ความคิดเห็นที่ 1 จริง ๆ แล้วบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานาน มีอยู่ 2 ส่วนหลัก ๆ สังคมแล้วพ่อแม่ สังคมบ้านเราอย่างที่ทุกคนรู้กันอยู่ว่า มุ่งเน้นแต่ปริญญามากเกินไป เดี๋ยวนี้จบโทกันเกลื่อน กลายเป็นว่าผมจบตรี ไม่มีปัญญาเรียนโท ต่อไป ๆ วุฒิโทเป็นวุฒิการศึกษาขั้นต่ำไปแล้ว สังคมบ้านเราตั้งแต่โบร่ำโบราณเป็นสังคมศักดินา นับถือยศนับถือศักดิ์ ก็ไม่ต่างจากสมัยนี้ที่นับถือคนเรียนสูง ๆ คนมีเงิน ส่วนคนไม่ได้เรียนหนังสือ หรือเรียนไปงั้น ๆ แค่เอาปริญญา ทำงานงานเซเว่น งานส่งพิซซากลายเป็นคนละดับล่างไปซะงั้น นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่าพ่อแม่ที่มีฐานะดี ก็อยากจะส่งให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดี ๆ เพื่อที่จะได้มีหน้ามีตาเพื่อนลูก ลูกเพื่อนอะไรก็ว่าไป ส่วนทางด้านพ่อแม่นั้นก็อยากจะให้ลูกเรียนเก่ง ๆ เรียนเยอะ ๆ เพื่อที่จะให้ลูกไม่อายเพื่อน ลูกสอบเข้ามหาลัยดี ๆ ได้ มันก็เลยเกิดการแข่งขัน การเหลื่อมล้ำกันมากขึ้นไงล่ะ ทุกวันนี้ครูที่สอนตามชั้นเรียนก็กั๊กวิชากันซะ เพื่อที่จะเก็บไว้สอนเด็กในคาบโรงเรียนกวดวิชา เด็กที่มีเงินก็ไปเรียน ไปหาเพื่อน พ่อแม่ก็ไปรับ ไปส่งลูก เพื่อที่จะสนิทสนมกับครู อาจารย์ว่ากันไป เผื่อลูกจะได้เกรดดี ๆ เกิดความเกรงใจ เพราะเงินเป็นหลัก ที่เห็นก็เห็นจากเด็กสมัยนี้ทั้งนั้น อย่างผมเองเรียนโรงเรียนอินเตอร์มาโชคดีที่ไม่เคยเจอแบบนี้ โรงเรียนเข้า 6.30 ตอน 12.30 ก็กลับบ้านแล้ว มองเห็นถึงความแตกต่างเลยว่ามันไม่เหมือนโรงเรียนไทยเลยจริง ๆ เด็กไทยเรียนในห้องไม่ค่อยกล้าถามเท่าไร เพราะถามไปเดี๋ยวเพื่อนข้าง ๆ รำคาญ ถามไมวะ ครูจะได้สอน ๆ เสร็จ ๆ หรือไม่ก็ไม่กล้าถามเพราะอายเพื่อน แล้วแต่ ต่างจากเด็กอย่างผมที่เรียนอินเตอร์มา น๊านนานจะมีคาบที่เด็กจะต้องยกมือถือ เพราะครูเค้าจะสอนทักษะมากกว่าอัดแต่วิชาการจนมากเกินไป ทดลองอะไรก็ทำจริง ๆ จัง ๆ ทำเสร็จจบด้วยเหตุผล เพราะอะไร ทำไมมันเป็นแบบนั้นแบบนี้ เป็นอันจบ แต่เด็กไทยได้แต่งง เพราะยากเกิน อาจารย์ก็สอนไม่ค่อยจะรู้เรื่อง คำตอบสุดท้าย ไปกวดวิชากัน สุดท้ายพ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดี ๆ แข่งกับลูกชาวบ้าน (เห็นมากับตา แต่เราว่ามันไร้สาระ) ต้องสอบเข้านั่นเข้านี่ให้ได้นะ เสาร อาทิตย์เรียนวิทย์ คณิต ปิดเทอมไปเรียนพิเศษตลอด สรุปแล้ว เอ่ออออไม่รู้จะพูดยังไง เอาเป็นว่า พ่อแม่ใคร พ่อแม่มันดีกว่า ใครกระโดดเกิดผิดบ้านไปเจอครอบครัวที่เอาใจใส่แล้วลูกชอบก็ดีหน่อย ไปเกิดกับครอบครัวจน ๆ ไม่มีปัญญาส่งให้เรียนก็แย่หน่อย สรุปสังคมเรามันพาไปทั้งนั้นแหละ อย่างเด็กฝรั่ง ต่างประเทศ ความเหลื่อล้ำเค้าแทบไม่มี น้อยมาก ไม่เห็นเค้าจะต้องขวนขวายเรียนกันแบบเด็กไทยเลย คนไหนเรียนปริญญาตรีจะได้รับการชื่นชมว่า ยูเก่งนะ ยูรักเรียน ทั้ง ๆ ที่บ้านเค้า เมืองเค้าไม่ต้องเรียนมาก จบไฮสกูลก็ทำงานได้แล้ว เผลอ ๆ แรงงานก่อสร้างบ้านเค้าเงินเดือนจะมากกว่าพนักงานในออฟฟิตซะอีก แต่คนที่เรียนสำหรับคนบ้านเค้าคือคนรักเรียน คือเรียนเพื่อที่อยากรู้ อยากหาประสบการณ์ อยากเจอโลกกว้างมากกว่านี้ ไม่ใช่แบบบ้านเรา เรียนเพื่ออัพเงินเดือน เรียนเพื่อเข้าทำงานในบริษัทที่เลือกสถาบัน ผมมองว่าบ้านเราแย่ ขนาดจบ ม.ที่เค้าว่ากันว่าอันดับ 1 ในเมืองไทย ยังตกงานเยอะแยะ มันก็ต้องไปแข่งกันจนได้แหละ ต่างประเทศบ้านเค้าจะแย่ขนาดไหน อย่างน้อยก็มีงาน มีเงินเดือนกินเป็น ชม. บ้านเราสตาร์ท 4-6 พัน ใครมันจะไปทำสมัยนี้ เดี๋ยวนี้ผมเห็นแรงงานต่างด้าวเยอะมาก มาทำงานแบบคนไทย ขับรถเอยยย โรงงานเอยยยย เพราะคนไทยมันไม่ทำ พอคนไทยไม่ทำก็หาว่าเค้าเลือกงาน พอเค้าทำเงินเดือนก็ไม่พออีก เหนื่อยเกิน ดูอย่างเด็กที่มันทำเซเว่นสิ ผมนับถือเค้ามากนะ ถ้าจะให้ผมทำบอกได้เลยว่าผมความสามารถไม่ถึงแน่นอน ทั้งจัดสต๊อก ทั้งเช็คสต๊อก ของหายก็โดนอีก ทั้งคิดเงินลูกค้า ทำทุกอย่างในเซเว่น แต่เงินเดือนนิดเดียว จบตรีด้วยยย เฮ้อออออ สุดท้ายก็แค่นี้ เอาเป็นว่ามันเสื่อมมานานแล้วแหละ พัฒนาอะหรอยาก รัฐบาลกลัวคนฉลาด ตามทันมั้ง หรือไม่ก็แค่คิดหาหนทางจะทำยังไงให้จับคนที่อยู่เมืองนอกที่มีความรู้ มีความสามารถมาลงโทษที่เมืองไทยได้ ก็แค่นี้แหละ มันเลยไม่พัฒนสักกะที จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 02:44:49

