|
จีนกำลังจะสูญเสียความเป็นมหาอำนาจทางวัฒนธรรมแล้ว เพราะมัวยุ่งกับการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
|
|
จีนหวั่นวิตกว่าตนเองกำลังจะสูญเสียตัวอักษรจีน ซึ่งถือเป็นวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน.... ตัวอักษรจีนมีอายุยาวนานควบคู่มากับประวัติศาสตร์ของชนชาติและอารยธรรมจีนมาตลอด 5000 ปีที่ผ่านมา
มีจำนวนคนจีนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เกิดความตระหนักและยอมรับว่าตนเองไม่สามารถจะจำว่าตัวอักษรจีนที่ถูกบอกให้เขียนนั้น จะเขียนออกมาอย่างไรกันแน่...
รายงานจากกรุงปักกิ่ง การส่งข้อความและการพิมพ์จากแป้นคีย์บอร์ดกำลังเข้ามาแทนที่การลากขีดตามลำดับการเขียนออกมาตัวอักษรจีน และเมื่อจำเป็นต้องจดคำสักสองสามคำก็มีคนจำนวนมากขึ้นที่ตระหนักว่าตนเองจำไม่ได้ซะแล้วว่าจะเขียนตัวอักษรจีนออกมาได้อย่างไร
แต่สำหรับ นายหม่าซีหลัง แล้วการถอยหลังลงสู่การหลงลืมอย่างยาวนานนี้เริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่เขาจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย แล้วเดินทางไปศึกษาวิชาถ่ายภาพที่กรุงลอนดอนเป็นเวลา 3 ปี พร้อมทั้งซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของตนเองไว้ใช้ด้วย ปัจจุบัน ช่างภาพแฟชั่นอายุ 30 ปีซึ่งเป็นชาวปักกิ่งคนนี้พบความยากลำบากในการเขียนตัวหนังสือซึ่งเป็นภาษาแม่ของตนเอง จนกระทั่งเมื่อวันก่อนขณะที่เขากำลังเขียนรายการของที่ตนเองจะซื้ออยู่ ทันใดนั้นเองเขาก็ตระหนักว่าตนเองลืมอักษรจีน 1 ใน2 ตัวที่ประกอบกันเป็นคำภาษาจีนว่า แชมพู" ซะแล้ว
"เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องลืมตัวอักษรจีนของเราเอง เว้นเสียแต่เราจะพยายามฝึกฝนการเขียนเป็นพิเศษสัปดาห์ละ 2-3 ชั่วโมง ...แต่ใครล่ะจะมีเวลาฝึกฝนอย่างนั้นได้?" หม่ากล่าว ขณะเงยหน้าขึ้นจาก iPhone ที่เขากำลังกดข้อความระหว่างรอคอยทางร้านคอมพิวเตอร์ซึ่งกำลังซ่อมคอมพ์ของเขาอยู่
นี่ถือว่าเป็นการสูญเสียความสามารถทางการเขียนในรูปแบบใหม่ที่ค่อนข้างประหลาด ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะเจาะจงของตัวอักษรจีนเท่านั้น
คนยิ่งมีอุปกรณ์ เช่น โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสใช้และจดจำขีดลำดับการเขียนอย่างประณีตที่ประกอบกันขึ้นเป็นอักษรจีนแต่ละตัวน้อยลง เพราะไม่ว่าจะเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ หรือการส่งข้อความจากโทรศัพท์มือถือ คนจีนส่วนใหญ่จะใช้วิธีที่พิมพ์เสียงของคำออกมาเป็นพินอิน ซึ่งระบบก็จะให้รายการของตัวอักษรจีนออกมาให้เขาเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์
ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องใช้ปากกา ดินสอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจานฝนหมึกและพู่กันเลย
"คนไม่ต้องเขียนอะไรด้วยลายมือกันอีกแล้ว นอกจากชื่อและที่อยู่เท่านั้น" หม่า กล่าวยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
คนจีนเกือบทุกคนที่คุณพบจะยอมสารภาพเลยว่าเขาเคยมีอาการเหมือนคนแก่ที่ขี้หลงลืมเลยทีเดียว มือที่หนีบจับปากกาหรือดินสอเพื่อจะเขียนตัวอักษรจีนที่เคยฝึกฝนและท่องจำนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อตอนเด็กนั้น ต้องจิ้มแห้งอยู่บนกระดาษด้วยความขวยเขินทันทีเพราะนึกขีดลำดับการเขียนไม่ออกเสียแล้ว
