ความคิดเห็นที่ 1 M: ยกเลิกหลักสูตรทั้งหมด เพราะผู้มีใบอนุญาตฯพอแล้ว S: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1282375990 นายxxxxxxประธานสภาxxxxxxx.................ครูทั่วประเทศยังไม่ถือว่าขาดแคลน   อีกทั้งในปี 2554 จะผลิตครูตามโครงการครูพันธุ์ใหม่ได้อีก 30,000 คน นายxxxxxxxคณบดีคณะxxxxxxx..................อาจกะทันหันเกินไป   และส่งผลกระทบกับหน่วยงานที่ให้ทุนการศึกษาในหลักสูตร ป.บัณฑิต   เช่น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ที่ให้ทุนผู้ที่จบสาขาขาดแคลน   ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ .............................   ในส่วนของคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ เอง ขณะนี้กำลังคิดหลักสูตร ป.บัณฑิตให้ สสวท.อยู่ X: ข่าวย่อหน้านึงบอกว่าไม่ขาดแคลน อีกย่อหน้าบอกขาดแคลน คุยกันเองหรือยังครับเนี่ย -_-"   หรือหมายถึงไม่ขาดแคลนจำนวน แต่ด้านคุณภาพยังขาดแคลน?? X: ทุกวันนี้สอนกันหูดับตับไหม้ ครูคนหนึ่งสอนมากกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คนหนึ่งสอน 2-3 ระดับ X: แทนที่ครูจะมีเวลาเตรียมการสอน มีเวลาให้นักเรียน กลับต้องมาทำงานเอกสารมากมาย X: ขอครูพันธุ์เก่าแทนได้ไหมครับ สมัย 40-50 ปีก่อน แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 05:15:28 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:14:53

ความคิดเห็นที่ 2 M: ควบคุมคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพครูสูงขึ้นสอดรับการปฏิรูปการศึกษารอบสองที่ต้องการพัฒนาคุณภาพครู X: สิ่งสำคัญคือต้องไปควบคุมคุณภาพตอนที่เรียน ไม่ใช่ปล่อยผ่าน M: ต้องแยกใบอนุญาตออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ผู้รับบริการได้มั่นใจเช่น พ่อแม่ส่งลูกเข้าเรียนอนุบาลก็จะได้มั่นใจ X: ครูสอนข้ามสายได้ไหมครับ เช่นคณิตข้ามไปฟิสิกส์ ถ้าได้ ต้องกลับไปเรียนใหม่ไหมครับ M: เช่น ครูที่จบสาขาพลศึกษาแต่สอนฟิสิกส์มา 5 ปีและมีใบอนุญาตฯอยู่แล้ว ก็ต้องอบรมเพิ่มเติม จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:15:54

ความคิดเห็นที่ 3 X: อยากได้โปรแกรมด้านบัญชี ใช้ในบริษัทจะให้โปรแกรมเมอร์ไปเรียนอ่าน บัญชี     หรือ จะให้พนักงานบัญชีไปเรียนเขียนโปรแกรม Y: คณะอื่นนั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ในการผลิตบัณฑิตเพื่อออกไปทำหน้าที่ครู Y: การพัฒนาวิชาชีพครู กลุ่มเป้าหมาย คือครู แล้วที่ไหนล่ะที่ผลิตครู? Y: บังคับให้คนที่เรียนเฉพาะเท่านั้นถึงจะเป็นครูได้แบบวิชาชีพอื่นซะ     คนเก่งอยากเป็นครูก็ต้องมาเรียนครู คนที่ไม่เก่งจะถูกเบียดออกไปเอง     พอมีคนเก่งมาเรียนครูมากๆเข้า อนาคตปัญหาครูด้อยคุณภาพก็จะหมดไป X: หลักสูตรป.บัณฑิต สังกัดคณะวิทย์ อักษร ฯลฯ เหรอครับ X: ปรัชญาของคณะอื่นๆไม่ได้เพื่อผลิตครู ถ้างั้นปรัชญาของหลักสูตรป.บัณฑิตคือ?? แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 05:16:22 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:16:05

ความคิดเห็นที่ 4 Y: เข้าใจว่าอยากจะมีใจรัก ท่านมีความรู้  แต่ท่านก็หยิบโหย่ง ไม่ได้อยากเป็นครูแต่แรก Y: อยากเป็นครูทำไมไม่เรียนครู หรือเรียนเผื่อเลือก กะจะมาแย่งที่ครู X: ผมจบ ศิลปศาสตร์บัณฑิต โปรแกรมวิชาดนตรีสากล     ซึ่งสาขานี้ มีเปิด ในคณะ ครุ และศึกษาศาสตร์ไม่กี่หมาวิทยาลัย       เท่าที่ผมทราบ ก็มีที่จุฬา ซึงรับ แค่ปีละ สิบกว่าคน     ไม่ใช่ไม่อยากเรียนครูตั้งแต่แรก จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:19:04

ความคิดเห็นที่ 5 X: บางครั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าคุรุศาสตร์ยังเป็นแหล่งรวมของคนที่ไม่มีที่ไป ไม่มีทางเลือก     นั่นคือ คนที่ไม่คิดจะเป็นครูตั้งแต่แรก X: เห็นหลายคนเอ็นฯ ไม่ติด ไม่รู้จะเรียนอะไร ก็ไปเรียนครู X: คนจบศึกษาที่สอนดีจริงๆ เขาไม่มากังวลเรื่องโดนแย่งที่หรอก แบร่ๆ     หรือว่าไม่กล้าสอบแข่งกับคนที่จบสายตรงมาแล้วเรียนเอาวุฒิิ Z: อย่าโจมตีกันแบบนี้เลยครับ เหมารวม ไม่ดี (ถ้าโดนเอง ในทางกลับกัน ก็มีอารมณ์ใช่มั๊ย) จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:19:20

ความคิดเห็นที่ 6 Y: ทำเพื่อเด็ก ทำเพื่อโรงเรียน เรื่องเงิน ไว้ทีหลัง S: แนะครูเรียนจบป.โท เชื่อมโยงเพิ่มเงินเดือน เทียบวิชาชีพชั้นสูง แบบหมอ อัยการ S: อาจจะเริ่มทดลองใช้โครงสร้างเงินเดือนในฐานะของวิชาชีพชั้นสูงกับครูที่มาจากโครงการครูพันธุ์ใหม     และค่อยๆ ปรับจนเป็นโครงสร้างเงินเดือนของผู้ประกอบวิชาชีพครูทุกคน X: ครูบางคนก็ทุ่มเท มีจิตวิญาณเป็นครุสุดๆ บางคนกลางๆ บางคนก็มาเพราะเงินเดือน ความั่นคง แต่หาได้เป็นครูที่ดีไม่     หามาตรการที่จะทำให้คนเป็นครู ที่ทำงานเป็นครู เป็นครูที่รู้จักพัฒนาตัวเองดีกว่านะครับ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:19:34

ความคิดเห็นที่ 7 Y: เห็นหลาย ๆ คน  บางคนไม่ได้เรียนครูมา  กลับได้ตำแหน่งครู แสนง่ายดาย  เพราะเขาเหล่านั้นมีพื้นฐาน  (เส้นสาย) X: เราว่าถ้าเก่ง ถ้าเจ๋งจริง เส้นก็เส้น มันจะเส้นได้หกสิบล้านคนทั้งประเทศเลยหรือไง Y: จบ คอ.บ.xxxxxxxxxxกว่าจะได้ใบประกอบวิชาชีพวิศวะเหนื่อยมากมาย...............................     ..........................พวกคุณกีดกันพวกผมทำงานด้านสายตรง.......................     .........................ผมไม่เคยคิดว่าใครเก่งไม่เก่งมีแต่พวกคุณเท่านั้นที่คิด  จนบัดนี้ผมมีแค่คุณรู็หรือไม่รู้แค่นั้น     .................อยากกลับไปสอนที่ที่ทำให้ผมเกิดมา แต่แค่ยังไม่พร้อมเท่านั้นเอง     ..............................หรือคนที่ตั้งกระทู้นี้หางานในสายตรงทำไม่ได้เลยมา.... X: บางคนเขาพบว่าตัวเองพร้อมแล้วไงครับ "คนอื่น"ทำงานไม่ตรงคณะที่จบแปลว่าเขาหางานไม่ได้เหรอ Y: ถ้าขนาดตัวเองยังพบช้าขนาดนัน้สอนเด็กเมื่อไรจะพบละครับ Z: ประสบการณ์ที่ผมกับเด็กพบไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนี่ครับ     หรือว่าตอนเด็กผมเจอครูที่ไม่สร้างแรงบันดาลใจมั๊ง ผมก็หวังว่าผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กได้นะ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:19:51

ความคิดเห็นที่ 8 Y: รู้สึกประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นอย่างนี้นะครับ ต้องมาจากครูเท่านั้น X: ครูสอนวิทยาศาสตร์ที่หลานผมไป AFS เขาก็เคยเป็นนักวิทยาศาสตร์มาก่อนนะครับ     แต่เพราะเบื่อทำวิจัยแล้วก็เลยมาเป็นครู Y: ไม่สามารถเลือกครูที่เข้าใจนักเรียน และเก่งวิชาการได้ในคนๆเดียวกัน X: บางคน มันเป็น skill ติดตัวแต่เกิดด้วยซ้ำไป จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:20:02

ความคิดเห็นที่ 9 Y: ครูที่ดี ต้องสอนคนมากกว่าหนังสือ X: ครูที่พื่นไม่แน่น เทคนิคการสอนช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกครับ Y: การจะพัฒนาวิชาอื่นๆ ที่คุณถกกันนั้น มันคือ รายละเอียดปลีกย่อย X: เซนเซผมท่านเป็นศาสตราจารย์นะครับ แต่ท่านยังต้องลงมาอบรมวิทยาศาสตร์     เด็กระดับประถมกับระดับมัธยมด้วยตัวท่านเอง..................     ............ท่านบอกผมว่าจำเป็นมาก เพราะเหตุที่วงการวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นสามารถพัฒนา     เจริญรุดหน้ากว่าประเทศอื่นๆ  รวมทั้งมีนักวิทยาศาสตร์ระดับรางวัลโนเบลจำนวนมากมาย     ก็เพราะว่า มีการถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง Y: เราจำเป็นต้องการความรู้ความชำนาญในระดับนั้นหรือ ครูฟิสิกส์แตกแรงไม่เป็น ครูเคมีไม่รู้จักการกลั่นลำดับส่วน อันนี้น่าตำนิ     แต่ครูฟิสิกส์ม.ปลาย ไม่รู้ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ไม่รู้ควอนตัม แมคคานิก (ผมหมายถึงในเชิงลึกเลยนะ)     ครูเลขม ปลายแก้ดิฟเฟอเรนเชี่ยล อิเควชั่นไม่ได้ จำเป็นด้วยหรือ X: ครูที่รู้ลึกซึ้ง "อาจ" จะทำได้ดีกว่าเพราะอะไร? เพราะว่ารู้ลึก ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าจุดไหนควรเน้น จุดไหนควรปล่อย     รู้ว่าอะไรคือพื้นฐานที่สำคัญที่เด็กควรรู้ จุดไหนที่กระตุ้นความคิดเด็กได้ ไม่ยัดเนื้อหามั่ว ๆ แบบที่กระทรวงกำหนดมา จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:20:16

ความคิดเห็นที่ 10 Y: อะไรมาการันตีว่าคนที่เรียนมาเฉพาะทางมีความรู้แน่นกว่าหรือคะ เด็กไม่ได้ต้องการครูที่ความรู้แน่น Y: สิ่งที่ครูไม่รู้ เขาจะไปหาความรู้มาบอกนักเรียนหลังจากนั้น (เคยเจอมาแล้วและไม่เคยรังเกียจที่ครูบอกว่าไม่รู้เลย ) X: คิดถึงตอนเรียน วิชาxxxxซึ่งจะเอาครุศาสตร์เอกxxxxมาตัดเกรดร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์     ปรากฎว่าทางครุศาสตร์ไม่ยอมเพราะว่าคะแนนสู้ไม่ได้ X: ยกตัวอย่างชัดๆใน มหาวิทยาลัยของรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง ย่านxxxxxx เด็กจากคณะศึกษาศาสตร์ xxxx     มาเรียนกับ เด็ก วิทยา xxxxเพียว คะแนนของเด็ศึกษาจะต่ำว่า เด็กวิทเพียวอย่างเห็นได้ชัดเจน X: เป็นฐานให้คณะอื่นเหยียบอยู่ดี ตอนเรียนวิชาเฉพาะต่างๆ Z: เฮ้ย คุณ X (ทั้ง3X) พูดงี้ได้ไง อย่าเหมาดิ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:20:28

ความคิดเห็นที่ 11 Y: ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู บังคับใช้เฉพาะ ครูที่ปฏิบัติการสอนระดับก่อนปริญญาตรี จนถึง ปฐมวัย     หมายถึง ครูที่สอนคนจากที่ไม่รู้อะไรเลย จนรู้ความ     ส่วนวิชาเฉพาะนั้น เรารู้ความแล้วจึงมาเรียนนั่นเป็นเรื่องของระดับปริญญาตรีขึ้นไป Y: ต่ำกว่าปริญญาตรีในที่นี้ ก็นับกันตั้งแต่อนุบาล 1 ,2, 3 , ป.1, ป.2 ,ป.3, .................ยัน มัธยม หรือ ปวช. , ปวส. เท่านั้น X: ที่ผมพูดและคนทั้งหมดในห้องหว้ากอพูดนี่คือ ม. ปลายครับ ไม่ได้พูดถึง ป.ตรีเลย Y: สอนในโรงเรียนเอกชนได้เลย โรงเรียนสามารถขอผ่อนผันให้คุณสอนได้โดยไม่มีใบอนุญาตค่ะ     แต่แค่ชั่วคราวนะคะ มันทำได้ถ้าโรงเรียนจะทำ Z: ชั่วคราว?? จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:20:40

ความคิดเห็นที่ 12 Y: ขอเลือกครูที่เข้าใจเด็กไว้ในโรงเรียนก่อนนะคะ ส่วนครูที่เก่งวิชาการ เดี๋ยวจะให้ลูกหลานไปเรียนพิเศษด้วยละกัน Y: เก่งเรื่องการสอนและ การอธิบายจริงๆ ทำไมไม่ไปเปิดโรงเรียนสอนพิเศษ  จะทำเงินได้มากกว่าอย่างแน่นอน X: อีกหน่อย จะมี รร. สอนพิเศษ โฆษณาว่า รร. แห่งนี้สอนโดย ครูจบ ป.ตรี วิศวะ - วิทยาศาสตร์ - หมอ เท่านั้น X: ครูปกติเป็น หัวโขน แต่เอา คนที่จบตรงมาสอนเป็นวิชาเสริม ที่ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาบังคับ ... (คือบังคับเรียนพิเศษ ...นั่นหละ)     แล้วก็โฆษณา .... วิธีนี้ จะทำให้ รร. ต่างๆ สามารถรีดเงินจากพ่อแม่ได้เยอะเลยทีเดียว จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:20:54

ความคิดเห็นที่ 13 Y: นักวิชาการทั้งหลายเขาคิดกัน ก็เพื่อพัฒนาวิชาชีพครู เพื่อวิชาชีพครูมันดีขึ้นเรื่อยๆ บังเอิญว่าสิ่งที่เขาคิดมันไม่ต่างกับใจพวกเราเท่านั้น     และไอ้ความที่ไม่ตรงกับใจเราเนี่ยแหละ เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงว่า คนๆ นั้น เหมาะสำหรับวิชาชีพครูหรือเปล่า Y: การเป็นครูทุกวันนี้ ต้องใจเย็นอย่างมาก ควรมีจิตใจที่เปิดกว้าง ยอมรับความคิดเห็นต่างได้ X: "เห็นต่าง"นิดนึงว่า นี่เป็น skill ที่มนุษย์พัฒนาได้จากการใช้ชีวิตด้วย     ไม่ใช่ skill ที่ได้จากการเรียนในหลักสูตรเท่านั้น จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:21:07

ความคิดเห็นที่ 14 Y: สายอื่นที่ไม่ได้จบมาจากสายครู รับกับสภาพเด็กไม่ได้ ตกม้าตายลาออกกันก็มีไม่น้อยนะครับ Y: พอถามบุคคลที่คุณว่ารู้จริง หรือเก่งๆ เหล่านั้นว่าให้ไปอยู่บนดอย อยู่ในป่าในเขามั๊ย น้อยมากค่ะ     หรือไปก็แค่ประมาณว่าไปเอาตำแหน่ง เพื่อขอย้ายกลับเข้าเมืองทั้งสิ้น X: ถ้าเป็นที่กันดารที่อื่น เพิ่มค่ากันดารสิครับ รับรองผมว่าต้องมีคนยอมไปบ้างแน่นอน     แต่ 3 จว. เชื่อเถอะ นอกจากจะลำบากแล้วยังเสี่ยงตายด้วย     เคยได้ยินว่า บ.บางแห่งจ้างขับรถส่งของในพื้นที่ 3 จว. เดือนละ 80,000 บาท     อาทิตย์นึงออกแค่ไม่เกิน 2 เที่ยว มีที่พักให้ที่สงขลา เชื่อไหมครับ ยังหาคนทำไม่ได้เลย จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:21:20

ความคิดเห็นที่ 15 Y: ประสบการณ์การสอน ป.บัณฑิต เพราะพบคนที่เรียนบางคน มีความเป็นครูน้อยมาก Y: ป.บัณทิตวิชาชีพครู คุณจัดการเรียนการสอนอย่างไร     ฝึกสอนกันอย่างไรได้ทีละ 200-300 คน บางทีปาเข้าไป 500 คน X: ทำไมไม่เลือกปิดไปทีละที่ละครับ เขาบอกสาเหตุไหมว่าปิดรวดเดียวเลย     เพราะมองในคนนอก มันคือการกีดกันทางวิชาชีพดีๆนี่เอง Y: โดยทางนโยบายแล้ว ณ ขณะนี้ ยังไม่มีอะไรชัดเจน ณ ขณะนี้คนที่เรียนอยู่แล้ว ก็เรียนไป แต่ของใหม่ต้องยุติ X: ทำงานกันโดยไม่ต้องวางแผนก็ดีนะครับ หน่วยงานรัฐตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:21:35

ความคิดเห็นที่ 16 M: สถาบันบางแห่งบริหารหลักสูตรได้มีคุณภาพ แต่บางแห่งไม่บริหารหลักสูตรให้เป็นไปตามที่เสนอต่อคุรุสภา X: ถ้าหลักสูตร ป.บัณฑิต สาขาวิชาชีพครูไม่สามารถผลิตครูที่คุณภาพเทียบเท่าหลักสูตร 5 ปี     แล้วทำไมถึงให้ผ่านการรับรองหลักสูตรล่ะครับ M: สถาบันจำนวนมากที่เปิดสอนหลักสูตร ป.บัณฑิต เพื่อธุรกิจมากกว่าที่จะคำนึงถึงคุณภาพทางการศึกษา X: เรื่องประกาศนียบัตรวิชาชีพครู เคยผ่านกระบวนการคิด ว่าสร้างไว้เพื่อให้คนเก่งสายขาดแคลนมาเป็นครู     (สสวท.) สูตร ๔+๑.......................ต่อมาก็ขยายพันธุ์และเพี้ยนไปเรื่อยๆ       แบบว่าใคร(เพิ่งนึกอยากเป็นครู)มาเรียนก้ได้     ***** แต่อย่างไรคุรุสภาก็ต้องรับผิดชอบเรื่องการพิจารณาหลักสูตร****     นี่ประเด็นสำคัญคือ ทำไมปล่อยให้หลักสูตรผ่านกันมาแบบบานตะไท หลายหน่วยการผลิต     (ข่าวว่าสอนกันตามโรงแรมก็มี) ควบคุมไม่ได้ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:22:10