ความคิดเห็นที่ 2 พูดกรณีของอเมริกาอย่างเดียวนะครับ "อย่างเด็กฝรั่ง ต่างประเทศ ความเหลื่อล้ำเค้าแทบไม่มี น้อยมาก ไม่เห็นเค้าจะต้องขวนขวายเรียนกันแบบเด็กไทยเลย คนไหนเรียนปริญญาตรีจะได้รับการชื่นชมว่า ยูเก่งนะ ยูรักเรียน ทั้ง ๆ ที่บ้านเค้า เมืองเค้าไม่ต้องเรียนมาก จบไฮสกูลก็ทำงานได้แล้ว เผลอ ๆ แรงงานก่อสร้างบ้านเค้าเงินเดือนจะมากกว่าพนักงานในออฟฟิตซะอีก" อาจจะจริงเรื่องเงินเดือน แต่ไม่ัทั้งหมดนะครับ อีกอย่างที่บอกว่าจบ hs ก็ทำงานได้แล้วก็จริงครับ แต่ผมไม่เชื่อว่าคนพวกนี้มีความสุข คนพวกนี้หาเช้ากินค่ำจริงๆ นะครับ (จากประสบการณ์) เค้าไม่ได้เลือกที่จะอยู่ตรงนี้ บางทีพ่อแม่ปล่อยไปเลยหลังจากอายุ 18  เค้าไม่ได้คิดว่า "ไม่ต้องเรียนดีกว่า แค่ hs diploma ก็ทำงานได้แล้ว" นะครับ "แต่คนที่เรียนสำหรับคนบ้านเค้าคือคนรักเรียน คือเรียนเพื่อที่อยากรู้ อยากหาประสบการณ์ อยากเจอโลกกว้างมากกว่านี้ ไม่ใช่แบบบ้านเรา เรียนเพื่ออัพเงินเดือน" ตะก่อนไม่รู้ แต่ปัจจุบันไม่ใช่นะครับ มหาวิทยาลัยตอนนี้รับนักเรียนเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี มีพวกอยากเรียน และไม่ได้อยากเรียนผสมกันไป อีกอย่างถ้าได้ติดตามข่าว จะเห็นว่า 2-3 วันนี้เพิ่งมีข่าว (new york times, business week) บอกเป้นนัยๆ ค่อนข้างชัดเจนว่าคนฝรั่งไม่ได้บอกการเรียนมหาวิทยาลัยเป็นแค่การหาความรู้ แต่เป็นการเรียนเพื่อ "อัพเงินเดือน" ฝรั่งก็บ้าสถาบันพอๆ กับเราแหล่ะครับ แต่อาจจะไ่ม่มากเท่า เค้าก็คิดคำนวณออกมาว่าเรียนที่นี่ จบมาทำงานได้ที่ไหนบ้าง คุ้มกับ"การลงทุน"หรือเปล่า สรุป ไทยกับอเมริกาไม่ต่างกัน(มาก)ครับ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 53 03:21:51 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 53 03:21:12 จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 03:16:34

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนประเด็นของเจ้าของกระทู้ ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครับสำหรับการศึกษาไทย ^^ จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 03:18:14

