ความคิดเห็นที่ 1 เคยมีอาชีพเป็นครูมาก่อน และไม่เห็นด้วยกับการกวดวิชา เท่าที่ครูสอนในห้อง จำให้ได้ก็น่าเพียงพอแล้ว จริง ๆ นะั !! จากคุณ : Wat (wasawatt) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 14:29:45

ความคิดเห็นที่ 2 อาชีพครูจริง ๆ แล้วถ้ามีจิตวิญาณการทำงานโดยแท้ คุณภาพของผู้เรียนนั่นแหละคือคุณภาพของครู ทั้งความรู้ คุณลักษณะนิสัย แลทักษะต่าง ๆ แต่ก็อย่างว่า คนเป็นครูบางคนไม่ได้ตั้งใจมา บางคนมีความตั้งใจแต่ความสามารถความรู้ไม่เก่งพอ และบางคน ตั้งใจด้วย มีความเก่งด้วย แต่ถูกกระแสการทำงานที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาทำให้จิตวิญญาณความเป็นครู ที่จะต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาหายหรือตายไว้ จากคุณ : อันต้า (อันต้า) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 14:54:18

ความคิดเห็นที่ 3 โดยส่วนตัว คิดว่าเรียนในโรงเรียนเหมือนอาหารหลัก กวดวิชาเหมือนอาหารเสริม กินให้ครบหมู่ก็ไม่ต้องซื้ออาหารเสริมมากิน แต่ถ้าตามใจปากจะกินแต่ของที่ชอบก็ต้องซื้ออาหารเสริมมาเพิ่ม แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไปห้ามคนไปกวดวิชา ถ้าโรงเรียนมั่นใจว่าสิ่งที่ตนสอนมีความพอเพียงที่จะไม่ต้องทำให้นักเรียนไปหากินข้างนอก ก็ไม่เห็นต้องไปกังวลกับคนที่ยอมจ่ายแพงกว่า แต่ถ้าของมันสู้กันไม่ได้จริงๆ ก็ควรจะยอมรับ ปรับปรุง ไม่ใช่ไปตัดขาชาวบ้านเขา จากคุณ : ยาจกอุดร Jr. เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 15:39:27

ความคิดเห็นที่ 4 ขอมองต่างคุณ Wat (wasawatt) เห็นด้วยบางส่วนครับ พอสำหรับการเรียนเพื่อสอบผ่านชั้น แต่ไม่พอสำหรับการสอบแข่งขัน เช่น การเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่การแข่งขันสูง จากคุณ : 447 เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 15:45:35

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าครูที่สอนในห้องเรียนปกติมีศักยภาพเพียงพอที่จะอธิบายให้เด็กเข้าใจ รวมทั้งเอาใจใส่ให้ทำการบ้านและตรวจงานเด็กคิดว่าก็น่าจะเพียงพอ ไม่ต้องเรียนพิเศษ แต่เท่าที่เห็นครูในชั้นเรียนไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะให้เด็กเข้าใจได้อย่างถ่องแท้   เด็กก็เลยต้องไปขวนขวายหาที่เรียนให้เข้าใจมากขึ้น บทเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่ใช่ง่าย ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เรียนสายวิทย์มาบางทีอธิบายให้ลูกประถมฟังไม่ได้ ครูเองก็คงลำบากเหมือนกัน ที่จะทำความเข้าใจ และมาสอน สำหรับกลุ่มที่จะสอบแข่งขันต่างๆ เขาก็ต้องเรียนล่วงหน้าเกินชั้นเรียนอยู่แล้ว    ยิ่งพวกโอลิมปิกเข้าค่ายเป็นเดือน  ถ้าไม่เรียนวิชาอื่นๆมาก่อนให้จบหมด   เวลาสอบที่โรงเรียนก็เน่า ที่จริงไม่น่าจะไปห่วงเรื่องกวดวิชาเท่าไหร่  ถ้าเขาอยากเรียนก็ส่งเสริมไป น่าห่วงพวกเด็กที่ไม่ยอมเรียน  จบป6อ่านหนังสือไม่ออกขึ้นชั้นมาทุกปี เด็กเขารู้ว่ายังไงก็ขึ้นชั้นแน่นอนไม่มีตก เรียนมัธยมแล้วยังท่องสูตรคูณไม่คล่อง เฮ้อ!!! เด็กเกเร มีปัญหา  ด้อยโอกาส อะไรพวกนี้มีเยอะมากๆจนน่าเป็นห่วงสังคมไทยในอนาคตจริงๆ จากคุณ : กากชา เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:00:13