ความคิดเห็นที่ 17 M: ส่งสัญญาณอย่างแรงไปยังหลักสูตรอื่นๆ ให้ปรับปรุงเรื่องคุณภาพด้วย X: ที่มาของปัญหาคือ"บางคน" แต่ผลออกมากับ"ทุกคน" X: oversupply ที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้เกิดจากแค่ป.บัณฑิตเท่านั้น X: อย่าให้เป็นอย่าง onet anet ที่ปรับแล้วปรับอีก..............     ...................ไม่ใช่ว่า แก้ไข ยกเลิกไม่ได้ เพราะ ถ้าสุดท้ายรู้ว่าไม่ดีก็ต้องเปลี่ยน  แต่     สิ่งที่ถูกมอง คือ การไร้ความรอบครอบ และ ไม่ชัดเจน ในสื่งที่ศึกษาก่อนการกำหนดนำมาใช้     ...แทนที่จะ ทดลองใช้ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:22:27

ความคิดเห็นที่ 18 M: หลักสูตร ป.บัณฑิต ให้เรียนวิชาชีพครูเพียง 24 หน่วยกิต และต้องฝึกงานควบไปด้วย X: วิชาไหนในหลักสูตรครู 5 ปี ที่ทำให้เป็นครูมากกว่า Y: ถูกหล่อหลอมมาโดยวิชาชีพครูให้มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นหลัก     เราถูกหล่อมหลอมให้อยู่ในวิชาชีพครูตลอด 4 ปี (ปัจจุบัน 4 ปี อีก 1 ปี เจอสภาพจริง) Y: ไม่จำเป็นต้องด่าคุรุสภาหรอกค่ะ แค่ด่าในนี้ก็รู้ว่านี่คือ นิสัยติดตัว     ซึ่งถ้าหากเล็ดลอดเข้าสู่วงการครู แล้วไปทำกับนักเรียนละคะ จะเกิดอะไรขึ้น     อันนี้แหละ ที่ ครุศาสตร์ / ศึกษาศาสตร์ เขาจะถูกสอนให้ไม่ทำ Y: มีครูมากมายที่ใช้วิธีด่านักเรียนแบบนี้ ด่า ประชดประชัน กระทบกระเทียบ     ท้ายที่สุด ครูแอนตี้นักเรียน  และสถานการณ์นี้ ทางวิชาการเขาพบว่า     สัดส่วนของการเกิดเหตุการณ์แบบนี้ วิชาชีพอื่นมากกว่าวิชาชีพครู X: สรุปว่าครูที่จบครุ/ศึกษาไม่ด่าไม่เหน็บประชดเด็ก(และผู้คนในอินเตอร์เนต)     ทุ่มเทกายใจอย่างที่คนสายอื่นไม่อาจทำได้ซินะครับ ขอให้เป็นจริง สาธุ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:22:38

ความคิดเห็นที่ 19 Y: สถาบันที่สอนไม่แก้ไข แล้วทิ้งนักศึกษาให้แก้ปัญหาเอง     โดยมองว่านักศึกษาคือผู้บริโภค ผู้บริโภคต้องหาข้อมูลเอง     แล้วปัญหามันก็ไปกระจุกอยู่ที่หน่วยงานออกใบอนุญาตฯเป็นคอคอดเลย X: มองให้รอบเถอะครับ แม้แต่สาขาวิชาชีพโดยตรงเองก็เถอะมั่นใจใช่ไหมครับว่าไม่มีธุรกิจ     หน่วยงานอนุมัติหลักสูตรไปแล้วไม่มีหน้าที่ควบคุมต่อแล้วซินะครับ Y: การแก้ปัญหาอย่างนี้ วิชาชีพอื่นมองว่าตัดสิทธิ์   แต่วิชาชีพครูถือว่าให้ยาแรงและดีมาก X: ต้องเข้าข้างกันเองเป็นธรรมดา Y: ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้พยายามพัฒนา ก็เพื่อคงไว้ซึ่ง "ศักดิ์ศรีของวิชาชีพครู" X: พัฒนาครูเพื่อวงการครู หรือพัฒนาครูเพื่อเด็กล่ะครับ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:22:58

ความคิดเห็นที่ 20 Y: กลุ่มที่สอบโวยวายว่าไม่ไดบรรจุก็กลุ่มวิชาชีพอื่นเนี่ยแหละ Y: สอบบรรจุที ปัญหาของ ป.บัณฑิตที่แต่ละสถาบันหมกเม็ดไว้ ออกตอนนี้กันสนั่นเลยทีเดียว X: ขำระบบการศึกษาไทย เอาอวัยวะหรือตรรกะส่วนไหนคิดที่ว่าคนจบการสอน     จะมีคุณภาพดีกว่าคนไม่ได้จบการสอนโดยตรง     ไม่มีหลักฐานหรืองานวิจัยใดรับประกันได้สักชิ้น M: ผลวิจัยมหาวิทยาลัยมหาสารคามพบว่าผู้เรียนหลักสูตรป.บัณฑิตคุณภาพต่ำกว่าผู้เรียนหลักสูตรครู 5 ปี Y: งานวิจัยที่ว่า ถ้ามีใครสนใจจริงๆ ร้องขอไปที่หน่วยงานได้เลย X: อยากให้เอางานวิจัยชิ้นนี้มาตีแผ่จังเลย X: rank เด็กสายตรงเมื่อสอบ comprehesive เพื่อจบคณะศึกษาศาสตร์ ในรุ่นก่อนปี xxxx จะอยู่ใน rank ต้นทั้งหมด เสมอ X: เรียนเทคนิคการสอน จิตวิทยาการสอน และรายวิชาอื่น ๆ ในภาคการศึกษาต้น     โดยคณะศึกษาศาสตร์ (ในมหาวิทยาxxxxxxxxxx) จะเปิดเทอมให้กับนิสิตกลุ่มนี้ก่อนคณะอื่น ๆ     ในภาคการศึกษาที่ 2 จึงจะเป็นการฝึกสอนจริง.......................................................     จากปีการศึกษา xxxx เป็นต้นมา คณะศึกษาศาสตร์ บังคับให้นิสิตทั้งเรียนและฝึกสอนไปพร้อมกันทั้ง 2 ภาคการศึกษา     ซึ่งสำหรับเด็กที่ไม่เคยเรียนเทคนิคการสอน และจิตวิทยาการสอนมาก่อนอาจมีปัญหา ...............................     ในขณะที่นิสิตคณะศึกษาศาสตร์เอง ทุกรายวิชาที่ว่า..เรียนมาหมดแล้ว... จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:23:16

ความคิดเห็นที่ 21 Y: ปรัชญาการผลิตคนไปตัดสิทธิสาขาอื่นมาแล้ว ในกรณีของการผลิตวิศวกร  แต่หลายๆท่านกำลังไม่ยอมรับวิธีคิดแบบนี้ ในการผลิตครู     มันทำให้เราดับเบิลแสตนดาร์ดหรือเปล่า?  หรือเรากำลังจะบอกว่าสถานการณ์ต่างกัน ใช้วิธีคิดแบบเดียวกันไม่ได? Z: มีถกกันที่นี่ครับ เชิญแวะ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9606426/X9606426.html แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 06:13:02 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:23:39

ความคิดเห็นที่ 22 ใช้วิธี quote เหมือนเดิมครับ ขออภัย หากท่านต้องรำคาญกับfallacyที่อาจเกิดจากการเรียบเรียง และbiasของผม จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:23:54

ความคิดเห็นที่ 23 อันนี้ชอบมากเป็นการส่วนตัว ขอยกของคุณ PaBo มาหมดเลยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ #23 อยากบอกคนที่ไม่ได้เรียนครูแล้วสุดท้ายก็มาทำอาชีพครู เพราะทำอย่างอื่นไม่ได้ แล้วก็เรียกร้องบางอย่าง ว่าครูไม่ใช่อาชีพทางเลือก"สุดท้าย" ส่วนคนที่อยากเป็นครูจริงๆ แต่จบอย่างอื่นมา ก็ขอให้โชคดีมีทางออกที่เหมาะสม หวังว่าจะเป็นครูที่ดีจริงๆ ไม่อยา่กให้อาชีพครู เป็นอาชีพสุดท้ายที่เลือก เพราะทำอย่างอื่นไม่ได้ หรือแม้่เป็นสาขาหรือคณะสุดท้ายที่เลือกเรียน แค่คะแนนถึง -*-   หรือเป็นครู....เพราะทำๆไปแค่เพราะเรียนจบครูมา ไม่อยากให้ใครมาบอกว่าคนเรียนครูโง่กว่าคนที่เรียนสายตรงๆมา เพราะกว่าจะเรียนจบครูมาได้ไก็ไำม่ใช่เรื่องง่ายทางความรู้สึกเหมือนกัน ปล.อาจจะออกมาพูดกันคนละเรื่อง แต่อยากบอกค่ะ #35 อยากให้มีป.บัณฑิต เพื่อคนคุณภาพที่ไม่ได้จบครูมา แล้วต้องการอาชีพครูจริงๆ แต่ก็ต้องมีจัดการขึ้นในมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพยอมรับได้จริงๆในคณะทางการศึกษา-ฝึกหัดครูเท่านั้น เพื่อไม่ให้มันกลายเป็นเรื่องธุรกิจ เรายอมรับว่าอยากให้อาชีพครูเข้าสู่วงธุรกิจ ในแง่เงินเดือน...เท่านั้น แต่ไม่ใช่เข้าสู่วังวนธุรกิจเพราะมีช่องทำเงิน (ช่างเป็นอะไรที่ไม่ถูกที่ถูกเวลาซะ เลย) เรื่องจบครู ไม่จบครู เลือกเรียนครู ไม่เลือกเรียนครู มันไม่ใมช่ประเด็นสำคัญเลย มันอยู่ที่เจตนา(และความตั้งใจ)เท่านั้น!!!!! #49 ไม่ค่อยเข้าใจว่าจะตอบโต้กันเรื่องเรียนครูหรือไม่เรียนครูทำไม กระทู้นี้พูดเรื่อง ป.บัณฑิต ไม่ใช่หรือ ตรรกะเดียวกับที่เถียงว่าเรียนวิทย์ไม่ควรเอนท์(แอด)สายศิลป์ หรือในเมื่อวิทย์เอนท์ศิลป์ได้ ศิลป์ก็ต้องเอนท์วิทย์ได้(ซึ่งเป็นไปได้ยากในแง่ความรู้) มันก็ทำนองเดียวกัน คนที่จบครูก็โต้ว่าทำไมไม่เรียนครูแต่แรก งั้นห้ามมาเป็นครูนะ ทั้งที่จริงๆเรียนอะไรมาก็เป็นครูได้ แต่การที่ได้เรีียนครูมาแล่้วจะ เป็นครูที่ดีได้(ในแง่ความรู้สึก)  แต่มันไม่ใช่เสมอไป **แต่โดนส่วนตัวก็อยากเข้าข้างคนเรียนครูนะ เพราะเราจบมา55+** เข้าใจไหม การโต้ตอบกันในบางเรื่อง มันไม่ใช่ทางออกของปัญหา เพราะจริงๆมันมีเหตุผลในตัวมันอยู่แล้ว แค่มาพิจาณาถึงประเด็นที่สำคัญดีกว่า ทำไมต้องเลิก และทำไมต้องมี จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:24:16

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณอีกท่านคือคุณ Ter @ AFC ที่ทั้งสนับสนุนและท้วงติงหลายๆประเด็นครับ ผมได้ความรู้เพิ่มอีกหลายอย่าง และขอบคุณทุกท่าน(เยอะจนไม่สามารถไล่ชื่อได้หมดครับ อย่าน้อยใจนะ) ที่ร่วมด้วยช่วยกันผลักดันให้ได้ตระหนักกันครับ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:24:38

ความคิดเห็นที่ 25 อ้างอิง http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9626412/K9626412.html http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9606426/X9606426.html และลิ้งเดิมๆทั้งหลาย(ขี้เกียจแปะแล้วครับ^^) จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:24:54

ความคิดเห็นที่ 26 ฝากกระทู้ คุณ i sky ครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9628171/K9628171.html http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9626855/X9626855.html แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 05:30:52 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 05:25:07

ความคิดเห็นที่ 27 อยากรู้จริงๆว่า ถ้ามีการออกกฎว่า นักการเมือง จำเป็นต้องจบรัฐศาสตร์ แบบ 4 ปี เพื่อให้มีความเข้าใจถ่องแท้ถึงระบบการเมือง   จะมีนักการเมืองคนไหนผ่านร่างกฎหมายแบบนี้ไหม จากคุณ : next80 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 10:31:38

ความคิดเห็นที่ 28 พอมีคนเก่งมาเรียนครูมากๆเข้า อนาคตปัญหาครูด้อยคุณภาพก็จะหมดไป <<< คนเก่ง ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนดี เช่นเดียวกัน คนเก่งที่มาเรียนครูไม่ได้การันตีว่า อนาคต จะทำให้ครูด้อยคุณภาพหมดไป  เพราะการที่ครูด้อยหรือไม่ด้อยคุณภาพมันอยู่ที่ตัวครู  เดี๊ยนมีประสบการณ์เจออาจารย์ที่เก่งมาก ๆ ระดับเกียรตินิยม แต่สอนไม่ได้เรื่อง ที่สำคัญ หนีสอนซะด้วยซ้ำไป ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ อยากรู้จริงๆว่า ถ้ามีการออกกฎว่า นักการเมือง จำเป็นต้องจบรัฐศาสตร์ แบบ 4 ปี เพื่อให้มีความเข้าใจถ่องแท้ถึงระบบการเมือง   จะมีนักการเมืองคนไหนผ่านร่างกฎหมายแบบนี้ไหม ^ นักการเมืองไม่กลัวหรอกค่ะ ผ่านอยู่แล้ว  ปริญญาสำหรับนักการเมืองน่ะ หาง่ายจะตายไป จากคุณ : isiss12 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 12:07:54

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้าเกิดห้ามกฏหมายไม่ทัน แนะนำให้ฟ้องศาลปกครองให้ช่วยคุ้มครองชั่วคราว โดยแจงว่า นักศึกษารุ่นปัจจุบันที่ เรียนมหาวิทยาลัยไปแล้ว จะให้ย้ายไปเรียนคณะครุศาสตร์ก็คงไม่ได้แล้ว คิดว่าศาลปกครองน่าจะช่วยได้อยู่นะครับ จากคุณ : 3N เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 12:18:57

