ความคิดเห็นที่ 1 เคยเห็นคนนึงจบราม ออกทีวี อายุจะ 80 แต่ยังอุตส่าห์จบ แต่ผมจำชื่อไม่ได้ครับ ลองหาหนังสือ ที่อธิบายเรื่อง กฏแห่งการดึงดูด อ่านดูครับ ประมาณว่า คุณคิดแบบไหน ก็ได้อย่างนั้นน่ะครับ แต่ว่าจะคิดยังไง ลองหาซื้อมาอ่านดู -The Secret - รอนดา เบิร์น -The Top Secret - ทันตแพทย์สม สุจิรา -หนังสือของบัณฑิต อึ้งรังษี จากคุณ : Superguiman เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 17:11:44

ความคิดเห็นที่ 2 ^ ^ เจอแล้วคับ ในกระทู้นี้ คห 16 http://topicstock.pantip.com/social/topicstock/2009/05/U7916693/U7916693.html มีทั้ง ลุง 80 กับ ป้า 47 ไฟต์ เรียนตรีเลยคับ จากคุณ : ramai เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 18:21:43

ความคิดเห็นที่ 3 Nola Ochs เริ่มเรียนปริญญาโทเมื่ออายุ 95 ที่มหาวิทยาลัย Fort Hays ค่ะ ตอนที่เรียนจบอายุ 98 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 21:18:29

ความคิดเห็นที่ 4 จขกท คงไม่ได้แก่มาก ผมเอาตัวอย่างเจ้านายนะครับ จบแค่ อัสสัม เทียบเท่า ปวช ก็ออกมาทำงานเลย จนได้เงินเดือนเกือบแสน ค่อยมาเรียนสุโขทัยเมื่อ 5 ปีก่อน จบตรีใน 3 ปี เมื่ออายุ 55 และเมื่อทางบริษัทจัดอบรม mini MBA จากจุฬา เมื่อปีที่แล้ว ก็สมัครเรียนด้วย ทำคะแนนได้ดีกว่าหนุ่มๆ สาวๆ ในบริษัทที่เรียนด้วยกันอีก 555 คนมันจะเก่ง จะเรียนช้า เรียนสาย ก็ยังเรียนเก่งได้ อายุเจ้านายผม 58 ปีนี้ เท่าผม เงินเดือนมากกว่าผมหน่อย แต่ผมจบปริญญาตรี โท นอก นักเรียนทุน 555 แล้วบางคนอาจสงสัย ทำไมคนจบ ปวช เป็นเจ้านายคนจบตรี โท นักเรียนทุนเมืองนอกได้ ตอบง่ายๆ ก็เข้าทำงานมาก่อนผมนานมาก ประสบการณ์สูง ความสามารถมี บริษัทผมไม่ได้ดูแค่ใบปริญญา เจ้านายอยู่ในระดับผู้จัดการ ผมรองผู้จัดการครับ ปล. สมัยนี้แปลก ตำแหน่งบางบริษัทก็เป็นกันได้ง่าย ลูกสาวผม ทำงานปีนี้เป็นปีที่ 5 ได้เป็น assistant manager แล้วในบริษัทข้ามชาติ ระดับเดียวกับผมเลย อายุยังไม่ถึง 30 แต่เงินเดือนยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผม แต่รับรองภายใน 10 ปี เงินเดือนเกินผมแน่นอน 555 แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 53 22:27:51 แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 53 22:26:09 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 53 22:17:46

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่ามีเยอะนะในพันทิพนี่แหละ แต่ไม่ได้หมายถึงการเรียนด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการได้มาซึ่งหนังรับรองวุฒิจากสถาบันการศึกษาในระบบนะ ผมหมายถึงหลายๆท่านที่มีเวลาว่างหลังเกษียณแต่ยังมีความคิดโลดแล่นไม่รู้หยุดก็จะศึกษาไปเรื่อยๆด้วยความอยากรู้ในสิ่งที่สนใจจะรู้ หรือไม่ก็กลับไปทบทวนเรื่องที่เคยเรียนมาอย่างลวกๆแค่พอสอบผ่านในสมัยเรียน ไม่งั้นก็คงไม่มานั่งเล่นเน็ตให้หลานมันถามว่า คุณปู่เล่น facebook ด้วยหรือครับ อิอิ จากคุณ : Cyber Sage เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 10:46:38

