ความคิดเห็นที่ 1 อีสาน กลาง เหนือ ใต้ ในประเทศเดียวกันยังตีกันเลยครับผม ไม่ต้องไปเอา ฝรั่ง ไทย ญี่ปุ่นหรอกครับ ผมว่ามันไมไ่ดอยู่ที่ภาษานะ มันอยุ่ที่  ผมไม่รุ้จะเรียกว่าอะไร โครโมโซม  ความคิด เผ่าพันธ์นั้นๆเลยนะ อยากยกตัวอย่างบ้านเราแต่กลัวดราม่า จากคุณ : chelsit เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 53 18:59:09

ความคิดเห็นที่ 2 คุณ chelsit ตรงประโยค ----> "เผ่าพันธ์นั้นๆ"  นี่โดนใจผมมากครับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง .... ตอบเจ้าของกระทู้ ผมว่าเป็นที่เผ่าพันธุ์ครับ ไม่ใช่ภา่ษาหรอก จากคุณ : เครื่องจักรอาวุโส เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 53 21:08:22

ความคิดเห็นที่ 3 ผมกลับเห็นว่าภาษาที่ต่างกันทำให้โลกทัศน์และพฤติกรรมต่างกันครับ เผ่าพันธุ์ไม่เกี่ยว จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 53 21:19:16

ความคิดเห็นที่ 4 ภาษา ทำให้ค่านิยม และ"กฎเกณฑ์"ต่างๆ ต่างกัน เพราะ ภาษาเป็นเรื่องของการเชื่อมโยงความหมาย ของสิ่งต่างๆ เป็นกรอบความเข้าใจในชีวิตคนเรา  ความหมายในเชิงสังคม ความหมายในเชิงศาสนา ความหมายในเชิงวัฒนธรรม  เช่น สัญลักษณ์ ทางสังคมบางอย่าง จะรับรู้ได้เฉพาะกับคนในชาตินั้นๆเท่านั้น  เราไม่ค่อยเก็ทตลกฝรั่งและฝรั่งเองก็ไม่ค่อยเก็ท ตลกเท่งเถิดเทิง ไปจนถึงสัญลักษณ์อื่นๆด้วยเช่นกัน ที่ความหมายต่างๆจะถูกกำหนดจากภาษา สัญลักษณ์ เฉพาะพื้นที่ ที่จริงให้ลึกลงไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงภาษา กรอบความเข้าใจในเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ ต้องทำความเข้าใจเรื่องอำนาจ(power) ด้วย เพราะ ความหมายของภาษาเกิดจาก การใช้อำนาจ ของคนเราทั้งสิ้น เช่น ความหมายของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจาก สื่อโทรทัศน์ เกิดจากค่านิยมของชนชั้นสูง อินเทรนด์  ภาษาท้องถิ่น  ภาษาในกลุ่มเพื่อนฝูง  และอื่นๆอีกมากมาย ที่เป็นเรื่องอำนาจของคนเรา  ในการจัดระเบียบความเข้าใจใหม่ๆ และที่จริง ภาษาเองก็มีพัฒนาการ กรอบโครงสร้างความเข้าใจใหม่ๆอยู่ตลอด ไปพร้อมๆกับการพัฒนาของสังคมมนุษย์ครับ จากคุณ : the author เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 53 22:37:02

