PANTIP.COM : K9574541 สะสมหนังสือไว้ได้กี่เล่มครับ [หนังสือ-การประพันธ์]

ความคิดเห็นที่ 7

จำนวนหนังสือเราขึ้นๆลงๆ ตอนอยู่ต่างแดนสะสมหนังสือภาษาอังกฤษไว้เยอะมาก แต่ย้ายบ้านบ่อย (ย้ายเมืองที่อยู่) แบกไปไม่ไหว ต้องบริจาคหมด กลับมาเมืองไทยขนทางเรือมาได้แค่ 300 เล่มที่สำคัญๆเอง

ต่อมาทะเลาะกับแฟนเก่าจะเลิกกันเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว เธอเอามีดปังตอยืนขวางหน้าบ้านบอกว่าเราจะไปได้แต่ตัวแต่เอาสมบัติอะไรไปไม่ได้เลย เราเลยทิ้งทุกอย่างหมดรวมทั้งหนังสือ (แต่แอบซุกเอาคัมภีร์โบราณวิชาเล่นแร่แปรธาตุที่นักพรตเต๋าฝึกพลังลมปราณเพื่อกลายเป็นเซียน (แปลจากจีนเป็นอังกฤษ) มาเล่ีมหนึ่ง)

จากนั้นไม่ค่อยกล้าซื้อเพิ่มมากนักเพราะหนังสือต่างประเืทศมันแพง เลยจากที่ซื้อเพิ่มตอนนี้เราเหลืออยู่แค่ไม่ถึง 100 เล่ม

แต่ที่พูดมานี้ใน 2 วรรคแรกมันคือหนังสือเป็นเล่มๆหมดนะ แต่แท้จริงแล้วตอนนี้เรามีหนัีงสือในรูปแบบของ ebooks กับ video clips มากมายจนนับไม่ไหว

คือเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเราใช้ google เก่งขึ้นเรื่อยๆเราเลยหา ebooks ของฟรีดีๆเจอบานเบอะ ส่วนใหญ่เราจะค่อยๆทบทวนความจำชื่อหนังสือเล่มเก่าๆที่เราเคยมีตอนอยู่ต่างแดนแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว และไปสอย ebooks ของฟรีมาจากเน็ต ได้หนังสือดีๆคืนมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือภาษาอังกฤษแนว esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ)

แต่อยู่ดีๆเราดันไปทะเลาะกับคนที่เรียนภาษาอังกฤษในมหาลัยซึ่งคุยโวว่าเก่งภาษาอังกฤษเพราะิเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษในมหาลัย เราเลยพยายามพิสููจน์ว่าเราก็เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองนอกมหาลัยได้จนถึงระดับสูงๆ เราเลยบ้าไปสอยสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของฟรีมาจากเน็ตได้เป็น textbooks (ในรูปแบบของ ebooks)ที่มหาลัยต่างประเทศใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับสูงๆเกินปริญญาตรี ค้นๆไปเราค้นเจอสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอื่นๆอีกมากมายในรูปแบบของ video clips, dictionaries ที่เป็น software, software ที่ใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงในการเรียนภาษาอังกฤษ อีกมากมายรวมๆกันเกินกว่า 500 ชุด ได้มาของฟรีหมด ต้องหาของฟรีมาเรียนแข่งกับลูกคนรวย ม่ายงั้นเราจะเสียเปรียบ

แต่อยู่ดีๆเรานั่งสมาธิเดินลมปราณแล้วเปลี่ยน cells สมองกับร่างกายเราแบบผ่าเหล่าผ่ากอได้สำเร็จ (biological transmutation) มันส่งผลกระทบกับเราอย่างรุนแรงมากๆ เพราะมันทำให้เรากลายเป็น "ตัณหากลับ" คือยิ่งอายุเกินวัยผู้สูงอายุ แต่เราผลิต sex hormones มากจนมีพลังเรื่อง sex มากกว่าสมัยเราเป็นเด็กวัยรุ่น

เราจึงเปลี่ยน sexual energy ให้เป็นพลังแห่งการเรียนรู้ตามกระบวนการที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "sublimation" จนกระทั้ง เรากลายเป็นค้นพบวิธีเรียนภาษาอังกฤษแบบใหม่ นั่นก็คือเอาหนังสือที่นักเขียนฝรั่งระดับอัฉริยะเขียนไว้ มาอ่านแยกธาตุ แล้วหัดสร้างประโยคภาษาอังกฤษพลิกแพลงตามนักเขียนฝรั่ง (โดยบางที่ใช้ google ช่วยค้นประโยคที่เรากำลังสร้างพลิกแพลง) เราเลยเลิกเรียนภาษาอัึงกฤษจาก textbooks ไปแล้ว แต่กลายเป็นใช้วิธีเรียนลัีดแบบ "นั่งทางใน" เพื่อพัฒนา senses พิเศษขึ้นมาแทน

เราเลยหมู่ีนี้ไม่ค่อยจะตอบหรือปั่นกระทู้เรื่องเรียนภาษาอังกฤษ เนื่องจากเราเรียนภาษาอังกฤษดัวยหลักการแบบ parapsychology แทนการเรียนตามหลักวิชาภาษาศาสตร์ ซึ่งถ้าอธิบายไปผู้ัคนจะหาว่าเราบ้า แต่เราก็(แกล้ง)บ้าจริงๆนั่นแหละ...เหอๆๆ...