ความคิดเห็นที่ 6 ที่น่าเศร้ามีการทดสอบครูมัธยมปลาย สอบตกต่ำกว่ามาตรฐาน แล้วอย่างนี้จะสอนเด็กให้เก่งได้อย่างไร เพราะครูยังไม่เก่งเลย เฮ้อ แต่ ครูที่สอน ม.ปลายผมเมื่อ 42 ปีก่อน เก่งครับมีความรู้แน่นอน ผมจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนกวดวิชา (ข้ออ้าง เพราะไม่มีเงิน จนแสนจน 555) แต่ถึงมีเงินผมก็ไม่กวดวิชาครับ เพราะเท่าที่ทราบพวกติวเตอร์เก่งๆ ก็เรียนเอง ฝึกเองจนเก่งทั้งนั้น ไม่เห็นต้องไปพึ่งกวดวิชาเลย 555 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 17:29:36

ความคิดเห็นที่ 7   คุณเห็นข่าวผลการสอบวัดความรู้ครูของส.พ.ฐ. หรือเปล่าครับ ครูส่วนใหญ่สอบตก ไม่มีความรู้ในวิชาที่ตัวเองสอน แสดง ว่านักเรียนส่วนใหญ่ต้องเรียนกับครูที่ไม่มีความรู้ ไม่ต้องแปลกใจ ที่ผลการศึกษาแสดงว่า นักเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่มีความรู้เพียงพอในระดับชั้นของตัวเอง คุรุสภาเอาเวลาไปสนใจเรื่องใบประกอบวิชาชีพครู ต้องออกให้เ ฉพาะผู้ที่เรียนคุรุศาสตร์เท่านั้น แต่ความรู้ครูไม่เข้ามาควบคุม สพฐ เห็นผลการทดสอบความรู้ครูแล้วก็ไม่ทำอะไร ถ้า ต้องการให้นักเรียนมีความรู้ กลายเป็นความจำเป็นที่ต้องให้นักเรียนไปเรียนนอกระบบโรงเรียน ไปเรียนพิเศษ ไปกวดวิชา ผลสอบวัดความรู้ครูในโรงเรียนของส.พ.ฐ. ยืนยันว่่า ระบบการศึกษาปัจจุบันให้ความรู้เด็กไม่ได้ ถ้าต้องการความรู้ต้องไปเรียนกวดวิชา จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:17:51 A:58.11.37.90 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 8   ครู 1 คน สอนนักเรียน 40-50 คนในหนึ่งห้อง แต่ทำไมเด็กทุกคนถึงเก่งภาษาอังกฤษไม่เท่ากัน ทั้งๆที่เด็กเรียนพร้อมกัน เรียนกับครูคนเดียวกัน อาจมีบางคนไปเรียนพิเศษ แต่หลายคนไม่ได้เรียนพิเศษ แต่เก่งกว่า จริงอยู่ที่ว่าครูเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กเก่งหรือไม่เก่ง แล้วความตั้งใจของเด็กเองล่ะ พื้นเดิมของเด็ก ความเอาใจใส่ ทำการบ้านบ้างหรือเปล่า อยู่บ้านได้หยิบหนังสือมาอ่านบ้างไหม ถ้าครูคนนั้นแย่มากๆ เด็กในห้องก็น่าจะไม่ได้ภาษาอังกฤษเหมือนกันทุกคน ตัวผมเองและเพื่อนๆอีกหลายคนที่เรียนเอกภาษาอังกฤษตั้งแต่ปริญญาตรีจนจบปริญญาเอก ไม่เคยเรียนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษเลย แค่ตั้งใจเรียนในห้อง กลับมาทำการบ้าน อ่านหนังสือเพิ่ม ปัจจุบันเองสอนหนังสือ ลูกศิษย์ที่ท็อปวิชาที่สอนไม่ว่าเป็นเด็กปริญญาตรีหรือสูงกว่านั้นไม่เคยเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เด็กหลายคนไปเรียนพิเศษมา รู้สึกว่าได้อะไรเยอะจากเรียนพิเศษ แต่เวลาให้ลองเขียนหรือใช้ภาษาอังกฤษจริงๆใช้ไม่ได้ เพราะอะไร เป็นเพราะว่าโรงเรียนกวดวิชาสอนเทคนิคทำข้อสอบและเดาข้อสอบ เด็กชอบเพราะรู้สึกว่าทำข้อสอบม็อคของโรงเรียนกวดวิชาได้ แต่เวลาเอามาใช้จริงไม่ได้ แต่ที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนั้น วิธีการสอนต่างกัน ครูสอนเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาจริงๆ ซึ่งจะเห็นผลช้า แต่จะได้ผลระยะยาว ซึงเด็กบางคนไม่ชอบเพราะอยากได้อะไรเป็นสูตรสำเร็จ เห็นผลไวๆ ลองดูแค่การถาม-ตอบกระทู้ต่างๆ คุณจะเห็นได้ว่าคนที่มาช่วยตอบปัญหาภาษาอังกฤษหรือคนที่มาเล่าเรื่องความสำเร็จในการเรียนภาษา ส่วนมากเกิดจากการตั้งใจเรียนในห้องเรียนและศึกษาเพิ่มเติมเอง ไม่ค่อยเห็นมีใครไปเรียนพิเศษ แต่คนที่มาปรึกษามักเป็นคนที่ขยันไปเรียนพิเศษแต่ภาษากลับไม่ได้ เคยมีลูกศิษย์บางคนที่ไปเรียนพิเศษโรงเรียนดังแล้วเอาตัวอย่างหนังสือหรือข้อสอบมาถาม ปรากฎว่าเป็นเอกสารการสอนที่ รร สอนพิเศษ ไปรวบรวมมาจากที่ต่างๆ แต่อาจจะไม่รอบครอบเพราะลอกมาถูกบ้างผิดบ้างหลายจุด เฉลยก็มีผิดครับ เคยดูครูสอนพิเศษบางคนที่ดังๆผ่านทาง youtube (เมื่อสองสามปีก่อนเคยมีคนเอาลง youtube หลายตอน) ยอมรับว่าบางคนสอนสนุกจริง มีลูกล่อลูกชน แต่เด็กได้ความรู้หรือเปล่าไม่รู้ เพราะเน้นพูดปนตลกใต้สะดือ แถมออกเสียงภาษาอังกฤษหลายคำผิด แกรมม่าบางเรื่องพื้นๆก็ยังสอนผิด นี่เป็น รร ที่ดังเสียด้วย ที่พูดมาไม่ได้บอกว่าครูโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยดีทุกคน หรือครูโรงเรียนกวดวิชาไม่ดีทุกคน แต่อยากให้มองว่าการเรียนภาษามีทั้งเรียนแบบติวทำข้อสอบ อาจได้ผลเร็ว ใช้เวลาไม่มาก เด็กเอาเทคนิคไปทำข้อสอบได้ แต่หลังจากนั้นไม่สามารถใช้ภาษาได้จริง ก็เลยต้องขวยขวายไปหาที่เรียนพิเศษกันอีกแม้แต่จะไปเรียนต่อโท-เอก แต่การเรียนในระบบโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเป็นการเรียนเพื่อพัฒนาทักษะภาษาแบบยั่งยืน อาจต้องใช้เวลาหน่อย อดทนมากหน่อย แต่มันจะค่อยๆซึมซับเข้าไปทีละนิดโดยที่บางทีคุณไม่รู้ตัว จนบางครั้งคุณเข้าใจไปว่าความสามารถทางภาษาของคุณพัฒนามาจากการเรียนพิเศษเสียนี่ ลองนึกดูว่าคนที่เริ่มสอน a b c / a cat/ a bat/ a rat คุณคนแรกคือใคร ใครที่เป็นคนปูพื้นฐานภาษาเบื้องต้นให้คุณ ถ้าคุณไม่มีพื้นฐานพวกนี้ที่ดีพอและไม่มีเงินจำนวนมากไห้ครู รร กวดวิชา/ติว พวกเขาจะสอนคุณไหม ไม่ได้มาเรียกร้องความเป็นธรรมหรือเห็นใจให้ครูคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ พอดีนิสิตที่คณะที่สอนอยู่ที่เก่งมากๆ เป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนพิเศษ ถึงแม้มหาวิทยาลัยจะอยู่ในย่านโรงเรียนกวดวิชาก็ตาม เด็กพวกนี้ตั้งใจเรียนในห้อง ซักถาม และทำการบ้านเสมอ ผมอาจโชคดีอย่างนึงคือเวลาให้เด็กตกวิชาที่สอน ยังไม่เคยมีเด็กคนไหนมาบ่นหรือต่อว่า (หรืออาจจะมีบ่นลับหลังก็ไม่ทราบ) แต่ที่เจอคือเด็กจะเข้ามาขอโทษที่ไม่ตั้งใจเรียนเอง แล้วขอให้ช่วยสอนเพิ่มและเค้าก็จะไม่ทำตัวเหลวไหลอีก หลายคนที่ได้เกรด D หรือ C ตอนปีหนึ่ง ตั้งใจเรียนในห้องมากขึ้นและขยับไปได้เกรด B และ A ในที่สุดเมื่อขึ้นปี 3 ปี 4 ดังนั้นถ้าอยากเก่ง ไม่ว่าวิชาอะไรก็ตาม ต้องตั้งใจเรียน อย่าไปโทษคนนู้น คนนี้ ไม่ต้องไปโทษระบบการศึกษา (ถ้ามันแย่จริงก็ต้องโง่ทุกคน แต่นี่ทำไมเด็กหลายๆคนสอบชิงทุนไปเรียนต่อได้ ทั้งๆที่ไม่ได้เรียนพิเศษ แต่บางคนเรียนแค่พอผ่านเท่านั้น) มีนักเขียนนักแปลหลายคนด้วยซ้ำที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยแต่ใช้ภาษาได้ดีมากๆ (ดีกว่าผมที่จบด้านภาษามาเสียอีก) ทำไมเค้าถึงพัฒนาไปได้ขนาดนั้น...เพราะเค้าไม่มานั่งบ่นระบบ แต่เค้าเริ่มเรียนเลย ...ปิดท้ายนิดนึงครับ เวลาเรียนไม่ได้ดังใจมักจะโทษครู แต่เวลาที่ได้การได้งานดี เงินเดือนสูงๆ ทำไมไม่ค่อยเห็นพูดถึงความดีที่ครูสั่งสอนมาเลย ถ้าใครเคยว่าล่วงเกินอะไรครูบางคนไป ด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรืออะไรก็แล้วแต่ ว่างๆก็ลองขอขมาท่านดูนะครับ ไม่กล้าพูดตรงๆก็ขอขมาในใจก็ได้ ศิษย์เคารพครูอยู่ที่ไหนก็เจริญ...(ตอนเด็กผมเองก็ชอบบ่นครูบ่อยๆเหมือนกัน แต่พอมาเป็นครูเอง เลยรู้ซึ้งครับ) จากคุณ : abc เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:24:26 A:109.246.5.90 X: TicketID:141052

