ความคิดเห็นที่ 1 การเจรจาทางการค้าของญี่ปุ่น เริ่มมีขึ้นเมื่อผู้บังคับการเรือ แมธิว เพอรี่ แห่งสหรัฐอเมริกา นำเรือรบ 4 ลำ คือ the Mississippi, Plymouth, Saratoga, and Susquehanna เข้าเทียบท่าที่อ่าวเอโดะ วันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1853 ซึ่งใช้นโนบายลูกปืนไฟ บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ซึ่งเรียกเหตุการณ์นี้ว่า คุโรฟุเนะ หรือ เรือดำ และทางรัฐบาลบาคุฟุ (รัฐบาลโชกุน) ขอขยายเวลาออกไปเป็นเวลา 7 เดือน ซึ่งระหว่างนี้ได้รายงานผลไปยังพระจักรพรรดิ์ ซึ่งไม่ยอมเปิดประเทศเด็ดขาด จนในที่สุดวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1854 เรือรบของนายพล เพอร์รี่ ก็เข้ามาทำสัญญาทางการค้าได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ชื่อสัญญา "Treaty of Peace and Amity" เปิดเจรจาทางการทูตและเปิดเมืองท่าขึ้น ดังนั้นระหว่าง ค.ศ. 1854-1589 เป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นวุ่นวายอย่างหนัก ว่าจะเปิดประเทศหรือปิดประเทศก็ดี ต่างก็ได้มีการลงนามกับชาติตะวันตกอื่นๆไปถึง 5 ฉบับด้วยกัน ซึ่งรวมถึงสัญญากับทางอเมริกาอีกฉบับที่เรียกว่า สนธิสัญญาแฮริส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1858 ดังนั้นในช่วง ค.ศ. 1862 เป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นเปิดประเทศเรียบร้อยแล้วครับ ภาพเรือดำ Black Ship ที่จอดเทียบท่าที่อ่าวเอโดะ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 07:31:08

ความคิดเห็นที่ 2 ท่านซากาโมโตะ เรียวมะ (ค.ศ.1835 - 1867) ผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือ ดำเนินการในการหว่านล้อมผู้ใหญ่ในรัฐบาลถึงผลดีในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของญี่ปุ่น ซึ่งก็คือการให้โชกุนคนอำนาจในกับองค์จักรพรรดิ์ ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดของเรียวมะและหลายๆฝ่ายที่ต้องการความเท่าเทียมกันในสังคมมิใช่แบ่งชนชั้นเหมือนที่เป็นอยู่ ในที่สุดโชกุนอิเอะโมจิกับโชกุนโยชิโนบุก็ยอมคืนอำนาจให้กับองค์จักรพรรดิ์ในที่สุด ในช่วงเวลา ค.ศ. 1862 ที่ จขกท. อ้างถึงนั้นเป็นช่วงที่ ท่านเรียวมะ ได้ทำการเข้ามาอยู่ในเอโดะ มาเป็นศิษย์ของท่านไคชู คัตสึ และทำงานอย่างหนักในการเปิดโรงเรียนฝึกหัดสำหรับกองทัพเรือ ที่เมืองโกเบ ก่อนที่จะรู้จักกับท่านไซโก แห่งแค้วนซัทสึมะในเวลาต่อมา จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 07:48:50

ความคิดเห็นที่ 3 สำหรับท่านผู้นี้คือ ท่านไซโก (ค.ศ. 1828 - 1877) มีบทบาทสำคัญอย่างมากในช่วงเวลาเดียวกัน ท่านกำเนิดจากแค้วนซัทสึมะ ดินแดนใต้สุดของญี่ปุ่น และได้รับใช้ท่านเจ้าแค้วนท่านนาริอากิระ ซึ่งวางแผนส่งท่านเทนโชอิน (เจ้าหญิงอัตสึ) เข้าไปเป็นภรรยาท่านโชกุนคนที่ 13 (ท่านโชกุนอิเอซาดะ) บทบาทของท่านไซโกเป็นส่วนหนึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่เสียเลือดเนื้อระหว่างรัฐบาลบาคุฟุ (โชกุน) และรัฐบาลของจักรพรรดิ์ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 07:56:53