ความคิดเห็นที่ 30 เอางี้เลยดีกว่า ถ้าไม่เปิดเรียน ป.บัณฑิตแล้ว ก็ให้คุรุสภาเปิดสอบเพื่อขอใบอนุญาตฯ ครูไปเลย ไม่ต้องไปเรียนเพื่อเป้นธุรกิจทางการศึุกษา มันก็จะทำให้คนที่อยากจะมาเป็นครูแอ็คทีปตัวเองด้วย อ้อ.. คนที่เป็นครูอยู่แล้วก็จะต้องสอบนะคะ ใช่ว่าคนที่สอบจะแค่คนที่ไม่ได้จบครูมาเท่านั้น จะเป็นครุอยุ่แล้ว จะำไม่ได้เป็นครุ จะจบครูมาโดยตรง หรือกรณีใดๆ ทั้งหมด ก็ให้มาสอบวัดความรุ้ตัวเองให้หมด เป็นมาตรฐานเดียวกันไปเลย เห็นว่าต่อไปก็จะมีการสอบข้าราชการครูอยู่แล้ว ... เปิดสอบขอใบอนุญาตฯ ก็จะมีปัญหาว่า มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่มีจิตวิญญาณความเป็นครู อย่างนี้ก็เห็นเยอะแยะไป และเป็นปัญหามากๆ ตามหน้าหนังสือพิพม์ที่เห็นทั่วไป ก็จัดให้มีการอบรมจรรยาบรรณวิชาชีพไปเลย เช่น ใครอบรมไม่ครบทุกปี หรือขาดก็ให้ไม่มีสิทธิ์ยื่นขอต่อใบอนุญาตฯ ดีมั้ยคะ แฟร์ๆ ดี ทุกคน ไม่เลือก แบ่งชั้นวรรณะ แต่ทำได้หรือเปล่า มันแค่จินตนาการและความเพ้อฝัน ครูบรรจุใหม่เยอะแยะมากมาย คิดแค่วันๆ ก็แค่สอนๆ ไป รุ้เรื่องไม่รุ้เรื่องช่างมัน คิดแค่ว่า บ่ายสามหรือยังจะไปซื้อของที่กิฟฟารีน มีครูสังของ เดี๋ยวจะได้ไม่ครบ 1500 PV คาบว่างก็มานั่งเทคอลลาเจน ไว้ขายให้ครูๆ ทากันหน้าจะได้สวยเด้ง เนียนปกปิกตีนกา และรูขุมขน จะได้หา.. ได้สักที อยากบอกว่า การที่เราได้ครูเก่งอย่างเดียวมานั้น มันก้ไม่ได้ช่วยให้สังคมเจริญขึ้นมากมายและมีคุณธรรมหรอกนะคะ เพราะ... ครูที่ดีต้องสอนคนมากกว่าหนังสือ ใช่เพียงถือชอล์คปากกาพาเขียนอ่าน ต้องอุทิศชีวิตจิตวิญญาณ ให้เก่งงานปลูกฝังในทางดี... สอนคนให้มีความรู้ง่ายกว่า สอนคนให้เป็นคน ให้มีจิตใจที่ดีงาม ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เพราะเด้กเก่งๆ ส่วนมากก็อยุ่กับการแข่งขัน ไร้น้ำใจ และขี้อิจฉาเสียด้วยซ้ำ เพราะสังคมทำให้เป้นแบบนั้น น้อยคนจริงๆ ที่จะไม่เป็นแบบนี้ แต่จะโทษใคร ก็ต้องดทษค่านิยมชองสังคมทำให้ต้องถูกปลูกฝังแนวคิดแบบนั้น คนเก่งใช้เงินซื้อได้ เพราะคนพวกนี้ก็จะเป็นแค่คนสอนหนังสือ แต่เราต้องการคนที่จะมาสอนคนให้เป็นคน อันนี้จะใช้อะไรซื้อหนอ... ไม่รุ้เหมือนกัน แต่อยากได้คนสอนคนมากกว่าคนสอนหนังสือค่ะ ไม่ต้องอะไรมากมายหรอก แค่ครูที่สอนๆ กันอยู่ มีใครปลูกฝังเด้ก ม.6 บ้าง ว่าไปเรียนครูกันนะลูก แม้แต่ครูที่มีลูกแล้วยังไม่อยากให้ลูกเรียนครูก็เยอะแยะไป เพราะถูกสังคมปลูกฝังให้สบาย ให้ทำงานเพื่อเงินกันมาก มากกว่าทำงานเพื่อคนอื่น เพื่อสังคม แต่ก็อย่างว่า..ไม่มีใครหรอกที่ไม่เห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่คนอื่น มันก็เป็นความต้องการพื้นฐานของแต่ละคนอยุ่แล้ว ดูตัวอย่างจากเด็กทุน... ผอ.หลายๆ ดรงเรียนมักจะไม่อยากรับย้าย เพราะเก่งจริง แต่ไม่รู้จักอุทิศตัวเองเพื่อเด็ก หากคิดว่าเป็นครูแล้วมาทำงานแค่ตามหน้าที่ หมดเวลาก็กลับเลย ไม่ได้เป็นครูด้วยจิตวิญญาณ ต่อให้โอกาสคนใหม่ๆ ที่จะเข้ามาอีกมากมาย มันก็ไม่แตกต่างอะไรกับครูที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ดิฉันหมายถึงบางส่วน(มาก) นะคะ เมื่ออยากจะเรียน ป.บัณฑิต ก็แสดงว่าอยากที่จะสอนหนังสือในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ อนุบาล - มัธยมปลาย นี่คือต้องมีใบอนุญาตฯ ครู ตาม กม ค่ะ แต่ถ้าเป็นอาจารย์สอนระดับมหาวิทยาลัย ก็ไม่ต้องเดือดร้อนหรอกนะคะ เพราะ กม ไม่ได้บังคับว่าต้องมีใบอนุญาตฯครุ จึงจะสอนได้ บังคับแค่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น เพราะว่ามีเยอะมากๆ หลายแสนคน เป็นล้านซะมั้ง ถ้ารวมเอกชน และกระทรวงอื่นๆ ด้วย แต่ถ้าจะมีการสอบแบบเป็นระบบ คุรุสภาต้องออก กม เพิ่มจำนวนบุคลากรให้เพียงพอด้วยนะคะ ถ้ามีเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ต้องดดนด่าตลอดอยุ่ดี เพราะคนเรามันมีหลายประเภท น้อยมากที่จะเจอคนที่เห็นใจคนอื่นในสังคมปัจจุบันที่แข่งขันกันละเห็นแก่ตัว ............................... แนนเป็นข้าราชการครู และหลายๆ คนก็คงจะรู้จักแนน เห็นล็อกอินแล้วก็พอจะจำได้ที่ส่งข้อความมาทางหลังไมค์บ้าง สอบถามแนนจากในบล้อกบ้าง แนนเองก็เป็นอีกคนที่ไม่ได้จบครูมาโดยตรง จบ วท.บ. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ฯ มา และมาเรียนต่อ ป.วค. ก่อนที่จะมีเปิดเรียน ป.บัณฑิต ซึ่งเกิดปัญหาว่า ตอนแนนเรียน ณ ขณะนั้น ทางคุรุสภาประกาศออกมาแล้วว่าให้เรียนหลักสูตร ป.บัณฑิต 2 ปี ป.วค. มัน 1 ปี เท่านั้น และได้ยกเลิกหลักสูตรนั้นไปให้ยื่นขอใบอนุญาตฯ ไม่ได้แล้ว เมื่อเรียนจบ จะไปยื่นขอใบอนุญาตฯ เพื่อมีสิทธิ์สอบบรรจุเข้ารับราชการครู แต่ปรากฏว่าวุฒิที่เรามันั้นยื่นขอไม่ได้ ก็ต้องทำการเทียบโอนมาตรฐานวิชาชีพให้ครบทั้ง 9 มาตรฐาน แต่กว่าจะรู้ผลก็นาน มีเปิดสอบมาตรฐานทั้ง 9 พอดี ก็เลยไปสอบค่ะ สมัครสอบทั้ง 9 เลย สอบรอบเดียว ผ่าน 4 มาตรฐาน แอบเศร้าเล้กน้อย ที่ไม่ผ่านหลายตัว ข้อสอบมีวิชาละ 100 ข้อ 90 นาที หน้ากระดาษ A4 มีข้อสอบอยุ่ 2 ข้อ โอ้แม่เจ้า.. กว่าจะอ่านช้อยส์หมด ก็ลืมแล้วว่าโจทย์ถามอะไร แล้วก็รอให้ผ่านการเทียบโอน รอประมาณ 8 เดือน กว่าจะได้รับรองผลว่าผ่านทั้ง 9 มาตรฐาน และต้องมีประสบการณ์สอนครบ 1 ปีอีก ตอนฝึกสอน 6 เดือนก็ไม่ให้ด้วย ก็ต้องรอให้ฝึกประสบการณ์ครบ 1 ปี แล้วก็ได้ยื่นขอใบอนุญาตฯได้ ก่อนวันรับสมัครสอบบรรจุครูประจำปี 2551 2 วัน ช่วงเวลาที่ยื่นขอใบอนุญาตฯ เพื่อให้มีสิทธิ์สอบนั้น ก็ 1 ปี และใน 1 ปีนั้น หมดสิทธิ์สอบบรรจุ 2 ครั้ง ช่วง สิงหา 50 และครู กทม เมษา 51 ก็รู้สึกเสียดายมากๆ แต่เมื่อมีสิทธิ์ก็มีโอกาสได้บรรจุหลังจากสอบได้ 4 เดือน แนนก้เลยทำบล็อกไว้ให้เพื่อนๆ ที่มีปัญหาเหมือนแนนไว้ เค้าจะได้ไม่ต้องไปหาข้อมูลหลายทาง เพราะก่อนหน้านั้นแนนติดตามข่าวสารทุกอย่างผ่านหน้าเว็บคุรุสภาทุกวัน จนรู้ข้อมูลเยอะมากพอ และในช่วงปีนั้นในกระดานสนทนาของคุรุสภา แนนก็เข้าไปช่วย จนท ตอบ เพราะเห้นใจเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน ไม่โทษ จนท นะคะ เพราะเข้าใจว่า คนน้อย งานเยอะ คนไทยด้วยกัน ช่วยเหลือกันเล้กน้อยแค่นี้จะเป็นไร ไม่เห็นจำเป็นจะต้องคิดว่า ชั้นไม่ช่ จนท ไม่จำเป็นต้องทำ จริงๆ มันก็ไม่ได้อะไรตอบแทนหรอกค่ะ บางทีโดนด่าด้วยซ้ำ แต่ก็รู้สึกอิ่มใจ เมื่อได้รับคำขอบคุณ เพราะเรารู้สึกได้ถึงคำขอบคุณอันนั้นของเขา มันเหมือนคำขอบคุณของเราที่วันนึงเราก็มืดแปดด้านเหมือนกัน มันเหมือนเราเจอทางออกแล้วว่าจะเดินไปทางไหนดี เขาก็คงจะรู้สึกเหมือนกัน ถามว่า.. กว่าจะมาถึงวันนี้ กว่าจะได้มาเป็นข้าราชการครู ก้าวผ่านอุปสรรคและปัญหามาเยอะแยะมากมายเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกท้อและน้อยใจในโชคชะตา ถึงแม้บางช่วงจะรู้สึกว่าทำไมเรามันช่างซวยอย่างนี้.. อะไรก็ติดขัดไปหมดซะทุกอย่าง เพราะตอนแรกที่เปิดมาไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องเรียนครูโดยตรง มันเลยผิดพลาดไปหมด แต่ก็นะเลือกเอง ก็ต้องหาทางออก แต่ก็ไม่เคยโทษคุรุสภานะคะ และไม่เคยโทษใคร แต่กลับมองว่า โอกาสของเราตอนนี้มีอะไรบ้าง จะเดินไปทางไหนได้บ้าง ก็รู้สึกภาคภูมิใจนะคะ ที่วันนี้ได้มายืนอยุ่จุดนี้ มันก็ไม่ได้สูงส่งอะไรมากหรอก แต่มันทำให้เรารู้สึกว่า อุปสรรคที่เจอมาทำให้เข้าใจคำว่า "ครู" อย่างสุดหัวใจ ต้องใช้ความอดทน และพยายามมาก กว่าจะได้มายืนอยู่จุดๆ นี้ และหากไม่มีความตั้งใจจริง ก็คงเลือกไปทำงานกับเพื่อนที่บริษัทเอกชนที่ได้รับเงินเดือน 30000 มากกว่า 7940 แล้ว แต่ก็อยากได้ 7940 มากกว่า และตั้งแต่เรียนจบก็ไม่เคยไปทำงานด้านอื่นเลย นอกจากเป็นครูในโรงเรียน เพราะเส้นทางนี้ต้องต่อสู้เหลือเกิน และทุกวันนี้ก็ภูมิใจทุกครั้งกับความลำบากที่เจอมา แนนจะสอนเด็กๆ เสมอว่า ความสุขบนอุดมการณ์มันทำให้มีแรงที่จะก้าวเดินต่อไปเสมอ ถึงแม้มันจะมีแต่ปัญหารออยู่ตรงหน้า และรู้อยู่แล้วว่าเข้ามาแล้วจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่กลัวที่จะก้าวเข้าไป วันนี้.. ระหว่างสอนเด็กนักเรียนให้คิดเลขเป็น กับสอนเด็กที่ชอบแกล้งเพื่อน ให้มาคอยช่วยเหลือเพื่อน มีน้ำใจโอบอ้อมอารี มีจิตสำนึกความเป็นคนที่ดี อย่างหลังมันภูมิใจมากกว่าค่ะ เพราะอย่างน้อยๆ เขาคงไม่ไปทำร้ายคนอื่นให้เดือดร้อน เหมือนหลายๆ คนที่ใช้ความรุ้ความสามารถในทางที่ผิด ที่เห็นกันออกบ่อยตามหน้าหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ "วันนี้เรามองแค่ครูที่สอนเก่งอย่างเดียวมากไป จนลืมครูที่สอนคนให้เป็นคนไปหรือเปล่าคะ เพราะในความเป็นจริงในวันนี้ จะมีสักกี่คนที่จะเป็นได้ทั้งคนเก่งและคนสอนคน" แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 20:44:47 จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 19:01:01

ความคิดเห็นที่ 31 "จะเป็นครุอยุ่แล้ว จะำไม่ได้เป็นครุ จะจบครูมาโดยตรง หรือกรณีใดๆ ทั้งหมด ก็ให้มาสอบวัดความรุ้ตัวเองให้หมด เป็นมาตรฐานเดียวกันไปเลย..... .................................... .......จัดให้มีการอบรมจรรยาบรรณวิชาชีพไปเลย เช่น ใครอบรมไม่ครบทุกปี หรือขาดก็ให้ไม่มีสิทธิ์ยื่นขอต่อใบอนุญาตฯ ดีมั้ยคะ แฟร์ๆ ดี ทุกคน ไม่เลือก แบ่งชั้นวรรณะ แต่ทำได้หรือเปล่า มันแค่จินตนาการและความเพ้อฝัน" >>> ดูแล้วก็เป็นไปได้ออกนะครับ "ครูบรรจุใหม่เยอะแยะมากมาย คิดแค่วันๆ ก็แค่สอนๆ ไป รุ้เรื่องไม่รุ้เรื่องช่างมัน คิดแค่ว่า บ่ายสามหรือยังจะไปซื้อของที่กิฟฟารีน มีครูสังของ เดี๋ยว จะได้ไม่ครบ 1500 PV คาบว่างก็มานั่งเทคอลลาเจน ไว้ขายให้ครูๆ ทากันหน้าจะได้สวยเด้ง เนียนปกปิกตีนกา และรูขุมขน จะได้หา.. ได้สักที" >>> เฉพาะครูป.บัณฑิตเท่านั้น?? "แสดงว่าอยากที่จะสอนหนังสือในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ อนุบาล - มัธยมปลาย................. ....แต่ถ้าเป็นอาจารย์สอนระดับมหาวิทยาลัย..............." >>> X: ที่ผมพูดและคนทั้งหมดในห้องหว้ากอพูดนี่คือ ม. ปลายครับ ไม่ได้พูดถึง ป.ตรีเลย  (ของคุณอะไรตอบไว้ จำไม่ได้แล้ว) "ช่วงเวลาที่ยื่นขอใบอนุญาตฯ เพื่อให้มีสิทธิ์สอบนั้น ก็ 1 ปี และใน 1 ปีนั้น หมดสิทธิ์สอบบรรจุ 2 ครั้ง ช่วง สิงหา 50 และครู กทม เมษา 51 ก็รุ้สึกเสียดายมากๆ...................... ..............แต่เมื่อมีสิทธิ์ก็มีโอกาสได้บรรจุหลังจากสอบได้ 4 เดือน แนนก้เลยทำบล้อกไว้ให้เพื่อนๆ ที่มีปัญหาเหมือนแนนไว้" >>> นศ.รุ่นปัจจุบันนี้คงเสียดายเช่นกันครับ ไม่รู้จะได้โอกาสบ้างไหม "หากไม่มีความตั้งใจจริง ก็คงเลือกไปทำงานกับเพื่อนที่บริษัทเอกชนที่ได้รับเงินเดือน 30000 มากกว่า 7940 แล้ว................" >>>น้องๆดูไว้เป็นตัวอย่างครับ ขอชื่นชม (ไม่ได้ประชดครับ) (ใครยังลังเลให้กลับไปอ่านของคุณ PaBo #23) "......................เด้กเก่งๆ ส่วนมากก็อยุ่กับการแข่งขัน ไร้น้ำใจ และขี้อิจฉาเสียด้วยซ้ำ..........." >>> นิสัยพวกนี้มีทั้งเด็กเก่ง เด็กกลาง เด็กอ่อน มั๊งครับ มันปัจเจกมากเลย "ดูตัวอย่างจากเด็กทุน... ผอ.หลายๆ ดรงเรียนมักจะไม่อยากรับย้าย เพราะเก่งจริง แต่ไม่รู้จักอุทิศตัวเอง......." >>>ถ้าเรื่องเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็เศร้าใจด้วยครับ "วันนี้เรามองแค่ครูที่สอนเก่งอย่างเดียวมากไป จนลืมครูที่สอนคนให้เป็นคนไปหรือเปล่าคะ เพราะในความเป็นจริงในวันนี้ จะมีสักกี่คนที่จะเป็นได้ทั้งคน เก่งและคนสอนคน" >>> ถ้ามีตัวเลือกเพิ่มขึ้นก็คงได้คนที่มีพร้อมทั้ง2ข้อมากขึ้นครับ >>>Y: บังคับให้คนที่เรียนเฉพาะเท่านั้นถึงจะเป็นครูได้แบบวิชาชีพอื่นซะ    คนเก่งอยากเป็นครูก็ต้องมาเรียนครู คนที่ไม่เก่งจะถูกเบียดออกไปเอง    พอมีคนเก่งมาเรียนครูมากๆเข้า อนาคตปัญหาครูด้อยคุณภาพก็จะหมดไป >>>และฝากดูมุมมองของท่านผู้บริหารครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9614941/K9614941.html#11 http://www.bflybook.com/BookSharingSystem/Kaao3/Kaao3.htm ท่านบอก "ต้องคัดเลือกคนชั้นเยี่ยมมาเรียนครู" "ให้ทุนและจำกัดจำนวนนักเรียนครูที่จะรับ" >>>>>>>> แล้วตกลงคนเก่งนี่จะเอาหรือไม่เอาล่ะครับ??? ขอบคุณ คุณ ][NuUnAn-- ครับ ปล.ผมไม่ได้ดูถูกครูครับ แม่เคยเป็นครู แฟนเป็นครู แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 23:26:51 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 20:59:50 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 20:57:39 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 20:55:54

ความคิดเห็นที่ 32 #29 เคยเกริ่นๆถามทนายท่านหนึง เหมือนกับว่า นศ.กลุ่มนี้"สิทธิยังไม่เกิด" จึงไม่มีอำนาจฟ้องเองครับ ถ้าพวกที่กำลังเรียนป.บัณฑิต สิทธิจึงเกิด แต่มติไม่ได้ไปตัดสิทธิเขา เขาก็ไม่เสียหาย ก็ไม่ฟ้องอีกแหละครับ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 21:05:32

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามาให้กิ๊ฟท์และกำลังใจแก่ครูแนนนะครับ สำหรับตัวผมเองแล้ว ผมคิดว่าตัวเองซึ่งก็สอนหนังสือเหมือนกันแต่เป็นเพียงแค่ครูพิเศษหรืออาจารย์พิเศษ จะเรียกว่าอะไรดีละ คือผมคิดว่าตัวเองเป็นแค่คนสอนหนังสือเท่านั้น ไม่ใช่ "ครู" คำนี้พอคิดดูดี ๆ แล้วมันมีความหมายมากกว่าที่เห็นจริง ๆ สำหรับกรณีของมติที่ออกมานี้ คงไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ผมมองว่าคนที่อยู่ก็ต้องปรับตัวกันไปครับ จะไปร้องโวยวายอะไรคงไม่มีผลนัก ต้องศึกษาและติดตามข่าว ช่องทางมันต้องมีบ้าง แต่แน่นอนว่ามตินี้ดูเหมือนทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 22:23:52

ความคิดเห็นที่ 34 ถ้ามันไม่เหมาะไม่ควรให้เด็กสาขาอื่นมาเรียน ป.บัณฑิต ในช่วงที่ผ่านมาจะมีทุน สควค. ทำไม? ให้ทุนเด็กคณะวิทย์ (คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ) ไปเรียนป.บัณฑิตเพื่อเพิ่มจำนวนครู แถมบรรจุให้อีกต่างหาก หรือจะบอกว่า พอแล้ว? รุ่นพี่ผมจบชีววิทยา ตอนนี้ได้สอนวิทย์ ม.1 - ม.3 และชีววิทยา ม.4 - 6 คนเดียว นี่ท่านบอกว่าพอแล้ว ? จากคุณ : mello man เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 02:38:54

