ความคิดเห็นที่ 1   ไม่จำเป็นเลยครับ ดูอย่างหนังสือในห้องสมุดสิครับ เราอ่านกันหมดทุกเล่มไหม ตามธรรมชาติแล้วเราจะใช้เล่มไหนค่อยไปหยิบมาอ่าน เลือกอ่านตามความชอบความถนัด  แต่ผู้มีอำนาจกลับบังคับให้เราต้องอ่านทุกเล่มในห้องสมุด เขาเข้าใจว่าเราเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์พยายามลงโปรแกรมต่างๆให้เยอะที่สุด ความสามารถเราจะเพิ่มขึ้น แต่ผลมันออกมาทางตรงกันข้าม คอมพิวเตอร์จะยิ่งอืดเข้าไปใหญ่ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ผมเลยมีคำถามในใจว่าพวกเรากำลังเอาใครมาตัดสินอนาคตของชาติ ปล.ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆไม่อนุญาตให้นำไปฟ้องร้องบังคับคดีนะครับ ฮ่าๆ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 09:13:01 จากคุณ : TommyStyle เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 09:11:55

ความคิดเห็นที่ 2 การเรียนคณิตศาสตร์นั้นมันช่วยให้คุณคิดเป็นระบบมากขึ้นครับ   ในประสบการณ์ทำงานของผมเห็นชัดเลยว่าคนที่ชอบกัดตัวเลขและคนที่กลัวตัวเลขกัดจะมีวิธีคิดและวิธีแก้ปัญหาต่างกัน   แต่ผมก็เห็นด้วยที่ว่ามันไม่ยุติธรรมนักที่ให้เด็กที่ไม่มีทักษะทางคณิตศาสตร์เลยต้องสอบแข่งขันกับเด็กที่มีทักษะทางคณิตศาสตร์สูง คำตอบของผมคือจำเป็นต้องเรียนครับ   แต่ไม่จำเป็นต้องให้สอบวัดผลในมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด จากคุณ : Tanis เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 09:31:58

ความคิดเห็นที่ 3   มันเป็นปัญหา ทั้งระบบนั่นแหละ แต่เรื่องทุกเรื่องมันมีความสัมพันธ์กันหมด ทักษะต่าง ๆ ที่เรียนกันนั้น เอาไว้ฝึกในการแก้ปัญหาโจทย์ โจทย์นึง หรือปัญหาอย่างนึงขึ้น จะแก้ปัญหากันอย่างไร ??? หรือจะต้องพลิกตำราหาสูตรมาแทนค่าอย่างเดียว คณิตศาสตร์ไม่ได้ฝึกให้แทนค่าเป็น คำนวนตัวเลขแม่นเป็นหลักนี่ แต่สอนให้หาวิธีคิดทางคณิตศาสตร์ให้เป็น มีโจทย์มาจะแก้ปัญหาเป็นหรือป่าว ?? มันจะฝึกกระบวนการวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกัน เห็นส่วนในส่วนที่ว่าให้เด็กได้ฝึกพวกนี้ให้มากขึ้น แต่ไม่เห็นด้วยถ้าใช้กับระบบการสอนในเมืองไทย ที่ไม่ค่อยให้เน้นให้คิดเป็น ทำตามสูตร ท่องจำกันอย่างเดียว เรียนกันโดยไม่เข้าใจจริง ๆ เรื่องพวกนี้ เรื้อรัง ทำใจอย่างเดียว !! จากคุณ : RakRok12 เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 10:18:00

ความคิดเห็นที่ 4   แนะนำครับว่า ถ้าไม่ชอบคณิตศาสตร์ ลองศึกษาวิชาปรัชญาและตรรกศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้คุณคิดเป็นระบบมากขึ้นได้ครับ  ผมไม่ชอบคณิตศาสตร์เลยเพราะไม่รู้จะคำนวณไปทำไม ถามอาจารย์หลายครั้งท่านก็ตอบแต่ว่าจะช่วยให้คิดเป็นระบบมากขึ้น ผมเลยลงเรียนวิชาปรัชญา เนื้อหามีส่วนหนึ่งบอกว่า ปรัชญาแสดงออกมาในสองรูปแบบคือสัญลักษณ์และภาษา สัญลักษณ์คือ คณิตศาสตร์  ส่วนภาษา คือตรรกศาสตร์   ดังนั้นการที่จะทำให้คิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณิตศาสตร์เสมอไป ยังพอมีทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ครับ ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะด้วยครับ จากคุณ : TommyStyle เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 10:25:13

