 |
ความคิดเห็นที่ 3 |
3.ย่ำพระวินัย เอาวิปัสนึกเบือนบิดพระธรรม ไม่ทำวิปัสนา ว่าร้ายพระสงฆ์ ยึดถือพระตามอัตตาตนเป็นพระพุทธองค์
กรณีย่ำพระวิน้ัย เราเคยทะเลาะก้ับคนในห้องศาสนามาแล้วว่า
"การที่มีคนอ้างว่า พระไตรปิฎกระบุว่าพระสงฆ์ออกกำลังหรือฝีกวรยุทธ์ไม่ได้เพราะผิดธรรมวินัย"
นั้น เราเชื่อว่า คนไทยแปลพระไตรปิฎกผิด และเขียนพระธรรมวินัยข้อนี้ขึ้นมาเอง แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
เพราะคนเราต้องมีการออกกำลัง ฝ่ายตรงข้ามเราอ้างว่าเดินจงกรม แต่เรากลัีบคิดว่าการฝึกวรยุทธแบบที่ตักม้อสอนให้พระในวัดเส้าหลินจะช่วยให้พระฝึกธรรมะได้ดีกว่า เพราะจะทำให้ร่างกายแข็งแรงกว่าเดินจงกรม
กรณีเอาวิปัสนึกเบือนบิดพระธรรม ไม่ทำวิปัสนา ว่าร้ายพระสงฆ์
นี่คือ paradoxes ที่อันตราย โปรดพิจารณาดูให้ถ่องแท้
คำสอนที่ว่านั่งสมาธิแล้วเพ่งมองดูพระ ไม่ให้มีจิตติดอยู่ในกาม
แท้จริงแล้ว cells สมองและประสาท กว่าจะพัฒนาไปได้ระดับ attain enlightenment นั้น มันจะต้องมีพลัง และพลังที่ว่านี้คือ jing, qi และ shen
jing คือน้ำกามชายหรือน้ำในช่องคลอดสตรีเมื่อถึงจุดสุดยอด qi คือพลังลมปราณ shen คือวิญญาณ
คนที่ฝึกเต๋าจนกลายเป็น immortal (เซียน) ซึ่งเทียบเท่า bodhisattva ในศาสนาพุทธนั้น
จำเป็นต้องผสาน jing, qi และ shen เ้ข้าด้วยกันเพื่อสร้าง elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) เพื่อสร้่าง immortal fetus (ทารกในครรภ์ที่จะกลายเป็นเซียน (ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ท้องได้โดยไม่ต้องมี sex) เมื่อทารกในครรภ์เจริญเติบใหญ่แล้ว ก็จะดึงทารกนั้นออกจากร่างผ่านจุด Bai Hui (จุดกลางกระหม่อม) เพื่อขึ้นไปในท้องฟ้า (สละสังขาร) แล้วกลายเป็น immortal (เซียน) ซึ่งเทียบเท่า bodhisattva (พระโพธิสัตว์) ในศาสนาพุทธนั้น
ถ้าฝึกไม่สำเร็จอย่างมากก็แค่อายุยืนเป็นร้อยๆปีหน้าตายังดูเด็กอยู่ แต่ paradoxes (ตรรกวิทยาแห่งความขัดแย้ง) มัีนก็คือ
การไม่มีจิตติดอยู่ในกามทำให้ร่างกายหยุดผลิต sex hormones การหยุดผลิต sex hormones ทำให้กระดูกพรุน...เ้ดินกระย่องกระแย่งเมื่อยามแก่เฒ่า จะฝีกธรรมะก็ไม่ไหวแล้วเพราะร่างก็คือ vehicle (ยาน) ในขณะหนึ่งของชีวิต...!!!
จริงๆแล้วการ attain enlightenment ตามแบบฉบับของเต๋า และฮินดู แท้จริงแล้วมันเป็นการกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศ และฝึกสมาธิและลมปราณเพื่อผสาน jing, qi และ shen ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ เราเรียกว่า sublimation นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลง sexual energy ให้กลายเป็นพลังแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเราต้องกระตุ้นให้ร่างกายมี sexual energy ไม่ใช่ทำให้ตัวเองไม่ให้มีจิตติดอยู่ในกามจนกลายเป็น asexual (ไร้ความรู้สึกทางเพศ) ไป การเป็นคนไร้ sexual energy ฝึกอะไรก็ไม่มีทางฝึกสำเร็จ
The Creator ใช้ sexual energy สร้างเผ่าพันธ์มนุษย์ขึ้นมา ดังนั้นการฝึกสมาธิควรฝึกส่ง qi (กำลังภายใน)ซึ่งผสมผสานกับ sexual energy ไปสุดทางของจักรวาล ไปหา The Creator และ The Creator จะ recharge qi กับ sexual energy ให้มีพลังมากกว่าเดิม (เหมือนชารย์แบตมือถือใหม่) แล้วส่งมันกลับไปให้แก่ผู้่ฝึก มันจะทำให้ผู้ฝีกร่างกายแข็งแรงตลอดชีวิต และมี cells สมองและระบบประสาทซึ่งพร้อมสำหรับการฝึกทางจิตและวิญญาณในระดับที่สูงๆ เช่น
awaken kundalini และเดินสายกลาง นั่นก็คือ
การเดินสายกลาง ไม่ใช่การไม่ไปสุดกู่ทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่ นางฟ้ามาดีดเครื่องสายให้ฟัง ขึงสายตึงไป หรือหย่อนไป ก็เสียงไม่ไพเราะ แต่ขึงสายปานกลายเสียงเพลงไพเราะ จนพระพุทธเ้จ้า attained enlightenment อย่างที่ำำพวกเราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆเพราะมีใครบางคนที่แปลภาษาแขกผิดพลาดคือเราว่า แท้จริงแล้วคนไทยแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเอง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนแบบนี้
เราว่าการเดินสายกลางคือ ปิดสายลมปราณ ida (คือ nadi (สายลมปราณฝั่งซ้ายของกระดูกสันหลัง)) และปิด pingala (คือ nadi (สายลมปราณฝั่งขวาของกระดูกสันหลัง)) เพื่อให้พลังลมปราณเดินเข้าไปใน sushumna (คือ nadi (สายลมปราณช่องกลางของกระดูกสันหลัง))
นี่คือแนวคิดมุมมองแบบ kundalini yoga ของฮินดู ซึ่งตั้งแต่โบราณกาล ก็มีปราชญ์ชาวฮินดูฝึกจนบรรลุแบบพระพุทธเจ้าหลายองค์ ซึ่งแนวคิดของ
ฮินดู มหายาน เต๋า และคริสต์เข้ากันได้ดี ราวกับว่าคำสอนทั้งหมด มาจากแหล่งเดียวกัน
"จะว่าเป็นวิปัสนึกเบือนบิดพระธรรม ก็หามิได้"
ส่วนเรื่องยึดถือพระตามอัตตาตนเป็นพระพุทธองค์ ให้ย้อนกลับไปดู คคห1 ที่เราบอกว่า
พระพุทธเจ้าสอนว่า If you set your heart on one thing, nothing is impossible. หากท่านมีจิตแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
เราฝึกแบบนี้ท่านว่าเราเป็นมารหรือเปล่า?
แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 53 10:09:21
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
25 มิ.ย. 53 22:18:50
|
|
|
|
 |