ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าแอ๊บไว้ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ...   ^-^" จากคุณ : trufa เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 13:46:05

ความคิดเห็นที่ 2   จะไม่โดนฟ้องเอาหรอครับ จากคุณ : Fire Water Earth เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 15:47:57

ความคิดเห็นที่ 3 คือ ถ้าหมอโรคจิตเป็นโรคจิตเสียเอง มันก็คงจะไม่ดีใช่มั้ยล่ะครับ จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 16:59:28

ความคิดเห็นที่ 4 ตกลงว่าเพศที่สามหรือกะเทยอย่างเดี้ยนคือโรคจิตเหรอ? ก็ไม่ทราบนะ แต่เห็นคณะจิตวิทยาของบางมหาลัยมีเพศที่สามเรียนเยอะมาก จากคุณ : kingofearth เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 17:18:42

ความคิดเห็นที่ 5 สมัยนี้ ยังมีคนแบบ คห 3 อยู่อีกหรอเนี่ย จากคุณ : TizTae เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 19:20:23

ความคิดเห็นที่ 6 พ.ศ. 2535 องค์การอนามัยโลกถอนความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกันออกจากบัญชีจำแนกโรค สิบปีหลังจากนั้น พ.ศ. 2545 กระทรวงสาธารณสุข ถึงยอมรับรองว่าความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกันไม่ถือเป็นความผิดปกติแต่อย่างใด ถูกครับ สังคมให้โอกาสคนกลุ่มนี้มากขึ้น แต่ไม่ว่าคุณจะมองมันสวยหรูยังไง แต่ในทางสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ ของบางอย่างมันไปด้วยกันไม่ได้ ตำรวจจะเป็นโจรเสียเองได้หรือ? พระจะมีลูกมีเมียได้หรือ? นายกจะมีกิจการทรัพย์สินเป็นหมื่นล้านได้หรือ? ฉันใดก็ฉันนั้นครับ หมอโรคจิตจะเป็นโรคจิตเสียเองได้ยังไง อย่าว่าแต่หมอเลยครับ อาชีพอื่นๆ อย่างครูเนี่ย คนส่วนใหญ่ยังมองเมินกลุ่มมีความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกันอยู่ด้วยซ้ำ ในปัจจุบัน บุคคลกลุ่มนี้ได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น จริง ถูก แต่มันก็ต้องใช้เวลานานหลายสิบปี กว่าจะมาถูกจุดนี้ และในบางส่วนเสี้ยวของสังคม การที่บุคคลประเภทนี้จะแทรกสอดหาที่ยืนได้ อาจจะต้องใช้เวลาอีก..หลายปี อ้อ ครั้งล่าสุดที่ผมไปร่วมลุ้นการเกณณ์ทหารของน้องๆ เนี่ย ไอ้พวกกระตุ้งกระติ้งวี้ดว้ายๆ เค้ายังกาหัวว่าเป็นพวกทุพพลภาพอยู่นะครับ อ้อ ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมัยปัจจุบันครับสักแป้บแล้วกันครับ แล้วค่อยกลับเข้าดินแดนแห่งความฝันกันต่อ จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 20:02:49

ความคิดเห็นที่ 7   แอ๊บๆไปก็สิ้นเรื่อง จากคุณ : Fire Water Earth เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 20:43:30

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะมีสาขาใหม่ไปเลยเน้นเพศที่สาม  เราว่าเค้าน่าจะให้คำปรึกษาได้ดีและมีประโยชน์นะ  เพราะยังมีอีกหลายคนที่สับสนและไม่มีความสุขในชีวิตเพราะจุดยืนในเรื่องเพศของตัวเอง  มันมีเรื่องบางอย่างที่หญิงแท้ ชายแท้ อาจให้คำตอบไม่ได้เพราะมองคนละมุม แต่ก็เข้าใจนะว่าลึกๆแล้วสังคมยังไม่ปักใจยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนๆนั้น  ถ้ากรี๊ดกร๊าดออกสาวมันก็ดูไม่น่าเชื่อถือ  แต่คนที่อยู่ในขอบเขตและมีความสามารถพอก็น่าสนับสนุน จากคุณ : tibby-bibty เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 53 22:15:41