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าคิดลึกๆยาวๆตามทฤษฎีธาตุทั้ง 5 ของเต๋า + Zen Macrobiotics จะได้อะไรที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างแค่สั้นๆเช่น ธาตุโลหะ คือปอดกับลำไส้ใหญ่ ซึ่งทำงานประสานงานกัน เกี่ยวข้องกับอารมณ์เศร้าโศกถ้าธาตุโลหะอ่อนแอ หรือมีความเบิกบานร่าเริงถ้าธาตุโลหะแข็งแรง ให้สังเกตดูดีๆว่ากวีเอกของโลกที่เขียนบทกวีอันแสนเศร้ามักจะตายด้วยโรคปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจ ในภาษาอังกฤษ คำพูดที่ใช้กันบ่อยที่สุดก็คือ I'm sorry.  กับ I'm afraid that... sorry บ่งบอกความอ่อนแอของอวัยวะธาตุโลหะ(ปอดกับลำไส้ใหญ่) ที่ก่อให้เกิด "ความเศร้า" afraid บ่งบอก "ความกลัว" เป็นความอ่อนแอของอวัยวะธาตุน้ำ(ไตกับกระะเพา่ะปัสสาวะที่ทำงานประสานงานกัน) ประเทศอังกฤษมีอากาศหนาวชื้น ทำให้คนอังกฤษเป็นจำนวนมาก มีอวัยวะธาตุโลหะ(ปอดกับลำไส้ใหญ่) และอวัยวะธาตุน้ำ (ไตกับกระเพาะปัสสาวะ) ไม่แข็งแรง จึงมีแนวโน้มที่จะพูดคำว่า I'm sorry.  กับ I'm afraid that...บ่อยมากๆ พืชหรือสัตว์ที่อยู่ในพลังหยิน (อากาศหนาว) จะมีพลัีงหยาง พืชหรือสัตว์ที่อยู่ในพลังหยาง (อากาศร้อน) จะมีพลัีงหยิน พล้ังหยินเป็น centrifugal force (พลังแผ่กระจายออกจากศูนย์กลาง)ทำให้พูดมากเยิ่นเย้อ พล้ังหยางเป็น centripetal force (พลังเข้าหาศูนย์กลาง)ทำให้พูดกระชับ ปรมาจารย์เล่าจื้อมีพลังหยินมากๆ เขียน Dao De Jing ยาวพรรณาโวหารเรื่องเต๋า พระเยซูมีพลังหยางมากๆ ระดับเอามือแตะร่างคนป่วยโรคหยินแล้วรักษาอาการป่วยได้ทันที พระเยซูมีพลังหยางมากๆจึงไม่เขียนอะไรไว้เลย คนอินเดีย (แถบร้อน) หรือคนไทยอยู่ในอากาศหยาง ร่างกายจะเป็นหยิน กินเครื่องเทศมากๆก็กลายเป็นพลังหยิน เวลาเขียนจะเยิ่นเย้อ และสถิติการเป็นมะเร็งจะเป็นที่อวัยวะหยิน คืออวัยวะกลวงคือที่ลำไส้ใหญ่เป็นต้น คนอยู่ในอากาศหนาวๆ ร่างกายจะเป็นหยาง เขียนอะไรจะกระชับ ไม่กินเครื่องเทศที่เป็นหยินมาก แต่กินเนื้อสัตว์ที่เป็นหยางมาก สถิติการเป็นมะเร็งจะเป็นที่อวัยวะหยาง คืออวัยวะตันๆมีเนื้อแน่นๆ อย่างเช่นที่ไตเป็นต้น ในการแปลอังกฤษเป็นไทย ภาษาอังกฤษโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษากฎหมาย ถึงจะเขียนเงื่อนๆไขที่ซ้ับซ้อน แต่โครงสร้างกระชับมากๆ (contraction) แทบไม่มี redundancy คือไม่มีการใช้คำศัพท์ย้ำๆเกินๆ แต่จะกระชับมากๆ แม่นยำดุจดั่งการคำนวณในวิชาคณิตศาสตร์ที่สวยงามสง่างาม (elegant) คือทำโจทย์ด้วยวิธีที่สั้นที่สุดให้ได้คำตอบที่รวดเร็วที่สุด คือเขียนสั้นที่สุดแต่ได้ใจความครบถ้วน แม่นยำเสียจนเวลาแปลเป็นไทย มันเกินขีดความสามารถโครงสร้างภาษาไทย จะแปลได้ต้องย้ำๆๆๆๆๆ ประธาน ย้ำๆๆๆๆกริยา ย้ำๆๆๆๆกรรม ย้ำๆๆๆส่วนขยาย หากมิเช่นนั้นแล้วคนไทยอ่านไม่รู้เรื่องคืออ่านไปแล้วหลงประโยค งงเป็นไก่ตาแตก แต่ในทางกลับกัน เวลาแปลไทยเป็นอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือจากหน่วยงานไทย คนไทยจะเขียนแบบกระจุยกระจาย (expansive) ย้ำๆ วนๆ มี redundancy เพียบเลย คือมีคำที่ไม่จำเป็น หรือมีคำที่ใช้ซ้ำๆกันวกๆ วนๆ เวลาแปลเป็นอังกฤษ ถ้าแปลตรงๆตัวฝรั่งอ่านแล้ัวประสาทกิน ต้องอ่านจับใจความประโยคภาษาไทยสั้นๆที่ (ความคิด) กระจุยกระจาย แล้วเขียนเป็นประโยคภาษาอังกฤษยาวๆ ให้กระชับม้วนเดียวจบ จึงจะเป็นงานแปลไทยเป็นอังกฤษที่สวยสง่างาม (elegant) ได้ ตกลงความกระชับของภาษาอังกฤษเป็นพลังหยาง เพราะฝรั่งอยู่ในอากาศหยิน (ความเย็น) และไม่กินอาหารหยินคือเครื่องเทศ ตกลงความกระจุยกระจาย (expansive) ของภาษาไทยเป็นพลังหยิน เพราะคนไทยอยู่ในอากาศหยาง (ความร้อน) และคนไทยกินเครื่่องเทศที่เป็นพลังหยินเข้าไปตั้งมากมาย แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 53 22:47:22 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 53 22:40:36