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นการ์ตูนมังหงะที่ผมชอบมากครับ   ตามที่อ่านมา หมอจินจะได้พบบุคคลสำคัญมากมาย ได้สนิทสนมกะซากาโมโตะ เรียวมะ ได้รู้จักกับแกนนำกลุ่มชินเซ็น (ชินเซ็นกุมิ) ได้รักษาท่านไซโก (คคห. ๓) ถ้าเข้าใจไม่ผิด ท่านนี้คือต้นแบบในเรื่อง The Last Samurai ได้พบกับ ฮิโตทสึบาฉิ โยชิโนบุ ที่จะเป็นโชกุนคนสุดท้าย โตกุงาวะ โยชิโนบุ แต่ในการ์ตูนที่ผมเช่ามาอ่าน ยังไม่จบ  ดูแบบละครโทรทัศน์ก็สนุกดีนะครับ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 10:02:47

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่อง Last Samurai ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงของไซโก คิจิโนสุเกะครับ ตัวที่เคนวาตานาเบ้แสดง ก็ถือว่าตีความบุคลิกของไซโกไปอีกแบบหนึ่ง จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 13:00:13

ความคิดเห็นที่ 6 ละครเรื่องนี้สนุกมากๆครับ ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : ปุ้ม ครับ เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 18:01:59

ความคิดเห็นที่ 7 ผู้บังคับการเรือ แมธิว เพอรี่ แห่งสหรัฐอเมริกา นำเรือรบ 4 ลำ คือ the Mississippi, Plymouth, Saratoga, and Susquehanna เข้าเทียบท่าที่อ่าวเอโดะ วันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1853 . . . ตรงกับพศ. 2396    สมัยรัชกาลที่4    ก็นับว่าประเทศญี่ปุ่นเปิดรับความรู้ทางตะวันตก   ในระยะเวลาใกล้ๆกับไทย จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 21:36:59

ความคิดเห็นที่ 8 ^ ^ เรียนคุณ zodiac28 จะอธิบายเพิ่มเติมให้นะครับว่า เราจะเห็นว่า ญี่ปุ่นเปิดประเทศในช่วง พ.ศ. 2396 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 ก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่า ความรู้ทางด้านตะวันตกระหว่างสยาม กับ ญี่ปุ่น จะถูกรับวัฒนธรรมตะวันตกมาพร้อมกัน วัฒนธรรมตะวันตกในญี่ปุ่นนั้นมีมานานแล้ว ถูกหลั่งไหลมาพร้อมๆกับในบ้านเรา ซึ่งตรงกับช่วงกรุงศรีอยุธยา ในช่วง พ.ศ. 2183 โดยชาวฮอลันดา ซึ่งญี่ปุ่นเองก็ตอบรับความรู้ด้านตะวันตกมานานพอสมควร แต่ในสยามนั้นได้ขาดช่วงไปเพราะภาวะสงครามในคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ทำให้ความรู้ด้านตะวันตกพากันหยุดชะงักลง ไม่เหมือนทางญี่ปุ่น รัชสมัยของโชกุนโตกุกาวะ โยชิมุเนะ พ.ศ. 2263 มีการแปลบทความจากหนังสือชาวดัชท์ เล่มหนึ่งชื่อ "Sayings of the Dutch" กล่าวถึงเทคโนโลยีกล้องส่องทางไกล และการทำบอลลูน วัฒนธรรมที่ชาวญี่ปุ่นเรียนรู้ตลอดมาในระหว่างปิดประเทศ ได้แก่ ด้านยารักษาโรค ด้านการพิมพ์โลหะ ด้านปืนใหญ่ ด้านการต่อเรือขนาดใหญ่ ด้านระบบไฟฟ้า ด้านนาฬิกา ด้านระบบสูบน้ำ ด้านระบบแผนที่ ด้านระบบนิเวศน์วิทยา ด้านการศึกษา ส่งนักเรียนไปต่างประเทศ ด้านการทำเครื่องแก้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ชาวญี่ปุ่นได้เรียนรู้วัฒนธรรมชาวตะวันตกมาโดยตลอด แต่เขาก็เหมือนบ้านเราคือ รับมาใช้แล้วพัฒนาในรูปแบบของตนเอง จะให้ชมการทดลองส่งบอลลูนขึ้นสู่ท้องฟ้าครั้งแรกของญี่ปุ่น เกิดขึ้นใน .พ.ศ. 2348 (คศ. 1805) ก่อนที่จะเปิดเจรจาทางการค้าถึง 50 ปี จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 07:18:32