ความคิดเห็นที่ 9 ตามระเบียบการเขียนว่างั้นค่ะ แต่ในความเป็นจริงก็เรียนได้ ในสังคมเราก็มีทั้งนักจิตวิทยา จิตแพทย์ ครู อาจารย์ ฯลฯ ที่มีรสนิยมต่างๆ กันไป แต่ละคนก็ทำงานของตัวเองไป ใครจะทำได้ดีมากน้อยแค่ไหนก็ถือว่าเป็นเรื่องระดับบุคคล ขึ้นอยู่กับว่าเราเคยเจอแบบไหนมาจากประสบการณ์ตรงมากกว่า จะตัดสินแบบเหมารวมไม่ได้หรอกค่ะว่า "พวกนั้น" "พวกนี้" "พวกมัน" "พวกเรา" ดีหรือไม่ดี.... จำได้ลางๆ เคยเรียนจิตวิทยาเบื้องต้น ตอนปีหนึ่ง (ไม่ได้เรียนคณะและสาขานี้อ่ะค่ะ มันเป็นวิชาบังคับ) อาจารย์บอกว่า Homo ไม่ใช่โรคจิต.... แต่ว่าโรคหนึ่งที่จัดอยู่ในข่ายโรคจิต คือ Homophobia จากคุณ : Tell no one เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 53 01:06:36

ความคิดเห็นที่ 10 ก่อนอื่นขอออกตัวว่า เราไม่ได้พูดว่า "บุคคลเพศที่ี 3 ป่วยเป็นโรคจิต" นะ แต่เราจะบอกว่า Kay Redfield Jamison ป่วยเป็นโรคจิตอย่างรุนแรงคือ ป่วยเป็น manic depression (bipolar disorder) แต่ในขณะที่ป่วย เธอศึกษา clinical psychology ที่ University of California, Los Angeles ในที่สุดเธอกลายเป็น clinical psychologist และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน bipolar disorder ทั้งที่เธอป่วยเป็นโรคนี้ และเธอก็เป็น Professor of Psychiatry ที่ี Johns Hopkins University School of Medicine และเป็น Honorary Professor of English ที่ University of St Andrews ไปอ่านประวัติของเธอได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Kay_Redfield_Jamison จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 53 01:12:17