ความคิดเห็นที่ 6 จริงๆแล้วยังอธิบายไม่ครบทุกธาตุ การแพทย์จีนแผนโบราณไม่มีแบ่งเป็นสรีระแพทย์กับจิตแพทย์ เพราะเขาถือว่าอาการป่วยทางจิตเป็นการป่วยของอวัยวะภายในตามแต่อารมณ์ที่มีความสัมพันธ์กับอวัยะวะแต่ละอวัยวะ ดัีงนั้นจะรักษาอาการป่วยทางจิตโดยการรักษาอวัยวะภายในที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น เราป่วยเป็น ocd (ย้ำคิดย้ำทำ) ตั้งแต่ 10 กว่าขวบ เราเรียนทฤษฎีธาตุทั้ง 5 แล้วรู้ว่า ความไม่มั่นใจต้องไปทำอะไรซ้ำๆก้ัน มันเป็นความกลัวซึ่งเป็นอาการป่วยของธาตุน้ำคือไตกับกระเพาะปัสสาวะ เราจึงใช้วิชา Zen Macrobiotics เรียนรู้ว่าอาหารชนิดไหนทำให้ธาตุน้ำอ่อนแอ และชนิดไหนทำให้ธาตุน้ำแข็งแรง และศึกษาโยคะกับการฝีกลมปราณเพื่อเรียนรู้วิธีปรับเปลี่ยนพลังของธาตุน้ำ จนเรารักษาตัวเองได้ในที่สุดโดยไม่เคยไปหาจิตแพทย์และไม่เคยใช้ยาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในทางกลับกันแม่เราซึ่งป่วยเหมือนๆกับเรา (คือจริงๆแล้วเราเกิดมาเราก็ป่วยตามแม่เราทุกอย่าง) แม่เราไปหาจิตแพทย์ แล้วโดนจิตแพทย์ให้ยากล่อมประสาทจนร่างกายทรุดโทรม กินยามาตลอดชีวิต แล้วกลายเป็นป่วยทางร่างกายอย่างอื่นแทรกซ้อน คือเป็นมะเร็งที่ปอดและน้ำท่วมปอด จากนั้นศัลยแพทย์จึงทำการรักษาด้วยศัลยกรรม ซึ่งการตัดต่ออวัยวะภายในมัีนทำให้ร่างกายแม่เราแปรปรวนจนตายไปในที่สุด คือตายเพราะฤทธิ์ยาและวิธีการรักษาแบบมุ่งแต่จะพยายามทำลายอาการ (symptomatic medicine) นั่นเอง โดยไม่ได้แก้ไขที่ต้นตอของปัญหา หลานเราคนหนึ่ง (เป็นลูกของลูกพี่ลูกน้องเรา) เป็น ocd มาตั้งแต่อยู่ ม.1 ต้องหยุดเรียนหนังสือเพราะเรียนไม่รู้เรื่อง จิตแพทย์รักษาโดยการให้ยา จนตอนนี้อายุเกิน 40 ปี ก็ยังไม่ได้เรียนหนังสือต่อเพราะเรียนไม่รู้เรื่อง แล้วก็ยังรักษาไม่หาย คือยามันควบคุมจิตและประสาทเอาไว้ ถ้าวันไหนไม่กินยาก็เดินไปไหนไม่ได้ เพราะจะย้ำๆๆๆคิดๆๆๆ แล้วยืนทำอะไรซ้ำๆอยู่ตรงนั้น ซึี่งภาษาจิตแพทย์เขาเรียกว่า perform rituals (ประกอบพิธีกรรม) พ่อแม่ (ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเรา) ต้องดูแลลูกคนนี้ไปตลอดชีวิต ขนาดพ่อแม่ 2 คนรายได้รวมกันเดือนหนึ่งประมาณ 200,000 บาท ทุกเดือน น่าจะมีเงินพอรักษาลูก แต่จนป่านนี้หมอที่ไหนๆก็ยัีงรักษาลูกไม่หายเลย เราเคยเสนอว่าจะรักษาแม่เราและหลานเรา แต่ไม่มีใครเชื่อเลยสักคนว่า อาการป่วยแบบนี้ มันจะรักษาให้หายง่ายๆได้ด้วยความรู้เรื่องทฤษฎีธาตุทั้ง 5 ของเต๋า เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 53 00:27:48 แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 53 23:23:28 แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 53 22:52:44 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 53 22:47:41