ความคิดเห็นที่ 6 ผมสอบเข้าเรียน ป.โท ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขนในหลักสูตร ปกติ ใช้เวลาเรียนเช่นเดียวกับนิสิต/นักศึกษาภาคปกติ เริ่มเรียนเมื่อปี 2539 จบในปี 2542 ตอนเข้าเรียนอายุ 53 ปี เพื่อนร่วมชั้นเรียนอายุน้อยสุด 23 ปี จากคุณ : satitp เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 23:39:09

ความคิดเห็นที่ 7 เราเริ่มเล่นเน็ตเมื่ออายุประมาณ 50 ปี หัดใช้คอมพิวเตอร์เอง หัดซ่อมเอง ส่วนใหญ่จะซื้อหนังสือจากต่างประเทศมาอ่านเอง แต่ตอนนี้มีปัญหาอะไรก็ใช้ google ลูกเดียวเพื่อหาคำตอบ ตอนนี้เราทำอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต งานอดิเรกเราคือการทดสอบ software ส่วนใหญ่แล้วเวลาคอมพิวเตอร์เสียเรามักจะซ่อมเองได้ แต่ช่วงหลังๆนี้เราส่งช่างซ่อมหมด เพราะใจร้อนกลัวโมโหดึงชิ้นส่วนพังยับเยิน...555+++... เราเริ่มเรียนการแปลกับบริษัทแปล (ไม่ได้เรียนปริญญาโทการแปล) เมื่ออายุ 45 แล้วแปลแต่เอกสารมาตลอด มาเริ่มแปลหนังสือเล่มแรกเมื่ออายุประมาณ 56 เราไม่เคยชอบภาษาอังกฤษเลย แต่ไม่รู้จะทำมาหากินอะไรก็เลยจำใจเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เราเพิ่งมาเริ่มเรียน grammar เมื่ออายุประมาณเกือบๆ 60 เรียนๆไปแล้วเบื่อหยุดเรียนไปนานแล้ว...แต่เปลี่ยนไปเรียนลัดโดยการที่ตอนแปลหนังสือภาษาอังกฤษยากๆเป็นภาษาไทยให้สำนักพิมพ์เราจะตัดต่อประโยคภาษาอังกฤษที่นักเขียนฝรั่งเขียนสวยๆมาเก็บสะสมไว้ (ใช้ software จัดหมวดหมู่ sentence structure types) แล้วเอาไปหัดเขียนใหม่เองให้พลิกแพลงหลายๆรูปแบบ เราเคยคิดจะไปเรียนภาษาอังกฤษต่อในมหาลัยแต่ไม่มีเงินไปเรียนต่างประเทศ เรียนได้แต่มหาลัยไทย แต่พออ่านๆเนื้อหาหลักสูตรภาษาอังกฤษมหาลัยไทยดู เรากลับคิดว่าเราเขียนหลักสูตรภาษาอังกฤษขึ้นมาสอนตัวเราเองจะดีกว่าหลักสูตรมหาลัยไืทยหลายๆเท่า การไปเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษในมหาลัยไทยมันเท่ากับเป็นตัวถ่วงทำให้เราเก่งช้าลง...เราว่าเราใช้ google หา textbooks ที่เขาใช้เรียนภาษาอังกฤษกันในมหาลัยต่างประเทศ กับสื่อการสอนอย่างอื่นอีกหลายๆอย่าง เช่น video clips บันทึกการสอนภาษาอังกฤษในมหาล้ัยต่างประเทศ มาเรียนภาษาอังกฤษเองจะดีกว่า ไม่ได้ใบปริญญามาเป็นใบเบิกทางก็ช่างมัน เราว่ามันท้าทายดีว่าเราจะหางานด้านภาษาอังกฤษทำแข่งกับคนที่เรียนจบโดยตรงมาทางด้านภาษาอังกฤษได้หรือไม่...555+++... แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 10:28:34 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 08:54:29