ความคิดเห็นที่ 35 ตอนนี้ผมรู้แต่ว่า    นี่คือประเทศไทย  ประเทศที่หลายๆคนคิดว่า ศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ เป็นคณะที่รวมคนไม่มีที่ไป   ทั้งๆที่น่าจะเป็นคณะต้นๆ ที่มีคนแข่งขันเข้าเรียน   มันก็คล้ายกับโรงเรียนเหล่าทัพต่างๆ ที่เป้าหมายคือผลิตรั้วของชาติ ปกป้องประเทศชาติ ด้วยทั้งสมองหรือกำลังก็ตามแต่ การที่จะจบ ป.ตรีแล้วไปสอบ/เรียน/อบรม  เพื่อเข้าไปเป็นทหาร มันก็ย่อมต่างกับคนที่จบโรงเรียนเหล่าทัพอย่างแน่นอน  เพราะโรงเรียนเหล่าทัพนั้นเค้าปลูกฝังอะไรต่างๆมากมาย ครูพันธุ์ใหม่ก็เหมือนกับคนที่จบจากโรงเรียนครู ที่มีหลักสูตรปลูกฝังการเป็นครู แต่ละคณะ เค้ามีเป้าหมายอยู่แล้วว่าจะผลิตนิสิตนักศึกษาเป็นไปในแนวทางใด ความคิดเห็นของผม ยุบถูกเวลาแล้วครับ เพราะ ครูพันธ์ใหม่มีมา5ปีแล้ว และพึ่งจบแค่รุ่นเดียว  คนที่จบมาก่อนหน้านี้แล้วอยากเป็นครู คงเรียน ป.บัณฑิต จบหมดแล้ว เราไปเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางที่ถูกต้องดีกว่า   ส่วนคนที่ พึ่งจบหรือกำลังศึกษา ป.ตรี นั้น ทุกคนควรพึงไว้ครับว่า... ก่อนหน้าที่จะเลือกเรียนอะไรสักอย่าง ทำไมไม่มองถึงตรงนี้บ้าง  มันเป็นความผิดของตัวบุคคลครับ ไม่ใช่ความผิดของระบบ ปล.  ตระกูลผม ครูทั้งหมดเลย  ผมก็อยากเป็นครูครับ   แต่เมื่อผมเลือกที่จะเดินทางนี้แล้ว ก็ต้องทำใจยอมรับ  ให้โอกาสคนที่เลือกเรียนเข้ามาแล้วเค้าทำหน้าที่นั้นดีกว่าครับ edit แก้คำผิด edit2   ผมพูดถึง อนุบาล-มัธยม แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 05:15:47 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 05:13:48 จากคุณ : Jariwat242 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 05:06:29

ความคิดเห็นที่ 36 ".....ประเทศที่หลายๆคนคิดว่า ศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ เป็นคณะที่รวมคนไม่มีที่ไป....." >>> ผู้บริหารหน่วยงานรํฐเองเขาก็คิดนะครับ นโยบายจึงออกมาทางนี้ ".....โรงเรียนเหล่าทัพนั้นเค้าปลูกฝังอะไรต่างๆมากมาย....." >>> แล้วได้ผลในทางดีไหมล่ะครับ ทหาร ตร. ชาวบ้านรักขาดใจเลย -_-" "ความคิดเห็นของผม ยุบถูกเวลาแล้วครับ............. ........มันเป็นความผิดของตัวบุคคลครับ ไม่ใช่ความผิดของระบบ" >>> ผมว่าความผิดระบบ เต็มๆครับ ตลอกมานี้ผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมไม่ยอมทำงาน และการออกกฎระเบียบโดยไม่วางแผนชัดเจน และไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ปล.พวกผมส่วนใหญ่ก็พูดถึงมัธยม(ปลาย) แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 05:37:04 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 05:35:48

ความคิดเห็นที่ 37 ความคิดเห็นที่ 36 ประเด็นแรก  แล้วทำไมผู้บริหารหน่วยงานรัฐถึงไม่เปลี่ยนไปสนับสนุนศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ให้เต็มตัว เพื่อที่จะเริ่มปลูกฝังคนที่อยากจะเป็นครูจริงๆ   <<< มันเป็นความผิดของตัวบุคคล ประเด็นที่สอง  หมายความว่า ตำรวจ ทหารในปัจจุบัน ไม่มีคนดีเลยหรือไง  หรือไม่มีคนรักเลยหรือไงครับ   << มันเป็นความผิดของตัวบุคคล ประเด็นสาม   คุณตอบเองครับ  "ผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมไม่ยอมทำงาน และการออกกฎระเบียบโดยไม่วางแผนชัดเจน"  << เป็นความผิดของตัวบุคคล ผมเลยบอกไงครับว่า...ที่นี่ประเทศไทย   ปัญหามันอยู่ที่ตัวบุคคล  มันต้องเริ่มปลูกจิตสำนึกมาแต่เด็ก  บอกเด็กไว้เลยว่า ถ้าอยากจะเป็นครูต้องเข้าคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์นะ เพราะเค้ามีการปลูกฝังอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับการสอน ไม่ใช่แค่เพียงตำรา     แต่ปัจจุบันนี้เด็กทั้งหลายกลายเป็นว่า เรียนคณะที่เท่ห์ๆไว้ก่อน เพื่อให้ได้คุยได้โดยบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบออกมาแล้วจะทำอะไร  จบมามีงานทำเลยก็ดีไป ถ้าไม่มีมันก็จะวนลูปกลับมาลงที่ ป.บัณฑิต "เป็นสิ่งที่รวมคนไม่มีที่ไป" ส่วนคุณจะบอกว่าระบบมันไม่ดี ก่อนหน้านี้6-7ปีที่ผ่านมา ครูพันธ์ใหม่ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว... จากคุณ : Jariwat242 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 07:39:11

ความคิดเห็นที่ 38 แต่ปัจจุบันนี้เด็กทั้งหลายกลายเป็นว่า เรียนคณะที่เท่ห์ๆไว้ก่อน เพื่อให้ได้คุยได้โดยบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบออกมาแล้วจะทำอะไร  จบมามีงานทำเลยก็ดีไป ถ้าไม่มีมันก็จะวนลูปกลับมาลงที่ ป.บัณฑิต "เป็นสิ่งที่รวมคนไม่มีที่ไป" --เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ความคิดและค่านิยมของคนไทยเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องขอก๊อบมาทั้งประโยคนะคะ  เพราะถ้าแค่บางส่วนของประโยคมันเหมือนถูกบิดเบือนความคิดเห็นของคนออกความเห็น จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 09:10:14

ความคิดเห็นที่ 39 "วันนี้เรามองแค่ครูที่สอนเก่งอย่างเดียวมากไป จนลืมครูที่สอนคนให้เป็นคนไปหรือเปล่าคะ เพราะในความเป็นจริงในวันนี้ จะมีสักกี่คนที่จะเป็นได้ทั้งคน เก่งและคนสอนคน" >>> ถ้ามีตัวเลือกเพิ่มขึ้นก็คงได้คนที่มีพร้อมทั้ง2ข้อมากขึ้นครับ ยากส์...อย่าถามผู้อื่น ถามตัวเรานี่แหละ มี 2 ข้อในตัวเองมั๊ย จากคุณ : .. (somkamol) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 09:31:11

ความคิดเห็นที่ 40   พูดยากเรื่องแบบนี้ สังคม มันต้องเอาเงินมาล่อ ถึงจะมีคนมาเรียน ทุกวันนี้สังคมแทบที่จะไม่ได้พิจารณาถึงสิ่งที่ตัวเองชอบและสนใจกันจริง ๆ สนใจแต่เรื่องเงิน ก้าวหน้า ศักดิ์ศรี เฮ่อออ ค่านิยม แทบจะมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ หลักฐานที่ว่า รู้ได้ยังไงว่า ป.บัณฑิต จะรวมคนที่ไม่มีที่ไปจริง ๆ ????? ได้เก็บข้อมูลผลสำรวจวิจัยแล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็ไม่ควรกล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐาน ไหนจะเรื่องจำนวนบุคคลากรอีก เฮ่อออ มีหลากหลายประเด็นมากมาย แต่เรื่องพวกนี้มันยุ่งไม่ได้หรอก มันกลืนกินกันไปหมดแล้ว ระบบเมืองไทย คงยากที่จะเปลี่ยน แต่....เรา ๆ เนี่ยแหละ ได้เปลี่ยนแปลงอะไรหรือยัง ??? ได้พัฒนาอะไรหรือยัง ??? ถ้ายัง...ก็คงไม่มีสิทธิไปต่อว่าใครหรอกว่า ระบบทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเองยังไม่ยอมที่จะเปลี่ยน ??? อย่ามัวแต่โทษกัน ขณะที่ประเทศไทยกำลังถอยหลังและบอบช้ำ ถึงเวลาหรือยังที่จะรู้จักคำว่า "สามัคคี" จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 10:18:58

ความคิดเห็นที่ 41 #37 ประเด็นแรก  แล้วทำไมผู้บริหารหน่วยงานรัฐถึงไม่เปลี่ยนไปสนับสนุนศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ให้เต็มตัว เพื่อที่จะเริ่มปลูกฝังคนที่อยากจะเป็นครูจริงๆ   <<< มันเป็นความผิดของตัวบุคคล ประเด็นสาม   คุณตอบเองครับ  "ผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมไม่ยอมทำงาน และการออกกฎระเบียบโดยไม่วางแผนชัดเจน"  << เป็นความผิดของตัวบุคคล >>> ไม่ใช่แค่บุคคลหรือกลุ่มเดียวนี่ครับ เป็นระดับนโยบาย ไม่ใช่แค่ผู้บริหารที่มีส่วนรับ"ผิด""ชอบ" ผมจึงบอกว่า"ระบบ" ที่ทำให้บุคคลเหล่านี้ก้าวมามีอำนาจ แต่ไม่ใช้ตามควร และไม่ได้เปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจนั้นๆเมื่อไม่เหมาะสม ประเด็นที่สอง  หมายความว่า ตำรวจ ทหารในปัจจุบัน ไม่มีคนดีเลยหรือไง  หรือไม่มีคนรักเลยหรือไงครับ   << มันเป็นความผิดของตัวบุคคล >>> ที่จริงแล้ว มันไม่เกียวกับเนื้อหาที่คุยกันมาครับ และประโยคที่ผมเหน็บแนมนั้น ผมยอมรับว่าผมfallacyเอง ที่ใช้wordingเชิงโจมตี จะสื่อว่า"สถาบัน"ปลูกฝังอะไรมากมาย แต่ผู้เรียน"บางคน"อาจไม่ได้รับมาก็ได้ ไม่ได้หมายความว่า แย่ หรือ ดี   "ทุกคน" ความหมายคืออย่างที่คุณแปลกลับมานั้นแหละครับ แค่wordingย้อนทางกัน #38 ตั้งใจลืม คนที่"เลือก"ที่จะมาเหรือเปล่าครับ (หมายถึงข้อความต้นฉบับนะครับ) #39 ถ้าถามตัวเอง ผมตอบใช่ครับ (และตามที่เป็นจริง คงไม่ใช่มีแค่ผมคนเดียวครับ) ยากส์ ไม่ได้แปลว่า ไม่มี "โอกาส" ทำให้สิ่งที่ยากส์ เป็นไปได้มากขึ้น แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 11:29:57 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 11:29:01 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 11:25:31 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 11:22:40 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 11:09:45 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 10:37:54

ความคิดเห็นที่ 42 #37 แต่ปัจจุบันนี้เด็กทั้งหลายกลายเป็นว่า เรียนคณะที่เท่ห์ๆไว้ก่อน เพื่อให้ได้คุยได้โดยบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบออกมาแล้วจะทำอะไร  จบมามีงานทำเลยก็ดีไป ถ้าไม่มีมันก็จะวนลูปกลับมาลงที่ ป.บัณฑิต "เป็นสิ่งที่รวมคนไม่มีที่ไป" จะรวมคนไม่มีที่ไปยังไงครับ?? ถ้ามาเรียน ป.บัณฑิต ก็ต้องเสียเวลาเพิ่มอีก 1-2 ปี จบแล้วก็ใช่ว่าจะหางานทำได้เลย ต้องไปสมัครแข่งขันกับคนอื่นอีก หรือไม่ก็ต้องรอสอบบรรจุเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่จบมานั่นแหละ ถ้าไม่่มีความสามารถพอก็หางานทำไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : Buff_Power เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 11:33:39

ความคิดเห็นที่ 43 ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังนะ ครูท่านหนึ่งของลูกชายผม จบวิศวะเคมีเกียรตินิยม ปฏิเสธเงินเดือนหลายหมื่นถ้าจะเลือกเข้าทำงานในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่กลับเลือกที่จะเป็นครูสอนหนังสือให้เด็กมัธยมปลายในต่างจังหวัด เงินเดือนไม่กี่พันบาท ซ้ำร้ายกว่านั้น ลูกชายผมเป็นคนเรียนเก่ง ครูท่านนี้จับเอามาติวเข้มข้นพร้อมกับนักเรียนที่เรียนเก่งระดับหัวกะทิอีกหลายคน ติวกันตอนพักเที่ยง ซื้อขนมนมเนยมาเลี้ยงให้พร้อมสรรพ ที่สำคัญคือ ติวให้ฟรีๆ ไม่คิดเงินแม้สักบาทเดียว ผล: ลูกศิษย์ที่นำมาติวเข้มนี้ ไปเรียนต่อปริญญาตรี ไม่หมอก็วิศวะ ทุกคนเลย ขอคาราวะคุณครูท่านนี้ครับ แต่...อนิจจาเอ๋ย ถ้าระเบียบใหม่ออกมาแบบนี้ คุณครูผู้ประเสริฐท่านนี้ รวมถึงคุณครูผู้ประเสริฐเช่นนี้ที่ผมเชื่อว่ายังมีอีกมากมายในเมืองไทย ก็หมดสิทธิ์ แล้วใครซวย? ก็เด็กๆ น่ะสิครับ เราควรช่วยกันโหวตกระทู้นี้ให้เป็นกระทู้แนะนำ เพื่อกดดันคุรุสภาให้กลับมติให้ได้ อย่าได้ดูถูกเว็บพันทิปนี้นะครับ เคยพลิกสถานการณ์หนังเรื่อง โหมโรง จากที่กำลังจะต้องลาโรงเพราะไม่ค่อยมีคนดู ให้กลับฟื้นขึ้นมาเป็นหนังดังเรื่องหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 11:49:47 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 11:47:07 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 11:45:45

ความคิดเห็นที่ 44 "โอกาส" ทำให้สิ่งที่ยากส์ เป็นไปได้มากขึ้น ทำไมเราต้อง "งมเข็มในมหาสมุทร" แทนที่จะ " งมเข็มในกระป๋องเข็ม" ??????? จากคุณ : .. (somkamol) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 12:41:04

ความคิดเห็นที่ 45 ความเห็นส่วนตัวนะคะ ไม่ได้ขัดแย้งใคร และไม่ได้เข้าข้างใครทั้งสิ้น ดิฉันจบวิทยาศาสตร์บัณฑิตค่ะ ยอมรับว่าไม่เคยคิดจะเป็นครู แต่แล้ว ได้รับโอกาสในการทำงานจากสถานศึกษาภาครัฐค่ะ หน้าที่หลักคือผลิตนักเรียน 1 ห้อง ให้มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์ คิดอย่างเป็นระบบหน้าที่รอง ก็ทำหน้าที่เหมือนครูที่ปรึกษาทั่วไปค่ะ เวลาในการทำงานหน้าที่นี้ เข้าปีที่ 2 แล้ว สิ่งที่ดิฉันมองเห็นในสถานศึกษาแห่งนี้ หรือสถานศึกษาแห่งอื่นที่ดิฉันมีโอกาสได้สัมผัส ได้พูดคุย เปิดโลกทางการศึกษา และการสอนให้ดิฉันมากค่ะ อย่างแรก ... ครูที่สอนดี เทคนิคดี นักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับการสอน ไม่ได้เป็น "คนดี" เสมอไป และไม่ได้สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมให้กับนักเรียนเสมอไป อย่างที่สอง ... ครูบางท่าน ก็ไม่เคยมองเห็นโลกที่อยู่นอกเหนือรั้วโรงเรียน ไม่เคยติดตามข่าวสารการสอน วิทยาการใหม่ ๆ ไม่เคยคิดหาประยุกต์เรื่องสำคัญมาสอดแทรกให้กับเด็ก บางท่านมีความรู้ แต่ที่มีความรู้มาสอนเด็กนั้น ไม่ได้เกิดจากความรู้จริง แต่เกิดเพราะสอนมาบ่อย จนแทบจะท่องทุกตัวอักษรในหนังสือเรียนได้ อย่างที่สาม ... ครูบางท่าน ไม่ยอมรับว่าสอนผิด ไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ ไม่พัฒนาไปตามโลก อินเตอร์เน็ตใช้ไม่เป็น เด็กเข้าช้าเอาแต่ด่า เสียเวลาเรียนจากเด็กเดินช้าผสมกับครูบ่น คาบนั้นก็ไม่ได้เรียนแล้ว อย่างที่สี่ ... ครูทั้งสามแบบนั้น ส่งผลให้ดิฉันสงสารอนาคตของชาติ เห็นใจระบบการศึกษาไทย และเห็นใจแผ่นดินไทยของตัวเอง และมันทำให้ดิฉันอยากเป็น "ครู" ค่ะ ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางครูที่สักแต่ว่าเป็นครูมากกว่าครูที่เป็นครู แต่ดิฉันเคารพในตัวเอง และเคารพจุดยืนของตัวเอง ดิฉันจึงยังคงอยากเป็นครู และมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ถูกกลืนให้เป็นครูสามแบบนั้น เผื่อว่า จุดเล็ก ๆ จากดิฉัน จะเป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะช่วยพัฒนาอนาคตของชาติที่เข้ามาแทนที่ดิฉันต่อไปได้ ดิฉันถือว่าได้ทดแทนบุญคุณของแผ่นดินที่ดิฉันยืนอยู่แล้วค่ะ ดิฉันกำลังจะสมัครป.บัณฑิตค่ะ แต่เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า ก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะจบครุฯ หรือไม่ก็ตาม แต่อาชีพครู หรืออาชีพไหนก็เหมือนผ้าขาวค่ะ เริ่มต้น สีขาวบริสุทธิ์ พวกเราไฟแรง แต่สังคมที่เราเจอ จะหลอมเราไปทางไหน ต่อให้จบครุฯ มีจิตวิญญาณความเป็นครูแค่ไหน หากไร้ซึ่งจุดยืน ก็ไหลไปเป็น "สักแต่เป็นครู" ได้เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้น คนจบ ป.บัณฑิต จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับจุดยืนเช่นกัน ได้แต่หวังว่า คุรุสภาจะหาทางออกที่ดีที่สุดได้ในเร็ววันค่ะ จุดเล็ก ๆ ที่อยากเป็นครูอย่างดิฉัน จะได้ไม่ต้องไมเกรนขึ้นซักที แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 12:57:56 จากคุณ : natgabig เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 12:56:47

ความคิดเห็นที่ 46 อย่าลืม ช่วยๆกันกด VOTE กระทู้ เพื่อเป็นความรู้ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 12:58:14

ความคิดเห็นที่ 47 #45  คุณมีทางเลือก เข้ารับการทดสอบซิ นั่นคืออีกทางเลือกหนึ่ง เพราะคุณมีประสบการณ์สอนแล้ว เอาประสบการณ์สอนนั้นมาใช้ได้ คุณสอบได้ครบ 9 มาตรฐาน + โรงเรียนประเมินคุณ + สัญญจ้าง  คุณสามารถยื่นขอใบอนุญาตได้เลย จากคุณ : .. (somkamol) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 13:16:31

