ความคิดเห็นที่ 1 พยายามตั้งสติ และมีสมาธิ จะช่วยไ้ด้ค่ะ เริ่มฝึกสมาธิวันละ 10 นาทีจะช่วยได้นะคะ จากคุณ : Slippers_Girl เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 19:12:13

ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อสมัยอยู่ในวัยเรียนเราแย่กว่าคุณหลายเท่า เรามี iq ต่ำกว่าเด็กธรรมดาๆหลายๆเท่า เราเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง (ตอนนั้นอยู่ต่างแดน) แล้วเราเลิกเรียน แล้วเข้าห้องสมุดทุกวัน หาหนังสือแนวศาสตร์เร้นลับมาอ่านตลอดเพื่อหวังสร้างปาฏิหารย์ให้เราสมองดีขึ้นมา จากการศึกษาค้นคว้า เราพบว่ามีวิธีการประมาณ 4-5 อย่างที่เปลี่ยนความสามารถทางสมองได้ โดยการเปลี่ยน cells ในสมอง คือ 1. nutritional approach (วิธีการทางโภชนาการ) 2. sexual techniques (เรียนรู้เคล็ดลับเรื่อง sex เพื่อไม่ให้สูญเสียพลังชีวิต) 3. ฝึกโยคะและวรยุทธ์ + ฝึกสมาธิและลมปราณ 4. ฝึกวิธีคิดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ (เช่นแนวที่ Tony Buzan เขียนไว้ในหนังสือหลายๆเล่มเป็นต้น จริงๆแล้วตอนนี้เราพยายามอ่านหนังสือแนวนี้ซึ่งผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆสอนไว้ โดยเฉพาะเรื่องการฝึก photographic memory และการฝึก extrasensory perception (esp)บางทีเราพยายามเรียนรู้เรื่อง parapsychology ไกลสุดกู่เช่นพยายามเรียนภาษาอังกฤษระดับสูงๆโดยการนั่งทางในเรียกวิญญาณฝรั่งที่เป็นนักเขียนระดับอัฉริยะให้มาเข้าสิงร่างเราแล้วสอนภาษาอังกฤษให้แก่เรา หรือพยายามส่งกำลังภายในและพลังจิตจากตัวเราเองไปสื่อสารกับ The Creator เพื่อหวังที่จะ recharge energy ในร่างเราเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมในชีวิตเรา ในขณะที่พยายามแก้ชะตากรรมในชีวิตด้วย Feng Shui ไปพร้อมๆกัน) เราจะเล่าให้ฟังเฉพาะวิธีที่ 1. ซึ่งฝึกง่ายที่สุด นั่นก็คือสมัยก่อนเราชอบกินอาหารไทยรสจัดๆ ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาล ผงชูรส เครื่องเทศ พริก และส่วนผสมรสจัดๆเป็นจำนวนมากๆ และเราจะปวดหัวไมเกรนและเป็นภูมิแพ้ตลอด แล้วสมองออกอาการ woolly คือเบลอ (คิดสับสน) อยู่ดีๆเราเปลี่ยนไปเป็นกินอาหารเจเป็นอาหารญี่ปุ่นตามหลักวิชา Zen Macrobiotics ซึ่งเปลี่ยนจากกินข้าวขาวไปเป็นข้าวกล้อง ใช้ผักปลอดสารพิษ (organically grown คือปลูกโดยไม่ใส่ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง) แล้วหลีกเลี่ยงการใช้สารพิษในการปรุงอาหารทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่แตะใช้น้ำตาลกับผงชูีรสอย่างเด็ดขาด (เราเลิกกินขนมหวานไปเลย เพราะน้ำตาลมันทำให้ร่างกายผลิตกรดเป็นจำนวนมากซึ่งมันทำลาย cells สมอง) เมื่อก่อนเปลี่ยน diet (เปลี่ยนพฤติกรรมในการกินอาหาร) เราเคยทำงานเป็นเสมียนอยู่ใน bookmaker (บริษัทรับแทงม้า) ใน London แล้วเคยไปเรียนหลักสูตร management