ความคิดเห็นที่ 7 คิดเหมือน คห. 3,4 ค่ะ และถ้ามองไกลไปอีกนิด นอกจากภาษาจะสะท้อนค่านิยม ความคิด วัฒนธรรม และโลกทัศน์ ที่ต่างกันแล้วยังเป็นเครื่องมือถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นข้ามวัฒนธรรมกันด้วยค่ะ ตัวอย่างง่ายๆ คืองานเขียนในภาษาอังกฤษที่ค่อยๆ ถ่ายทอดความคิดและค่านิยมจากประเทศตะวันตกที่ใช้ภาษานั้นมายังประเทศตะวันออกจนคนในประเทศตะวันออกค่อยๆ ซึมซับวัฒนธรรมและความคิดนั้นทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นผสมผสานและปรับเข้ากับวัฒนธรรมและความคิดดั้งเดิมจนในที่สุดก็แยกไม่ออกว่านั่นคือวัฒนธรรมและค่านิยมของชาติอื่น หรือแม้แต่ภาษาเอง สำนวนงานแปลที่แปลมาจากภาษาอังกฤษแทรกซึมเข้ามาทีละน้อยจนกลายเป็นสำนวนในภาษาอื่นโดยที่เจ้าของภาษาเองแทบจะไม่รู้สึก แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 53 23:34:33 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 53 23:06:39

ความคิดเห็นที่ 8 ถึง คุณfortuneteller อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม เรื่องที่ว่า ถ้าธาตุน้ำไม่แข็งแรง ควร และ ไม่ควรรับประทานสิ่งใด ครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 53 01:26:15 จากคุณ : -KinvacencE- เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 01:25:15

ความคิดเห็นที่ 9   คุณ the author โยงไปถึงเรื่องอำนาจ .. น่าชื่นชม หากกล่าวถึง มิเชล ฟูโกต์ (ผมอ่านมาน้อยนิด) ภาษาสัมพันธ์กับอำนาจ .. เช่น หากพูดถึง ผี บางประเทศไม่เคารพ บ้านเราบางพื้นที่กลับบูชา ผมจึงคิดต่อ .. เหตุใดแม้ในภาษาเดียวกันยังเห็นไม่เหมือนกัน ? จึงชวนทุกท่านคุยเพื่อความบันเทิง จากคุณ : vincentlenon เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 09:47:57