ความคิดเห็นที่ 4 สมัยผม เรียนหนังสือกันทั้งวัน ไม่มีเวลาออกไปไหน เครื่องอัดเทป ไม่มี  คอมพิวเตอร์ไม่มี ต้องเขียนเอง  จดเอง  อ่านเอง  ค้นคว้าในห้องสมุดเอง ทั้งนั้น สมัยนี้ สบายกว่าเยอะ  ไม่ได้เรียนกันทั้งวัน ตามศูนย์การค้า มีนักเรียนในเครื่องแบบ เดินกันตั้งแต่เปิดร้าน จนปิดร้าน ผมว่า การศึกษาล้มเหลว  ไม่ใช่เพราะเด็ก เ ค รี ย ด   แต่เด็ก  ขี้ เ กี ย จ  และ เ อ า แ ต่ ใ จ ตั ว เ อ ง  มากกว่า เด็กสมัยนี้ อยากเรียนง่าย ๆ  จบเร็ว ๆ ทำงานอยากได้ งานสบาย ๆ  เงินเดือนมาก ๆ อยากเป็นฝ่ายบริหาร สั่งการ  มากกว่าเป็น ผู้ปฏิบัติ เพื่อหาประสบการณ์ เมื่อไม่ได้ดังใจ  ก็ไป โทษโน่น โทษนี่ โทษสังคม ว่าเป็นสังคมส่งเสริมการแข่งขัน แก่งแย่งชิงดี โดย ลืมนึกไปว่า  กว่าจะเกิดมาเป็นคน  ก็ผ่านการต่อสู้ แข่งขันมาแล้ว ตั้งแต่เป็น ตัว สเปอร์ม  กว่าจะได้ผสมกับ ไข่  จนปฏิสนธิ ไม่ได้มาจาก การเลือกตั้ง ไม่ได้มาจาก ลำดับอาวุโส ไม่ได้มาจาก การซื้อขาย ไม่ได้มาจาก การจับสลาก ไม่ได้มาจาก รางวัลที่หนึ่ง  ฯลฯ แต่มาจาก การต่อสู้  แข่งขัน แก่งแย่งชิงดี  กับสเปอร์ม ตัวอื่น เพียงประการเดียว ฉะนั้น นี่คือ กฎธรรมชาติ  ที่ต้องต่อสู้ แข่งขัน แก่งแย่งชิงดี ตั้งแต่ยังไม่เกิดเป็นคน และเกิดมาเป็นคนแล้ว  ก็ต้อง ต่อสู้ แข่งขัน แก่งแย่งชิงดี ต่อไป จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:37:10

ความคิดเห็นที่ 5 เข้ามาเเจมในฐานะที่มีลูกเรียนอยู่ม.2โรงเรียนเทศบาลญี่ปุ่นค่ะ ที่นี่การเรียนเเบบไทยเลย มีการเเข่งขันกันดุ โรงเรียนติวเข้มมีมาก โรงเรียนติวเข้มนี่ไม่ใช่ให้สอบเข้าโรงเรียนดังอย่างเดียวเเต่ต้องเป็นโรงเรียนเทศบาล(ค่าเรียนถูกมาก) เอกชนค่าเรียนเเพงไม่มีเงิน ก็หวังให้ลูกเข้าเทศบาลกัน(ส่วนคนรวย ไม่มายุ่ง เพราะมีเงินอยู่เเล้ว เอกชนดังๆก็มีมาก) เเต่สำหรับคนรายได้น้อย ก็อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนดีที่สูสีกับเอกชนได้บ้าง ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่โรง(บางโรงนี่ดีกว่าเอกชนดังด้วยซ้ำ ถึงต้องเเย่งกันเข้า) ก็ไม่ใช่จะเข้าง่ายๆ ต้องดูผลการเรียนม.ต้นด้วย คะเเนนถึงเกณฑ์จึงสามารถสมัคสอบได้(สอบได้ไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง สอบไม่ได้ก็ต้องเข้าเอกชนไป เพราะเทศบาลสอบพร้อมกัน) ส่วนตัวไม่เคยให้ลูกไปติวเลย จน ณ ปัจจุบัน คิดว่าไม่ติวคงไม่ไหว กลัวลูกสอบเข้าโรงเรียนดีไม่ได้(โรงเรียนดีคือค่าเรียนถูก วิชาการเข้ม เด็กสอบเข้าเกียวได ฮันไดได้) เมื่อก่อนที่ญี่ปุ่น จบม.ต้น จบม.ปลายมีงานทำเยอะเเยะ เเต่หลังเศรษฐกิจทรุด งานสำหรับคนจบม.ต้น ม.ปลายมีน้อยลง เด็กบางคนที่บ้านไม่รวยไม่ต่อม.ปลาย ไม่ต่อมหาลัยก็ต้องไปทำpart time ชม.ละ700-900เยน ซึ่งไม่เยอะเลยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่นี่ เเถมงานpart timeไม่มีสวัสดอการอะไรให้ด้วย เเต่มันก็ต้องทำเพราะเลือกไม่ได้ค่ะ สรุปการเรียนที่นี่ในโรงเรียนเทศบาลไม่ค่อยเข้มเท่าเอกชน -เทศบาลจำนวนชั่วโมงเรียนน้อยกว่า เเถมหยุดเสาร์-อาทิตย์ -เทศบาลเน้นสอนความรู้พื้นฐานทั่วๆไป ถ้าอยากรู้ลึก เด็กต้องไปค้นคว้าเอง(ซึ่งเด็กก็ต้องพึ่งโรงเรียนติวเข้ม ถ้าไม่มีเงินก็ต้องศึกษาเองอย่างลูกดิฉัน บางทีเจอโจทย์ยากๆ ร้องไห้เลยกว่าจะทำความเข้าใจได้) -เทศบาลอยู่ใกล้บ้าน ค่าเรียนถูก ป.1-ม.3เเทบไม่เสียอะไรเลย ลูกอยู่ม.2ทั้งปีเสียประมาณ1หมื่น1พันบาท ส่วนตัวมองว่าการเรียนที่ไหนก็เเข่งขัน โดยเฉพาะยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ดอย่างนี้ งานน้อย คนเยอะ คนเรียนมาก เรียนดีได้เปรียบค่ะ จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:44:05