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกับจขกท.ที่ต่อต้านการที่โรงเรียนบังคับให้ ม.ปลายทุกคนเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะแบบเดียวกับวิทย์ - คณิต  คือ ม.ปลายมีระบบเดียวคือวิทย์-คณิต  นักเรียนมีหลายแบบ ชอบไม่เหมือนกัน อย่างเดิมก็ดีแล้ว สายวิทย์ สายศิลป์ สายทั่วไป  หรืออาจจะมีสายเดียวก็ได้ แต่มีวิชาเลือกเสรีมากหน่อย ใครชอบวิทย์ก็ไปเลือกฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ใครชอบภาษาก็ไปเลือกภาษา หรือไปเลือกบัญชีเบื้องต้น เศรษฐเบื้องต้น  การสอบเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยก็ใช้ระบบแอดมิสชั่น มีการกำหนดวิชาที่ต้องเรียนเพื่อเรียนต่อในสาขาวิชานั้นๆ ซึ่งเป็นตัวบังคับให้เด็กต้องเลือกวิชาเลือกเสรีไปในตัว การเอาคณิตศาสตร์ชั้นสูง เช่น differential equation, calculus ไปให้เด็กระดับมัธยมปลายเรียน ถึงแม้ว่าจะย่อยให้เหลือแบบเบี้องต้นมันก็ยังยากอยู่ดี ซึ่งยังไม่จำเป็นสำหรับเด็กมัธยมปลาย เอาไว้ให้ระดับมหาวิทยาลัยเรียน เช่นวิศว วิทยาศาสตร์ ก็เรียนคณิตศาสตร์ขั้นสูงเพื่อนำไปพิสูจน์ทฤษฎีอีกทีหนึ่ง  ส่วนที่เรียนเกี่ยวกับกฎหมาย บริหาร นิเทศน์ ภาษา ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนคณิตศาสตร์ขั้นสูง เรียนพวกอัลจีบ้า ตรรกศาสตร์ หรือ สถิติ ก็น่าจะเพียงพอ  เรียนเพื่อปรับแนวคิดให้มีการคิดแบบเป็นระบบเกิดขี้น ผมไม่ใช่นักการศึกษาแต่เห็นว่าระบบการศึกษาของเมืองไทยถอยหลังเข้าคลองไปเรื่อยๆ เห็นพูดกันมานานแล้วว่า การศึกษาของไทยล้มเหลว มีนักวิชาการศึกษาเต็มบ้านเต็มเมือง เอาแต่เขียนหนังสือแข่งกันขาย ไม่เห็นมีใครอยากปรับปรุงอย่างจริงจัง อีกอย่าง ผมไม่สนับสนุนให้ทำการบ้านให้เพื่อน แต่สนับสนุนให้มีการเรียนแบบ group study คือ มีการอ่าน วิเคราะห์ปัญหาหรือโจทย์ร่วมกัน หาวิธีการแก้ไขหรือ solution แล้วก็ต่างคนต่างทำเขียนรายงานของตนเองหรือของกลุ่ม  อาจมีการนำเสนอหน้าชั้น เป็นการฝึกทำงานกลุ่มและการนำเสนอผลงาน การทำการบ้านให้เพื่อนเท่ากับการฆ่าเพื่อนทางอ้อม  ผลกระทบโดยตรงก็คือ ไม่ได้ความรู้ ทางอ้อม ส่งเสริมให้มีนิสัยทุจริต และจะกลายเป็นคอรัปชั่นเมื่อเป็นผูใหญ่ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 10:52:25