ความคิดเห็นที่ 48 #45 ป.บัณฑิต ไม่ใช่ทางเลือกเดียว ที่จะเป็นครู ถ้าตั้งใจอยากจะเป็นจริงๆ แนวข้อสอบดูได้จากบล้อกแนนค่ะ ถ้าสนใจจะไปสอบ แนนเองเรียนจบวุฒิครุแล้ว ยังเคยไปสอบเลยค่ะ และมีเพื่อนจากกระดานสนทนาของคุรุสภา ท่านนึง ขอเอ่ยนามสมมุตินะคะ เค้าใช้ชื่อว่าเทพเจ้า เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อยากเป็นครูสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่ได้เรียน ป.บัณฑิต  เลือกที่จะสอบวัดความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพครูทั้ง 9 มาตรฐาน เมื่อผ่านแล้วก็ได้รับใบอนุญาตฯ ปฏิบัติการสอนค่ะ แล้วก็เอาประสบการณ์สอน 1 ปี ไปยื่นขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู พี่คนนี้ได้รับใบอนุญาตฯ ก่อนที่จะมีการประกาศยกเลิกหลักสูตร ป.บัณฑิตอีก เป็นปีเลยค่ะ ที่เล่าให้ฟังเพราะอยากจะบอกว่า ถึงแม้ ป.บัณฑิต จะไม่มีแล้ว แต่ก็ยังมีทางอื่นให้เลือกไปอีก ไม่ใช่ไม่มี ป.บัณฑิตแล้วจะจบสิ้นทุกอย่าง และเราก็ยังมีทางเลือก ในเมื่อ ป.บัณฑิตไม่เปิดแล้ว ยังสามารถยื่นเทียบโอนโดยนำวุฒิ ป.ตรี ไปเรียน ค.บ. 5 ปี ได้นี่คะ แต่ก็ไม่ได้เรียนใหม่ทั้ง 5 ปี ก็เรียนแค่วิชาที่เราเทียบไม่ได้เท่านั้น ดิฉันมองแค่ ไม่มี ป.บัณฑิต แล้ว เราจะยังมีทางอื่นให้เดินมีไหมเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงการประกาศยกเลิก แล้วผลเสียจะเป็นอย่างไร แค่บอกแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอีกทางเลือกนึงที่ยังไปได้อยู่ มากกว่าการเดินอยู่ในวังวนของปัญหาซึ่งทำให้เราเสียเวลาได้ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 13:48:45 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 13:44:58 จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 13:39:25

ความคิดเห็นที่ 49 ต่างคนต่างมุมมองครับ ถ้ายอมรับกันด้วยเหตุผลมันก็จะเกิดประโยชน์มากกว่าสองฝ่าย ทั้งในแง่ของตัวเด็ก และประเทศด้วย อย่ากรณีศึกษา ประเทศที่พัฒนาแล้วเจริญแล้วอย่างประเทศ พินแลนด์ ซึ่งได้รับผลการจัดอันดับ 1 ทางการศึกษาของโลก ประเทศเราก็นิยมไปดูงานที่นั่น แต่ไม่เคยนำมาปฎิบัติได้จริง ที่นั่น   - ครูที่จะสอนระดับประถมศึกษา อย่างน้อยต้องจบปริญญาโท - อัตราครูผู้สอน เด็ก 15 คน ต่อ ครู 2 คน ต่อห้องเรียน - มีการคัดเลือกครูจาก 5 อันดับแรกจากหลายๆ สาขาวิชาเข้าสอน - ได้รับเงินเดือนมากกว่าอาชีพอื่น ขอถามกลับว่า ยกเลิกป.บัณฑิต แล้วออกนโยบายให้ครูที่ สังกัด สพฐ. ทุกคน ต้องจบ ป.โทเป็นอย่างน้อย จะยอมรับกันได้ไหมครับ  ขอถามเพื่อเด็กนะครับ ฤา ระบบการศึกษาไทยจะถอยหลังลงคลอง แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 14:05:55 จากคุณ : rbko เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 13:52:46

ความคิดเห็นที่ 50 #49 เมื่อเดือนที่แล้วมีการประชุมภายในโรงเรียน ตอนนี้กำลังมีนโยบายให้ต่อไปครูที่สอนระดับ ม.ปลาย จะต้องจบ ป.โท ค่ะ สำหรับแนน ไม่มีปัญหาค่ะ ตอนนี้ครูในโรงเรียนก็ 80% แล้วค่ะที่ศึกษาต่อ ป.โท ถ้าเป็นครูใหม่ๆ ส่วนมากจะเรียนกันเกือบหมดแล้วค่ะ เกิน 50% ก็จะมีแค่ครูแก่ๆ ส่วนมากที่ไม่ค่อยไปเรียนกัน จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 14:16:22

ความคิดเห็นที่ 51 #44 เปรียบเทียบไม่ได้ใกล้เคียงข้อเท็จจริงเลยนะครับเนี่ย -_-" #50 ตจว.? จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 14:33:59

ความคิดเห็นที่ 52 ค่ะ ต่างจังหวัดที่ดิฉันอยู่ มีอะไรสงสัยเพิ่มเติมมั้ยคะ คนในวงการอย่างดิฉันจะได้สะท้อนมุมมองให้หลายๆ ด้าน ทั้งดี และไม่ดี.. จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 14:39:56

ความคิดเห็นที่ 53 และเราก็ยังมีทางเลือก ในเมื่อ ป.บัณฑิตไม่เปิดแล้ว ยังสามารถยื่นเทียบโอนโดยนำวุฒิ ป.ตรี ไปเรียน ค.บ. 5 ปี ได้นี่คะ แต่ก็ไม่ได้เรียนใหม่ทั้ง 5 ปี ก็เรียนแค่วิชาที่เราเทียบไม่ได้เท่านั้น จากคุณ : ][NuUnAn-- ------------------------ คุณ ][NuUnAn-- ครับ อาจารย์พิเศษบางท่าน เป็นถึง CEO ของบริษัทใหญ่ๆ แล้วนะครับ ท่านมาถ่ายทอดความรู้และประการณ์ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ค่าสอนน่ะ ท่านไม่สนใจหรอกครับ เพราะเงินเดือนท่านก็หลายแสนอยู่แล้ว แล้วยังจะให้ท่านมานั่งเรียนกับไอ้เด็กจากที่ไหนก็ไม่รู้ อีกหรือครับ? จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 15:24:32

ความคิดเห็นที่ 54 #51แสดงว่าคุณหลงประเด็น (ขออนุญาตไม่แปลข้อเปรียบเทียบข้างบนให้นะ ต้องตีความเอง) #53 ^ ^ ^ ^ "อาจารย์พิเศษบางท่าน" =  ไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตครับ สอนได้เต็มที่ครับ จากคุณ : .. (somkamol) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 15:43:38

ความคิดเห็นที่ 55 และเราก็ยังมีทางเลือก ในเมื่อ ป.บัณฑิตไม่เปิดแล้ว ยังสามารถยื่นเทียบโอนโดยนำวุฒิ ป.ตรี ไปเรียน ค.บ. 5 ปี ได้นี่คะ แต่ก็ไม่ได้เรียนใหม่ทั้ง 5 ปี ก็เรียนแค่วิชาที่เราเทียบไม่ได้เท่านั้น จากคุณ : ][NuUnAn-- ------------------------ คุณ ][NuUnAn-- ครับ อาจารย์พิเศษบางท่าน เป็นถึง CEO ของบริษัทใหญ่ๆ แล้วนะครับ ท่านมาถ่ายทอดความรู้และประการณ์ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ค่าสอนน่ะ ท่านไม่สนใจหรอกครับ เพราะเงินเดือนท่านก็หลายแสนอยู่แล้ว แล้วยังจะให้ท่านมานั่งเรียนกับไอ้เด็กจากที่ไหนก็ไม่รู้ อีกหรือครับ? จากคุณ   : หนุ่มไทยไร้นาม ----------------------- เค้ามานั่งเรียน ป.บัณฑิตเหรอคะ ไม่เข้าใจ มานั่งเรียนเพื่อจะขอใบอนุญาตฯ ไปสอนระดับประถม และมัธยมน่ะเหรอคะ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 15:44:20

ความคิดเห็นที่ 56 คห.38 ถามต่อนะครับ แล้วคุณแนนจะปล่อยให้ค่านิยมแบบนั้นผ่านไปงั้นหรอคับ คห.40 ไม่ต้องไปวิจัยอะไรมากหรอกครับ  มองตามความจริงแล้ว ก็รู้ๆกันอยู่  ถามว่ามีคนที่มีจิตวิญญาณในการเป็นครู เรียน ป.บัณฑิต สักกี่คน  เพื่อนผมเรียน ป.บัญฑิตเยอะครับ แต่จบอะไรมาบ้าง.... รัฐศาสตร์ บัญชี เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา การจัดการ ฯลฯ   ผมเองก็ถามว่าทำไมต้องเรียน อยากเป็นครูหรอ..  คำตอบที่ได้คือ.. พ่อ แม่บอกให้เรียนไว้  ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร   ปัจจุบันนี้ถ้าพูดตามความจริง ป.บัณฑิต  มันหาเรียนง่ายไปครับ จากคุณ : Jariwat242 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 15:57:30

ความคิดเห็นที่ 57 และเราก็ยังมีทางเลือก ในเมื่อ ป.บัณฑิตไม่เปิดแล้ว ยังสามารถยื่นเทียบโอนโดยนำวุฒิ ป.ตรี ไปเรียน ค.บ. 5 ปี ได้นี่คะ แต่ก็ไม่ได้เรียนใหม่ทั้ง 5 ปี ก็เรียนแค่วิชาที่เราเทียบไม่ได้เท่านั้น จากคุณ : ][NuUnAn-- นี่แหละครับคือแนวทางต่อไป เมื่อไม่เปิด ป.บัณฑิตแล้ว   คห.53 อาจารย์พิเศษบางท่าน เป็นถึง CEO ของบริษัทใหญ่ๆ แล้วนะครับ ท่านมาถ่ายทอดความรู้และประการณ์ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ค่าสอนน่ะ ท่านไม่สนใจหรอกครับ เพราะเงินเดือนท่านก็หลายแสนอยู่แล้ว แล้วยังจะให้ท่านมานั่งเรียนกับไอ้เด็กจากที่ไหนก็ไม่รู้ อีกหรือครับ? อาจารย์พิเศษก็คืออาจารย์พิเศษครับ  ไม่เกี่ยวกับ ป.บัณฑิต เลย  ที่เราๆพูดกันอยู่นี่คือ  "วิชาชีพครู" จากคุณ : Jariwat242 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:05:25

ความคิดเห็นที่ 58 #52 ยินดีกับพื้นที่ที่คุณอยู่ครับ (ไม่ได้ประชด) #54 ไม่ต้องตีความหรอก ความหมายคุณถูกแล้วครับ แต่สเกลมันผิดไปเยอะ #56 ป.บัณฑิต  มันหาเรียนง่ายไปครับ >>>>จริง     และผู้มีอำนาจก็แก้ไขโดการ"เหมา" ส่วนเรื่องอ.พิเศษก็ตามคุณๆครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 16:24:36 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:16:00

ความคิดเห็นที่ 59 ^ ^ ^ ^ หึหึ...... จากคุณ : .. (somkamol) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:22:01

ความคิดเห็นที่ 60 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 16:23:12 จากคุณ : .. (somkamol) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:22:29

ความคิดเห็นที่ 61 #56 แต่ปัจจุบันนี้เด็กทั้งหลายกลายเป็นว่า เรียนคณะที่เท่ห์ๆไว้ก่อน เพื่อให้ได้คุยได้โดยบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบออกมาแล้วจะทำอะไร  จบมามีงานทำเลยก็ดีไป ถ้าไม่มีมันก็จะวนลูปกลับมาลงที่ ป.บัณฑิต "เป็นสิ่งที่รวมคนไม่มีที่ไป" --เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ความคิดและค่านิยมของคนไทยเป็นอย่างนั้นจริงๆ --------------------------- สำหรับแนนสิ่งที่ทำได้วันนี้ก็คิดปลูกฝังเด็กๆ ที่สอนว่าเลือกเรียนที่เราอยากทำงานอะไร ให้ดูความสามารถตัวเองว่าจะไปทางไหน จริงๆ ค่านิยมเด็กที่มีมากกว่าเรียนคณะเท่ห์ๆ ก็คือ การยึดติดกับสถาบัน... ต้องที่นี่เท่านั้น ก็บอกว่า เรียนที่ไหนมันก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน มันอยู่ที่จังหวะและโอกาสของแต่ละคน บางคนเรียนจบได้เกรดเฉลี่ยเท่ากัน แต่ก็อาจะได้งานต่างกันมากก็ได้ เพราะอยุ่ที่โอกาส ถึงแม้ว่าบางสถาบันมันจะได้แนวคิดมากมายกว่าเยอะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็อยู่ที่ตัวเราเองด้วย เราจะประสบความสำเร็จได้ก็คือตัวเรา ไม่ใช่มาจากสถาบันเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จ ก็เลยยกตัวอย่างว่า มีคนเยอะแยะที่ประสบความสำเร็จในชีวิต โดยที่เรียนหนังสือไม่ได้่เก่งเป็นที่หนึ่งก็มีเยอะแยะมากมาย สิ่งที่แนนสอนเด็กมากที่สุดคือ สอนให้รุ้จักคิด สอนให้รุ้จักมองโลกบวก สอนการอยุ่ร่วมกันในสังคม และชี้ให้เห็นถึงสภาพสังคมปัจจุบันมันมาจากอะไร เมื่อเด็กคิดเป็น รุ้จักตัวเอง ค่านิยมตามคนอื่นมันก็จะไม่มีอิทธิพลมากนัก ไม่ได้ว่าสถาบันไม่ดี หรือมองว่าอะไรไม่ดี แต่สอนเพื่อให้เด็กมองออกก่อนว่าเราไม่ควรยึดติดกับบางอย่างมากไป พูดยาววว เดี๋ยวจะโยงมาเข้าวิชาพระพุธศาสนาอีก 555 ก็สอนประมาณนี้ค่ะ แต่สำหรับคนอื่นนั้น แนนก็ไม่สามารถไปสอนเขาได้ เพราะด้วยอายุยังน้อย คนเก่งเค้าไม่ยอมรับความคิดเห็นเด็กๆ อย่างแนนหรอกค่ะ (25) เมื่อไรที่เป็นคนสร้างคน ก็คงจะถ่ายทอดแนวคิดให้ได้บ้าง แต่วันนี้ก็เป็นแค่คนสอนคนอยู่ ทำได้แค่ในส่วนเล็กๆ ก่อนค่ะ อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:32:22

ความคิดเห็นที่ 62 ไม่ต้องไปวิจัยอะไรมากหรอกครับ  มองตามความจริงแล้ว ก็รู้ๆกันอยู่  ถามว่ามีคนที่มีจิตวิญญาณในการเป็นครู เรียน ป.บัณฑิต สักกี่คน  เพื่อนผมเรียน ป.บัญฑิตเยอะครับ แต่จบอะไรมาบ้าง.... รัฐศาสตร์ บัญชี เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา การจัดการ ฯลฯ   ผมเองก็ถามว่าทำไมต้องเรียน อยากเป็นครูหรอ..  คำตอบที่ได้คือ.. พ่อ แม่บอกให้เรียนไว้  ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร   ปัจจุบันนี้ถ้าพูดตามความจริง ป.บัณฑิต  มันหาเรียนง่ายไปครับ จะมีอยู่กี่คน ก็ต้องให้โอกาสครับ ผมโคตรเกลียดเลยความคิดที่ว่า มีคนอยู่น้อยก็เลยตัดโอกาสทิ้ง คนเป็นส่วนหนึ่งของระบบ แต่คนเราก็มีชีวิตจิตใจนะครับ แถมนี่มันตัดแล้วตัดเลย ไม่มีโอกาสอีก นอกจากมานั่งเรียนใหม่ หรือเทียบโอนเอา ถ้ามองตามความเป็นจริง หากครูจบจาก ครุศาสตร์ ดีจริง มีคุณภาพจริง ก็จะได้รับคัดเลือกเข้าทำงานมากกว่าเช่นกันครับ กลัวอะไรกันครับ กลัวครูจากครุศาสตร์จะโดนแย่งงาน สมัยนี้มันเป็นยุคของธุรกิจ ต้องการแข่งขัน ครูไม่มีคุณภาพจริง เขาก็ไม่เลือกหรอกครับ ถ้าครูจากครุศาสตร์มีคุณภาพจริง ไม่เห็นต้องกลัวเลยครับ ยังไงก็ได้งานแน่ๆ ไม่ต้องบอกหรอกครับว่า ฝึกมายากลำบากแค่ไหน ให้พูดว่าฝึกความมีจิตวิญญาน ใครๆก็พูดได้ เขาดูกันที่ผลลัพธ์ ทุกวันนี้เด็กครุศาสตร์ ยังเป็นฐานให้เด็ก คณะอื่นๆ ทักษะการถ่ายถอด เป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้ เป็นสิ่งที่สามารถหาจากการทำงานได้ เรียนรู้ด้วยตัวเองได้ทุกอาชีพก็เป็นแบบนี้กันหมด ไม่จำเป็นเลยว่าต้องเรียนจากครุศาสตร์เท่านั้นครับ #44 ถ้าจะเทียบกับ งมเข็มในมหาสมุทร ครุศาสตร์ ก็ไม่ใช่กระป๋องเข็มในยุคนี้ครับ เป็นแค่กระป๋องเปล่าๆ ข้างในไม่มีอะไรเลย ถามว่า ถ้าจะเอากระป๋องมาตักน้ำในมหาสมุทร กับเอาอ่างยักษ์มาตัก แบบไหนมีโอกาสตักได้เข็มเยอะกว่ากันครับ ? แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 16:42:30 จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:41:08

ความคิดเห็นที่ 63 ท่านที่มีข้อมูลว่าผู้สอนประเภทใดที่ไม่เข้าพรบครู ช่วยรีวิวอีกครั้งเถอะครับ บางท่านเพิ่งเห็นกระทู้อาจจะสงสัยอยู่ จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:49:17

ความคิดเห็นที่ 64 การงมเข็มในมหาสมุทร ไม่ใช่กระป๋องเปล่าๆใบเดียวจะสามารถตักเข็มได้ครับ มันขึ้นอยู่กับ ตัวมหาสมุทร (กระแสสังคม) ด้วย อยากจะพัดเข็มไปทางไหน อยากจะพัดแรง บางวันมีน้ำน้อยๆตักไม่ได้ จะมาโทษว่าเป็นเพราะมหาสมุทร  ไม่ดีเอง เป็นไปไม่ได้ครับ ที่สำคัญก็ขึ้นอยู่กับตัวเข็มด้วย ว่าอยากเดินไปทางไหน รู้ว่ากระป๋องมันเล็ก ก็ควรขยายกระป๋องซะ มีโอกาสตักเข็มที่ลอยเข้ามาใกล้ๆได้แน่นอน ดีกว่าไปโทษว่ากระป๋องมันดีอยู่แล้ว แต่เข็มผิดเอง ที่ไม่โดนตัก จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:52:04

ความคิดเห็นที่ 65 http://web.krisdika.go.th/data/law/law2/%ca64/%ca64-20-2546-a0001.htm 43,44,46 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 18:45:51 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ย. 53 17:37:42 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 17:09:37