ความคิดเห็นที่ 6 ้เป็นปกติของมนุษย์ แย่งกันตลอดแหละครับ ไม่มีอะไรที่ได้มาด้วยความไม่พยายามหรอกครับ อ้อ ....  ลืมไป มีอย่างนึงที่ได้มาง่ายๆ "ความล้มเหลว" ไงครับ ? จากคุณ : Tua12 เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:49:22

ความคิดเห็นที่ 7 ดูปัญหาเรื่องเด็กไืทยเรียนมากไปแล้วไม่เก่ง เราคิดว่า น่าจะเกิดจาก 1. การจัดซื้อจัดจ้างโดยการยัดเงินใต้โต๊ะ คือคนผลิตหนังสือเรียนที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในโรงเรียนได้จะรวยเละ ดังนั้นถ้าอนุมัติเยอะๆเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาก็ได้เงินใต้โต๊ะ ความซวยก็ไปตกอยู่กับเด็กนั่นก็คือเด็กต้องเรียนเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นมากมาย ก็เลยไม่เก่งจริงสักเรื่อง (เคยมีคนในวงการเล่าให้ฟังว่า ลงทุนจัดทำหนังสือเรียนไปมากมาย แต่เปลี่ยนรัฐบาลกระทันหัน ผู้จัดทำหนังสือเลยแทบจะหมดตัว เพราะคนที่จะยัดเงินใต้โต๊ะได้ ก็โดนพรรคการเมืองใหม่ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลย้ายไปหรือเด้งไปซะแล้ว) 2. คนเรียนเก่งเลือกเรียนวิชาอื่นที่ได้ค่าตอบแทนมากกว่าเรียนด้านการศึกษา เจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาส่วนใหญ่มาจากคนเรียนไม่เก่งซึ่งแห่กับไปเข้ามหาลัยที่เข้าได้ง่ายๆ ซึ่งปีหนึ่งผลิตคนพวกนี้เข้าสู่ระบบการศึกษามากมาย และคนพวกนี้จะรักพวกพ้องจากสถาบันเดียวกันจึงส่งเสริมให้พวกพ้องเข้าไปเป็นใหญ่กันในระบบการศึกษา ยิ่งการเลื่อนตำแหน่งข้าราชการด้านการศึกษาแล้วจะต้องไปเรียนเอาวุฒิสูงๆระดับปริญญาเอก และข้าราชการส่วนใหญ่จะเลือกมหาลัยที่เรียนง่ายและจบเร็วที่สุด มีการว่าจ้างให้เขียนดุษฎีินิพนธ์กันอย่างเป็นระบบ คนพวกนี้หละที่เข้ามาเป็นใหญ่ในระบบการศึุกษาไทย...ถ้าใครเคยรัีบจ้างแปลดุษฎีินิพนธ์จากไทยเป็นอังกฤษ ให้นักศึุกษาปริญญาเอกมหาลัยที่เรียนด้านการศึกษาแล้วเรียนยังไงก็จบ จะรู้ว่าสมองคนพวกนี้มีระบบตรรกะที่ไม่มีประสิทธิภาพเอาเสียเลย เพราะจะเขียนอะไรวกๆวนๆ จับต้นชนปลายไม่ค่อยจะถูก ส่วนใหญ่แล้วนักแปลกลายเป็นต้องค้นข้อมูลที่ถูกต้องแล้วแก้ภาษาไทยให้อ่านรู้เรื่องก่อนที่จะแปลเป็นอังกฤษให้อ่านแล้วรู้เรื่องเป็นภาษาคน   3. เมื่ออ่าน คคห 2 ประกอบกับอ่านหนังสือหรือบทความต่างๆจากอเมริกา เราก็เชื่อว่าเป็นจริง แต่ในอเมริการมันยังมีทางเลือกให้คนจบ hs มากพอสมควร ในประเทศอังกฤษคนเรียนวุฒิต่ำๆก็คงลำบากเหมือนกัน แต่มันก็ยังมีตัวเลือกเช่น ถ้าไปทำงานเป็นพนักงานขายของตามห้างก็เงินเดือนน้อยแทบไม่พอกิน แต่ถ้าทำงานกรรมกรก่อสร้าง หรือรู้ช่องทางเอาของไปขายตามตลาดนัด ก็อาจรวยได้เพราะค่าตอบแทนสูงไม่แพ้คนเรียนจบสูงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐีใหม่ชาวอังกฤษส่วนใหญ่มาจากกรรมกรก่อสร้้างเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่ดีๆเกี่ยวกับประเทศอังกฤษก็คือมีโครงการที่มี colleges หลายๆแห่งร่วมกันผลิตบัณฑิตจากคนที่เคยเลิกเรียนหนังสือในระบบการศึกษาไปตั้งแต่วัยเด็ก โดยให้สอบเข้าไปเรียนแบบไม่แข่งขันกันโหดเหมือนในประเทศไทย และรัฐบาลอังกฤษก็มีเงินทุนให้คนพวกนี้เรียนฟรีและมีเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย ซึ่งถึงจะไม่คัดคนเก่งมากนักไปเรียนแต่ก็ผลิตบัณฑิตออกมาได้มีประสิทธิภาพมากกว่ามหาลัยที่เรียนยังไงก็จบในประเทศไทย ส่วนเมืองไทยคนจบวุฒิต่ำๆไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก แต่ถ้าตั้งใจเสาะแสวงหาให้ดีๆมันคงพอหาได้ ยกตัวอย่างเช่น เราเคยเห็นคนเอาหนังมาตัดเป็นเข็มขัดหนังแฟชั่นง่ายๆแล้ววางขายแบกะดินเส้นละไม่กี่ร้อยบาทในขณะที่เข็มขัดในห้างเส้นละตั้งหลายพันบาท เราเคยเห็นคนขายเข็มขัดแบกะดินขายได้วันละตั้ง 20 -30 เส้นหรือมากกว่านั้น เดือนหนึ่งเราว่ารายได้เขาคงเป็นแสนบาท ที่เยาวราชเีราเคยเห็นอาหมวยขายบะหมี่ที่รถเข็นข้างถนน(แค่เอามือขยำๆบะหมี่แล้วที่เหลือปล่อยให้ลูกจ้างทำหมด)พอกวาดสายตาดูดีๆ อะโหตะละแม่ขี่รถราคาค้นตั้งหลายล้านมาขายบะหมี่...!!! คือจริงๆแล้วคนเรียนสูงเรียนต่ำ แต่ละคนมีทางเลือกเพื่อความอยู่ีรอดหรือเพื่อความร่ำรวยด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบางทีค่านิยมในสังคมว่า "ต้องจบสูงๆแล้วทำงานนั่งโต๊ะสบายๆ" มันมาขวางกั้นเอาไว้ คนไทยเป็นจำนวนมากจึงแห่กันไปแย่งชิงกันเรียนเอาวุฒิสูงๆจนเครียด ผลลงเอยก็คือประเทศไทยจะมีมหาลัยแบบเรียนยังไงก็จบที่ผลิตคนเรียนไม่เก่งออกไปทำงานนั่งโต๊ะในตำแหน่งใหญ่ๆกันมากมาย และระบบเล่นพวกเล่นพ้อง ระบบ corruption ระับบจัดซื้อจัดจ้่างงานโกง ซึ่งเป็นวิถึชีวิตของคนไทยมันเป็นปัจจัยที่ทำให้ระบบการศึกษาไทยดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ วิธีแก้ปัีญหาการศึกษาในประเทศไทย มันคงทำได้ยาก เนื่องจากตอนนี้ มันป่วยกันทั้งระบบ จะทำได้มันต้องขุดรากถอนโคนกันเลย จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 10:28:02