ความคิดเห็นที่ 6 ทักษะคณิตศาสตร์นำมาใช้เรียนภาษาอังกฤษได้ ลองไปอ่านกระทู้นี้ดู เราใช้คณิตศาสตร์สร้างทฤษฎีการแปลขึ้นมา http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/06/K7934208/K7934208.html ตอนนี้เรากำลัีงเรียนภาษาอังกฤษยกเครื่องใหม่หมด โดยใช้ computer software + การฝึกสมาธิและลมปราณ เป็นเครื่องช่วยทุ่นแรงในการสอนภาษาอังกฤษให้กับตัวเอง ทำให้แนวคิดเราเพี้ยนไปจากเดิมมากๆ เลยไม่ค่อยได้ตอบปัญหาภาษาอังกฤษมากนัก เพราะจะกลายเป็นพูดเรื่องไร้สาระไป จริงๆแล้วเราเคยได้รับรางวัล "ไร้สาระซีไรทฺ์" มาแล้ว...555+++... ยิ่งอายุมากขึ้นเราก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองกล้าเลิกเรียนวิชาที่เขาสอนกันในโรงเรียน แต่หันไปทุ่มเทค้นคว้าในสาขาวิชาการหรือศาสตร์เร้นลับที่ไม่มีสอนกันในมหาลัย ที่เรารัก เราว่ามันน่าตื่นเต้นมากกว่า แต่มันก็เสี่ยงเพราะอาจไม่มีวุฒิสูงๆไปสมัครงานแล้วก็จะอดตาย แต่ตอนนี้เราเริ่มกล้าเสี่ยงไม่ค่อยเรียนวิชาที่จะใช้สมัครงานได้ เพราะเราได้รู้มาด้วยสัมผัสพิเศษว่า การสื่อสารกับเต๋า หรือ The Creator ได้นั้นทำให้ตัวเราเองได้รับความคุ้มครองจากพลังจักรวาล ดังนั้น เราจะเรียนอะไรที่เรารัก ก็กล้าๆเรียนไปเหอะ เพราะจะยังไงเราก็จะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างราบรื่น ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เรียนวิชาอะไรๆ แบบ conventional แบบที่คนเรียนเก่งทั่วๆไปเขาเรียนกัน... แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 10:57:36 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 10:55:22

ความคิดเห็นที่ 7 ตอน ม. ปลาย ผม ชอบคณิตศาสตร์  แต่ผมไม่ชอบ วิชา ชีววิทยา สังคม ภาษาไทย ครับ จึงต้องหนี ไปสอบเทียบ ครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 11:34:51

ความคิดเห็นที่ 8   ตอนเรียนเกลียดวิชาคณิตศาตร์ที่สุดค่ะ แต่ชอบเรียนภาษามากที่สุด เคยเรียนสายสามัญ แต่วิชาเรียนปัญญาอ่อนตามหลักสูตร คือมีเรียนเย็บปักถักร้อย เรียนลายสาน เกลียดมากที่สุด เลยไม่เรียนต่อ ไปเรียนที่อื่นที่เน้นภาษา มีความสุขมาก เรียนคณิตแบบอ่อนที่สุด แต่อาจารย์ก้อพยายามสอนเรามากที่สุด จบมา วิชาคณิต ได้เกรดแค่ 2 ดีใจมาก แต่เกรดรวม สาม กว่า ถึงไม่เยอะก็โอนะ ..........ตอนนี้ทำงานด้านการโรงแรม มีความสุขมาก และสนุกมาก ถึงแม้จะเหนื่อย เพราะฉะนั้น จงเรียนในสิ่งที่เองเรียนแล้วมีความสุข นั่นแระมันจะประสบความสำเร็จเอง เพราะงานที่ทำมันก็ต้องเป็นงานที่รักที่สุด จากคุณ : ดันดี้แทน เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 12:14:14 A:203.156.25.59 X: TicketID:268597

ความคิดเห็นที่ 9   ผมเรียนคณิตศาสตร์ครั้งสุดท้ายตอน ม. 3 ครับ สมัย ม. 2 เก่งคณิตศาสตร์มากๆ สอบทีไรเกือบเต็มทุกครั้ง แต่พอขึ้น ม. 3 รู้สึกว่ามันยากกว่าเดิมมาก ได้แค่เกรด 2 (อาจารย์ช่วย จริงๆ ควรได้ 0 เพราะเลือก ก ข ค ง แบบมั่วๆ) ผมเลยเกลียดคณิตศาสตร์มากๆ แต่ตรรกะของผมก็ไม่มีปัญหานะ ใครๆ ก็บอกว่างานเขียนของผมเป็นเหตุเป็นผล อธิบายเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ชัดเจนและเข้าใจง่าย แต่กระนั้น ข้อเสียของผมก็คือ ผมทำวิจัยเชิงปริมาณไม่เป็นเลย แต่ก็โชคดีที่สาขาประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนใหญ่เน้นวิจัยเชิงคุณภาพ ตกลงว่าปัจจุบัน ม. ปลายสายศิลป์ภาษาต้องเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา แบบสายวิทย์ด้วยหรือครับ ถ้าใช่ ก็ควรเรียนแบบง่ายหน่อย อย่างสมัยผมอยู่ ม. ปลาย ก็เรียนแค่วิทยาศาสตร์กายภาพชีวภาพซึ่งไม่ยากมากนัก ปัจจุบันถ้าบังคับเรียนคณิตศาสตร์ ก็ควรเป็นคณิตศาสตร์ที่ไม่เข้มเกินไป นักเรียนสายภาษาจะได้เอาเวลาและสมองไปสร้างความเป็นเลิศในทางที่พวกเขาถนัด แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 13:13:25 จากคุณ : ชาวจีนศึกษา ณ TU เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 13:11:50