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบ คคห 8 ตามตำรา Zen Macrobiotics ของญี่ปุ่นเขาแนะนำให้กินถั่ว azuki มันรูปทรงคล้ายๆถั่วเขียวแต่ใหญ่กว่าถั่วเขียวเล็กน้อย และสีแดง ถ้าต้องการแบบ organic คือปลูกโดยไม่ใส่ปุ๋ยหรือยากฆ่าแมลง ก็ซื้อได้ที่ร้าน lemon farm ซึ่งมีหลายสาขาใน กทม คนธาตุน้ำป่วยไม่ควรกินน้ำมาก และไม่ควรกินอาหารรสจัดมากๆซึ่งจะทำให้หิวน้ำมาก แนวคิดการแพทย์จีนแผนโบราณไม่เชื่อว่าการกินน้ำมากๆจะชะล้างไตได้ แต่กลับคิดว่าปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องขับออกจะทำให้กระเพาะปัสสาวะและไตทำงานหนักมากๆ เมื่อเป็นเช่นนี้อวัยะวะเหล่านี้ก็จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ เมื่ออ่อนแอลงผู้ป่วยก็จะเกิดอาการวิตกจริต คือกลัวโดยไร้เหตุผล พวกอาการ phobia(s) (กล้ัวโดยไร้เหตุผล) ทั้งหลายนี่แหละ เกิดจากอวัยวะที่เป็นธาตุน้ำป่วย แทนที่จะไปหาจิตแพทย์แล้วใช้ยารักษาหรือใช้ psychoanalysis (จิตวิเคราะห์) ซึ่งกินเวลานานโขกว่าจะรักษาได้ หรือเผลอๆก็รักษาไม่หายแบบหลานเราที่เป็น ocd (ที่เราพูดถึงใน คคห 6) เป็นต้น เราหาทางทำให้อวัยวะที่เป็นธาตุน้ำแข็งแรง มัีนจะรักษาได้ง่ายกว่า โดยไม่มีผลข้างเคียงจากฤทธิ์ยาอีกด้วย ส่วนคนที่อวัยวะธาตุน้ำมีพลังมากๆ คือไตกับกระเพาะปัสสาวะแข็งแรงมากๆ พวกนี้จะใจกล้าบ้าบิ่นมากๆ แบบใครท้าดวลจะไม่เคยถอยหนี จริงๆแล้วเราโชคดีที่รักษาตัวเองหายขาดได้โดยไม่ต้องใช้ยาเลย นั่นก็เพราะว่าความซนสมัยเราเป็นเด็กๆ ทำให้เรารู้ความลับว่าแม่เราป่วยเพราะอะไร ซึ่งจิตแพทย์ไม่รู้ และเราป่วยเหมือนแม่เราเพราะอะไร?  นั่นก็คือตอนแม่หลับอยู่เราเอามือไปเขี่ยที่จมูกแม่ และสังเกตเห็นอะไรที่แปลกมากๆนั่นก็คือ nasal septum (ขื่อจมูก (มันคือกระดูก ที่คั่นรูจมูกซ้ายกับขวา)) ของแม่ เมื่อเอามือสอดรูจมูกข้างขวาแล้วดัน nasal septum มันเอนไปทางซ้ายได้ง่าย แต่เมื่อเอามือสอดรูจมูกข้างซ้ายแล้วดัน nasal septum มันแข็งทื่อไม่เอนไปทางขวาได้ง่าย  แล้วเราทดลองทำสิ่งเดียวกันกับรูจมูกสองข้างของตัวเราเอง กลับพบว่ามันมีผลตรงกันข้ามกัน นั่นก็แสดงว่า nasal septum ของแม่เรากับของเราเอียงกันคนละทาง และเมื่่อเราไปเรียนโยคะตอนอยู่ต่างแดน อาจารย์สอนโยคะเราสอนว่า ความเอียงของ nasal septum บ่งบอกว่า กระดูกสันหลังเอียง (spinal misalignment) ไปในทิศทางที่ nasal septum เอียง เมื่อวิเคราะห์ปัญญาหาเราจึงรู้ว่า แม่เราเดินน้ำหนักไปทางขาซ้ายมาก ในขณะที่เราจะเดินน้ำหนักไปทางขาขวามาก อาการแบบนี้จะทำให้ลมปราณจากจุด Ming Men (จุดที่อยู่บนกระดูกสันหลังระหว่างไต 2 ข้าง ซึ่งเป็นศูนย์รวมพลังลมปราณของไต) เดินไม่สะดวก เพราะเกิดอาการอุดตัน ธาตุน้ำจึงอ่อนแอและป่วยทางจิตอย่างที่่ป่วย จนในที่สุดแม่เราขาซ้ายพิการเดินไม่ได้ ต้องไปผ่าตัดใส่ลูกสะบ้าเทียบ ตอนนั้นเลือดไม่มีในธนาคารเลือด เราเลยไปให้เลือดแม่เรา และเราก็เริ่มขาขวากำล้ังจะพิการเหมือนกันเพราะมันปวดจนเดินแทบไม่ได้   เราเคยหลอกตัวเองอยู่เรื่อยๆว่ากระดูกสันหลังเราไม่เอีัยง และไม่เคยคิดว่าพออายุมากขึ้นเราจะต้องมาขาขวาพิการเหมือนขาซ้ายแม่เรา แต่เราอ่านหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne แล้วเรียนรู้เรื่อง The Law of Attraction (กฎแห่งการดึงดูด) ที่สอนว่า like attracts like (สิ่งเหมือนๆกันดึงดูดกันเอง) เราจึงเริ่ม think positive (คิดในเชิงบวก) และมองเห็นภาพว่าขาขวาเราจะต้องไม่พิการ แล้วอยู่ดีๆปลายนิ้วมือเรากลายเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดให้เราใช้ google ค้นข้อมูล แล้วไปเจอเวปของชาวฮินดูเข้า และเรามีโอกาสได้เห็นสายลมปราณตามแนวกระดูกสันหลังที่พวกปราชญ์ชาวฮินดูเขียนไว้ ซึ่งเราไม่เคยเจอตอนฝึกลมปราณแบบเต๋า เราจึงทดลองฝึกสมาธิและลมปราณตามแนวฮินดูบ้าง ผลปรากฎว่ากระดูกสันหลังเราค่อยๆกลับเข้าแนวธรรมชาติ และขาขวาเราหายเจ็บอย่างน่าประหลาด เราจึงรอดจากความพิการ แล้วก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ก็เพราะหนังสือ The Secret เล่มนี้นั่นแหละ สรุปแล้วถ้าจิตแพทย์ตรวจร่างกายแม่เราให้ดีๆ และรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง nasal septum กับกระดูกสันหลัง เขาก็จะรู้ว่าแม่เราป่วยเพราะอะไร และอาการแม่เราก็จะไม่ทรุดหนักเพราะการรักษา ซึ่งภาษาหมอเขาเรียกว่า Her illness has become iatrogenic. นั่นก็คือป่วยมากขึ้นเพราะวิธีการวินิจฉัยโรคและการรักษาที่ผิดพลาดของแพทย์นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 53 11:13:25 แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 53 10:00:06 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 09:59:32