ความคิดเห็นที่ 66 #63 พิมพ์ คำว่า พรบ.สภาครูฯ พ.ศ. 2546 ในกูเกิล ได้เลยค่ะ # 64  เพราะเราไม่ต้องการลอยคออยู่กลางทะเล เราถึงต้องทำอย่างนี้  อ่อ # 64 ค่อนข้างหลงประเด็นไปเยอะ เอาเป็นว่า อ่าน พรบ. สภาครูฯ ก่อน ดูความหมาย ของวิชาชีพนี้ก่อนว่าครอบคลุมถึงไหน และดูตรรกะของการผลิตบัณฑิตแต่ละคณะ แล้วค่อยมาถกกัน   ถ้าพูดกันแบบนี้ก็ไปคนละทิศละทาง เพราะทุกคนมัวแต่พูดในมุมของส่วนตัวทั้งนั้น โดยไม่ใครเข้าไปศึกษาตัว พรบ.เลย ว่าเขาครอบคลุมถึงอะไร หมายเหตุ พรบ. เกี่ยวกับครู มีหลายฉบับ และแยกการครอบคลุม สำหรับเรื่องของ ป.บัณฑิตวิชาชีพครู เป็นเรื่องของ พรบ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 เราอ่านและวิเคราะห์เจาะลึกกันก่อน ค่อยมาถกดีกว่า ไม่งั้นก็ออกทะเลกันอีก ต้องมาคอยช่วยกันวกกลับมาอีก ประเดี๋ยวเจ้าของกระทู้ก็จะได้รีวิวอีกรอบละค่ะ จากคุณ : ... (somkamol) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 17:11:49

ความคิดเห็นที่ 67 #62 คุณ Firion "ถ้ามองตามความเป็นจริง หากครูจบจาก ครุศาสตร์ ดีจริง มีคุณภาพจริง ก็จะได้รับคัดเลือกเข้าทำงานมากกว่าเช่นกันครับ กลัวอะไรกันครับ กลัวครูจากครุศาสตร์จะโดนแย่งงาน สมัยนี้มันเป็นยุคของธุรกิจ ต้องการแข่งขัน ครูไม่มีคุณภาพจริง เขาก็ไม่เลือกหรอกครับ ถ้าครูจากครุศาสตร์มีคุณภาพจริง ไม่เห็นต้องกลัวเลยครับ ยังไงก็ได้งานแน่ๆ" ใช่ครับ ผมก็สนับสนุนเช่นกัน ไปกลัวอะไรกันกับคนแค่หยิบมือเดียว ทำไมไม่ออกกฎทำหมัน แทนที่จะยุบ เอาแค่ 80:20 หรือ 90:10 แบบนี้ค่อยแฟร์ หน่อย ถ้าผลิตบัณฑิตแล้วเค้าไม่รับ สุดท้ายไม่มีคนเรียนสถาบันก็ต้องเลิกสอน ให้เป็นไปตามกลไกของตลาดแรงงานดีกว่าบังคับใช้แบบปิดรวดเดียวดีกว่าครับ จากคุณ : rbko เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 18:14:15

ความคิดเห็นที่ 68 สาเหตุที่ยกเลิกหลักสูตร ป.บัณฑิต จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 19:32:06

ความคิดเห็นที่ 69 ^ ^ จะได้ถกกันถูกประเด็น จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 19:34:33

ความคิดเห็นที่ 70 มีผู้หวังดีส่งข้อความหลังไมค์ให้มาอ่าน  อ่านเพ่งๆอ่านผ่านๆมานานมาก อ่านบางความเห็นแล้วก็ขำ   หลายความเห็นก็เครียด  หลายความเห็นหลายอารมณ์เหลือเกิน เอาให้ตรงประเด็นอย่างครูแนนว่ามาตามความเห็นที่ ๖๘ -๖๙ เถอะนะคะ   คือว่า ....ขณะนี้ใครที่เรียนๆอยู่ก้เรียนไปให้จบหลักสูตร  หน่วยงานที่เปิดสอนเขาต้องต่อสู้รับผิดชอบให้คุณได้ประกาศนียบัตรวิชาชีพครูจนได้.... เพราะตั้งแต่ ๑๙ สิงหา ๒๕๕๓ คืองดรับรองหลักสูตรทุกหลักสูตรทุกสถาบัน (แปลว่าที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ต้องรับรองอยู่แล้ว...เชื่อเถอะ) ดังนั้นใครที่ต้องการเรียนหลักสูตรนี้  ในภาคเรียนตั้งแต่ เดือนตุลาคมนี้ก็ต้องเงี่ยหูเปิดตา รอกันต่อไป เดาเอาว่าป่านฉะนี้ท่านๆทั้งหลายในคุรุสภาก็คงอยู่ไม่เป็นสุขเท่าไรหรอกค่ะ  เป็นธรรมดาค่ะ   บางทีการจะทำอะไรให้ถูกต้องจริงจังก็ต้องทนเจ็บปวดกันบ้าง สำหรับบัณฑิตทั้งหลายที่รักอาชีพครู (อย่างแท้จริง)ก็ขอสรรเสริญด้วยใจจริง   บางแห่งรับเรียนปริญญาโท (สายการศึกษา) ทางมหาวิทยาลัยหลายแห่งก้ปรับหลักสูตรให้เพิ่มพิเศษวิชาชีพครูให้ครบตามมาตรฐานที่คุรุสภากำหนดไว้....จึงน่าจะเป็นทางเลือกกันต่อไป ครูแก่ๆนั่งอ่านอะไรนานๆก้อาจพลั้งเผลอ  ไม่ถูกใจใครก็ขออภัย  ไม่ต้องเอาไปอ้างอิงหรอกนะคะ เจ้าของกระทู้คงจะปิดกระทู้ได้แล้วมังคะ (ขอโทษ ช่างบังอาจเสนอหน้าแอบเอานิสัยครูมาใช้) จากคุณ : วันจัน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 22:26:51

ความคิดเห็นที่ 71 ^ ^ ^ ตามความเห็นของคุณวันจัน เลยนะครับ...    เพราะสามารถสรุปได้ครอบคลุมตามประเด็นที่เราถกกัน จากคุณ : Jariwat242 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 23:38:50

ความคิดเห็นที่ 72 คหสต ผมว่า คุรุสภา พลาดตรงที่เปิดให้มีหลักสูตร ป.บัณฑิตกันเกลื่อนเมืองง สุดท้ายก็กลายเป็น ป.บัณฑิตเพื่อ ธุรกิจ ค่าเทอม ปีเดียว เป็นแสน จนสุดท้าย คุรุสภา มาแก้ปัญหาโดยสั่งปิด หลักสูตรทั้งหมดดื้อๆๆ ถ้าผมเป็น คุรุสภา จะแก้ปัญหานี้โดยการ เปิดสอบ "วิชาชีพครู" ยึดมาตรฐาน 10 ด้านทั้งหมด... ทุกคนที่จะบรรจุต้องเข้าสอบ เน้น......ทุกคนต้องเข้าสอบครับ ใช้เกณฑ์ผ่าน 60% แต่คุณสมบัติของผู้เข้าสอบ ต้อง จบ กศบ หรือ คบ 5ปี หรือจบคณะอื่นที่เรียน4ปีแล้วเรียนต่อ ป.บัณฑิต1 ปี อย่างนี้น่าจะแฟร์ๆๆๆๆที่สุด เหมือนกับวิชาชีพอื่นๆ แพทย์ พยาบาล  ทันตแพทย์ คุณเรียนไปเถอะ เรียนที่ไหนก็ได้(ค่าเทอมเท่าไหร่ก็แล้วแต่ความสามารถ) แต่ถ้าคุณจะประกอบ "วิชาชีพ" คุณต้องเข้าสอบ ตามมาตรฐานวิชาชีพ  ทุกคน!!!! ผมว่าทำอย่างนี้ดีที่สุด...... เลิกเถอะ ไอที่จบ ศึกษาศาสตร์ 5ปีแล้วได้ประกอบฯ หรือจบ 4ปี แล้วเรียน 1 ปี ได้ใบประกอบ ทุกคนก็ต้องเข้าสู่ระบบการสอบ ใช้ข้อสอบเดียวกันหมด!! ที่นี่ ก็ตัวใครตัวมัน จะผ่านไม่ผ่านก็อยู่ที่ตัวบุคคล จากคุณ : dexsil เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 01:22:23

ความคิดเห็นที่ 73 เหมือนกับวิชาชีพอื่นๆ แพทย์ พยาบาล  ทันตแพทย์ คุณเรียนไปเถอะ เรียนที่ไหนก็ได้(ค่าเทอมเท่าไหร่ก็แล้วแต่ความสามารถ) แต่ถ้าคุณจะประกอบ "วิชาชีพ" คุณต้องเข้าสอบ ตามมาตรฐานวิชาชีพ  ทุกคน!!!! ผมว่ามันไม่เหมือนกับใบประกอบวิชาชีพแพทย์ วิศวกร พยาบาล ทนาย ฯลฯ สิครับ   เพราะใบประกอบอาชีพที่ว่ามา ล้วนแต่รองรับผู้ที่เรียนมาทางด้านนั้นโดยตรง จากคุณ : Jariwat242 เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 04:05:53

ความคิดเห็นที่ 74 #72 เขาก็จะให้สอบแล้วครับ แค่ยังเตรียมไม่เสร็จ ไม่นานหรอก คนที่เรียนอยู่แล้ว ก็เรียนไป แต่ของใหม่ต้องยุติก่อน หลังจากนั้นกำหนดนโยบายใหม่ เหมือนอย่างที่บอก วิชาชีพขาดแคลนยังไงก็ต้องคงอยู่  แต่วิชาไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาขั้นพื้นฐานก็ต้องงด อาจจะระบุไปเลยว่า ผู้จะศึกษาต่อต้องจบสาขาใดมา คือ ยึดโรงเรียนเป็นหลัก คงไม่ปล่อยให้รับทุกปริญญาตรีแบบปัจจุบัน "ซึ่งตอนนี้ยังไม่อะไรชัดเจน" แต่แนวทางประมาณนี้ น้องๆนศ.ก็ต้องเงี่ยหูเปิดตา รอกันต่อไป อีกไม่นานก็คงชัดเจนครับ บางทีการจะทำอะไร(ที่คิดว่า)ให้ถูกต้องจริงจังก็ต้องทนเจ็บปวด"กัน"บ้าง และมีหลักการ,ที่มาที่ไป,แผนงาน   ต่อเนื่อง เปิดเผย ชัดเจน และเป็นธรรมด้วยครับ #73 เชิญอ่านเล่นครับ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9606426/X9606426.html จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 04:30:13

ความคิดเห็นที่ 75   ผมว่า บางอย่าง ก็ดีระดับนึงที่ว่า เป็นการบังคับให้มีความรู้ในเรื่องที่สอนมากขึ้น ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้ check กันหรอกว่า ใครสอนอะไร ยังไง ดีหรือไม่ ??? (ใครประเมิน???) แต่ปัญหาพวกนี้ มันเรื้อรังมานานแล้ว กับระบบการศึกษา ระบบข้าราชการ ทั้งหลาย เมืองไทยยังยึดติดกับพวกพ้องเยอะ ยังไงก็ยังพัฒนาไม่ได้หรอกครับ ไม่รวมไปถึงค่านิยมของไทยเราอีก เรื้อรังมานาน ใครจะแก้ได้ ??? ก็กลับมาที่ตัวเราเองนั่นแหละ ไม่ต้องสนใจระบบอะไรหรอก พวกนี้มันปรับกันไม่ได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว ถ้ามันปรับเปลี่ยนอะไรกันง่ายจริง ป่านนี้ ประเทศไทยคงพัฒนาไปไกลแล้ว   เสนอไปก็เหมือน บ่น ๆ กันในกลุ่มเล็ก ๆ เลยนะเนี่ย เฮ่อออ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 08:53:38

ความคิดเห็นที่ 76 ู^ ^ #75 ถามว่า "ใครที่จะแก้" จะมีใคร ก็พวกเราทุกคนค่ะ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแค่ครูเท่านั้น ต้องปลุกฝังค่านิยม แนวความคิดกันใหม่ ถามว่า "ครู" สามารถปลูกฝังได้มั้ย มันแค่ส่วนนึ่งเท่านั้น ถ้ามาโรงเรียนครูสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่กลับบ้านผู้ปกครองสอนให้เด็กคิดว่ากลัวถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา อย่าไปยอม ... แล้วอย่างนี้... เด็กที่มีน้ำใจ มีจิตอาสาจะเกิดได้ยังไง แล้วเด็กจะรู้ไหมว่าควรจะเชื่อใครดี ครูบอกอย่าง ที่บ้านบอกอีกอย่าง สังคมไทยบ้านเราเอง ยังมีนิสัยชอบดูถูกความคิดของคนอื่นเลย กลัวเขาว่าๆ ไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เลยติดพันมาถึงในห้องเรียน.... ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะกลัวว่าความคิดเห็นจะตลก กลัวเพื่อนจะหัวเราะ กลัวอายเพื่อน... แล้วก็โทษครูว่าสอนไม่ดี ลงที่ครูทุกอย่างหากเด็กโง่.. ...นี่คือเหตุผลว่า ทำไมแนนถึงต้องการเพื่อนร่วมอาชีพที่เป็น "คนสอนคน" มากกว่า "คนสอนหนังสือ" "คนสอนหนังสือ" น้อยคนนะคะ จะใส่ใจเรื่องมารยาท และความเป็นคนที่ดีที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคม เพราะเน้นคนเก่ง ฉลาด มากไปจนลืมวัฒนธรรมของตัวเองเลยทำให้ทุกวันนี้มันเป็นแบบนี้ เหมือนหนังสือเรื่องหมาหางด้วนไงคะ มีหลายๆ คนที่เป็นทั้งคนสอนคนและคนสอนหนังสือ... แต่อยุ่กับครุเก่าๆ แก่ ซะเยอะค่ะประเภทนี้ และจากที่คุยกับครูบรรจุใหม่หลายคน จรรยาบรรณวิชาชีพ ไม่ซึมลึกเข้าไปในจิตใจเอาเสียเลย มองแค่ชั้นเก่ง ชั้นแน่ ชั้นนี่แหละที่เหมาะเป็นครู คนสอนคนมันน้อย ผลก็มีให้เห็นเยอะแยะ ที่มีออกข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ ใช้ตวามรู้คดโกงคนอื่น หาช่องโหว่ทาง กม เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น พวกนี้เขาเก่งมั้ยคะ เก่งแต่เก่งในทางที่ผิด เราไม่อยากให้อนาคตลูกหลานเราเก่งและเก่งในทางที่ถูกหรอกเหรอคะ และขอพูดหน่อยนะคะ อึดอัดใจมาก ในฐานะที่เป็น "ครู" โดยสายเลือดและจิตวิญญาณ รับไม่ได้เลยกับ "บางคน" ที่อ้างตัวว่าอยากเป็นครู ในบางความคิดเห็น จะไม่ขอเอ่ยนามว่าเป็นใคร แต่จิตใต้สำนึกความเป็นครูที่ดี จะบอกตัวเขาได้เองว่า คนอย่างเขาคิดแบบนี้ไม่สมควรที่จะเรียกตัวเองว่าครูสักนิด หากครูยังมีทิศนคติที่ลบ แล้วจะสอนเด็กให้มองบวกได้อย่างไร และบางอย่างมันก็ดูถูกครูอย่างดิฉันเหลือเกิน ดิฉันก็เป็นครู และรับไม่ได้ ในเมื่อวันนี้คนสอนหนังสือมีเยอะแล้ว  มาเป็น "คนสอนคน" กันเถอะค่ะ เด็กๆ ที่แย่ๆ เกเร เด็กที่เราเคยด่า เคยว่า ทำโทษอะไรตลอดเมื่อสัีกวันหนึ่งจบไปแล้ว เด็กพวกนี้เท่านั้นที่จะกลับมาไหว้ครู แต่เด็กที่เก่งๆ มักจะลืมครู .... นี่คือเรื่องจริง เพราะเขาคิดว่าเป็นคนดีได้่ก็เพราะครูสอนให้เป็นคนที่ดี คนสอนคนไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการเท่านั้น หรือต้องมีใบอนุญาตฯ เท่านั้นถึงจะเป็นคนสอนคนได้ อานิสงค์ของการเป็นคนสอนคน จะทำให้คุณประสบความสำเร็จเอง โดยบางครั้งแทบจะไม่ต้องไขว่คว้าอะไร ไม่อย่างนั้นจะมีคำว่า "ปิดทองหลังพระ" ได้ยังไง และเมื่อทองมันล้นมาด้านหน้า คนเขาก็จะเห็นเอง โดยไม่ต้องบอกให้ใครเไปดูหรือบอกใครว่าเราไปปิดมา ฝากไว้นะคะ ว่าที่เพื่อนครูหลายๆ คน นี่ก็เป็นอีกมุมมองนึง ที่อยากจะสะท้อนให้เห็นบ้าง เพราะการมองแค่มุมเดียวมันก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาทั้งหมดได้..... ไม่ต้องไปถามหรือบอกให้ใครปรับ แค่ถามตัวเราก่อน ว่าเราปรับหรือยัง ปรับมุมมอง ปรับความคิด มองหลายมุมหรือยัง..... จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 12:14:26

ความคิดเห็นที่ 77 .... แต่เด็กที่เก่งๆ มักจะลืมครู .... นี่คือเรื่องจริง .... ---------------------------------------- ไม่จริงมั้ง คุณ ][NuUnAn-- ลูกผมเรียนเก่งขนาดไหน ก็ขนาดเป็นนิสิตดีเด่นของมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ ชนะเลิศการประกวดการออกแบบทางวิศวกรรมที่จัดขึ้นในอเมริกา ประเภทนักศึกษา และเป็นทีมเดียวในเอเซียที่ได้รับรางวัลจากการประกวดในครั้งนั้น ปัจจุบันทำงานแล้ว รายได้ต่อเดือนเหยียบแสนทั้งๆ ที่อายุยังไม่ถึง 30 เวลาที่เขากลับมาเยี่ยมผมที่บ้านในต่างจังหวัด (เขาซื้อบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนผมอยู่ต่างจังหวัด) เขามักจะแวะไปเยี่ยมครูเก่าสมัยเรียนมัธยมสองท่าน ยังไม่เคยลืมพระคุณครูสองท่านนี้เป็นพิเศษ ผมเองก็มี "ครู" สองท่านนะ ที่ผมเคารพรักประหนึ่งพ่อคนที่สอง ก็จิตวิญญาณความเป็นครูของท่าน โห มันเอ่อล้นออกมาให้เห็นกันชัดๆ เลย มันต้องแยกแยะให้ออกครับ ครูบางท่านเราต้องกราบ ที่เหลือ เฉยๆ ว่ะ คุณ ][NuUnAn-- ไม่ได้อ่านกระทู้แนะนำเมื่อไม่นานมานี้หรือครับ กรณีครูตีเด็กเหมือนตีวัวตีควาย ถ้าผมเป็นพ่อของเด็กคนที่ถูกตีแบบนี้นะ ครูเฮงซวยตัวนั้น เป็นศพไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทำซากอะไร จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 14:42:43