ความคิดเห็นที่ 9   tonmelb สวมหมวก 2 ใบ เพราะรักที่จะเป็นทั้งสองอย่างครับ หมวกใบเเรก: โรงเรียนไทย ภาคนานาชาติ สอนเป็นภาษาอังกฤษ ใช้หลักสูตรของประเทศอเมริกา ใช้หนังสือเรียนจากประเทศนี้+สิงคโปร์ครับ ที่เลือกที่จะสอนในภาคนานาชาติ เพราะเงินเดือนได้สูงกว่า + ไม่ต้องมีคำครหาใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะต้องการติว จึงไม่ต้องการที่จะสอนในโรงเรียนไทย หมวกใบที่สอง: ติวตามบ้าน+ติวที่บ้าน+มีทีมติว ต้องการเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองครับ-----------------ติว เป็นสิ่งเดียวที่นอกจากจะได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก เเถมจะได้สร้างตัว สร้างฐานะด้วยครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ผมเข้าใจครับ ว่าครูส่วนใหญ่ในโรงเรียนไทย คุณภาพด้อย ผมยังรู้สึกเลย เวลาไปดูงานโรงเรียนอื่น ๆ หรือพูดคุยเเลกเปลี่ยนกับนักเรียรที่มาเรียนพิเศษกับผม เเต่ผมไม่เคยทับถม ช่วงนี้ผมไปเเถว ๆ ตึกสยามกิตติ์บ่อย ๆ ต้องยอมรับเลยว่า ติวเตอร์รายได้ดีกว่ากับมารับเงินเดือนเป็นครูมากมายเลยครับ (ใช่ครับ ถ้าคุณไม่มีฝีมือ ก็ไม่มีเด็กมาเรียนกับคุณ ------- เเต่มันสะท้อนว่า ดังนั้น คนเก่งใครเขาจะมาเป็นครูล่ะครับ) ผมเป็นพยานได้เลย ผมติวภาษาอังกฤษให้เด็กที่เรียนโรงเรียน 2 ภาษา เเค่ 1 คน ผมได้มากกว่าเงินเดือนครูตามโรงเรียนสังกัด ก ท ม ( เเฟนผมเป็นครูสังกัด กทม ครับ) คนไม่เก่ง ถ่ายทอดไม่เก่ง ไม่เเม่น ไม่ชำนาญ เเต่ได้งานเเน่นอน ถ้าเป็นครู อยากให้มองตรงนี้ครับ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 23:01:30 A:61.91.160.104 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 10   คุณ ๆถ้าเป็นพ่อเเม่คน ก็อยากได้ครูเก่ง ๆ เเล้วเรา........................... จะทำอย่างไรให้คนเก่ง ๆ ถ่ายทอดเก่ง ๆ IQ EQ สูงมาเป็นครู ผมตอบกระทู้ลักษณะนี้มาบ่อยมาก เเต่ก็อยากตอบ เพราะผมเป็นครูมา 15 ปีเเล้ว ที่อยู่ได้ เพราะรายได้สูง เพราะมีความสุข เพราะมีรายได้สูง: เพราะติววิชาที่ Top Hit คือภาษาอังกฤษ เพราะมีความสุข: ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ผมไม่เปลี่ยนอาชีพเเน่ ผม Ok เเล้ว เเต่ผมขอถามคำถามเดิม เราจะทำอย่างไร ที่จะดึงคนเก่งมาสอน มาเป็นอาจารย์ประจำ ส่วนติวเตอร์ ก็ปล่อยไป เพราะถ้าไม่ดี เขาก็ขาดทุนเอง มันมีระบบตรวจสอบเข้มอยู่เเล้ว เพราะความจริง มันได้ผม ติวเตอร์ส่วนใหญ่เขาเก่งกว่าครู อธิบายเข้าใจง่าย ครูที่โรงเรียนอธิบายไม่เข้าใจ เราก็โทษเด็ก โทษระบบกวดวิชาไม่ได้ เพราะครูเราไม่เก่งเลย ทำไมไม่ได้คนเก่ง ส่วนหนึ่ง เพราะเงินครับ ยอมรับเถิดครับ ลองถามติวเตอร์ที่คุณ เพื่อคุณ ลุกคุณไปเรียนกับเขา กับเธอ ทำไมเขา/เธอไม่ทำงานที่โรงเรียน มีหลายเหตุผล เเต่ 1 ในเหตุผล คือผลตอบเเทนครับ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 23:03:17 A:61.91.160.104 