถิด จะได้ไม่จำอะไรที่ไม่ถูกต้องไปใช้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 06:10:47

ความคิดเห็นที่ 56 ใช่แล้วครับ คุณแอ๊ด คุยกันในเน็ตนี่มันต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการและเหตุผล ขาประจำห้องนี้เขารู้กันดีว่าใครฝีมือเฉียบขาดขนาดไหน ใครมีวุฒิภาวะแล้วหรือยังไม่มี ถ้ายังไม่มีก็สอนกันไป ถ้าเขายังไม่รับก็คงต้องอาศัยเวลาเป็นตัวช่วย เวลา จะช่วยบ่มเพาะให้เขามีวุฒิภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในที่สุด ส่วนใครจะใช้เวลาในการบ่มเพาะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 53 10:05:14 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 09:19:58

ความคิดเห็นที่ 57 จริงๆแล้ว พวกผู้เฒ่าทั้งหลายในนี้ (หลายคนก็เหี่ยวเฉาตายไปแล้วจริงๆ) โดนกันมามากแล้วเป็นเวลา นับสิบปี รวมทั้งผู้ที่เติบโตมาในนี้ ก็โดนกันมาแล้วมากมาย ดังนั้นภูมิคุ้มกันก็พอมีสูงอยู่ เอาละ ผู้คนในนี้เป็นใครกันบ้าง ทำอะไรอยู่บ้าง หลายๆคนอาจจะรู้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่รู้ ผมจึงคิดว่า อย่างไรเสีย แต่ละคนก็จะต้องให้ความเคารพกันในเรื่องของความคิดเห็น และในเรื่องของความเข้าใจ เพราะทุกคนไม่ได้เกิดมาแล้วคิดเหมือนกัน หรือรู้เท่ากันหมด เรื่องที่ไม่เห็นด้วยต่างก็หักล้างกันไปด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยการใช้ภาษาที่ก้าวร้าวและจาบจ้วงอันเป็นการ แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่แท้จริง ของผู้นั้น ในขณะที่ผู้ที่ให้ยังคงอยู่เพื่อช่วยกันต่อไป ผู้ตั้งแง่ต่างหาก ที่เป็น ผ่ายหายไป บางครั้งก็ไปโจมตีที่อื่น แล้วก็ซาหายไป อันที่จริง จขกท. ก็มีเจตนาดีนะ เพียงแต่ว่าครึ่งแรกของกระทู้อ่านแล้วรู้สึกว่า วางข้อ ไปนิด ส่วนครึ่งหลังก็ เป็นการแนะนำที่ดี สำหรับผู้ที่จะเข้ามาตั้งกระทู้ถาม ผมว่า จขกท. ไฟแรง และหวังดี แต่ยังใหม่ต่อที่นี่อยู่ ตั้งสติซักหน่อยแล้วจะรู้ว่า ที่นี่เขาอยู่กันอย่างไร...ผมกล้า พูดได้เต็มปากเลยว่า จขกท. เป็นคนที่ใหม่ที่สุด ในจำนวนของทุกคนที่ตอบกันในกระทู้นี้...หรือไม่จริง! จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 11:07:38

ความคิดเห็นที่ 58   "Who knows? Maybe they can learn better from their mistakes?" ชอบ comment ของ คห. 53 ( Genuine XXX ) มากๆ ขอบอก！！เลยขอถือโอกาสนี้คัดลอกสุภาษิต/คำคมที่สนับสนุน comment ดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ "ความผิดพลาด" ก็เป็นบทเรียนให้เราได้ ซึ่งสอดคล้องกับสำนวนของไทยที่ว่า "ผิดเป็นครู" พร้อมทั้งขอเชิญชวนน้องๆ พี่ป้าน้าอา มาหาความรู้เพิ่มเติมจากสำนวนและภาษิต เพราะได้ทั้งภาษา คติเตือนใจ จึงนับเป็นการเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ผลคุ้มค่าอีกวิธีหนึ่ง - You learn thru mistakes no one was born a master. (คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่มีใครเป็นครูมาตั้งแต่เกิด) - Experience is the name men give to their mistakes. (ความรู้ความชำนาญเป็นสิ่งที่มนุษย์ถือว่ามาจากความผิดพลาดของตน) - There is no greater guide to success than the lessons taught by our own mistakes. (ไม่มีเครื่องชี้ทางไปสู่ความสำเร็จได้ยิ่งใหญ่เท่ากับบทเรียน ที่เกิดจากความผิดพลาดของเราเอง) - Wise man learn others’ mistake; fools by their own. (คนฉลาดเริ่มเรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่น แต่คนโง่เรียนรู้จากความผิดของตนเอง) - By others’ faults wise man correct their own. (คนฉลาดจะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองได้ ด้วยการสังเกตข้อผิดพลาดของผู้อื่น) - It is good to learn at another man’s cost. (นำความผิดพลาดของคนอื่นมาเป็นบทเรียน) จากคุณ : ร่วมด้วยช่วยกัน เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 12:36:07 A:58.8.46.91 X: TicketID:255444