ความคิดเห็นที่ 10 เด็กไทยเหมือนจะเรียนหนักนะคะ ผู้ใหญ่ให้เรียนเยอะแยะมากมายทั้งๆที่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็น  มัธยมต้นให้เรียนแบบปัจจุบันดีแล้วค่ะ แต่ม.ปลายไม่น่าจะให้เรียนเยอะขนาดนั้น  มันทำให้เด็กเรียนแบบเจาะลึกไม่ไหว เรื่องภาษาก็เหมือนกัน  ความจริงภาษาแค่เป็นประตูบานหนึ่งเท่านั้น แต่คนจำนวนมากคิดจะเอามันเป็นอาชีพหลัก คือเรียนได้แต่ภาษาไม่ได้อย่างอื่นเลย  เราได้สองภาษา จีนกับอังกฤษ  ตอนนี้กำลังมึนกับตัวเองจะเอามันไปทำอะไรดี  เป็นครูก็กลัวสอนเด็กไม่รู้เรื่อง เป็นล่ามหรือนักแปล กลัวภาษาไม่ถึง ไม่เคยแปลมาก่อนในชีวิต กลัวแปลไม่รู้เรื่อง ได้แต่ใช้ฟังข่าวและกลัวงานเข้าไม่สม่ำเสมอ  ก็เลยอยากเรียนเศรษฐศาสตร์กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เราคิดว่าสองคณะนี้น่าเรียนดี และน่าจะได้ใช้ประโยชน์มากที่สุดด้วย  โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กร เราว่าไทยต้องการบุคลากรด้านนี้จำนวนมาก แต่คนเรียนน้อย  ทุกคนมุ่งไปเรียนแต่บริหาร ไทยน่าจะให้เด็กเริ่มเรียนแบบเจาะลึกตั้งแต่ม.ปลาย พอถึงมหาวิทยาลัยควรให้เด็กเรียนสิ่งที่อยากเรียน  ทุกประเทศต้องการบุคลากรที่หลากหลาย แต่เรากลับนิยมเรียนอยู่ไม่กี่อย่าง ประเทศก็พัฒนายากค่ะ จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 13:28:47

ความคิดเห็นที่ 11 คห.4 ถูกครับ สังเกตว่าพวกข้อสอบ กพ แนวๆ ตรรกะที่โจทย์ออกมาเป็นตัวหนังสือแล้วให้เราดูว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนสรุปไม่ได้ ผมไม่ได้เก่งนะ ทำผิดบ้างถูกบ้าง แต่เวลาทำเสร็จแล้วไปดูเฉลย เออบางทีมันก็ทำให้เราได้คิดนะว่า " บางครั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน เวลาอ่านข่าวหรือฟังคนอื่นพูด เราก็มักจะลืมเฉลียวใจกับคำไม่กี่คำด้วยความเคยชิน แล้วการแปลความหมายเรื่องนั้นๆ ก็จะผิดไปหมด " สนุกดีนะครับข้อสอบแนวนี้เนี่ย แต่ถ้ามาเป็นสมการ X Y ยกกำลัง + Cal  นี่ไม่ไหวเลย ขอบายทันที แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 53 16:27:28 จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 16:27:04

ความคิดเห็นที่ 12 ผมยังใช้คณิตศาสตร์ขั้นสูงมาจนถึงปัจจุบันครับ เพื่อนร่วมงานหลายๆ คนก็ยังใช้อยู่ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 18:39:22

ความคิดเห็นที่ 13 คห.12 ทำงานอะไรอะครับ? จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 18:51:05