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 11   มีหลาย ๆ ประเด็นครับ ที่ประสบอยู่ - ครูืที่สอนบางส่วนไม่มีการพัฒนาการสอนของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ดูแลเอาใจใส่ ไม่คำนึงถึง "ความแตกต่างระหว่างบุคคล" - การวัดผลในช่วงตอนสอบ ถ้าเด็กไปเรียนพิเศษ จะยิ่งทำให้ครูในโรงเรียนไม่อยากสอนยิ่งขึ้นไปอีก เพราะคิดว่าไม่ต้องสอนมากเดี๋ยวก็เรียนพิเศษกันเอง - โรงเรียนมีนโยบายสอนพิเศษภายในโรงเรียนเพิ่ม เก็บตังค่าเรียนพิเศษเพิ่มเติม แต่ที่ได้ยินส่วนนึงกลับกลายเป็นการได้แนวข้อสอบด้วย - นักเรียนเองมีค่านิยมที่ไม่มีการขวนขวายความรู้ด้วยตัวเอง รอให้ครูผู้สอนป้อนให้อย่างเดียว และต้องมีคะแนนมาล่อ ไม่เกิดการพัฒนากระบวนการคิดอย่างมีระบบ :::: อย่างโครงงานที่ให้นักเรียนทำ ๆ กัน บางโรงเรียนเองก็ไม่สอนนักเรียนให้มีกระบวนการในการทำโครงงานเลย พอถามทฤษฎีจริง ๆ แล้วกลับไม่ได้เข้าใจในทฤษฎีเลยแม้แต่พื้นฐานตามระดับที่เรียนเองก็ตาม - นักเรียนได้รับการบ้านเยอะแยะ แถมยังเป็นการบ้านที่ล้นทะลักและได้ความรู้น้อย ไม่เกิดการพัฒนา - นักเรียนบางส่วนยังไม่สามารถบริหารจัดการตัวเองได้ดีเท่าที่ควร หรือแม้แต่ครูบางคนก็ตาม เท่าที่ลองถามนักเรียนที่รู้จักว่าเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยแค่ไหนแล้ว เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ที่จะสอบ กลับกลายเป็นการเพิ่ิงจะรู้ตัวว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว เมื่อเทียบกับเนื้อหาทั้งหมดที่จะต้องสอบ ซึ่งบางคนรู้ตัวตอนที่สอบเสร็จรอบแรกแล้วก็ยังมี - ครูไม่ใส่ใจนักเรียนที่มีปัญหาอย่างจริงจัง เด็กเรียนไม่ได้ ก็โทษเด็กไว้ก่อน เด็กไม่ตั้งใจบ้าง เด็กไม่ฟังบ้าง เด็กไม่ดีบ้าง แต่ไม่ใส่ใจที่จะประเมินตัวผู้สอนเอง สิ่งที่ขาดกันมากคือ การสอนด้วยหลักเหตุและผล โดยเฉพาะวิชาพวกวิทยาศาสตร์ ไม่เห็นภาพ ไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับชิวิตประจำวันได้ ไม่เข้าใจหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง บลา ๆ ๆ (อีกมากมาย) นักเรียนก็เป็นผู้รอป้อนอย่างเดียว แต่พอถามกระบวนการและที่มาทั้งหลาย ว่ามาได้อย่างไร ทำไมต้องใช้วิธีนี้ หรือสูตรนี้ กลับอธิบายไม่ได้ ?? พอพลิกแพลงคำถามก็ตอบไม่ได้แล้ว น่าจะต้องสอนวิธีการคิดอย่างมีระบบด้วย ความใส่ใจในการเรียน ของนักเรียนเอง ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นหน้าที่นักเรียนเท่าั้นั้น ครูที่ปรึกษาควรจะต้องคำนึงถึงความเอาใจใส่ของนักเรียนด้วย และหากระบวนการแก้ไข และปรับปรุงพัฒนาต่อไป วิธีการที่ให้นักเรียนมีความสนุกในการเรียนรู้มีหลากหลายวิธี ตามรูปแบบความถนัดของแต่ละคนด้วย (ผู้สอนควรเอาใจใส่ ศึกษาและค้นคว้าไม่แพ้นักเรียนเช่นกัน) งานวิจัยด้านการศึกษาก็มากมาย แต่ไม่ค่อยเกิดผลในระยะยาวนัก จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 00:23:32