ความคิดเห็นที่ 11 กลับมาเรื่องภาษา สิ่งที่น่าทึ่งมากที่สุดเกี่ยวกับภาษาไทย นั่นก็คือคนไทยน่าจะเป็นชนชาติที่ใช้ meaning shift มากที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา นั่นก็คือ Many Thais do not say what they mean and do not mean what they say.   คนไทยเป็นจำนวนมากไม่พูดในสิ่งที่ตั้งใจจะพูดแล้วก็พูดอะไรไปแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันมีความหมายตามที่พูด นั่นก็หมายความว่าพวกเราชาวไทยพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือพูดโกหกโดยไม่รู้ตัวกันเกือบทุกวัน ซึ่งสร้างปัญหาอย่างรุนแรงในการแปลภาษาไทยเป็นภาษาอื่น ยกตัวอย่างเช่นประโยคนี้ เป็นเอกสารจัดซื้อจัดจ้างเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารออมสินเมื่อเกือบๆ 20 ปีที่แล้ว printer จะต้องสามารถพิมพ์สมุดคู่ฝาก ใบฝาก และใบถอนได้ ลองแปลตรงตัวคือ The printer must be capable of printing passbooks, payin slips and withdrawal slips. พอแปลเสร็จเราก็นั่งมองประโยคภาษาอังกฤษ ทำตาปริบๆ เพราะมันฟ้องออกมาเลยว่า "เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน" เราเอาประโยคภาษาไทยกับคำแปลภาษาอังกฤษไปให้นักแปลหลายๆคนในบริษัทดู (ตอนนั้นเราทำงานในบริษัทแปลเอกสาร) แล้วถามว่า "พวกคุณคิดว่าคำแปลแบบนี้มันผิดปกติตรงไหน?" ทุกคนบอกว่า "ก็โอเคนี่นา" พอเราเฉลย ทุกคนหัวเราะกันลั่นห้อง เพราะรู้ตัวว่า "โดนภาษาไทยหลอกเอาเข้าแล้วอย่างจังๆ" เีราเฉลยว่า printer จะต้องสามารถพิมพ์สมุดคู่ฝาก ใบฝาก และใบถอนได้ ต้องแปลว่า The printer must be capable of printing all types of transactions onto passbooks, payin slips and withdrawal slips. ภาษาไทยมันหลอกตรงไหน มันหลอกตรงที่ จริงๆแล้ว printer ที่ต่อกับคอมพิวเตอร์ในธนาคาร มันพิมพ์สมุดคู่ฝาก หรือใบฝากใบถอนไม่ได้หรอก เพราะงานพิมพ์แบบนี้มันต้องไปพิมพ์ที่แท่นพิมพ์ใหญ่ๆ ที่ใช้พิมพ์หนังสือ แต่ printer ที่ต่อกับคอมพิวเตอร์ในธนาคาร มัน "พิมพ์รายการธุรกรรมลงบนสมุดคู่ฝาก ใบฝาก และใบถอน ต่างหากล่ะ" การพูดหรือเขียนภาษาไทยโดยใช้ meaning shift สร้างปัญหาให้แก่นักแปลอย่างรุนแรง เพราะบางทีงานโครงการระดับหลายๆล้าน เวลาแปลเป็นภาษาอังกฤษนักแปลอ่านภาษาไทย แล้วไม่รู้เรื่องว่าผู้เขียน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารจากหน่วยงานไทย) ต้องการสื่อความหมายว่าอะไร meaning shift เป็นศัพท์ที่ใช้ในวิชา semantics ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ linguistics ชนทุกชาติทุกภาษาต่างก็พูดหรือเขียนด้วย meaning shift กันบ้างเป็นครั้งคราวเกือบทั้งนั้น แต่เราสังเกตเห็นว่าคนไทยใช้ meaning shift มากในระดับที่น่ากลัวมากๆจริงๆ จนบางทีประโยคภาษาไทยที่มีแต่ศัพท์ง่ายๆทั้งนั้น แต่ไม่มีใครอ่านรู้เรื่องนอกจากคนเขียนคนเดียว ถามว่านิสัยคนไทยที่ใช้ meaning shift มากขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะกินอาหารที่มีสารเคมีมากเกินไปหรือเปล่า สมองจึงสับสน?  หรือว่าภาษาไทยมันมีลูกเล่นแพรวพราว เพราะมันมีโครงสร้่างแปลกๆ จนศรีธนญชัยเล่นตีความ meaning shift แบบเถรตรงหาประโยชน์เข้าใส่ตัวเอง? ลองไปอ่านกระทู้ที่เราปั่นไว้เรื่อง meaning shift ได้ตาม links ข้างล่างนี้ แล้วคุณอาจจะต้องระวังมากขึ้นว่า ทุกวันนี้คุณพูดหรือเขียนอะไรโกหกโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า? http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/03/K7593415/K7593415.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9373090/K9373090.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9353525/K9353525.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 10:28:59