ความคิดเห็นที่ 11 SaintPSU >> งั้นผมว่าคุณก็น่าจะรู้แล้วนิ ว่าเพศที่ 3 ไม่ได้เป็นโรคจิต เรื่องเกณทหาร ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับความเห็นของคนส่วนใหญ่ที่มองต่อคนกลุ่มนี้ยังไง มันเป็นแค่กฏเก่าๆ ที่ตั้งมาโดยบุคคลรุ่นไหนต่อไหนก็ไม่รู้ ที่รอวันที่จะเปลี่ยนแปลง แค่นั้นเอง แล้วอีกอย่างคุณก็บอกเองว่า เดี๋ยวนี้คนก็ยอมรับบุคคลกลุ่มนี้กันมากขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะใช้เวลามานานหลายสิบ หลายร้อยปี แต่มันก็ผ่านมาแล้ว ไม่เข้าใจว่าคุณจะทำให้มันย้อนกลับไปทำไม ในเมื่อตอนนี้ผมก็เห็นว่าสังคมส่วนใหญ่ที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ได้อะไรมากกลับคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว โลกที่ผมเห็นตอนนี้ เค้าก็ยอมรับเพศที่สามกันดี ครูผมก็เห็นมีแบบนี้กันเยอะแยะ รรที่ผมจบก็มี ผมก็เห็นว่าชีวิตของท่านก็ดูมีความสุขปกติดี ไม่ได้โดนรังเกียจอะไรมากมาย ตอนนี้อยู่มหาลัย อ มหาลัยเป็นกลุ่มนี้ก็แยะ แล้วเท่าที่ดู นิสิตทุกคณะก็มีกลุ่มนี้ทั้งนั้น วิศวะก็ยังมี (บางคนไม่ได้แอ๊บด้วย) แล้วจะบอกให้ว่า ผมไม่ได้เป็นคนมีเซ้นในการมองคนกลุ่มนี้นะ ผมมองออกแค่คนที่แสดงออกมาเท่านั้น ไม่รู้แอ๊บอีกเท่าไร เรื่องที่ทำงาน ผมก็ไม่เคยเห็นรุ่นพี่บ่นกันเรื่องนี้ มีเรื่องอื่นน่าวิตกในการทำงานมากกว่านี้อีกตั้งเยอะ แล้วก็ตัวอย่างที่คุณยกมานั้น . . . ตำรวจจะเป็นโจรเสียเองได้หรือ? >> ไม่อยากพูดอะไรนะ ตร. บางคนแย่กว่าโจรเสียอีก พระจะมีลูกมีเมียได้หรือ? >> บางศาสนาก็มีได้นิครับ นายกจะมีกิจการทรัพย์สินเป็นหมื่นล้านได้หรือ? >> ผมก็ไม่รู้กฏหมายอะไรว่ามีห้ามไว้หรือปล่าว แต่มันก็ไม่น่าเกี่ยวนะ แค่มีกิจการของตัวเอง ให้คนอื่นบริหารไปก็ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นครับ หมอโรคจิตจะเป็นโรคจิตเสียเองได้ยังไง >> ไม่เข้าใจอะครับ คุณก็เขียนเอง ว่า ความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกันไม่ถือเป็นความผิดปกติ แล้ว ก็สามารถที่จะสรุปได้ว่า เพศที่สามไม่ได้เป็นโรคจิต ไปในตัวด้วยอยู่แล้ว แต่ยังไง โลกที่ผมเห็นก็คงยังแคบอยู่ดี สำหรับคุณอาจจะเป็นเพียงโลกความฝันเล็กๆ บนโลกใบนี้ก็ได้ แต่ถึงยังไง ผมก็เคยเจอหมอคนนึง เขาตัวเตี้ยมากๆ แต่เขาก็จบมาเป็นหมอเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของกระดูก ว่าแบบจะทำยังไงให้สูงๆ ได้เลย (แต่เขาก็ไม่สามารถเอาความรู้ของเอามาใช้กับตัวเองได้ เพราะมันเลยวัยเจริญเติบโตไปแล้ว แต่ถึงยังไงเขาก็ได้เอาความรู้เขาช่วยผู้อื่น) แต่เอาเถอะครับ ผมก็ขอเดาว่ายังไงคุณก็คนละรุ่นกับผมล่ะมั้ง ถึงมองคนกลุ่มนี้แตกต่างไป เพราะเด็กรุ่นใหม่ๆ และแม้แต่ผู้ใหญ่หลายๆ ผมก็ไม่เคยเห็นมีใครมีความคิดแบบนี้มานานมากๆแล้ว เพราะสำหรับผมและเด็กรุ่นใหม่ๆ อีกหลายๆคน แทบไม่มีใครเห็นปัญหานี้อยู่ในหัวสมองเลย ผมคิดว่าเป็นปัญหาเก่าๆ เมื่อสมัยรุ่นพ่อ แม่ผมเสียอีก 5555 ไม่รู้ว่าสมัยนี้ยังมีปัญหานี้อยู่ที่ไหนของสังคมอีก สุดท้ายขอตอบคำถาม จขกท ละกัน ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีกฏแบบนี้หรือปล่าว แต่เท่าที่ผมเห็นก็มีเพศที่สามเรียนคณะจิตวิทยากันมากมาย ส่วนหมอจิตวิทยาไม่รู้ แต่เพื่อนผมที่เรียนหมอ ก็เป้นกันมากมาย แต่ไม่รู้มันเรียนภาคจิตวิทยาป่าว ?? จากคุณ : TizTae เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 53 02:07:10