ความคิดเห็นที่ 12 คห 11 มองภาพแบบน่ากลัวมาก ผมโชคดีไม่เคยเจอครูแบบไม่เอาไหนใน ม. ปลาย ทุกวิชาได้ครูเก่ง ทุ่มเททุกคนตลอด 2 ปี (สมัยนั้น ม.ปลาย 2 ปีเอง) อาจเป็นที่โรงเรียนดัง และนักเรียนเก่งด้วย เลยไม่มีประสบการณ์ว่าครูห่วยแตกเป็นอย่างไร ปล ชั้นประถมก็ได้ครูดีครับ แม้ว่าจะเป็น รร วัด จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 01:21:35

ความคิดเห็นที่ 13 เคยนั่งดูรายการทีวีของ ทีวีไทย ตอนประมาณ 15.30 น. สารคดีเกี่ยวกับครูในต่างประเทศ  ที่ทุ่มเทสร้าง เทคนิคการเรียนการสอนให้เด็กเข้าใจในแต่ละบทเรียน  เห็นแล้ว ศรัทธาในตัวคนทำงานเป็นครู  คิดว่า หากครูได้มีโอกาสดู ก็จะมีแรงบันดาลใจ นำเทคนิคพวกนั้นมาช่วยกันสอนนักเรียนไทยให้มีความรู้ เน้นความแข็งแกร่งของวิชาการได้จริงๆ สามารถออกไปสอบแข่งขันกับโรงเรียนอื่นๆได้จริง       ส่วนตัวคิดว่าเรื่อง ครูเมืองไทย แก้ไขส่วนเดียวไม่ได้  มันต้องทำอะไรเป็นระบบพร้อมๆกันหลายส่วน   อย่างแรกในส่วนของสำนักวัดมาตรฐานความรู้ทางวิชาการของเด็ก ต้องปรับมาตรฐานความ "เก่ง"  ไม่ใช่"รู้เกินระดับชั้นเรียน" กันเสียที    ควรเน้น"ความเป็นจริง" ของ"องค์ความรู้แกนกลางจริง"  ไม่ใช่เอาข้อสอบ ระดับ"เทพ" ระดับ"เพชร" มายัดเยียดใส่ "มาตรฐานกลาง" จนมันเพี้ยนระดับ  จนเป็นการบังคับให้เด็กต้อง "กวดวิชา" กันแบบนี้     ประกอบทั้งการเลื่อนคุณวุฒิการปรับวุฒิของผู้สอน ก็ควรจะวัดจาก วิธีการสอนในชั้นเรียนจริงๆ    ไม่ใช่มานั่งเทียนอ่านจาก ข้อความบนกระดาษ ที่สามารถจ้างคนอื่นมาทำ   หรือบังคับให้ครูต้องใช้เวลากับเด็กเอาแต่สร้างผลงานภายในชั่วโมงเรียน จนกินเวลาถ่ายทอดความรู้ให้เด็กจริงๆ     ลดภาพที่ว่าคนที่สมองระดับ 3 เท่านั้นที่มาสอบเป็นครู  เพราะความเป็นจริง แขนงวิชาชีพครูไม่เคยเป็นคณะที่เด็กหัวกะทิส่วนใหญ่เลือกสอบก่อนต่างหาก... แต่คนที่เก่งและมีศักยภาพในวิชาการการศึกษามีอยู่จริง แต่อาจถูกระบบหลายอย่างกลืนเขาหายไปหรือบีบรัดจนไม่สามารถทำอะไรได้ สร้างคนเก่งที่สมดุล  คือ ไม่ใช่เอาแต่เน้นฝึกเด็กเข้าสู่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์โอลิมปิก กันจัง   แต่ต่อยอดเด็กกลุ่มพวกนี้ไม่ได้    เด็กที่เก่งจะโลกเข้าสู่เหรียญทองกันหมด แต่เด็กระดับรองลงมา หรือเด็กที่ไปแล้วแต่ไม่ถึงดวงดาว...จะไม่มีพื้นที่ในมาตรฐานวิชาการ จะยิ่งเคว้งคว้าง ไปเบียดพื้นที่เด็ก ระดับกลางและระดับล่างต่อ ทั้งที่ศักยภาพเขาสูงแล้ว แต่ไม่มีหน่วยงานไหนมารับเขาไปฝึกฝนให้เชี่ยวชาญหรือลับคมความรู้เขาอย่างต่อเนื่อง         ส่วนเด็กที่ผ่านเวทีโอลิมปิคมาแล้ว  ก็ควรป้องกันการสมองไหลไปเข้าสู่สายอาชีพ วิศวะ แพทย์  เพื่อเราจะได้สร้างนักคณิตศาสตร์  นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการศาสตร์แขนงนั้นๆอย่างแท้จริง เพื่อจะได้เกิดครูบาอาจารย์รุ่นใหม่ในอนาคต   แต่ก็นั่นละ มันเป็นปัญหาเรื่องค่านิยม ที่ค่านิยมในอาชีพครู หรืออาชีพ นักวิชาการของไทย มันไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร   โดยส่วนตัวรู้สึกดีๆทุกครั้งเวลาเห็นคนเก่งเกิดขึ้นในประเทศไทย ในระดับเวทีโลก   ...ชื่นชมจริงๆว่า เขาเก่งเรามีคนที่เก่งเราสร้างคนเก่งขึ้นมาได้ (หรือจริงๆเป็นผลงานของคนในครอบครัว หรือติวเตอร์     มากกว่า สถาบันการศึกษา...อันนี้ไม่ทราบ)      ทั้งที่มาตรฐานการศึกษาของเราพยายามกันแทบตาย ยังได้  "แค่นี้"   แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 53 04:39:24 จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 04:32:04