ความคิดเห็นที่ 9 เอ    ผมจำได้ว่าหลังจากโทคุงาวะ อิเอยาสุ ครองแผ่นดินได้สำเร็จ    หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ปิดประเทศไปกว่า200ปีไม่ใช่เหรอครับ     มีการติดต่อแค่บางส่วนเช่นริวกิว  นารา (ไม่แน่ใจ) เท่านั้น    แต่ก็ติดต่อกันเล็กๆน้อยๆ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 16:29:21

ความคิดเห็นที่ 10 editไม่ได้   เลยตอบเพิ่มครับ การติดต่อรู้สึกจะมีแค่เล็กๆน้อยๆ      แถมจำได้ว่าเคยอ่านเจอว่ารัฐบาลโทคุงาวะห้ามคนญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศด้วยนะครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 19:25:28 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 19:17:06

ความคิดเห็นที่ 11 ช่วงที่ปิดประเทศนั้นติดต่อค้าขายกับฮอลันดาที่นางาซากิ อีกทั้งรับเทคโนโลยี วิทยาการตะวันตกมาด้วย จริงๆโชกุนก็รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอกจากพวกดัชนี่แหละครับ อีกประเด็น จริงๆผมว่าที่ ญี่ปุ่น เจริญได้มากช่วงนั้นเพราะ อัตราการอ่านออกเขียนได้สูงในช่วงสันติภาพโตกูกาว่า อีกอย่างวัฒนธรรมชนชั้นสูงมีค่านิยมเรื่องการศึกษา เช่น พวกซามูไรหรือพ่อค้าที่ร่ำรวย เป็นฐานเผยแพร่วิทยาการได้มาก จากคุณ : A Song for xx เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 14:14:44

ความคิดเห็นที่ 12 ญี่ปุ่นปิดประเทศ ไม่คบกับฝรั่งที่นับถือคริสศาสนานิกายโรมันคาธอลิกครับ แต่ญี่ปุ่นไม่ได้เลิกคบกับดัตช์ เพราะดัตช์เป็นโปรแตสเตน มูลเหตุที่ญี่ปุ่นปิดประเทศไม่คบกับ โปรตุเกส+สเปน เพราะสองประเทศนี้นับถือคาธอลิก และมีส่วนเอื้อประโยชน์ให้กับพวกกบฎแบ่งแยกดินแดนชิมาบาระ (Shimabara Rebellion) กบฎชิมะบาระ เป็นสงครามแบ่งแยกดินแดนโดยอาศัยความแตกต่างทางศาสนามาเป็นข้ออ้าง ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยโชกุนโตกุงาวะรุ่นที่ ๓ (หลานของอิเอยาสึ) ในสงครามครั้งนั้น จุดมุ่งหมายของฝ่ายกบฎ คือต้องการแยกการปกครองตัวเองออกไป เพราะว่า บรรดาคนญี่ปุ่นที่ไปเข้ารีตเป็นคาธอลิกมีเยอะมาก เป็นไดเมียวก็ไม่น้อย เมื่อมีปัญหากัน จึงเกิดสงครามขึ้นมานั่นเอง ก็เลยทำให้ภายหลังสงคราม ญี่ปุ่นจึงประกาศปิดประเทศนั่นเอง แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงให้โอกาส จีน และ ฮอลันดา เข้าไปค้าขายเป็นปกติครับ เพียงแต่จำกัดจำนวนเรือและช่วงเวลาให้นานขึ้น ดังจะเห็นได้จากรายงานการส่งสินค้าจากสยามเข้าไปญี่ปุ่น โดยผ่านนายหน้าอย่างบริษัทอีสต์อินเดียของฮอลแลนด์นั่นเอง จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 11:54:33

ความคิดเห็นที่ 13 หลักๆแล้วถึงจะปิดประเทศในยุคนั้น แต่ตระกูลโตกุกาว่าก็ยังติดต่อกับภายนอกอยู่ครับ เพราะยังต้องค้าขายอยู่ โดยเฉพาะจีนและดัตซ์อย่างที่ข้างบนบอกกัน จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 10:48:33