คราวนี้เราเลยเลิกเรียนภาษาอังกฤษเพื่อแข่งกับเซียนภาษาอังกฤษไปแล้วเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่กลายเป็นบ้าแสวงหาหนังสือภาษาอังกฤษออกแนว esoteric arts (เหมือนที่ชอบอ่านสมัยเป็นเด็กๆ)

แล้วเราค้นตะบี้ตะบัน เจอคัมภีร์โบราณเป็น ebooks ตั้งมากมายทั้งของนักพรตเต๋าและปราชญ์ฮินดู ได้คัมภีร์กำลังภายใน โยคะ เล่นแร่แปรธาตุ แทงเข็ม วิชา sex magic การแพทย์โบราณของเต๋าและของฮินดู สูตรการพัฒนา cells สมอง และร่างกาย ชุึบชีวิตให้คนอายุเกิน 100 ปี ให้หน้าตากลับเป็นเด็ก

"จนตอนนี้เราเคลื่อนไหวร่างเราด้วยท่าเพลงมวยจีนรวดเร็วพอๆกับพระเอกในหนังเรื่อง The Karate Kid 2010 ได้สบายๆตอนอายุเลยวัยทองเข้าไปแล้ว (ต้องเรียกว่าเป็นวัยทองคำขาว)...อิๆๆ..."

เราค้นเจอ สูตรพัฒนา photographic memory และเมื่อเร็วๆนี้เราได้คัมภีร์มาเล่มหนึ่งแปลจีนเป็นอังกฤษ อ่านๆดูแล้วคิดว่า มันเป็น "คัมภีร์ทานตะวัน" (ไม่รู้ว่าจะกล้าฝึกหรือเปล่า? กลัวสูญพันธ์อ้ะ...) เราได้คัมภีร์วิชาแทงเข็ม(acupuncture)กับกำลังภายในอีกหลายชุดมาเป็นทั้ง ebooks กับ video clips รวมทั้ง ebooks และ video clips วิชา computer science มามากมาย ทำให้เราต่อยอดการเรียนคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเองไปได้อีกไกลมากๆ

เลยตอนนี้เราไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเก็บสะสมหนังสือเป็นเล่มๆให้รกบ้านเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าอ่าน ebooks กับดู video clips บนจอคอมพิวเตอร์ สบายตากว่าต้องมานั่งเพ่งอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ และเรากำลังจะซื้อ projector กับจอภาพใหญ่ๆ จะได้อ่านหนังสือบนจอภาพใหญ่ๆแบบดูหนังโรงใหญ่ไปเลยอ้ะ...555+++...บางทีเราจะหิ้ว notebook ไปนอนอ่าน ebooks หรือดู video clips เพื่อศึกษาศาสตร์เร้นลับเหล่านี้เพลินๆต่างจังหวัด เอาไว้รวยเมื่อไหร่จะไปต่างประเทศกับเขาซะที ตอนนี้ทำงานแปลไม่ค่อยได้เงินเลยคิดจะหาเงินจาก AdSense ดูบ้าง (กำลังศึกษาข้อมูลตั้งมากมายจากตำราต่างประเทศ)

ตอนนี้เราจัดเก็บหนังสือที่เป็น ebooks กับ video clips ของเราอย่างเป็นระเบียบ (ไม่จำเป็นต้องใช้ตู้ให้รกบ้าน ไม่ต้องกลัวปลวกหรือความชื้นด้วย) แต่ใช้สื่อต่างๆเช่น hard disk ขนาด 300 GB บนเครื่องคอม และมี backups บน USB hard disk ขนาด 500 GB ซึ่งเรากำลังจะซื้อเพิ่มเป็นขนาด 1 terabyte

ebooks กับ video clips บางเล่มหรือบางชุด ที่สำคัญๆและหายากมากๆ เราจะ burn มันลง DVD รวมทั้ง upload files ขึ้นไปเก็บไว้ที่บริการจัดเก็บข้อมูลแบบ online อีกด้วย

ซึ่งจำนวน ebooks ของเรากำลังทวีคูณขึ้นในอัตราที่น่ากลัวมากๆ (เร็วๆนี้คงนับเป็นหมื่นเป็นแสนได้ง่ายๆเพราะนั่งทำงานแปลหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปก็ download ไปเรื่อยๆด้วยเน็ตความเร็วสูง...ขนาดเข้านอนแล้วก็ยังสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์เรา download ของฟรีพวกนี้ไปเรื่อยๆ) จนเราคาดว่าเล่มที่สำคัญๆและหายากมากๆเราอาจต้องยอมลงทุน burn มันลง blu-ray disc ซึ่งถึงนับจำนวน GB ต่อหน่วยความจำมันจะแพงกว่า USB hard disk แต่คาดว่า blu-ray disc คงจะมีชีวิตการจัดเก็บข้อมูลและการใช้งานที่ยืนยาวนานกว่า hard disk

ืทั้งนี้ จากการศึกษาด้วย ebooks และ video clips เ็ป็นจำนวนมากเหล่านี้ (โดยมี computer software เป็นเครื่องช่วยทุ่นแรงในการเล่นแร่แปรธาตุ (edit (ตัดต่อ))และ organize ข้อมูล) เราตั้งความหวังเอาไว้ว่าเมื่อเราอายุ 130 ปี เราจะเปลี่ยน cells สมอง และร่างกายจนกลายเป็นรูปร่างหน้าตาเหมือนคนอายุ 30 กว่าๆ และกลายเป็น super genius โดยการเรียนรู้ด้วยตัวเองล้วนๆ...คือเราอยากเจริญรอยตามอย่าง Thomas Edison ที่เรียนทุกอย่างด้วยตนเองโดยไม่ต้องไปเรียนในโรงเรียนหรือมหาลัยแต่อย่างใด...แล้วเราถึงจะออกจากถ้ำที่จำศีล ไปแสดงปาฎิหารย์...อิๆๆ...
แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 53 17:15:10

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 53 17:12:20