ความคิดเห็นที่ 14 คุรุสภาเขาหาวิธีแก้แล้วครับ ถ้าพอมีเวลาลองอ่านเต็มๆดูละกันครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9614941/K9614941.html จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 04:50:58

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นด้วยกับคุณ abc และ คุณ tonmelb เห็นด้วยกับคุณ abc ที่อยากให้เด็กอ่านหนังสือ ศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองได้ด้วย ไม่ใช่รอแต่ครู โทษแต่คนอื่น เห็นด้วยกับคุณ tonmelb ในเรื่องจะทำอย่างไรให้คนเก่ง ๆ ถ่ายทอดเก่ง ๆ ให้คน IQ EQ สูงมาเป็นครู แล้วอย่าลืมดูแลครูเหล่านี้ให้ดี ให้รายได้สูง มีความสุข (กรุณาอย่าคัดค้านว่า ความสุขไม่จำเป็นต้องมาจากรายได้สูง) ถ้าไม่ดูแลครู จะได้คนเก่งๆดีๆ มาเป็นครูได้อย่างไร คิดจากเงินเดือนครู ทำงานปีแรก 7900 บาท ทำงาน 20 ปี เงินเดือน 30000 บาท ถ้าไม่สอนพิเศษก็ได้เท่านี้ แล้วจะมีใครอยากมาเป็นครูไหม จากคุณ : จิน ณ จันทร์ เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 11:06:07

ความคิดเห็นที่ 16 บางคนเขาพร้อมแล้ว พอสำหรับตัวเองแล้ว คิดจะข้ามสายมาเป็นครูด้วยใจ แต่ต่อไปก็ไม่ได้แล้ว จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 11:52:31

ความคิดเห็นที่ 17 ทำไมต้องเรียนพิเศษ 1. เนื้อหาในห้องเรียนไม่เข้มข้นพอสำหรับการสอบเข้าเรียนต่อที่อื่น 2. ได้เทคนิคต่างๆที่ไม่ค่อยมีสอนในห้องเรียน 3. ที่เรียนพิเศษแต่ละแห่งจะเน้นการสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง    ซึ่งตรงใจผู้ปกครอง เพราะอยากเข้าโรงเรียนนั้นๆ **แต่เชื่อไหม ... ถ้าผู้ปกครองไม่ช่วยทบทวนวิชาที่เรียน ทั้งที่เรียนพิเศษ หรือที่โรงเรียนก็ตาม  เด็กก็จะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะในการเรียนนั้น ไม่ใช่ว่าเด็กจะจำได้ทั้งหมด ดังนั้นผู้ปกครองมีส่วนอย่างมากในการทำให้ เด็กเก่งขึ้น ถ้าได้ทบทวนที่เรียนมา ** สุดท้าย .. ผมเห็นว่าต้องทบทวนหลักสูตรการเรียนการสอนครับ เพราะที่สอน ง่ายกว่าที่สอบ เสมอ ครับ จากคุณ : DragonV เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 18:32:26

ความคิดเห็นที่ 18   ชี้แจง คห. 12 ครับ ช่วงนั้นอาจจะกำลัง เครียด ๆ กดดันเล็กน้อย จากการไปสำรวจตามโรงเรียนต่าง ๆ ให้เห็นถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จริง ๆ (สำรวจโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า 55) => ใช้ในงานวิจัยด้านการศึกษาของผมครับ (thesis ป.โท ) ทั้งนี้ทั้งนั้น การแก้ไขครู เป็นเรื่องที่ยากกว่า การแก้ไขที่ตัวนักเรียนโดยตรงไปเลยจะง่ายกว่า ตัวนักเรียนเองถามจริง ๆ แล้วก็อยากให้สอนให้เข้าใจอย่างมีระบบมากกว่า ฝึกฝนให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ สามารถพึ่งพาตัวเองได้ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาครูที่โรงเรียนมากนัก ปล.ตอนนี้ผมยังอยู่ ปี 1 ป.โท ยังไม่ได้ลงวิชา thesis หรอกครับแต่อยู่ในช่วงค้นคว้าอะไรไปเรื่อย ๆ ปัญหาและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ปล.2 ผมว่าถ้าไม่สามารถไปแก้ไขระบบหรือครูผู้สอนได้ อย่างน้อยนักเีรียนเองน่าจะต้องได้รับการปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ให้ดีขึ้นน่ะครับ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 53 11:06:02