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วย.......ในฐานะที่ผมเป็นครูครับ   รู้สึกแย่กับระบบประเมินคุณภาพการศึกษาของไทย  ที่เอานักวิชาการกำมะลอไร้กึ๋นมาคิดเกณฑ์สารพัดทำให้ต้องเสียเวลาสอนมากมาย เพราะต้องมาหลงทางกับเรื่องพวกนี้ ครูอาวุโสที่เก่งๆหลายคนเออร์รี่กันไปแล้วเพราะทนระบบนี้ไม่ได้   วันๆกรอกแต่เอกสารรายการแบบประเมินเพื่อให้เข้าเกณฑ์ รอไอ้พวกห่าเหวนี้มาตรวจ  เอกสารเหล่านี้ไร้สาระมากมายไม่ได้ช่วยทำให้การเรียนการสอนดีขึ้นเลย ซ้ำร้ายกลายเป็นครูมีภาระงานเพิ่มอีก เพราะต้องเสียเวลามาสร้างเอกสารเหล่านี้   ครูไทยงานหลักคือกรอกเอกสาร   ว่างเมื่อไรค่อยสอน   การศึกษาไทยคงไม่พัฒนาไปกว่านี้แล้ว จากคุณ : Captain_A เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 11:04:46

ความคิดเห็นที่ 9 ขอถามด้วยความไม่รู้นะคะ  โรงเรียนสาธิตทั้งหลายเวลานี้เป็นที่ที่เอาไว้ "สาธิต" อะไรดีๆในการเรียนการสอนบ้างไหมคะ  ...คือ มันควรจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม จากคุณ : เราเอง (Rao-eng) เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 12:09:02

ความคิดเห็นที่ 10 ในอเมริกาการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องซีเรียสสำคัญมาก มีหลายประเด็นที่ต้องคำนึงถึง ทั้งตัวเด็กเองและพ่อแม่ เพราะค่าเล่าเรียนนั้นแพงมหาศาลมากๆ พ่อแม่หลายๆคนนี่พอมีลูกปุ๊ปต้องวางแผนเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยทันทีนะครับ ตอนม.ปลายเด็กอเมริกันก็ต้องหาที่เรียนต่อกัน เครียดระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ดีของอเมริกาก็คือเด็กระดับปานกลางที่ไม่ได้เป็นหัวกะทิหรือเก่งมากๆก็ยังมีที่ไปน่ะครับ คือมีโอกาสเรียนในม.ระดับรัฐหรือม.ระดับเมืองก็ยังได้ แน่นอนว่าจบมาแล้วอาจหางานระดับสุดยอดลำบาก แต่ก็ยังมีงานระดับดีหรือใช้ได้รองรับ จบ HS แล้วไปทำงานเลยนี่...อาจจะเพราะมีความลำบากบางประการครับ เพราะทางเลือกเรียนต่อของอเมริกามันมากมายมหาศาล ไปเรียน Community College ก็ยังได้ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 16:18:54