ความคิดเห็นที่ 78 คุณ ][NuUnAn-- เข้าใจคำว่า "ลูกศิษย์" ไหมครับ คือเป็นทั้ง ลูก และ ศิษย์ เมื่อทำงานแล้ว ก็มีคำว่า "ลูกน้อง" คือเป็นทั้งลูกและน้อง ภาษาไทยน่ะ เขาบัญญัติไว้ดีแล้ว จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 14:51:16

ความคิดเห็นที่ 79 คุณ หนุ่มไทยไร้นาม แต่เด็กที่เก่งๆ มักจะลืมครู .... นี่คือเรื่องจริง -- มักจะลืม คือส่วนมากจะลืม ไม่ได้หมายความว่าทุกคน 1. แต่เด็กที่เก่งๆ มักจะลืมครู 2. แต่เด็กที่เก่งๆ จะลืมครู ความหมายต่างกันไหมคะ แนนเป็นครู ก็รู้สึกแบบนั้น และแนนก็พูดถึงในปัจจุบัน เพราะหากย้อนไปด้านบนก็จะรู้ว่าแนนอายุเท่าไร (น้อยกว่าลูกคุณอีก) แนนสะท้อนมุมมองในวันนี้ที่แนนเป็นครู ซึ่งวันนี้ก็สามปีกว่า ที่เข้ามาเป็นครูเต็มตัว คุณอคติอะไรกับดิฉันมากไปไหมคะ ----------------- คุณ ][NuUnAn-- ไม่ได้อ่านกระทู้แนะนำเมื่อไม่นานมานี้หรือครับ กรณีครูตีเด็กเหมือนตีวัวตีควาย ถ้าผมเป็นพ่อของเด็กคนที่ถูกตีแบบนี้นะ ครูเฮงซวยตัวนั้น เป็นศพไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทำซากอะไร ---- แล้วมันเกี่ยวอะไรกับดิฉัน.. หรือมันเกี่ยวข้องกันตรงไหน หรือเหมารวมว่าครูทุกคนต้องเป็นแบบนั้น หรือครูส่วนมากต้องเป็นแบบนั้น คุณคะ.. ครูดีๆ ไม่ค่อยมีใครเขาสนใจกันหรอกค่ะ และน้อยคนนักที่จะสนใจ (ไม่ได้รวมครูที่สอนท่านมานะคะ) จะสนใจแต่พวกครูที่แลวๆ ไม่มีจิตสำนึกเท่านั้น แล้วแค่ข่าวแบบนี้ ก็เหมาว่าครูเลวหมดงั้นหรือคะ เลวก็ส่วนเลว ดีก็ส่วนดี ก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้า ดิฉันพูดตรงไหนว่ามีแต่ครูดีๆ ครูเลวๆ ไม่มี ดิฉันก็สะท้อนให้เห็นทั้งหมดว่าตอนนี้ครูมีแต่แบบไหน ถ้าคุณจะกรุณาอ่าน คห. ของดิฉันด้านบนๆ กลับมาที่ แต่เด็กที่เก่งๆ มักจะลืมครู .... นี่คือเรื่องจริง ด้วยความเป็นครู ไม่ว่าเด็กนั้นจะเก่ง จะดี จะเลว จะแย่แค่ไหน ก็ต้องไม่ทิ้งเขา และแน่นอนว่า ด้วยจิตวิญญาณความเป็นครู เราต้องดูแลเด็กที่อ่อนก่อน เพราะเมื่อไรที่ดูแต่เด็กเก่งจนลืมเด็กอ่อน มันจะเรียกว่ามีจิตวิญญาณเป้นครูที่ดีได้ยังไง และเด็กที่กลับมาหา นั่นคือ เด็กที่แย่ นิสัยใช้ไม่ได้ เพราะมีความผูกพันกัน ในความหมายดิฉัน และย้อยกลับมาประโยคที่ว่า... เด็กๆ ที่แย่ๆ เกเร เด็กที่เราเคยด่า เคยว่า ทำโทษอะไรตลอดเมื่อสัีกวันหนึ่งจบไปแล้ว เด็กพวกนี้เท่านั้นที่จะกลับมาไหว้ครู แต่เด็กที่เก่งๆ มักจะลืมครู .... นี่คือเรื่องจริง เพราะเขาคิดว่าเป็นคนดีได้่ก็เพราะครูสอนให้เป็นคนที่ดี ..... นั่นคือเราสอนเขาให้เป็นคนดี เมื่อวันที่เขาทำตัวไม่ดี สักวันนึงเขากลับมาหาเรา นั่นหมายถึงเราไม่น่าเคารพเหรอคะ มันคนละมุมกับที่คุณบอกว่าตีอย่างวัวอย่างควายเลยนะคะ อย่าเหมารวมว่าครูจะเป้นแบบนั้นหมดทุกคน และถ้าอ่านให้ครบประโยค และทั้งความเห็นนั้น แนนไม่ได้ต้องการจะสื่อถึง .... แต่เด็กที่เก่งๆ มักจะลืมครู .... นี่คือเรื่องจริง .... แต่แนนให้ความสำคัญกับส่วนอื่นมากกว่า ประโยคนี้เป็นส่วนประกอบเท่านั้น คุณพอจะเข้าใจดิฉันมากขึ้นไหมคะ อ้อ... กระทู้นี้เขาหมายถึงคนที่เป็นครูระดับประถม มัธยมนะคะ ไม่ได้เกี่ยวกับอาจารย์ที่เป็นระดับ CEO อะไรนั่น ตอบกระทู้ของคุณด้านบนๆ น่ะค่ะ เข้าใจผิดกันได้ ดิฉันไม่มีปัญหาค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 15:38:22 จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 15:34:54

ความคิดเห็นที่ 80 ^ ^ ตอบใน คห ที่   53 ของคุณค่ะ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 15:40:48

ความคิดเห็นที่ 81   #76 ถามว่า "ใครที่จะแก้" จะมีใคร ก็พวกเราทุกคนค่ะ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแค่ครูเท่านั้น ต้องปลุกฝังค่านิยม แนวความคิดกันใหม่ ถามว่า "ครู" สามารถปลูกฝังได้มั้ย มันแค่ส่วนนึ่งเท่านั้น ถ้ามาโรงเรียนครูสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่กลับบ้านผู้ปกครองสอนให้เด็กคิดว่ากลัวถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา อย่าไปยอม ... แล้วอย่างนี้... เด็กที่มีน้ำใจ มีจิตอาสาจะเกิดได้ยังไง แล้วเด็กจะรู้ไหมว่าควรจะเชื่อใครดี ครูบอกอย่าง ที่บ้านบอกอีกอย่าง สังคมไทยบ้านเราเอง ยังมีนิสัยชอบดูถูกความคิดของคนอื่นเลย กลัวเขาว่าๆ ไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เลยติดพันมาถึงในห้องเรียน.... ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะกลัวว่าความคิดเห็นจะตลก กลัวเพื่อนจะหัวเราะ กลัวอายเพื่อน... แล้วก็โทษครูว่าสอนไม่ดี ลงที่ครูทุกอย่างหากเด็กโง่.. ...นี่คือเหตุผลว่า ทำไมแนนถึงต้องการเพื่อนร่วมอาชีพที่เป็น "คนสอนคน" มากกว่า "คนสอนหนังสือ" //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// นึกถึงความเป็นจริงแล้วเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว (เป็นอุดมคติมาก) ค่านิยม ระบบสังคม เปลี่ยนอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แถมยังเลวร้ายขึ้นอีกด้วย อย่างดีก็ได้แค่กลุ่มคนบางส่วน แค่นั้น //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// "คนสอนหนังสือ" น้อยคนนะคะ จะใส่ใจเรื่องมารยาท และความเป็นคนที่ดีที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคม เพราะเน้นคนเก่ง ฉลาด มากไปจนลืมวัฒนธรรมของตัวเองเลยทำให้ทุกวันนี้มันเป็นแบบนี้ เหมือนหนังสือเรื่องหมาหางด้วนไงคะ มีหลายๆ คนที่เป็นทั้งคนสอนคนและคนสอนหนังสือ... แต่อยุ่กับครุเก่าๆ แก่ ซะเยอะค่ะประเภทนี้ และจากที่คุยกับครูบรรจุใหม่หลายคน จรรยาบรรณวิชาชีพ ไม่ซึมลึกเข้าไปในจิตใจเอาเสียเลย มองแค่ชั้นเก่ง ชั้นแน่ ชั้นนี่แหละที่เหมาะเป็นครู //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// การสอนในสมัยนี้ ไม่เพียงพอแค่ มารยาท และความเป็นคนที่ดี เท่านั้น แต่จะยังต้องแนะแนวและให้เห็นแนวทางของนักเรียนได้ มองปัญหาให้เจาะลึกและพร้อมที่จะแก้ไขร่วมกับนักเรียน ผมมองว่า มันดีคนละแบบ !!! ครูเก่าก็ดีที่ว่าสอนมารยาท วัฒนธรรม และความเป็นคน แต่ครูใหม่จะได้เรื่องกระบวนการ ทักษะการสอน เทคนิคการสอน การประยุกต์สื่อการสอนมาใช้กับการเรียนได้ตลอดเวลา และทันยุคทันสมัยไปกับปัจจุบัน ที่มีปัญหาทั้งหมด นั่นคือ ส่วนใหญ่คนเรามักไม่ค่อยจะัพัฒนาตัวเองเท่าไหร่ ไม่อยากให้ถูกประเมิน ไม่อยากให้ใครเห็นข้อด้อยของตัวเอง เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนาตัวเองต่อไป สิ่งนี้ขาดทั้งครูเก่า ครูใหม่ ด้วยกัน ไม่เกิดการวิจัยการสอนที่ดีเพื่อการพัฒนาการสอนที่ดีขึ้น (การวิจัยไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะสายอะไร ครูก็ทำวิจัยได้เช่นกัน) //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 16:08:30

ความคิดเห็นที่ 82 ผมไม่ได้มีอคติอะไรกับคุณหรอกครับ คุณแนน ผมพยายามชี้ให้เห็นว่า ครูก็ไม่ perfect ทุกคน บางคนยังไม่มีประสบการณ์อะไรเลย รู้แค่ทฤษฎี แล้วเหตุไฉนเล่าจึงไม่เอาคนที่มีประสบการณ์เยอะๆ มาช่วยเติมส่วนที่ยังขาดนั้นให้เต็ม เพราะทฤษฎีกับการปฏิบัติจริงนั้น ยังมีช่องว่างอยู่พอสมควร ผมหมายความเพียงแค่นั้น แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 16:33:37 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 16:29:53

ความคิดเห็นที่ 83 #81 นึกถึงความเป็นจริงแล้วเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว (เป็นอุดมคติมาก) ค่านิยม ระบบสังคม เปลี่ยนอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แถมยังเลวร้ายขึ้นอีกด้วย อย่างดีก็ได้แค่กลุ่มคนบางส่วน แค่นั้น -----มันก็ยังดีกว่าไม่แก้อะไรเลยไม่ใช่เหรอคะ ถึงแม้ได้แค่บางกลุ่มก็ยังดี ขอมองในด้านบวก ถ้าจะบอกว่ามันเป็นแค่อุดมคติมันก็ใช่ แต่ถ้าทำมันจะไม่ใช่ ถึงแม้มันจะไม่ดีมาก แต่ถ้าทำมันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย -------------------- ที่มีปัญหาทั้งหมด นั่นคือ ส่วนใหญ่คนเรามักไม่ค่อยจะัพัฒนาตัวเองเท่าไหร่ ไม่อยากให้ถูกประเมิน ไม่อยากให้ใครเห็นข้อด้อยของตัวเอง เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนาตัวเองต่อไป สิ่งนี้ขาดทั้งครูเก่า ครูใหม่ ด้วยกัน ไม่เกิดการวิจัยการสอนที่ดีเพื่อการพัฒนาการสอนที่ดีขึ้น (การวิจัยไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะสายอะไร ครูก็ทำวิจัยได้เช่นกัน) ---- ก็ถูกค่ะ สภาพเป้นจริงมันเป้นอย่างนั้น  อย่าให้พูดถึงเลยเดี๋ยวมันจะยาว น้อยคนนักที่จะยอมรับสภาพความเป็นจริง และขาดการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย บางทีครูเด็กๆ อยากจะเสนอบางอย่างที่มันแก้ปัญหาได้และสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ก็ยังถูกมองว่าก็แค่เด็กๆ ไม่ยอมรับกันเลย จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 16:48:11

ความคิดเห็นที่ 84 #82 ค่ะ น้อมรับคำแนะนำนะคะ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 16:57:47

ความคิดเห็นที่ 85 ขอยกคำพูดของครูแนนค่ะ ... บางทีครูเด็กๆ อยากจะเสนอบางอย่างที่มันแก้ปัญหาได้และสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ก็ยังถูกมองว่าก็แค่เด็กๆ ไม่ยอมรับกันเลย ถูกที่สุดค่ะ ... ในฐานะที่ทำงานในโรงเรียนนะคะ เค้าบอกว่ายินดีฟังความเห็น แต่เค้าปฏิเสธความเห็นของเราตลอดเลยเหมือนกันค่ะ ..... ขอออกความเห็นส่วนตัวนิดนึงนะคะ ในทุกวงการก็มีทั้งคนที่ดีและไม่ดีค่ะ วงการครูก็เหมือนกัน มีทั้งครูที่ดี และไม่ดี ครูที่สอนดี และสอนไม่ดี ครูที่ดีแต่สอน และสอนให้เด็กได้ดี ทั้งนี้ ส่วนตัวของเราเจอทุกแบบค่ะ อาจจะได้เห็นด้านลบมากหน่อย แต่ก็เลือกเปลี่ยนให้เป็นด้านบวก เอามาเป็นเป้าหมายว่าซักวันเราจะเป็น "ครู" และเป็นครูแบบที่ทำให้เด็กได้ดี ไม่เอาต้นแบบแย่ ๆ มาทำ แต่เอาไว้เตือนตัวเองไม่ให้ทำแบบนั้น่ะ จากคุณ : natgabig เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 19:52:52

ความคิดเห็นที่ 86 มีใครในที่นี้เรียนป.บัณฑิต จบแล้วหรือเปล่า ช่วยเล่าหน่อยว่าเรียนยากง่ายอย่างไร เอาจริงๆ ไม่โม้ให้ดูดี หรือใส่ความให้ดูแย่ เราเองได้สัมผัสกับสถาบันที่ตอนนี้เปิดป.บัณฑิตรุ่นสุดท้ายคะ(ก็เขาว่าจะไม่มีต่อนิ 55+) เราไม่รู้ว่าเขาจะเรียนอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆวิธีการเรียนของเขาแตกต่าง น่าสนใจ คือให้ทำงานครูจริงๆ ในวันธรรมดา และมาเรียน(ถกข้อที่ได้เรียนรู้จากการทำงาน)ในวันเสาร์ เราคิดว่ารูปแบบนี้คงไม่ได้ความรู้ในวิชาการของวิชาชีพครูจริงๆ แต่น่าจะได้ประัสบการณ์การเป็นครูจริงๆไปพร้อมกันเลย มัันก็ดีมากๆในระดับการปฏิบัติเลย เลยอยากจะรู้ว่าป.บัณฑิตที่อื่นเป็นไง ทำไมถึงได้ถูกระบุว่ามันไม่ได้มาตรฐานจนมีปัญหา ทางรัฐก็ไม่ได้ออกมาเปิดเผยการวิจัยหรืิอประเมินอะไรเลย... มันก็เลยต้องเถียงกันอยู่อย่างนี้ จากคุณ : ปาบู่ (PaBo) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 20:59:54

ความคิดเห็นที่ 87   ทั้งนี้ทั้งนั้นและทั้งหมด ผมออกความเห็นเลยวาเราไม่ควร ปิดกั้นโอกาส คนครับ วันนี้เราถอยหลังลงคลองทำตัวเหมือนข้าราชการไทยเต็มขั้นเหมือนบางหน่วยงาน         ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกานั้น โอกาสในการทำงาน โอกาสในการเรียนต่อมีมากมายและพิสูจน์แล้วว่าได้ผล เช่น การทหารครับ อเมริกามีโรงเรียนนายร้อย เหมือนบ้านเรานี่แหละ ของเราโรงเรียนนายร้อย จปร. ของอเมริกาก็โรงเรียนนายร้อยเวสพอยส์  ของเราถ้าจะเป็นใหญ่เป็นโตต้องจบ จปร.เท่านั้น ไม่ว่าคุณจะรบเก่งแค่ไหน ทำงานเก่งแค่ไหน ถ้าคุณไม่ได้เป็นนายทหารจาก จปร. ไม่ได้เกิดครับ ต่างจากอเมริกาเขาไม่เกี่ยวครับ เขาถือว่าถ้าจะเอาคนฉลาดจริง คนที่จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังเยอะแยะคนฉลาด เอามาฝึกวิชาทหารเอาไปรบได้เหมือนกันแล้วงัดความฉลาดของเขาเอาใช้ใช้กับการทหาร เก่งกว่าเด็กจากโรงเรียนนายร้อยเวสพอยส์ที่ฝึกมาเป็นทหารโดยตรงเสียอีก ยิ่งเด็กจบ ฮาวาร์ด เยล มิท เยอะๆไปครับเก่งๆ ถ้าอยากเป็นนายทหารเขาต้อนรับเลยครับเปิดกว้างเลยครับเพราะถ้าเรายังคัดคนที่ความเก่งเขาเอาคนเก่งมาฝึกทหารให้เป็นทหารเก่งและดีได้ครับไม่ใช่เรื่องยากครับเขาเลื่อนขั้นด้วยความสามารถ                  หรือจะยกตัวอย่างองกรณ์ตำรวจครับเป็นองกรณ์ที่ต้องการผู้มีความรู้ความสามารถด้านกฎหมายเข้าไปทำงาน โรงเรียนนายร้อยตำรวจไม่สามารถผลิตนายน้อยที่จบนิติศาสตร์ได้เพียงพอต่อความต้องการจึงเปิดโอกาสให้ผู้จบกฎหมายเข้าสอบแข่งขันผลคือ องกรณ์ได้คนเก่งๆมาทำงานเยอะแยะครับ และยังดำเนินงานมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ทุกวันนี้เริ่มเกิดปัญหาไม่สามารถรักษาคนเหล่านั้นไว้ได้หรือไม่สามารถจูงใจพอจะเข้ามาเป็นตำรวจ เพราะได้คนเก่งจริงแต่พอไปเรียนต่อ เนติบัณฑิต มีความสามารถพอสอบ อัยการ หรือ ผู้พิพากษา ได้ก็ไม่มีใครอยู่เป็นตำรวจแล้วครับไปหมด เห็นมั้ยครับองกรณือื่นยังรักษาคนมีความสามารถไม่ได้ แต่กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการคุรุสภา กลับปิดกั้นเสียอีกแล้วจะให้อธิบายยังไงครับ                     นี่เป็นการยกตัวอย่างของ องกรณ์ที่พร้อมพัฒนาต้องเปิดโอกาส ไม่ได้ปิดกั้นเหมือนองกรณการศึกษาของไทย บอกได้คำเดียว บ้านนอก ล้าหลัง มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือความเจริญใดๆเลย เพราะผมมองไม่ออกว่าหลังจากปิดกั้นกันแบบนี้ องกรณ์การศึกษาจะมีพัฒนาได้อย่างไร มันทำให้เจริญขึ้นมาด้านไหน ผมไม่ได้จบด๊อกเตอร์ ที่นั่งเป็นคณะกรรมการ แต่ผมคิดว่าเรามีทางแก้ปัญหาที่มากว่านี้ และดีกว่านี้ ที่จะเป็นประโยชน์ต้อองกรณ์ได้มากกว่า หรือว่ากลัวแต่งบประมาณสร้างครูพันธ์ใหม่จะมาน้อย เลยกั้นตรงนี้ซะ จากคุณ : คุณชายฉายเดี่ยว เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 22:06:07