ความคิดเห็นที่ 19   -------------------(กรุณาอย่าคัดค้านว่า ความสุขไม่จำเป็นต้องมาจากรายได้สูง)----------------- จากคุณจิน ณ จันทร์ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ทุก ๆคนก็หวังที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยากให้รัฐบาลลงไปดูเเลชีวิตของครูดอย ครูตชด ฟังเพลง-----โรงเรียนของหนู---------ของคุณปู ย้อนดูหนังเก่า "ครูบ้านนอก " + กระทู้ของคุณหมาป่าดำhttp://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9630956/K9630956.html ใคร ๆ ก็อยากมีรายได้สูง เพราะในวันนี้เเละในอนาคตข้างหน้า ราคาของอุปโภค บริโภคมันถีบตัวสูงขึ้นมาก + ค่าเดินทาง+ภาษีสังคม อย่ามองว่า ต้องประหยัดอย่างเดียว ชีวิตในกรุงเทพฯเเพงมาก(หลาย ๆคน รวมทั้งผมเกิดเเละเติบโตในกรุงเทพฯ จะให้ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย คงไม่ทำ) อย่าไปมองว่า ฟุ้งเฟ้อ เงินจึงไม่เหลือ เเค่ใช้จ่ายในเเต่ละเดือน ก็หนักเเล้วครับ เป้าหมายผม ไม่ได้ต้องการเป็นเเค่ครูที่ดี เเต่เป็นลูกที่ดีของเเม่วัยจะครบ 70 ปีมกราหน้า ผมต้องการหาซื้อของอร่อย ๆ ของดี ๆ ให้เเม่ผม พาเเม่ไปเที่ยว เเม่ไม่สบาย พาไปโรงพยาบาลที่ดีท่สุดเท่าที่ผมจะมีปัญญา ถ้าคุณเป็นพ่อเเม่คน คุณก็อยากได้ครูที่มี IQ EQ สูง เพราะลูก หลานของคุณต้องอยู่กับครู 6-8 ชั่วโมง 5 วัน ตั้งเเต่อายุ 1 ขวบ- 21+ คร่าว ๆ การที่จะได้พลเมืองที่มีคุณภาพ คือ 20 ปี ผมยังหนีโรงเรียนไทย หลักสูตรไทยเลย มาอยู่โปรเเกรมนานาชาติ เเต่ผมก็อยากให้รัฐลงมาดู เงินเดือนไม่ถึงหมื่น คุณให้ไปได้อย่างไร อย่าบอกว่า งานมั่นคง มีสวัสดิการ ก่อนจะมั่นคง ต้องทำงานมาเกิน 15 ปีมั้ง เเละครูที่มีอยู่ ใช้การได้ทั้งหมดหรือครับ ผมว่าไม่ หลาย ๆ โรงเรียน หลาย ๆ คน โดยเฉพาะครูผู้ชาย พูดจาไม่เพราะเลยกับลูกศิษย์ตัวเอง หรือพูดจาเเทะโลมนักเรียนหญิง ขอสรุปว่า ตราบใดที่เรา ๆท่าน ๆ ไม่ว่าจะมีอำนาจหรือไม่มีในประเทศนี้ ยังหมกเหม็ดกับปัญหานี้ อีกไม่เกิน 10 ปี เราจะเห็นเด็กยกพวกตีกันในห้องเรียนมากขึ้น มีการล่วงละเมิดทางเพศมากขึ้น เเย่งผู้หญิง ผู้ชายเเละตบกัน ตีกัน ถ่ายลงคลิปมากขึ้น เด็กช่วงวัยรุ่นเขาเเรงนะครับ ครูเเละอาจารย์ต้องมีความพร้อมทั้งวิชาการเเละจิตวิทยา ต้องพร้อมทุกอย่างที่จะดูเเลเด็กวัยรุ่นเหล่านี้ ถ้ายังเป็นเหล่านี้ คนเก่ง ๆ เขาก็หนีไปทำงานที่โรงเรียนกวดวิชา หรือติวตามบ้าน ติวที่บ้านตัวเอง เพราะปัญหาวัยรุ่น มันน่ากลัวเเละซับซ้อนมากขึ้นครับ เเละที่สำคัยเลย เด็กส่วนใหญ่ที่ไปติว เพราะเขาสนใจ เด็กที่ไม่ไปติว ส่วนหนึ่ง เพราะไม่สนใจการเรียน ติดไม่ติด ชีวิตไม่มีอะไรจะเสียเเล้ว หรืออยากติว เเต่พ่อเเม่ ไม่มีเงินส่ง หวังจะได้เต็มที่ที่โรงเรียน ครูก็ไม่เก่งอีก เรียน 12 Tenses ตั้งเเต่เด็ก เจอฝรั่ง กลับพูดสื่อสารด้วยคำศัพท์ง่าย ๆ ไม่ได้ หรืออกเสียงผิด ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ต้องยอมรับความจริงได้เเล้วครับ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 19:09:35 A:61.91.163.61 X: TicketID:054700