ความคิดเห็นที่ 59   ขอแก้ข้อผิดพลาด ในสำนวนนี้ - By others’ faults wise man correct their own. (เปลี่ยนคำว่า man เป็น men ) - By others’ faults wise men correct their own. (คนฉลาดจะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเองได้ ด้วยการสังเกตข้อผิดพลาดของผู้อื่น) ขออภัยในความ "ผิดพลาด" จากคุณ : ร่วมด้วยช่วยกัน เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 12:43:20 A:58.8.46.91 X: TicketID:255444

ความคิดเห็นที่ 60   เจอที่ผิดอีกแล้ว เลยต้องเข้ามาแก้ (เปลี่ยนคำว่า man เป็น men ) - Wise men learn others’ mistake; fools by their own. หมายเหตุ....หากใครเจอข้อผิดพลาดอีก ช่วยกรุณาทักท้วงแก้ไขให้ด้วย ไม่ไหวจริงๆ ลืมตรวจทานที่วานให้ typist เขาช่วยพิมพ์ให้ เป็นเรื่อง-งานเข้าทุกที！ ขออภัยในความไม่สะดวก จากคุณ : ร่วมด้วยช่วยกัน (ไม่รู้จริงๆ) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 18:32:21 A:58.8.46.91 X: TicketID:255444

ความคิดเห็นที่ 61 ... คห.57 ... ถูกใจอย่างแรงเลย ... ในท่อนสุดท้าย ... จากคุณ : เคมีรามคำแหง เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 23:58:18

ความคิดเห็นที่ 62 ไม่ออกความเห็นดีกว่า เข้ามาอ่านๆๆๆๆ ^^ จากคุณ : PoUpeE เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 11:34:18

ความคิดเห็นที่ 63 Wow,this post keeps going on, like, forever. Kewl kewl kewl. When I first read the "post" from Khun positive thought,I knew exactly by heart that you intended to do something useful for many of our young learners in this room. From the paragraph saying " people should help themselves first before asking for help from others, I couldnt' agree more kub. By some reasons,however, when I was reading along in each paragrah, I started feeling like the "tone" of this aritcle just felt so " dry" and sounded a little bit "bigheaded" to me. They say one of the best way to learn is "learning by making mistakes" so I cant say i agree with the idea in the second and the third paragraph according to ur " you must be perfect, surely correct, to help people with English " Noone's  perfect kub. English, not only, requires Grammar from a professor in a famous university,but also from those who speak slangs,who's too lazy to write down the whole letters in a word which is that's why we have this "lol" for laught out loud" or "xoxo" for " kiss hug kiss hug" You made English really sounds like Mathemetics. That's actually so interesting,because there's not always only "one"answer when it comes to communication. Unlike,1+1 equals 2. As long as you can comminicate with the world, you are already succesful kub. And to live your life with one of these fampus Buddhist mottos  “อัตหิ อัตโน นาโถ”  is good kub,but I just don't like how you ended your speech loey. This is just an open discussion na kub. Nothing personal Have a stellar day, อรุณสวัสดิ์ครับพี่น้องชาวไทย จากคุณ : เจ้าชายน้อยคอยรัก (เจ้าชายน้อยคอยรัก) เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 53 11:59:47