ความคิดเห็นที่ 11 ตามที่ผมเข้าใจนะครับ โรงเรียนสาธิตเป็นโรงเรียนสำหรับฝึกสอน ให้นิสิตคณะศึกษาศาสตร์หรือครุศาสตร์มาทดลองสอน และก็เป็นสวัสดิการให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยไปด้วย และก็ตามชื่อก็น่าจะเป็นที่ทดลองการเรียนการสอนแบบใหม่ๆด้วย แต่ประเด็นสุดท้ายนี่คงไม่ได้เน้นเท่าไหร่มั้งครับ จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 16:27:21

ความคิดเห็นที่ 12 คือระับบการศึกษาไทย แต่ก่อน จบ ม.6 ก็ทำงานได้แล้ว เงินเดือนดีด้วย แต่เดี๋ยวนี้ ต้องจบอย่างต่ำปริญญาตรี ถึงจะได้งานทำ กล้าทำนายได้เลยว่า อีก 20 ปี ด็อกเตอร์จะเกลื่อนเมือง ถ้าระบบแบบนี้ยังอยู่ คือระบบการศึกษาแบบไทยๆ เรียนให้รู้ไปหมด 8 กลุ่มสาระวิชา ต้องรู้หมดทุกอย่าง ประมาณว่ากระทรวงต้องการผลิตเยาวชนที่เป็นอัจฉริยะไปทุกเ้รื่อง แบบว่าแต่งกลอนได้พอๆ กับสุนทรภู่ แก้โจทย์ฟิสิกส์ได้พอๆ กับไอน์สไตน์ วาดภาพได้เหมือนลีโอนาร์โด ดา วินชี ประมาณนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วว่าคนธรรมดาจะอัจฉริยะไปได้ทุกอย่าง คือระบบนี้ต้องมี 2 อย่างที่เปลี่ยน อย่างแรกคือเรื่องแรงงาน เงินเดือนขั้นต่ำเพียงพอสำหรับปัจจัย 4 เบื้องต้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ วิศวกร หรือแม้แต่คนกวาดถนน เงินเดืิอนต้องใกล้้เคียงกัน ไม่ใช่มีชนชั้นวรรณะแบบที่ประเทศไทยมี แล้วใครที่ต้องเหนื่อยกว่า เงินเดือนต้องเพิ่มให้เยอะกว่า ของประเทศไทยนี่มันกลับกัน พวกนั่งสบายๆ เงินเดือนเยอะกว่าพวกที่ต้องตรากตรำ ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ สุดท้ายจะไม่มีใครอยากทำงานหนัก เมื่อไม่มีใครอยากทำงานหนัก สุดท้ายประเทศจะเป็นยังไงก็คิดดู อย่างที่สอง เรื่องการศึกษา เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยเพราะตัวเองรักสาขานั้นจริงๆ การศึกษา ต้องช่วยให้คนได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง ว่าเราเกิดมาเพื่อทำอะไร ในขณะที่การศึกษาไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นการยัดเยียดความรู้ใส่สมองคนซะมากกว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าปัญญาเกิดได้จากการฟัง การคิด หรือการลงมือปฏิบัติจริงๆ ผมว่าการศึกษาไทยให้ได้แค่อย่างแรกมากกว่า ให้ฟังๆๆ อย่างเดียวแล้วจำ ผมว่าิอีก 2 อย่างที่เหลือ ระบบการศึกษาต้องสร้างให้ไำด้ ไม่ใช่แค่แบบฉาบฉวยแบบข้อสอบ GAT PAT อีกอย่างการศึกษาไทย "เรียนเพื่อสอบ" เรียนไปวันๆ ก็เพื่อการสอบไม่กี่วัน โรงเรียนกวดวิชาจึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดก็เพราะ "เรียนเพื่อสอบ" นั่นแหละ ถ้าสมมติว่าการศึกษาไทยไม่มีการสอบแล้ว ผมว่าความกดดันของคนที่เรียนจะน้อยลงมาก ในเมื่อสิ่งที่เราไม่สนใจ เราไม่จำเป็นต้องสอบ เราจะเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจได้ดีขึ้น แล้วจะกลายเป็น "เรียนเพื่อรู้" อย่างที่ควรจะเป็น แต่นั่นก็เป็นอุดมคติ ทางที่ดีตอนนี้ก็น่าจะลดการสอบลงไม่ให้เยอะเกินไป ผมคนนึงที่อยู่ีในระบบ ถึงเก่งพอที่จะเอาตัวรอดก็เถอะ แต่ก็รู้สึกว่าการสอบไม่ได้ทำให้คนรู้เรื่องนั้นๆ มากขึ้นมาเลย ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้เราก็น่าจะคิดระบบการศึกษาที่เหมาะกับความเป็นคนไทยจริงๆ ไม่ใช่แบบตามตูดฝรั่ง ที่ใช้กันมาเป็นสิบๆ ปีจนถึงตอนนี้ เราเป็นคนไทย จะใช้ระบบฝรั่ง มันก็เจ๊งเท่านั้น เพราะระบบไม่ได้ทำให้คนไทยเรียน ไม่ได้สร้างจากสภาพแวดล้อมของคนไทย สร้างระบบการศึกษาไทย บนสภาพแวดล้อมไทย เพื่อคนไทยจริงๆ มาแทนที่ระบบการศึกษาฝรั่ง บนสภาพแวดล้อมไทย ได้แล้วครับ จากคุณ : ABP@BDZ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 19:48:50