เพื่อเป็นผู้จัดการ bookmaker เราสอบตกวิชาคำนวณที่ต้องคิด probability การพนันที่ซับซ้อนมากๆ และคิดเงินม้าที่ลูกค้าแทงหลายๆทบ (ระบบแทงม้าในอ้ังกฤษซับซ้อนกว่าของไทยหลายร้อยเท่า) เราก็คิดผิดหมดเลย สมัยนั้นเราก็หัดเล่มหมากรุกสากล แล้วก็เล่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่นัก แต่หลังจากกินอาหารเจปลอดสารพิษแบบ Zen Macrobiotics มา 3 ปี เราไปลงเรียนหลักสูตร management ของ bookmaker ใหม่ เรากลายเป็นคิดสูตรคำนวณลึุกลับแล้วคำนวณตัวเลขออกมาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งตอนเราไปเรียนจบแล้วออกไปทำงานเป็นผู้จัดการ bookmaker ได้ไม่นาน เราสังเกตเห็นฝรั่งที่เป็นผู้จัดการเก่งๆมากๆคิดตัวเลขที่ซับซ้อนในใจได้อย่างน่าทึุง เราลองแสดงปาฎิหารย์มั่งโดยที่ว้ันหนึ่งพนักงานเราเล่นการพนันไม่เป็นอันทำงานแล้วพูดจากวนๆประสาทเรา เราเลยไล่พวกมันกล้ับบ้านหมด แล้วเราทำทุกอย่างคนเดียวหมด แบบแยกประสาท ตั้งแต่เขียนกระดานให้ลูกค้าดูราคาม้าึแข่งขึ้นๆลงๆเหมือนหุ้นที่ขึ้นๆลงในตลาดหุ้น รับแทงม้า(กดเครื่องคิดเก็บเงินประท้ับจำนวนเงินบนตํ่วแทงม้า) ฟังพากย์ม้าแข่งเร็วๆแล้วรีบจดผลม้าแข่งไว้ คิดเงินพนันม้า จ่ายเงินคนพนันม้าที่แ่ทงถูก บางทีต้องโทรไปออกตัว (เหมือน hedge ตอนออกตัวในตลาดหุ้น)  และทำบัญชี ทุกอย่างแยกประสาทหมด ตกเย็นคิดบัญชีพบว่าทำได้เก่งมากๆ คือเราทำเงินหายไปแค่ 100 ปอนดฺ์เท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆ...สงสัยทอนตังผิดว่ะ...(แต่ก็นับว่าไม่เลวนัก เพราะว่าถ้าคนอื่นเจอแบบนี้อาจเงินหายมากกว่านี้อีกหลายเท่า) แล้วตอนช่วงเย็นๆเราเข้าสโมสรหมากรุกสากล เราเล่นทีเดียว 7 กระดาน คือเราคนเดียวสู้กับผู้เล่น 7 คนฝีมือปานกลางพร้อมๆกัน แล้วเราชนะพวกเขาเรียบหมด แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 53 20:02:28 แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 53 19:50:02 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 19:48:51

ความคิดเห็นที่ 3 เราสุขสันต์กับ iq ที่เปลี่ยนไปของเราอยู่พักหนึ่ง แล้วความสามารถพิเศษของเราก็หายไปหมด เพราะอยู่ดีๆเราไปติดผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่ชานเมือง London เราไปเข้าสังคมพวกคนไทยที่นั่นแล้วกลับไปกินอาหารไทยที่มีน้ำตาลกับผงชูรสเยอะมากๆ จนสมองเราคำนวณอะไรช้าลงไปหลายเท่า แต่เราก็กลับไปกินอาหารแบบปลอดสารพิษอีก (กินสลับกับอาหารมีสารพิษ) เพื่อประคับประคองสภาพ cells สมองเรามันไว้ ซึ่งทำให้เราสมองไม่ถึงกับกลับไปโง่เหมือนตอนเด็กๆ แต่ก็ไม่ฉลาดคิดอะไรว่องไวมากนัก และแล้วเราก็ประสบชะตากรรมที่แย่ๆ นั่นก็คือเรากลับมาเมืองไทยเมื่อปี 2530 สมัยนั้นมันไม่มีอาหาร organic (อาหารที่มาจากพืชที่ปลูกโดยไม่ใส่ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง) ไม่เหมือนสมัยนี้ ผลปรากฎว่าการที่เราอยู่ดีๆเคยซื้อของในซูเปอร์แล้วโยนสินค้ากองใหญ่ๆลงรถเข็น พอเข็นรถเข็นไปหน้า cashier เราบวกจำนวนเงินสินค้าทั้งคันรถเข็นได้อย่างแม่นยำก่อน cashier จะกดเครื่องคิดเงินเสร็จ (เราเคยไปเรียนบัญชี แล้วเราคิดบัญชีหางว่าวได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข) แต่อยู่ดีๆความสามารถพิเศษนั้นมันหายไปหมดเสียแล้ว เพราะเราไม่ีมีอาหารแม็กโครใบออติกกินในเมืองไทยมาตั้งหลายปี แต่โชคดีมากๆ ที่ ดร.สาทิส อินทรคำแหงเอาวิชาชีวจิตมาเผยแพร่ในประเทศไทยจนร้านค้าอาหาร organic ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาก เราเลยมีอาหาร organic กิน แล้วเปลี่ยน cells สมองเราได้อีกรอบหนึ่ง ทำให้เราเรียนรู้อะไรได้รวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง "คราวนี้เมื่อตอนอายุมากเสียแล้ว" แต่คราวนี้นับเวลาที่เรากินอาหารแม็คโครไบออติกสะสมกัน มันนานถึง 35 ปี เรากลายเป็นมีภูมิคุ้มกันอาหารที่มีสารพิษไปเสียแล้ว นั่นก็คือถึงเราจะกินอาหารไทยที่รสจัดๆซึ่งมีสารพิษเพียบคือมีทั้งน้ำตาลกับผงชูรสตอนเรากินอาหารนอกบ้าน(ซึ่งร้านอาหารไทยทั้ังในเมืองไทยและต่างแดนมักจะทำอาหารที่มีสารพิษให้ลูกค้ากินมากพอๆก้ับร้านอาหารจีนในผืนแผ่นดินใหญ่และในต่างแดน)  หรือบางทีเรากินผลิตภัณฑ์นมเนย (ที่เราเคยแพ้) แต่เราก็ไม่ค่อยจะออกอาการ woolly (สมองเบลอๆ) และ อาหารที่มีสารพิษพวกนั้น ก็ยังไม่สามารถทำลาย cells สมองเราได้โดยง่าย คือเราก็ยังเรียนรู้เรื่องอะไรใหม่ๆได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีใจที่ตอนนี้เรากิน cheese ได้อย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งเมื่อตอนสมัยเป็นวัยรุ่นอยู่ต่างแดนพอกิน cheese ทีไรก็เป็นภูมิแพ้แล้วหายใจไม่ออก เพราะพิษของผลิตภัณฑ์นมเนยทำให้เราระคายเคืองจนมี polyps (เนื้องอกสีแดงๆ) งอกออกออกมาปิดโพรงจมูกของเราจนหายใจไม่ออก ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าภูมิคุ้มกันที่ร่างกายเราพัฒนาขึ้นมาต่อต้านอาหารที่มีสารพิษได้นี้ "ม้ันเกี่ยวกับการ detox คือชะล้างลำใส้ใหญ่เราหรือเปล่า?" หรือว่ามันเกี่ยวกับการฝึกอีก 3 วิธี (ที่กล่าวถึงแต่ไม่ได้ให้รายละเีอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง sexual techniques เพราะกลัวโดนแบน) มันกำลังประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ? อีกทั้งหน้าตาเราก็ยังดูไม่แก่เฒ่ามากนัก ยิ่งอายุมากขึ้นเรากลายเป็นวิ่งเร็วขึ้น ลองฝึกมวยจีนดูใหม่กลายเป็นเราออกอาวุธได้รวดเร็วและหนักหน่วงกว่าสม้ัยตอนเป็นหนุ่ม แต่ที่แย่ๆก็คือเรากลายเป็นตัณหากล้ับเนื่องจากตอนอายุมากๆเรากลายเป็นมีสมรรถภาพทางเพศและมีความต้องการทางเพศมากกว่าสมัยเป็นหนุ่มๆตั้งหลายเท่า ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่แย่ๆที่เราต้องพยายามทนมีชีวิตอยู่ก้ับมันให้ได้...???!! แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 53 20:18:41 แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 53 19:53:17 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 19:49:44