ความคิดเห็นที่ 13 เราชอบทำตัวว่าเราเป็นเพศที่ 3 ซะด้วยสิ เราว่ามันสนุกดี...555+++... จริงๆแล้วเรามีความรู้เรื่องเพศที่ 3 เยอะมากๆ เพราะเราศึกษาโดยละเอียดว่า transgenders มีปัญหากับ GID (gender identity disorder) ยังไง และพวกเขาใช้ยาตัวไหน ในกระบวนการ HRT (hormone replacement therapy) เพื่อที่จะ transition (เปลี่ยนไปใช้ชีวิตในเพศที่ต้องการ) ผ่านขั้นตอน RLE (real life experience) หรือ  RLT (real life test) โดยการทดลองสวมใส่เสื้อผ้าเพศที่ต้องการและใช้ชีวิตอยู่ในเพศที่ต้องการสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะก้าวเข้าไปสู่ขั้นตอน SRS (sexual reassignment surgery) คือการผ่าตัดแปลงเพศ  เราค้นคว้าเรื่องนี้โดยการอ่านเอกสารการแพทย์และอ่านข้อความที่ transgenders พูดคุยปัญหากันตามเวปต่างประเทศหลายๆแห่ง เรื่องสนุกๆก็คือเมื่อเร็วๆนี้มีคนอยากจะเรียนเคล็ดลับการแปลภาษากฎหมายที่เราเชี่ยวชาญ ก็เลยคุยกับเราทาง mail กับโทรศัพท์ เราก็คิดว่าเราก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านภาษาในระดับวุฒิสูงๆเหมือนคนๆนั้น เราก็เลยไม่ค่อยอยากจะถ่ายทอดเคล็ดลับให้ แต่ก็คิดเล่นตลกๆว่าอาจจะถ่ายทอดให้ ถ้าคนๆนั้นตีความ paradoxes ของเราได้ เราก็เลยบอกคนๆนั้นไปว่าเราเป็น transgender และเราทั้งกินทั้งฉีดฮอร์โมนผู้หญิงเข้าไปตั้งหลายขนาน จนตอนนี้เรากำลังจะมีเต้านมขึ้นเหมือนเพศที่ 3 จริงๆ...555+++... ปรากฎว่าได้ผลแฮะ...คนๆนั้นไม่ติดต่อเพื่อขอคำแนะนำเรื่องการแปลภาษากฎหมายจากเราอีกเลย ดีจริงๆ ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ก็ไม่แน่นะ เร็วๆนี้เราอาจอยากสวยเหมือนผู้หญิง แล้วใช้ HRT ก็ได้ นั่นก็เพราะว่าเราเบื่อที่ต้ัวเองตัณหากลับ คือยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีความต้องการทางเพศมากยิ่งๆขึ้น แล้วก็มีสมรรถภาพทางเพศมากยิ่งๆขึ้น ถ้าเราซัดฮอร์โมนผู้หญิงเข้าไปเยอะๆ เราจะได้หมดความต้องการทางเพศ กลายเป็นกามตายด้านไป แล้วก็เริ่มมีชีวิตที่แสนสงบ เพราะเรารู้สึกว่าการใช้ชีวิตเป็นผู้ชายนี้ ถ้าวันไหนร่างกายเราผลิตฮอร์โมนผู้ชายมากๆ วันนั้นเราจะก้าวร้าวอยากทะเลาะกับชาวบ้าน ซึ่งมันไม่ดีเลย...อิๆๆ... แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 53 03:44:26 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 53 02:54:13 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 53 02:30:08 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 53 02:26:01