จากการสำรวจความคิดเห็นซึ่งดำเนินการโดย China Youth Daily ในเดือนเมษ. 2010 นั้นพบว่า 83% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 2,072 คนยอมรับว่ามีปัญหาการเขียนตัวอักษรจีน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก จนมีการตั้งชื่อสำหรับอาการดังกล่าวว่า 提笔忘字- ถีปี่หวั่งจื่อ ซึ่งแปลได้ความว่า "จับปากกา ลืมอักษร"
"วันก่อน ผมกำลังเขียนข้อความด้วยลายมือ ขณะที่ผมเขียนมาถึงคำว่า ไจ้เจี้ยน [พบกันใหม่] ผมต้องเช็คถึงสองสามรอบเพราะผมไม่แนใจว่าผมเขียนคำว่า ไจ้ ถูกต้องมั้ย" เฉิงจิ่ง นักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง อายุ 18 ปีกล่าวขึ้น
ในประเทศจีน สถานการณ์ดังกล่าวพุ่งขึ้นสู่ระดับวิกฤติทางวัฒนธรรม เนื่องจากตัวอักษรจีนแสดงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมที่สืบทอดมานานนับพัน ๆปีได้ชัดเจนกว่ามรดกทางวัฒนธรรมด้านอื่นๆ ของวิถีชีวิตชาวจีน แม้ว่าในช่วงทศวรรษ 1950 ท่านประธานเหมาเจ๋อตุง ได้ออกประกาศสั่งให้ทำการย่อตัวอักษรจีนจำนวนมากเพื่อเพิ่มอัตราการรู้หนังสือ ..... อย่างไรก็ตาม ช่วงชีวิตวัยเด็กในประเทศจีนก็ยังคงใช้ไปกับการท่องจำและคัดลอกตัวอักษรอยู่นั่นเอง และเมื่อนักเรียนอายุได้ 15 ปีก็คงจะใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงต่อวันเป็นระยะเวลากว่า 9 ปีในการเรียนรู้ที่จะเขียนตัวอักษรจีน 3,000 ตัวได้เป็นอย่างน้อย.
ยิ่งกว่านั้น การเขียนไม่ได้เป็นเพียงการติดต่อสื่อสารกันเท่านั้น ในวัฒนธรรมจีนจะถือว่าการเขียนตัวอักษรจีนเป็นศิลปวัฒนธรรมรูปแบบหนึ่งและเป็นการฝึกฝนด้านจิตวิญญาณ ซึ่งเชื่อกันว่าจะสร้างสมาธิ ความยั่งยืนถาวรและแม้แต่ฝึกฝนทักษะศิลปะการต่อสู้ได้
"คนจีนในทุกวันนี้สนใจแต่ชีวิตด้านวัตถุนิยมเท่านั้น แม้แต่ ญี่ปุ่นหรือเกาหลีก็ยังมีคนที่ฝึกฝนศิลปะการเขียนตัวอักษรจีนมากกว่าที่ประเทศจีนเองซะอีก เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรทั้ง ๆที่ตัวอักษรจีนถือกำเนิดขึ้นที่นี่?" หวังเจียจง บ่นด้วยความน้อยอกน้อยใจ "รัฐบาลต้องทำอะไรบางอย่างสิ เพราะหากรัฐบาลไม่เข้ามาช่วยแทรกแซง ก็คงไม่มีใครสนใจหรอก"
การถดถอยของการเขียนด้วยลายมือเกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์น้อยกว่าโทรศัพท์มือถือ คนจีนส่งข้อความทางมือถือมากกว่าใครในโลก เนื่องจากเป็นวิธีติดต่อสื่อสารราคาถูก และเพราะภาษาจีนสามารถเก็บข้อมูลมากมายโดยใช้เนื้อที่เพียงน้อยนิด (ตัวอย่างได้แก่ ตัวอักษรจีนที่ออกเสียงว่า "皻 - zha" ซึ่งคำนี้คำเดียวนี่แหละหมายถึง จุดแดง ๆที่ปรากฏขึ้นมาบนจมูกของคุณเวลาคุณเมา)
มีสจู ที่กำลังเดินเที่ยวร้านหนังสือเก่าย่าน หลิวหลี่ฉาง กับเพื่อนๆ เพื่อซื้อหนังสือศิลปะการเขียนอักษรจีน เธอคาดว่าตนเองน่าจะลืมตัวอักษรจีนไปประมาณ 20% จากที่เธอเคยจำได้สมัยเรียนอยู่ตอนมัธยมปลาย
"แต่ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก" มีสจู กล่าว "ถ้าฉันไม่รู้ตัวอักษรจีนสักตัวหนึ่ง ฉันก็แค่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเช็คดูก็เรียบร้อยแล้ว"
--------------------------------------------------------------------------
นี่เป็นงานอดิเรกของผม หวังเจียจง อายุ 41 กล่าวขณะเขียนตัวอักษรจีนด้วยน้ำบนทางเท้ากลางกรุงปักกิ่ง เพื่อรณรงค์ให้คนหันกลับมาสนใจใยดีกับการเขียนตัวอักษรจีนด้วยลายมือ (The Times / 11 กค. 2010)
จากคุณ |
:
little the Great
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ก.ค. 53 14:46:13
|
|
|
| |