ความคิดเห็นที่ 12 คิดว่าน่าจะขึ้นอยู่กับ เวลาและสถานที่ เพราะ ณเวลาเดียวกัน สถานที่แต่ละที่ย่อมมีสิ่งแวดล้อมที่จะมากระทบกับ ตัวบุคคลแตกต่างกันไป กระบวนการที่ก่อให้เกิดความคิดก็ย่อมต่าง ถ้าคนทุกคนสามารถที่จะอยู่ ณจุดเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ความคิดก็น่าเหมือนกัน จากคุณ : หา-สะ-จิต-โต เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 10:33:16

ความคิดเห็นที่ 13 ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ทุกภาษา บางชาติยังไม่ได้คิดตัวอักษรให้กับภาษาพูดของตัวเอง ด้วยซ้ำไป เช่นเวียตนาม ฟิลิปปินส์ มาเลย์เซีย อินโดนีเซีย เผลอๆจะเจริญก้าวล้ำไทยไปในช่วงเวลาไม่นานนัก หากคนไทยขาด"ความสามัคคี" ความสามัคคีไม่ใช่ภาษา แต่เป็นจิตวิญญาณและหัวใจมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยและกลุ่มผู้นำของเขา ทุกชาติทุกภาษา ต่างเจริญขึ้นต่างล่มสลายมาแล้ว แบบต่างกรรมต่างวาระ แสดงว่า ก็ให้ความคิดไม่ต่างกันนัก  หรือต่างกันอยู่บ้าง เช่น ภาษาอังกฤษ มีเรื่องtenseความสำคัญเรื่องเวลา ภาษาไทยเน้นเสียงดนตรีความเป็นกวีความเป็นศิลป์และความเพลิดเพลิน ภาษามีอำนาจต่อความคิด กลับกัน ความคิดก็มีอำนาจต่อภาษา อย่างไร? จริงๆแล้วอำนาจของภาษามันก็ออกมาจากความคิดเป็นเบื้องหลัง ความคิดเป็นวิทยาศาสตร์หรือเป็นไสยศาสตร์ ชุดใดจะมีอำนาจเหนือกว่า? ใช้กับใคร ใครเป็นผู้ใช้ อย่างเหมาะสมกับกาละเทศะ หรือไม่? เช่น ใช้มันเป็น"เครื่องมือ"เป็นอำนาจทางภาษา/วาทศิลป์ เช่น นำม็อบบนเวที เพื่อมีอำนาจนำ ชักชวน เหนือ"เขาอื่น-Otherness"เป็นต้น สิ่งที่ผมกำลังสนใจมากกว่า ผมกำลังให้ความสนใจมากขึ้นกับภาษาDIGITAL  ที่มันกำลังรวมความคิดมนุษย์ทุกชาติเผ่าพันธุ์ทุกภาษาเดิม(มันแปลให้เราได้/แม้ยังไม่สมบูรณ์นัก) แต่ต่างกาลเทศะเข้าด้วยกัน แม้จะอยู่คนละมิติโลก ในอวกาศ สามารถสื่อสารกันได้เร็วฉับพลันทันที ก็ตามที มันไม่ต้องสื่อสารผ่านเสียง ผ่านลำคอ ลิ้นและปากอีกแล้ว แต่มันสื่อผ่านเครื่องมือซับซ้อนที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์และไซเบอร์สเปสนี่เอง มันจึงได้อย่างเสียอย่างเป็นธรรมดา จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 12:19:19