ความคิดเห็นที่ 13   ตอนเด็กๆ คิดเสมอเลยค่ะ ว่าเรียนแก้สมการยากๆ ไปทำไม ดิฉันสงสัยจริงๆ ไม่ใช่แค่สงสัยเพราะหาเรื่องที่จะไม่เรียน ผลก็คือทนเรียนไปจนจบ แล้วก็ลืมค่ะ ตอนนี้กลับไปเรียนใหม่ก็แก้สมการไม่ได้แล้ว พอทำงานก็ช้อคไปพักใหญ่ รู้สึกว่าการเรียนกับการทำงานมันคนละเรื่องกันเลย.. ถ้าถามจริงๆ ดิฉันถ้าเลือกย้อนเวลากลับไปได้ จะขอเรียนไม่หนักเท่าเดิม แต่ฝึกทำงานให้มากๆ ออกเป็นเรียนรู้สังคมภายนอกบ้างก็น่าจะดี แต่ก็ทำได้แค่คิด ตอนนี้ก็เลยเรียนในมหาวิทยาลัยชีวิตที่ไม่มีวันจบจนกว่าจะตายจากไป ไม่เศร้าค่ะ ..สู้ต่อไป จากคุณ : avatar เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 21:14:35 A:124.120.95.82 X: TicketID:277001

ความคิดเห็นที่ 14 คห. 12 กับ 13 พูดถูกจายยยม๊ากกกกกกกกกครับบบบ คห. 12 เห็นด้วยทุกประการ คิดเช่นเดียวกัน ส่วน คห. 12 ตอนเด็ก ๆ ผมก็งงว่าเรียนไปเพื่ออะไร จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 22:50:13

ความคิดเห็นที่ 15 เด็กไทยเดี๋ยวนี้เรียนความรู้ที่ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร หรือ ไปทำอะไร บทเรียนส่วนใหญ่ที่ได้จะเป็นทำนอง ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด.... เด็กไทยไม่ใช่ไม่มีความรู้ เด็กไทยไม่ใช่คิดไม่เป็น .....แต่เด็กไทยไม่เคยถูกสอน หน้าที่ ว่า ตัวเองเป็นใคร ... ต่อให้เด็กถูกสอนวิธีคิดอย่างดีเลิศ...แต่ถ้าไม่ถูกสอนหน้าที่ จริยธรรม ...ก็ไม่มีวันคิดออกว่า ตัวเอง"สมควร"จะนำวิชาความรู้พวกนี้ไปทำอะไร เพื่ออะไร แม้จะเร่งเรียนความรู้ถึงปริญญาเอกตั้งแต่เด็กๆ   แต่ไม่รู้หน้าที่ตัวเอง ไม่รู้ความหมายของตัวเอง ก็คงไม่มีวันรู้ว่า ตัวเองจะเอาความรู้พวกนั้นไปทำอะไร แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 53 13:02:05 จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 12:59:00