ความคิดเห็นที่ 14 จริงๆแล้วสิ่งที่เราสนใจมากๆ จนถึีงก้ับใช้เวลาตั้งมากมายเพื่อค้นข้อมูลเกี่ยวกับ male to female transgenders จากเวปต่างประเทศ นั่นก็คือเราอยากค้นคว้าเรื่อง pre op transgenders ฝรั่ง (คือเพศที่ 3 ที่ย้ังไม่ผ่าตัด) ตามเวปฝรั่ง เพราะอยากรู้ว่าพวกเขาทำไง ถึงมีผิวพรรณและหน้าอกสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆในขณะที่ยังมีอวัยวะเพศชายที่ใหญ่ยาวและใช้การได้ดี ซึ่งก็นับว่ามหัศจรรย์มากๆ เพราะการที่จะสวยได้ขนาดนั้น มันต้องใช้ HRT แต่ HRT มันจะทำให้อวัยวะเพศชายหดเหลือเล็กนิดเดียวแล้วก็จะใช้การไม่ได้ด้วย (คือเป็นกามตายด้านไป) เพราะฮอร์โมนผู้หญิงมันเอาชนะฮอร์โมนผู้ชายได้นั่นเอง พวก male to female transgenders มักจะใช้ฮอร์โมน 2 ตัวนี้คือ Estradiol valerate (estrogen) กับ Norgestrel (progestin)ตัวแรกทำให้ผิวสวยนมขึ้นเหมือนผู้หญิง ตัวหลังสามารถ inhibit androgenization ได้ นั้นก็คือมันจะยับยั้งการผลิต androgen ทำให้ขนน้อยลง และโอกาสที่นมจะใหญ่ขึ้นจะมีมากขึ้น ตัวยาอีกตัวหนึ่งที่ male to female  transgenders ใช้กันก็คือ Spironolactone ใช้เป็น antiandrogen คือต่อต้่าน androgen (ฮอร์โมนเพศชาย) ไว้นั่นเอง จากการที่ transgenders ฝรั่งพูดคุยกันนะ เขาว่า Spironolactone ช่วยต่อต้าน androgen ไว้ทำให้ Estradiol valerate (estrogen) ทำให้หน้าอกใหญ่ไวขึ้นแต่บางทีทำให้เป็น asexual (คือไร้ความรู้สึุกทางเพศ) ไป ในขณะที่ male to female  transgenders ที่ใช้  Norgestrel (progestin)บอกว่าทำให้เพิ่มอารมณ์ทางเพศและมีความเสน่หาในตัวผู้ชายมากยิ่งๆขึ้น และการใช้ HRT ทำให้ pheromone ต้ัวเองเปลี่ยนไป กลิ่นตัวเองก็เปลี่ยนไป       จากการค้นคว้าและเก็บรวบรวมข้อมูลนะ เราคาดว่าที่ male to female transgenders พวกนั้นสวยเหมือนผู้หญิงในขณะที่มีอวัยวะเพศชายที่ใช้การได้ดีนั้น เป็นเพราะ 1. ภาพที่เห็นเป็นภาพลวงคือเอาภาพผู้หญิงกับผู้ชายมาตัดต่อเข้าด้วยกัน 2. เป็น transgenders จริงๆ ที่ผ่าน HRT มาแล้วหลายปี แต่หยุด HRT แล้วผลของยามันมี irreversible (สภาพร่างกายกลับคืนเหมือนเดิมไม่ได้) กับ reversible (สภาพร่างกายกลับคืนเหมือนเดิมได้) นั่นก็คือ นมที่ใหญ่ มัน irreversible แต่อวัยวะเพศชายที่หดเล็กมันจะ reversible เมื่อหยุด HRT ร่างกายก็จะสร้าง androgen ได้เหมือนเดิม อวัยวะเพศชายมันก็เลยขยายขนาดขึ้นแล้วกลับมาใช้งานได้อีกเหมือนเดิม หรือไม่ก็ 3. ใช้ศัลยกรรมช่วยเช่น FFS (facial feminization surgery) คือทำศัลยกรรมให้หน้าเหมือนผู้หญิง แล้วใช้ laser กำจัดขน แล้วทำศัลยกรรมให้หน้าอกใหญ่ด้วยอีกแรง แล้วไม่หยุด HRT จริงๆ แต่ใช้ HRT แล้วหยุด ใช้ HRT อีก แล้วหยุดอีก สลับไปสลับมา แบบนี้ไว้เรื่อยๆ เพื่อคงไว้ซึ่งผิวที่เนียนและหน้าอกที่ใหญ่เหมือนผู้หญิง แต่ไม่ทำให้อวัยวะเพศชายอ่อนกำลังลง เอ่อเราว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ เราชักจะอยากเป็นแบบนี้ซะแล้วดิ จะได้มี sex กับผู้ชายก็ได้กัีบผู้หญิงก็ได้ สนุกดีอ้ะ...แต่ถ้าปรับขนาดฮอร์็โมนผิดพลาดละก้อสูญพันธ์ไปเลย (คือเป็นกามตายด้านไปเลยอ้ะ) ...555+++... เอาไว้เราจะลองเล่นกับ HRT ดู แล้วถ้าเราสวยเหมือนผู้หญิงเมื่อไหร่ เราจะแปะรูปเราให้ชาวบ้านตกตลึกในความงามของเรา ก้ันเล่นๆ นะ..555+++... แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 53 03:41:05 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 53 03:37:08