ความคิดเห็นที่ 88 ... บ้านนอก ... ง่ะ คุณชายฉายเดี่ยว กระเทือนผมนะ ผมมันก็เด็กบ้านนอก แต่เด็กบ้านนอกระดับอินเตอร์นะ (แซวเล่นน่ะ 555) ในห้องนี้มีเด็กบ้านนอกระดับอินเตอร์หลายท่าน ท่านหนึ่งเคยไปบรรยายให้ฝรั่งฟังที่ตึกระฟ้าในกรุงนิวยอร์คมาแล้ว อีกท่านหนึ่งงำประกายมิดชิด ทีแรกผมนึกว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยเสียอีก เพราะใช้ภาษาไทยได้ดีเหลือเกิน ต่อมาเริ่มสนิทกันถึงขั้นโทรศัพท์คุยกัน ถึงได้รู้ว่าท่านเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทยเสียอีก โธ่ ก็ท่านเล่นไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่จบ ม.6 ที่เมืองไทย เรียนจบแล้วทำงานในสถานฑูตอเมริกาในอังกฤษจนเกษียณ แล้วจึงกลับเมืองไทย ไม่เก่งไงไหว แต่ท่านไม่ค่อยได้ออกมาตอบปัญหาภาษาอังกฤษ คงเห็นว่ามีคนช่วยเยอะแล้วมั้ง เซียนๆ ในห้องนี้มีเยอะแยะครับ และไม่เห็นมีใครสักคนที่มีวุฒิครู หรืออาจมีแต่เขายังไม่แสดงตัว อยากให้กิ๊ฟต่อความเห็นของคุณ แต่จนปัญญา จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 04:12:35

ความคิดเห็นที่ 89   สุดท้าย มันก็ย้อนในเรื่องของระบบและค่านิยมในเมืองไทยนั่นแหละ 555 นั่นแหละปัญหาที่แก้ยากที่สุดแล้ว ในเมื่อแก้กันที่ระบบ ลำบาก การแก้ที่ตัวบุคคล ขยายกลุ่มสัมพันธ์กันไปน่าจะเป็นเรื่องง่ายกว่า สร้างกลุ่มครูพันธ์ใหม่กันเองเลยครับ :D (ถ้าเรื่องนี้สนับสนุนเต็มที่ 55) มาตั้งกลุ่มครูพันธ์ใหม่ กันเองเหอะ :D จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 09:40:27

ความคิดเห็นที่ 90 เฟชบุ๊ค.com/group.php?gid=149181245110620 รายงานความคืบหน้ากลุ่มน้องๆนศ.ที่facebookครับ มีการประสานระหว่างม.หลายแห่งแล้ว เริ่มแยกกันล่ารายชื่อแนวร่วม สรุปยอดถึงเมื่อวาน เฉพาะที่มอ.,ทักษิณ ได้ราวพันคน!! เตรียมล่ารายชื่อเพิ่ม ทั้งอ.&ปชช.ด้วย เร็วๆนี้อาจมีแถลงข่าวครับ ความเห็นของคุณๆมีค่า เพื่อเป็นข้อมูลให้น้องๆเอาไปใช้ และโหวตส่งนายก เพื่อน้องๆหน่อยครับ ถ้าได้อ่านวันอาทิตย์ เดี๋ยวสื่อก็มาเพิ่มครับ http://www.pm.go.th/connect/41499 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 14:07:10

ความคิดเห็นที่ 91   ไม่ได้หมายถึงกลุ่มแบบนั้นอ่ะ - -' อยากได้กลุ่มที่พร้อมจะพัฒนาทักษะและเทคนิคการสอน รวมทั้งหลักการหลาย ๆ อย่าง เช่นทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ ด้านจิตวิทยาด้านการศึกษา รวมไปถึงทฤษฎีความรู้ต่าง ๆ ที่นำมาสอนครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อการส่งเสริมนักเรียนให้มีศักยภาพมากที่สุดนั่นแหละ จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 14:16:41

ความคิดเห็นที่ 92   ต้องเอาโฆษณานี้ไปดู http://www.youtube.com/watch?v=lqbj1R1ArQs http://www.youtube.com/watch?v=RxllRJI87Xc http://www.youtube.com/watch?v=XqkQHumXQRk จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 14:33:16

ความคิดเห็นที่ 93   สุดท้ายก็โทษกัน ในขณะที่เรากำลังถอยหลังและบอบช้ำไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาหรือยังที่รู้จักคำว่า "สามัคคี" จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 14:35:40

ความคิดเห็นที่ 94 ^ ^ ^ เข้าใจประเด็นคุณครับ^^ แค่มาอัพเดทข่าวเฉยๆ บังเอิญมันคห.ติดกันพอดี -_-" แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 14:42:43 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 14:40:20

ความคิดเห็นที่ 95 น้องๆ สู้เขาครับ เรื่องนี้คงต้องดึงสื่อมวลชนเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นทีวีหรือหนังสือพิมพ์ เพื่อให้มีการวิพากย์วิจารณํกันอย่างกว้างขวาง สังเกตดูในกระทู้นี้ มี คห. มากมายที่ไม่เห็นด้วยกับมติบ้าๆ บอๆ แบบนี้ ถ้าแพร่กระจายไปในวงกว้างทั่วประเทศ ผมเชื่อว่าความเห็นคงออกมาในแนวเดียวกัน รวมพลังกันให้ติด เหนียวแน่น แล้วไปร้องเรียนที่สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทนได้ให้มันรู้ไป จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 18:41:37

ความคิดเห็นที่ 96 พบเนื้อหาจากเฟสบุ๊คน้องๆครับ "รายงานจากม.ทักษิณ วันนี้ได้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีและไม่เห็นด้วยกับเรา ได้ออกฉีกป้ายประกาศ ที่ติดอยู่รอบมหาวิทยาลัย ซึ่งเชื่อได้ว่าไม่ใช่เป็นการกระทำของนักการ เพราะมันมีร่องรอยหลักฐานเห็นเด่นชัดเช่น ฉีกทิ้งแบบเหลือเศษกระดาษติดอยู่ที่เสา ฉีกแล้วทิ้งให้ปลิว จึงขอประนามการกระทำนี้ว่าต่ำมาก ก็น่าจะรู้ว่าเป็น ฝีมือใคร..." จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 01:23:00

ความคิดเห็นที่ 97 ที่เวบคุรุสภาซัดกันนัว-_-" http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/webboard/detail.php?GroupID=&QID=4383 http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/webboard/detail.php?GroupID=&QID=4381 http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/webboard/detail.php?GroupID=&QID=4377 http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/webboard/detail.php?GroupID=&QID=4361 http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/webboard/detail.php?GroupID=&QID=4359 http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/webboard/detail.php?GroupID=&QID=4341 http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/webboard/detail.php?GroupID=&QID=4339 etc. อันนี้คำแนะนำดีๆครับ http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/webboard/detail.php?GroupID=&QID=4367 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 06:20:53 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 01:58:29 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 01:57:04

ความคิดเห็นที่ 98   ตามความเห็นของกลุ่มที่เรียนสายวิทยาศาสตร์ มาส่วนนึง มีข้อสังเกตตามนี้ <> สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่จะต้องสอนเด็กมัธยมศึกษาขึ้นไป จะต้องมีความรู้ความชำนาญมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้และการเชื่อมโยงในชีวิตจริง รวมทั้งความรู้เสริมเพิ่มเติมจากระดับมัธยมขึ้นไปด้วยเช่นกัน ที่เกิดปัญหาเพราะน่าจะเป็นเรื่องแบบนี้มากกว่า คนสอนไม่สามารถสอนให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ ตามหลักการพิสูจน์เลยว่า เด็กไทยขาดการคิดวิเคราะห์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเด็กไม่ถูกส่งเสริมให้เกิดการคิดกัน จะโทษเด็กไม่ได้ว่าเด็กไม่คิดเอง แต่ต้องโทษคนสอนว่าแล้วทำไมไม่ให้เด็กได้ฝึกกระบวนการคิดอย่างมีหลักการล่ะ ???? คนสอนบางคนอาจจะแย้งว่า "ก็สอนให้คิดแล้วนี่ บอกให้คิด ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอด แต่เด็กไม่ตอบเองช่วยไม่ได้ ก็เฉลยเลยละกัน เดี๋ยวสอนไม่ทัน" ด้วยการส่งเสริมด้วยวิธีแบบนี้แหละ เลยทำให้เด็กได้คิดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ผมสนับสนุนที่ว่า อยากให้แบ่งครูตามสาขาวิชาที่สอนและความถนัดจริง ๆ ยิ่งเฉพาะสอนระดับมัธยมศึกษา คนสอนยิ่งจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะสอนเป้นอย่างดี รวมทั้ง การหาเทคนิคการสอนใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา การคัดเลือกเกณฑ์สำหรับครูสอนกลุ่มนี้ยิ่งจะต้องจำเป็นเข้าไปใหญ่ ถ้าครูไม่พอ การเปิดสอนครู ป.บัณฑิต สำหรับกลุ่มสาขานี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีอยู่เช่นกัน สำหรับสาขาอื่น ๆ ขึ้นกับความรู้ความเข้าใจ และหลักการสอน แตกต่างกันไป แต่ยังไงก็จะต้องให้เกิดการประเมินและสอบอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เหมือนพนักงานบริษัทที่จะต้องประเมินการทำงานในช่วงที่จะพิจารณาขึ้นเงินเดือน จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 15:04:59

ความคิดเห็นที่ 99   อยากหากลุ่มครูพันธ์ใหม่ ที่มีความต้องการพัฒนาการสอน และเทคนิคการสอนต่าง ๆ ในสาขาวิชาต่าง ๆ (โดยเฉพาะสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์) และแนวจิตวิทยาการศึกษา และการปรึกษาและการแนะแนว น่ะครับ ผมสนใจทางด้านการพัฒนาในเรื่อง เทคโนโลยีการศึกษา และตอนนี้กำลังเพ่งเล็งด้านพฤติกรรมการเรียนอยู่ครับ mail : RK_RakRok@hotmail.co.th (MSN) แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 15:12:53 จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 15:12:20

ความคิดเห็นที่ 100   ทำไมเงียบกันไปซะงั้นล่ะเนี่ย -''- (1 วัน) อยากให้คนอื่นแก้ไขอะไรกัน แต่ ไม่อยากแก้ไขตัวเองกันหรอ ??? เซ็ง... จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 14:56:07

ความคิดเห็นที่ 101 ผมก็ว่างั้นนะ ทำไมเงียบกันไปหมด อยากทราบความคืบหน้าล่าสุด จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 15:12:17

ความคิดเห็นที่ 102 เสาร์-อาทิตย์นี้เช็คความคืบหน้าไม่ค่อยได้อะไรเพิ่มครับ เขาข่าวเก่ามาให้อ่านเล่นอันนึงละกัน นโยบายที่งงๆดีครับ คุรุสภาขยายเวลาการให้ทุนครูเรียน ป.บัณฑิต ??? http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/news/detail.php?NewsID=2023&Key=news1 แถม รายการ“ครูไทย STATION” http://www.ksp.or.th/ksp2009/th/news/detail.php?NewsID=2143&Key=informationnews แถมเพิ่มอีกข่าว "เปิดเสรีการศึกษา" http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000120698 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 10:16:51 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 20:52:20 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 18:47:02 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 18:45:49 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 18:45:28

ความคิดเห็นที่ 103   ตกลงเอาไงแน่ ปิด ป.บัณฑิตเพราะไม่มีคุณภาพ แต่ก็มีทุนให้คนที่เป้นครูที่ไม่ได้จบครูเรียน ป.บัณฑิต เออประสาทรึเปล่าครับ ตกลงคือ ไง ไม่มีปัญหาด้านคุณภาพแต่กันชาวบ้านที่ไม่ได้จบครูมาแย่งงาน หรือ คุณภาพห่วยแตกจริงแต่เบิกงบมาให้คนเรียนทั้งห่วยๆ จะได้แดร๊กงบได้ ใครจบมาเป็นไง คุณภาพไงไม่สน เจริญจริงๆ คุรุสภาเนี่ย Thailand only จากคุณ : Dark Prince of Lonely Castle เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 19:35:12

ความคิดเห็นที่ 104 เข้ามาโหวต เรื่องแบบนี้มันต้องให้ถึงที่สุด ถึงพริกถึงขิง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 09:39:49

ความคิดเห็นที่ 105 เมื่อคืนแชทกับน้องๆ คาดว่าว่าบ่ายนี้อาจมีแถลงข่าวครับ จากfb "พรุ่งนี้ทางกลุ่มจะไปพบสื่อมวลชน ที่สงขลาจ่ะ เป็นกำลังใจให้ตัวแทนด้วยนะคะ..." หากผมทราบความคืบหน้าจะมารายงานต่อครับ จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 10:06:33

ความคิดเห็นที่ 106   ยกเลิก ป.บัณฑิตทำไม แล้วจะเอาอนาคตของเราไปไว้ที่ไหน ความตั้งใจของเรา คือการต่อป.บัณฑิต ถ้ายกเลิกก็ช่วยไปบอกครูมัธยมทุกโรงเรียน ว่าอย่าแนะนำแบบนี้อีกแล้ว อาจารย์บอกว่า ถ้าอยากได้ความรู้ที่แน่น ลงลึก ก็ให้เรียน วท.บ. ศศ.บ. แล้วต่อป.บัณฑิตเป็นครู ......................แล้วมายกเลิกป.บัณฑิตหมายความว่าไง การศึกษาไทยหนอ จากคุณ : Dekjibjoit เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 10:37:17 A:unknown X:202.28.66.23 TicketID:264035

ความคิดเห็นที่ 107   #88      5555555 คุณ หนุ่มไทยไร้นาม  แหมเเซวไป อะหนะ ผมสิบ้านน๊อกๆๆๆ บ้านนอก บ้านนอกเข้ากรุงอีกต่างหาก       เรื่องของเรื่อง แฟนผมหนะสิ เค้าต่อ ป.โท เคมี ที่จุฬาอยู่ แต่ด้วยครอบครัวเขา พ่อเป็นผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา แม่เป็นครู พี่สาวก็เป็นครูเพิ่งจบด้วย ครูพันธุ์ใหม่นี่แหละ เขาเลยอยากเป็นครูเหมือนที่บ้าน ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา มาสอนเด็ก ด้วยความที่เขาชอบเรียนวิชาเคมีมาก่อน อยากสอนหนังสือเด็กแค่นั้นเอง แต่พอมีข่าวอย่างนี้ ถึงกับเซง แต่ที่บ้านเขาที่เป็นครูทั้งบ้านเขาก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้นะ มันคิดออกมาได้ไง ยุบเลิกอย่างเดียว เดี๋ยวนี้หน่วยงานราชการมีแต่เปิดกว้าง เพื่อเเข่งกันรับคนเก่งๆดีเข้ามา คือ คือมันไม่ใจเอาแต่คำว่าเก่งอย่างเดียว แต่หมายถึงที่อุตส่าห์ตั้งใจร่ำเรียนมากลับไม่มีค่าซะงั้น ที่มีบางความเห็นว่า ป.บัณฑิต เป็นที่รวมคนไม่มีทีไปไม่จริงมั้งๆๆๆๆๆ อย่างแฟนผมคงมีทไปปหละ จบตรงนี้มาความรู้ความสามารถก็ถือว่าไม่ได้ต่ำนะ อิอิอิ บริษัทเอกชนคงมีแหละที่จะรับเขา แต่ถ้าอยากเอาความรู้ความสามารถตรงนี้มาเป็นครูมันจะมีประโยชน์กว่านะ เงินเดือนครูให้น้อยกว่าบริษัทเอกชนอีก แต่เขายังมีจิตอาสามาตรงนี้ มาปิดกั้นเขาเหรอ เหมือน จบกฎหมายเกียรตินิยมเหรียญทองมา เดินมาสมัครตำรวจ เหอะๆๆ เขาอยากกระโดกอดด้วยซ้ำ เหมือนจะไม่ต้องสอบแล้วรับเลย 55555555 แล้วนี่อะไรกัน ปัดโธ่ จากคุณ : คุณชายฉายเดี่ยว เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 11:54:28

ความคิดเห็นที่ 108 โอ คุณชายฉายเดี่ยวกล่าวถึงคนที่จบเคมี โรงเรียนมัธยมแถวบ้านผมมีครูคนหนึ่งจบเคมี เป็นครูของลูกชายผมเอง ท่านปฏิเสธเงินเดือนหลายหมื่นถ้าทำงานในบริษัทปิโตรเคมี แต่กลับมาเลือกเป็นครูมัธยมที่โรงเรียนบ้านนอก เงินเดือนไม่กี่พันบาท ซ้ำร้ายกว่านั้น ท่านร่วมกับครูรุ่นพ่ออีกท่านหนึ่ง เรียกลูกศิษย์ที่เห็นแววว่าเป็นระดับหัวกะทิมาติวเข้มหลังอาหารเที่ยง เพื่อส่งให้พวกเขาถึงฝั่งให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลก็คือลูกศิษย์กลุ่มนี้ ไม่หมอก็วิศวะ ทุกคนเลย ขนมนมเนยเตรียมไว้เลี้ยงให้เสร็จสรรพ ที่สำคัญที่สุด ทุกอย่างฟรีหมด ไม่คิดตังค์แม้แต่บาทเดียว นี่คือครูที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ที่ประเทศชาติต้องการ ถ้าคุรุสภางี่เง่าออกระเบียบมาแบบนี้ ท่านก็หมดโอกาสเพราะไม่มีวุฒิครู แล้วใครซวย? ก็เด็กๆ น่ะสิครับ ท่านอ่อนอาวุโสกว่าผมเยอะ แต่ผมเรียกว่า "ท่าน" เพราะผมคาราวะในจิตวิญญาณในความเป็นครูของท่านครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 12:58:51

ความคิดเห็นที่ 109   ก็นะ ...... พูดยากเพราะ นั่นคือส่วนนึงของทั้งหมด อยากไปสอนต่างจังหวัดเหมือนกันนะ เพราะ บรรยากาศด้วย (เบื่อความวุ่นวายในเมือง) มีเงินเดือนแค่ไม่อดตายก็พอแล้ว :D จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 19:09:13