ความคิดเห็นที่ 16 ในฐานะที่เป็นครู.... มองว่าเด็กสมัยนี้ไม่รุ้จักหน้าที่ของตัวเอง ไม่รู้่ว่าความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับหน้าที่มันคืออะไร ... และเพราะอะไรจึงไม่รู้ จะชี้ที่ใคร.. ที่ครู... ที่พ่อแม่... ที่สังคม  หรือที่ตัวเด็กเอง... คนที่อยู่ในห้องนี้ เล่นอินเตอร์เน็ตเป็น ก็ึคงมีความรุ้และความคิดกัน คงสอนลุกหลานกันแหละค่ะ แล้วส่วนเด็กๆ ที่อยุ่กับพ่อแม่ที่เช้าก็ต้องรีบออกไปทำงาน เย็นกลับมาลุกก็หลับแล้ว หรือถูกเลี้ยงมากับตากับยายที่ไม่มีความรู้อะไร ... ใครจะสอนเขา.... ส่วนครูที่คอยป้อน... ให้เด็กอ้าปากรับ ในสิ่งที่ครูกำลังจะป้อนให้ ก็มีค่ะ และครูที่ใส่ใจเด็ก สอนให้เด็กคิดเป็น มีจรรยาบรรณ มีจิตวิญญาณความเป็นครู ก็มีค่ะ และแน่นอน สิ่งดีๆ ไม่ค่อยเห็นกัน ขนาดเด็กที่ไปแข่งขันโอลิมปิกชนะมา ได้ไปสืบประวัติคุณครูที่สอนกันไหมคะ ว่าเรียนกับครูคนไหน ครูคนนั้นสอนมากี่ปี มีความรู้เรื่องอะไรมากเป็นพิเศษ มีแต่ซักประวัติเด็กๆ เท่านั้น แต่ส่วนครูที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม โอ้โห.. แทบจะเอามาทั้งหมด ...มันแตกต่างกันไหมคะ สังคมเรามักจะมองแต่ด้านลบเสมอ และเมื่อเห็นด้านที่ลบก็ซ้ำเติมกันลงไป ส่วนเรื่องดีๆ ก็ไม่เห็นสนับสนุนหรือส่งเสริมกัน เขาถึงบอกไงว่าครูก็คือคนที่ "ปิดทองหลังพระ" ครูที่ไม่ค่อยดี ก็มีค่ะ และมีเยอะ ยอมรับว่าทุกวงการก็ต้องมีทั้งคนดีและครไม่ดี แต่สิ่งที่ไม่ดีมักจะถูกตัดสินเหมารวมทั้งหมด เช่น การศึกษาไทยไม่มีทางเจริญได้ เพราะมันเป็นแบบนี้ๆๆๆๆๆๆๆ "การพัฒนาการศึกษาไทย มันไม่ใช่หน้าที่ของทุกคนในสังคมเหรอคะ" ดิฉันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องมาสอนในด้านวิชาการ แต่แค่ช่วยกันปลูกฝังลุกหลานให้รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ที่ต้องเรียนหนังสือ เรียนเพื่ออะไร แค่ครูเท่านั้นใช่มั้ยที่สอนได้เท่านั้น ว่าชีวิตเธอต้องเดินไปทางไหน ครูก็เป็นส่วนนึงในสังคม มีลูกมีหลาน ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของครูเท่านั้นใช่มั้ย หรือเพราะชั้นไม่ใช่ครู ชั้นไม่จำเป็นต้องสอน ดิฉันเป็นครู เด็กๆ ที่ดิฉันสอน ดิฉันจะพูดเสมอว่า เขาก็เหมือนเป็นลูกของดิฉัน สอนเขาเหมือนเขาเป็นลูก เขาจะเก่งหรือไม่เก่ง ดิฉันไม่เคยสนใจ เขาจะสอบได้มหาลัยดังๆ หรือไม่ ดิฉันไม่สน สนแค่ว่า "วันนี้ สอนให้เขาเป็นคนดีได้หรือยัง" คนดี ในความหมายของดิฉัน คือ เขาคิดในทางที่ดีมั้ย เอาเปรียบคนอื่นหรือเปล่า มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นไหม ฝึกเขาในสิ่งที่ดีๆ ก่อน ความรู้หาได้ไม่ยาก แต่คุณธรรมจะต้องนำใจเขาก่อน.... หากเขาเป็นคนเก่ง ที่ไม่รุ้จักผิดชอบชั่วดี ดิฉันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ยื่นมีดดาบให้คนเลวไปทำร้ายคนอื่น ทำร้ายสังคม โดยการนำความรู้ที่มีไปใช้ในทางที่ผิด ...ตัวอย่างก็มีให้เห็นเยอะแยะ "การศึกษาที่มีคุณภาพจะทำให้ประเทศพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ดี" ค่านิยมของคนในประเทศเราคือต้องรวย ต้องสบาย เมื่อมีลูกก็จะสอนลูกแค่ว่า ตั้งใจเรียนนะลูกจะได้จบมามีงานดีๆ ทำ จะได้ไม่ต้องไปลำบาก หาเช้ากินค่ำ โดยที่..จบมาทำอะไรไม่เป็น หุงข้าวก็ไม่ได้ กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ไม่ได้ก็มีเยอะแยะถมเถไป โดยหารู้มั้ยว่า พื้นฐานชีวิตพวกนี้จำเป็นมากกว่าความรู้ที่มีท่วมหัวซะอีก ....การปลูกฝังแบบนี้ มองเห็นอะไรมั้ยคะ ค่านิยมของสังคม กำลังฝึกเด็กให้กลายเป็นคน "ขี้เกียจ" ใช่มั้ย ดิฉันเป็นข้าราชการครูชั้นผู้น้อย ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าอำนาจในหน้าที่ที่มีอยู่ตอนนี้เท่านั้น แต่ดิฉันก็มีความคิดที่จะทำเพื่อลูกๆ ของคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกของดิฉัน ดิฉันมีความรับผิดชอบมากพอต่อสังคมที่จะปลูกฝังลูกๆ ของคนอื่นที่ต่อไปจะเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเติบโตและพัฒนาประเทศของเราต่ิอจากดิฉัน และแน่นอนเมื่อวันเวลาผ่านไป ดิฉันมีความสามารถที่จะทำได้มากกว่านี้ ก็ยังจะทำ คำพูดเหล่านี้แน่นอนค่ะ มันเคยได้ยินมามากมายแล้ว แต่มันแตกต่างตรงที่ดิฉันได้ลงมือทำมันจริงๆ ไม่ใช่แค่พุดอย่างเดียว สำหรับ หลายๆ คคห ที่มาแสดงความคิดเห็น อยากถามคุณว่า เมื่อคุณทราบ คุณรู้ถึงปัญหา คุณเคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาบ้างไหม หรือแค่มองว่ามันไม่ใช่หน้าที่ หรือแค่คิดว่าเพราะชั้นไม่มีอำนาจที่จะทำ มากกว่ามองแค่ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน และต้นเหตุอยู่ที่ใคร "มันก็มาจากทุกคนนั่นแหละ" ครูที่ดีก็ยังมีอีกเยอะ กรุณาใช้คำว่าครูบางคนด้วยนะคะ เพราะสิ่งที่หลายคนพูดพฤติกรรมที่ไม่ดี ดิฉันไม่เคยทำ ไม่เคยสอนพิเศษ ไม่เคยเอาใจลุกใครเป็นพิเศษ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 15:30:27

ความคิดเห็นที่ 17 จะยกให้เฉพาะครูหรือโรงเรียนรับผิดชอบเรื่องการศึกษาไม่ได้ ครอบครัว ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ผมมองว่า ครอบครัวมีความสำคัญในลำคับสูงสุดครับ จากคุณ : 447 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 16:42:06

ความคิดเห็นที่ 18 การสูญเสีย ความน่าเชื่อถือ และ เสื่อมศรัทธา ต่อระบบการศึกษาของไทย ครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 19:05:30