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนอายุ 56  เราไปให้เลือดแม่เราที่โรงพยาบาลและแม่เราขาซ้ายพิการไปแล้วเพราะ spinal misalignment (กระดูกสันหลังบิดเบี้่ยวผิดแนวธรรมชาติ)ต้องผ่าตัดเปลี่ยนลูกสะบ้า ตอนนั้นขาขวาเราก็กำลังจะพิการเพราะกระดูกสันหลังเรามีปัญหาเหมือนแม่เรา (เพียงแต่กระดูกสันหลังบิดเบี้ยวกลับกันคนละทิศ)...เรายอมรับชะตากรรมตัวเองว่าคงต้องพิการ แต่อยู่ดีๆเราอ่านหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne แล้วเรียนรู้เรื่อง The Law of Attraction กระแสจิตพาปลายนิ้วมือเราดึงดูดพาเราไปที่เวปของชาวฮินดู เราเห็น chart แสดงสายลมปราณที่กระดูกสันหลัง "เราเลยเรียนรู้วิธีการเคลื่อนย้ายกระดูกสันหลังเราทุกปล้องให้กลับเข้าแนวธรรมชาติได้" มันทำให้เรารู้ว่าสมัยเด็กๆทำไมเรามี iq ต่ำกว่าเด็กทั่วๆไป ป่วยเป็น ocd (ย้ำคิดย้ำทำ) และป่วยเป็นอาการประสาทอย่างอื่นอีกมากมายเช่น adhd (สมาธิสั้น) จนเรียนหนังสือไม่เก่งตอนเด็กๆ กระดูกสันหลังบิดเบี้ยวทำให้การสื่อสารระหว่างร่างกายกับสมองไร้ประสิทธิภาพ วิธีการของชาวฮินดูทำให้เรารอดพ้นจากความพิการมาได้อย่างหวุดหวิด ในขณะที่ spinal misalignment ค่อยๆทำให้แม่เราอ่อนแอลงเรื่อยๆจนตายไปแล้วเมื่อไม่กี่วันนี้เอง จากนั้นเราไปค้นพบ video clips สอน belly dance เราเลยลองฝึกเต้นระบำแบบนี้ดู มันทำให้เราพลิกมุมตะโพกและกระดูกสันหลังให้เข้าแนวธรรมชาติได้เป็นอย่างดี จนตอนนี้เราเปิดคัมภีร์ของนักพรตเต๋าที่เคยฝึกไว้ไม่สำเร็จ เอามาฝึกใหม่ ผลปรากฎว่าเราเปลี่ยน cells ร่างกายและสมองได้อย่างผ่าเหล่าผ่ากอ (biological transmutation) จนกลายเป็นเรียนรู้อะไรใหม่ๆได้รวดเร็วมากๆเมื่ออายุยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และกระดูกเราเปลี่ยนคุณภาพไม่เจ็บเมื่อย สุขภาพเรากลายเป็นดีกว่าตอนเด็กๆ ลองฝึกมวยจีนดูใหม่รู้สึกว่าเราจะส่งกำลังภายในออกไปได้ดีกว่าเดิมทำให้ร่างกายว่องไวกว่าเดิมออกอาวุธได้รวดเร็วกว่าเดิมอีกหลายๆเท่า และหน้าตาเราก็ยังดูอายุไม่มากนัก เพราะผิวกายเราไม่มีเหี่ยวย่นเลย ที่งานศพแม่เราพวกญาติห่างๆพอลำดับญาติกันเรากลายเป็นคุณปู่ไป ญาติหลายๆคนที่ไม่เคยเจอเรารู้อายุเราแต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเราจะหน้าตาเด็กขนาดนี้ คือเรากลับหน้าตาเด็กกว่าลูกพี่ลูกน้องเราที่อายุน้อยกว่าเราตั้งหลาย 10 ปีเสียอีก แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 53 10:54:33 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 08:58:57