ความคิดเห็นที่ 4   โหนี่ผมกินของรสจัดทุกๆวันมาก กินขนมหวานทู๊กวันเลยอ่ะ อย่างนี้เซลล์สมองก็แย่ละสิครับ แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนการกินมันยากอ่ะ แต่มีแบบเป็นอาหารเสริมไหมครับ ส่วนเรื่องสมาธิ ของคุณ Slippers_Girl จะลองดูครับ จากคุณ : Gotsuperstar เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 21:20:32

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่องอาหารเสริมนี่ก็ประหลาดนะ เมื่อหลายปีมาแล้วตอนเราอายุประมาณ 54 เราไปได้แฟน (แฟนเก่า) อายุประมาณ 25 ตอนนั้นเราไม่ได้กินอาหารเจเคร่งนัก แต่กินอาหารธรรมดาๆทั่วๆไปแบบคนไทยทำที่มีสารพิษมากมาย(คือช่วงนั้นเดินทางไปกลับ กทม ต่างจังหวัดบ่อยทำให้ต้องกินอาหารนอกบ้านที่มีสารพิษเยอะมากๆ) เราเกิดอยากจะโด๊ปตัวเราให้่มีสมรรถภาพทางเพศ เราก็กินโสม ม้ากระทืบโรง กระชายดำเข้าไป แล้วก็กินพวกอาหารเสริมแพงๆเข้าไปผลปรากฎว่า "มันก็งั้นๆนั่นแหละ" แต่อยู่ดีๆเรากล้ับไปกินเจ โดยกินอาหารญี่ปุ่นรสจืดๆ ใช้ข้าวกล้องเม็ดสั้นแบบญี่ปุ่น และผัก organic เป็นอาหารทำง่ายๆราคาไม่แพง แล้วงดพวกสารโด๊ปทั้งหลายคือโสม ม้ากระทืบโรง กระชายดำ แล้วก็พวกอาหารเสริมแพงๆ ผลปรากฎว่าสมรรถภาพทางเพศกับความต้องการทางเพศเราตอนกินเจกลายเป็นพุ่งกระฉูดขึ้นทำสถิติสูงสุด (บางทีมี sex วันหนึ่ง 7- 10 รอบต่อวัน ถ้ามีเวลานะ) เราก็เลยสงสัยว่า "ที่เขาเรียกว่าถือศึลกินเจนี่ ม้ันยังไงกันหว่า" แล้วเราก็มาคิดแยกแยะ เลยได้ข้อคิดที่น่าสนใจ นั่นก็คือการกินเจแบบคนจีนในเมืองไทย จะใช้เห็ดกับมะเขือมากมาย ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีพลังหยิน(พลังความเย็น) แรงสุดกู่ เป็นตัวดับความต้องการทางเพศ (พลังความร้อน) เพื่อที่จะให้ถือศีลได้นั่นเอง ในขณะที่การกินเจแบบญี่ปุ่นแบบ Zen Macrobiotics จะหลีกเลี่ยงการใช้เห็ดกับมะเขือ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นเห็ดหรือมะเขือที่ดองกับเกลือ หรือดองกับ miso (เต้าเจี้ยวบดญี่ปุ่น) หรือดองกับ shoyu มาแล้วนานถึง 18 เดือน เพื่อใช้เกลือกับเวลาเปลี่ยนพลังหยินให้เป็นหยาง sexual energy (พลังที่ใช้ประกอบกิจกรรมทางเพศ) เป็นพลังที่ใช้รักษาโรคได้ ดังนั้นในช่วงเทศการกินเจ คนที่ป่วยอยู่แล้วถ้าไปกินเจตามแบบคนจีนในไทย พอกินเห็ดกับมะเขือที่มีพลังหยินมากๆหลายๆวัีนอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ป่วยหนักขึ้นมาก็ได้ ตอนที่ร่างกายเรายังอ่อนแออยู่ เราจะแพ้น้ำตาล ถ้าเรากินขนมหวานที่หวานจัดๆมากๆ เราจะปวดหัวไมเกรนเฉียบพลัน บางทีจะเป็นตะคริวจนเดินไม่ได้ บางทีสมองจะเบลอคิดอะไรไม่ออกเลย