ความคิดเห็นที่ 14 ผมมองว่าภาษาก็เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้นภาษาต่างหากที่น่าจะเป็นผลของความแตกต่างของกลุ่มคน ไม่ใช่ว่าภาษาทำให้กลุ่มคนแตกต่าง สิ่งที่ทำให้คนแตกต่างก็คงเป็นตัวตนของแต่ละคนเองและสังคมที่เขาอยู่ แต่ทีนี้พอมีภาษาเข้ามาแล้ว ภาษาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เขาอยู่ด้วย ก็เลยทำให้เกิด feedback loop ที่ทำให้กลุ่มคนยิ่งแตกต่างเข้าไปใหญ่ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 18:08:26

ความคิดเห็นที่ 15 "ภาษา" (ไม่ใช่อักษร)  แรกเริ่มเดิมทีเกิดจากการที่ มนุษย์เราเนี่ยตั้งถิ่นฐาน อยู่กันเป็นหลักแหล่ง คือละทิ้งชีวิตแบบเร่รร่อน แล้วอยู่ติดที่ ภาษาจึงเกิดมาเพื่อใช้เรียกสิ่งต่างๆ เพื่อการแปรรูปสิ่งต่างๆที่จำเป็น เพื่อต่อสู้กับภัยธรรมชาติ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ พื้นที่โลกแต่ละส่วน เกิดกลุ่มทางภาษาที่แตกต่างกัน  อย่างแถบประเทศเรา ถ้าเอาเส้นแบ่งประเทศออกไปให้หมด เราก็จะมีกลุ่มภาษากลุ่มเดียวกับภาษาลาว  เป็นกลุ่มภาษาไทย-ลาว (มีการพบว่า ภาษาที่มีลักษณะเสียงสูงต่ำเหล่านี้ เกิดจากกลุ่มภาษาไท กะได ทางจีนตอนใต้ที่เป็นแม่บทของกลุ่มภาษาทั้งหลายในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) กลุ่มพื้นที่อื่นๆบนโลกก็จะมีกลุ่มภาษาที่แตกต่างออกไปเช่นกัน ในแต่ละทวีปแต่ละพื้นที่ของโลก ภาษาจึงเป็นส่วนหนึ่งของการ สร้างวัฒนธรรมร่วม  เป็นกุญแจไปสู่  การผลิต และความเป็นหมู่พวก แม้ภาษาจะมีกลุ่มก้อนทางภาษาที่บอกถึงอาณาเขตุชุมชนของมนุษย์ แต่"ภาษา"ก็ถูกผลิตขึ้นจาก "มนุษย์" อารมณ์ ความรู้สึก ความเป็นอิสระในการกำหนดนิยามของสิ่งต่างๆขึ้นมา นิยามของความรักถูกแทนด้วยดอกกุหลาบ  นิยามของความน่าเกรงขามถูกแทนด้วยสัตว์เช่นเสือ  ที่กำหนดและให้ความหมาย กับสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม หลักการและเหตุผล  เป้าหมายของการกระทำ  อุดมคติ วิสัยทัศน์ในเบื้องหน้า  พันธกิจภาระหน้าที่ของชีวิต และอื่นๆ วัฒนธรรมคือสิ่งที่สร้างคนเรา และคนเราก็สร้างวัฒนธรรม อ้างอิงนิดหน่อยhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2 แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 53 19:03:25 จากคุณ : the author เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 53 19:01:22

ความคิดเห็นที่ 16 ผมว่าความคิดขึ้นอยู่กับมุมมองครับ และมนุษย์มีภาษาเดียวกันที่สื่อสารเข้าใจ คือภาษากาย ใคร ชอบ ไม่ชอบ แม้พูดไม่รู้เรื่องเราก็สัมผัสได้ คนที่มองแง่บวก ใครอยู่ข้างกายก็เป็นสุขแม้ในช่วงวิกฤต คนที่มองแง่ลบ ใครอยู่ด้วยก็เป็นทุกข์แม้จะอยู่บนสวรรค์ จากคุณ : ALPHA FO เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 08:01:33

ความคิดเห็นที่ 17 นั่งอ่านความคิดเห็นคุณหมอดูแล้ว   คิดไปว่าตัวเองกำลังนั่งเขียนพู่กันจีน  ในสำนักง้อไบ๊ ^^" เราว่าภาษามีส่วนนะ จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 53 13:27:32