ความคิดเห็นที่ 9 ตอนนี้เราพร้อมแล้วที่จะเรียนรู้ศาสตร์อะไรใหม่ๆ แต่เราไม่สนใจที่จะเรียนมหาลัย เรากำลังศึกษาวิชา alchemy (วิชาเล่นแร่แปรธาตุที่เปลี่ยน cells สมองและร่างกายแบบผ่าเหล่าผ่ากอ (ที่เรียกว่า biological transmutation) ของนักพรตเต๋าเพื่อทำให้ร่างกายและหน้าตาเรากลายเป็นเด็กมากกว่านี้ เราพยามฝึก photographic memory กับ super iq ให้สำเร็จ บางทีเรานั่งสมาธิเพื่อสื่อสารกับวิญญาณนักเขียนฝรั่งเก่งๆให้เข้ามาสิงร่างเราเพื่อสอนภาษาอังกฤษให้กับเรา...มันเป็นการใช้ parapsychology เรียนภาษาอังกฤษ เราจะได้เรียนภาษาอังกฤษชนะึคนที่มีเงินเรียนภาษาอังกฤษในมหาลัยแพงๆในต่างแดนได้ มันท้าทายดี เพราะคนพวกนี้เคยพยายามข่มเราเรื่องความเก่งภาษาอังกฤษของพวกเขา จนกระทั่งแฟนเก่าเราเคยล้อเราว่า "tansy (ชื่อเดิมเรา) แย้มฝาโลงศพขึ้นมาเรียนภาษาอังกฤษแข่งกับเด็กอัฉริยะทางด้านภาษาอังกฤษที่มีเงินไปเรียนมหาลัยต่างประเทศ...555+++..." ยิ่งอายุมากเราก็ยิ่งบ้า...(บางทีก็บ้าจริงบางทีก็แกล้งบ้า) คิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน...แถมยิ่งแก่ตัวก็ยิ่งตันหากลับ...เรามีแฟนอายุคราวลูกเรา...555+++....   เราอยากให้คนแก่ทุกคนคิดแบบเราคือ Day by day, in every way, I'm getting better and better. เราจะเปิดชมรม คนแก่จิตใจวัยรุ่นสมองพัฒนาก้าวไกล ถ้าเปิดชมรมได้ เราจะเปิด course หน้าเด้งกับ course เตะปี๊บดังเมื่อวัยเกิน 100 ปี...เรามี technologies มากพอที่จะทำให้ สาวแก่ที่ผิวเหี่ยวย่นไปแล้วพอเข้า course นี้จะเต่งตึง sexy ขึ้นมาทันที จนพวกหนุ่มๆพากันมองเหลียวหลัง...555+++...เราจะจัดชกมวยระหว่างคนแก่อายุเกือบ 100 ปีกับเด็กวัยรุ่นเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า wuxia (นิยายเกี่ยวกับนักวรยุทธ์) ของจีนไม่ได้โม้ เวลาคนแก่อายุเกิน 100 ปีชกต่อยชนะเด็กวัยรุ่นได้ เพราะใช้กำลังภายใน ไม่ได้ใช้พลังกล้ามเนื้อแต่อย่างเดียว จะมีการแข่งขันอย่างอื่นเช่นหมากรุกหรืออะไรที่ต้องใช้สมองคิดระหว่างคนแก่กับเด็กหนุ่มๆสาวๆเพื่อท้ิาพิสูจน์สมรรถภาพสมองคนแก่ เพื่อให้สังคมไทยเลิกคิดว่า "คนแก่ไม่ใช่สมองฝ่อไปตามวัย ถ้าดูแลสุขภาพตัวเองให้ถูกต้อง จะสมองดีขึ้นเรื่อยๆต่างหากล่ะ" คนแก่หัวใจหนุ่มสาวที่อ่านเจอ แล้วอยากมาร่วมกันช่วยกันสร้่างชมรมคนแก่หัวใจวัยรุ่นก็มาลงร่วมชื่อกันได้ที่นี่...จะได้เิปิดห้องใหม่อีกห้องหนึ่ง...อิๆๆ.. จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 09:11:24

ความคิดเห็นที่ 10 สรุป ศาสตร์สำคัญที่สุัดซึ่งคนแก่ควรเรียนเป็นลำดับต้นๆ ไม่ใช่วิชาที่สอนกันในมหาลัย เพราะพอเรียนจบก็หน้าตาเหี่ยวย่นจีบเพศตรงกันข้ามไม่ได้ เดินกระย่องกระแย่ง ใกล้จะตายอยู่แล้ว วิชาที่เรียนมาก็เอาไปใช้ได้ไม่นานนักก็จะจากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึงควรเรียนศาสตร์เร้นลับว่าด้วยการเปลี่ยน cells ร่างกายและสมองให้กล้ับเป็นเด็กใหม่ได้เสียก่อนเป็นลำดับต้นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการฝึกสมาธิและลมปราณเพื่อให้ร่างกายผลิต sex hormones ในปริมาณที่มากๆ จะได้หน้าตาไม่เหี่ยวย่น เตะปี๊บดัง และมีแรงชกต่อยชนะเด็กหนุ่มที่แข็งแรงมากๆได้  จะได้ไม่เสียศักดิ์ศรีคนแก่ จากนั้นจึงค่อยๆใจเย็นๆเรียนวิชาอะไรอย่างอื่นก็ได้ เพราะชุบชีวิตให้ร่างกายและจิตใจกลับเป็นเด็กใหม่ไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง ราวกับงูลอกคราบ...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 53 10:41:51

ความคิดเห็นที่ 11 เอ่อ คุณ fortuneteller คะ เปิดคอร์สหน้าเด้งเมื่อไหร่ รีบส่งข่าวเลยนะคะ เหอ ๆ ๆ ๆ จากคุณ : papa mama love u เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 22:34:36