อาการแพ้พลังหยินของน้ำตาลแบบนี้ เราจะแก้ได้เราต้องใช้พลังหยางของเกลือหรือ shoyu  นั่นก็คือเวลาโดนพิษน้ำตาลทำร้ายเราจนเป็นตะคริว เราจะเอา shoyu กรอกปาก แล้วเดินลมปราณประมาณ 3-5 นาที แล้วตะคริวก็จะหายไปหมด เมื่อหลายปีก่อนตอนที่แม่เราผ่าตัด เราไปให้เลือดแม่ จำไม่ได้ว่ากี่ cc แต่ดูปริมาณเลือดมันประมาณขวดเบียร์ขวดใหญ่หรือมากกว่านั้นนิดๆ พอจะออกจากโรงพยาบาล พนักงานที่ดูดเลือดเรา เอาน้ำหวาน Hale Blue Boy ใส่แก้วมาให้เรากิน เราถามว่า "กินทำไม?" เขาบอกว่า "กินให้มีแรง" เราตอบเขาว่า "ถ้าเรากินน้ำหวานแก้วนี้เราคงไม่มีแรงกลับบ้าน เพราะน้ำตาลมันทำให้เลือดเราลดความเข้มข้นลง ในสภาพของการเสียเลือด เราต้องการเกลือต่างหากล่ะ" เถียงกันตั้งนานกว่าเขาจะยอมให้เราออกจากโรงพยาบาลไปได้โดยไม่กินไอ้น้ำหวานแก้วนั้น พอเราออกไปได้เรารีบไปหา shoyu กินผสมกับชาเขียวญี่ปุั่นชงร้อนๆ ได้ผลดีแฮะ เราฟื้นคืนพลังได้อย่างรวดเร็ว สมองคนเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือดจะต้องเข้มข้นมากๆ ถ้าเอาเลือดของคน iq สูงมากๆ กับคน iq ต่ำมากๆ มาแยกธาตุดู จะเห็นได้ว่า เลือดของคน iq สูงมากๆ มีความเข้มข้นสูงมากๆซึ่งมันปรับเปลี่ยนสภาพได้รวดเร็วคือถ้าทำงานเหนื่อยๆคุณภาพเลือดตกต่ำ ร่างกายมันจะปรับคุณภาพเลือดให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่คน iq ต่ำมากๆร่างกายปรับคุณภาพเลือดได้ช้าหากไปทำกิจกรรมอะไรที่ทำให้เหนื่อยล้ามา น้ำตาลหรือของหวานที่มีรสจัดๆจะทำให้ร่างกายสร้างกรดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ร่างกายจะลดปริมาณกรดเหล่านั้นได้ มันจะต้องไปดึงทรัพยากรต่างๆออกมาใช้เป็นจำนวนมาก เช่นดึง calcium ออกมาจากกระดูกและฟัน และดึุงแร่ธาตุต่างๆอีกมากมายออกมาจากส่วนต่างๆของร่างกายอีกหลายๆส่วน การกินของหวานรสจัดๆเช่น chocolate ตอนแรกๆที่ร่างกายใช้น้ำตาลเป็น quick energy มันก็กระชุ่มกระชวยดีอยู่หรอก แต่พอ quick energy มันสลายไป ร่างกายและสมองจะเริ่มออกอาการไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกระบวนการสลายกรด พอร่างกายเริ่มดึงทรัพยากรต่างๆ (ที่ร่างกายสะสมไว้) ออกมาสลายกรด ร่างกายและสมองจะอ่อนเพลียลงอย่างเฉียบพลัน ในตำรา Zen Macrobiotics จะบอกเคล็ดลับวิธีทำขนมหวาน ให้หวานมากๆได้ โดยไม่ต้องใส่น้ำตาลเลย ซึ่งขนมหวานแบบนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 53 07:42:01 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 07:36:01

ความคิดเห็นที่ 6 ลองอ่านหนังสือ ความลับของสมอง ดูสิ จากคุณ : Halls เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 21:37:40

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นคุณ fortuneteller เขียนมาหลายรอบ ผมว่า เขียนลง blog น่าจะดีนะครับ จากคุณ : Hoo เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 53 21:57:13