ความคิดเห็นที่ 15 ลักลั่นย้อนแย้ง... นะครับคุณเซนต์ การยกตัวอย่าง ตำรวจห้ามเป็นโจรมาใช้กัยกรณีนี้แทยจะไม่เหมือนกันเลย เพราะ การเป้ฯโจรคือการกระทำความผิด และการเป็ฯตำรวจไม่ได้เป็ฯการการันตตีว่าตำรวจเป็นคนดี ถ้าตำรวจเป็นโจรไม่ได้ แต่คนที่ไม่ใช่ตำรวจเป็ฯได้ใช่ไหมครับ ? ? ? ? กฎห้ามเพศทางเลือกเรียนในสาขาบางสาขา เป็ฯกฏเก่าครับ รอเวลาแก้ไข มันเกิดขึ้นในสมัยที่ยังมีการกีดกันทางเพศอยู่ พอๆ กับการห้ามผู้หญิงทำบางอาชีพในสมัยก่อนนั่นแล่ะ สมัยนี้มีการยอมรับมากขึ้นก็จริง แต่ยังต้องให้เวลาสังคมในการยอมรับ และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันสักหน่อยครับ การแอนตี้เพศทางเลือกเองก็เกิดขึ้นเพราะความไม่เข้าใจในกันและกันเท่านั้นเอง จากคุณ : กระต๊อบน้อย เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 53 16:52:22

ความคิดเห็นที่ 16 อีกหลายสิบปีครับ มันเป็นเรื่องของสามัญสำนึกครับ ไม่ใช่สิ่งที่จะปลูกฝังกันได้ง่ายๆ คุณเข้าไปทานอาหารในร้านค้า คุณเห็นร้านท่าทางสกปรก ซ่อมซ่อ คนขายใส่เสื้อกล้าม ลากรองเท้าแตะ ไว้เล็มผมยาวรุงรัง คุณก็จะรู้สึกไว้ก่อนล่ะว่าอาหารมันคงจะด้อยคุณภาพ คุณเข้าไปในร้านเสริมสวย หรือคลีนิคศัลยกรรมเสริมความงาม แต่เจ้าของร้าน ผู้ให้บริการ หน้าตาขี้เร้ขี้เหร่ คุณก็จะรู้สึกว่า เจ้าของร้านยังขนาดนี้ แล้วผลงานจะได้ออกมาดีสักแค่ไหน ผมสะท้อนสามัญสำนึกพื้นฐานไปสู่หมอ แพทย์ อีกอาชีพหนึ่ง ถ้าหมอเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ คนไข้ก็ไม่มั่นใจจะมารักษาถูกมั้ยครับ? ฉันใดก็ฉันนั้น ดังคำตอบของกระทู้นั่นแหละครับ ก็ถามต่อว่า ตำรวจทำผิดไม่ได้หรือ? แม่ค้าโสโครกไม่ได้หรือ? เจ้าของร้านขี้เหร่ไม่ได้หรือ? หมอโรคจิตจะผิดปกติเสียเองไม่ได้หรือ? คำตอบก็คือ ของมันเกิดขึ้นได้ (shit happens) แต่ชาวบ้านเค้าเอาคุณหรือเปล่า? แค่นั้นเอง จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 53 18:14:34

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณทุกท่านสำหรับคำตอบนะคะ อิอิ จากคุณ : รัตจันทน์ เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 53 15:39:17

ความคิดเห็นที่ 18 ผมยังเคยเห็นหมอเป็นตุ๊ดหลายคน .. จากคุณ : เด็กชายหัวหอม เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 00:39:29