ความคิดเห็นที่ 14 ค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณทอมมีสไตล์ครับผม ผมเป็นอีกคนนึงที่เกลียดเลขเข้าไส้มาก จะบอกให้ก็ได้ + - ผมยังคิดในอากาศไม่ได้เลย ต้องใช้กระดาษตลอด (ไม่ต้องเครื่องคิดเลย เพราะผมใช้กระดาษคิดผมไวกว่าเครื่องคิดเลขอีก) แม่ค้าทอนเงินผิด ๆ ถูก ๆ ก็ไม่เคยดู จนมารู้ว่าแม่ค้าทอนผิด โกงหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่กล้าไปแย้งเค้า เพราะเราเดินออกจากร้านมาแล้ว ผมเนี่ยโง่เลขที่สุด สมัยตอนเรียนอยู่ระดับมัธยมปลายเทียบเท่าโรงเรียนไทยก็ 4 5 6  (เกรด 10 11 12) วิชาเลขที่ผมเรียนก็คือเศษส่วน สมการประมาณนี้ x+8 = 10 สมการนี้ผมเรียนตั้งแต่ ป.6 แล้วโรงเรียนฝั่งไทย แต่พอมาเรียนฝั่งอินเตอร์จ๋า ไปเจอเลขแบบที่บอกไว้ เราก็เลยมานั่งคิดว่า เอ๊ เด็กไทยเรียนมากไปรึเปล่า ฝรั่งมันทำเลขโจทย์แค่นี้มันยังบอก quite hard เลย ประโยคสัญลักษณ์ที่ผมยกมานั้น แค่ง่าย ๆ นะ ยากสุดก็แค่สมการที่เป็นชั้น ๆ 3 ชั้นอะ ยากสุดแล้ว แต่ผมเรียนตอน ม.1 ฝั่งไทยอะไรประมาณนี้ โรงเรียนเดียวกัน แต่เรียนกันคนละหลักสุตรให้ตายเหอะ ผมเกลียดเลขขขขขขขข คห. 10 ประสบการณ์คุณเหมือนผมเป๊ะ ผมมาเรียนมหาลัยโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองว่าจะเรียนคณะอะไรดี รู้แค่ว่าชอบภาษาอังกฤษ ก็เลยเรียนสายภาษามันซะเลย ไป ๆ มา ๆ พอจบทำงานหาความเป็นตัวเองไม่เจอ ถ้าย้อนได้ผมจะไปเรียนนิเทศ บริหาร บัญชี การตลาด วิศวะคอม (ถึงจะโง่เลข) หรือพวกกราฟฟิคดีไซน์ มาคิดผิดว่าทำไมเราไม่ไปเรียนสาขาเฉพาะทาง จะมาเรียนทำไมมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ ก็เลยทำให้ผมงงกับอนาคตว่าจะไปทางไหน สรุปก็ไม่พ้นเลขาฯ ประสานงาน แอดมิน ธุรการกันไป ตอนเรียนมหาลัยเรียนวิชาตรรกศาสตร์เกลียดมากเหมือนกัน มันวิชาอะไรฟระเนี่ย งงเป็นไก่ตาแตก สอบมิดเทอมเก็บ 40 คะแนน ได้มา 15 สรุปตก พอไฟแนลเราหาหนังสือตรรกที่เป็นภาษาไทยมาอ่านควบคู่กัน แล้วดูโจทย์ภาษาอังกฤษ (คือตอนนั้นผมเองไม่รู้ว่าตรรกศาสตร์มันคืออะไร จุดประสงค์มันคืออะไร เพิ่งเรียนใหม่ ๆ ไม่รู้จักวิชาประเภทนี้) ก็พยายามอ่านควบคู่กันไปทั้งไทยและอังกฤษ หลัง ๆ เราเข้าใจแล้วว่า อ่อ จุดประสงค์มันคือให้วิเคราะห์ ให้คิด ความเป็นไปได้อะไรแบบนี้ เราก็อ่อ ๆ เรียนไปเรียนมาหนุกดีว่ะ ไม่อ่านเฉลย แต่อ่านโจทย์แล้วลองตอบในใจ สรุปถูกเกือบทุกข้อ ข้อไหนที่เราตอบในใจผิด ก็จะมาดูเฉลยว่าทำไมมันถึงผิดอะไรแบบนี้ ผลสุดท้ายผลคะแนนไฟแนลออกมาได้ D+ ครับ ปรบมือให้หน่อยยยยยย สรุปก็ผ่านไปโดยที่แบบว่าพอใจแล้ว ไม่ตกก็บุญแล้ว แสดงว่าไฟแนลเราทำได้ สรุป ผมเกลียดเลขแต่ชอบตรรกะ จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 21:02:07

ความคิดเห็นที่ 15 I think you seem to be quite proficient in using application software in your previous post. Why not try to become an expert in IT? You can start by playing with various software configurations. Then try to learn about networking, protocol by connecting two computers together to form client-server. There are very cheap second-hand PC that you can buy and learn by yourself. I started doing such thing over 30 years ago, starting from DOS and gradually learns about OS, application, networking etc. If you like logic, IT is easy and all the knowledge nowadays is accessible via internet unlike those days when I had to read IT magazines such as Byte and having no chance to ask anybody. I learned IT the hard way. จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 23:35:56

ความคิดเห็นที่ 16 Strange it may seem. I was hired by my present employer for my English skills and knowledge of economics and business. But over the years, I was gradually shifted to work in IT-related job as I have demonstrated my IT capability time and time again. Now my work is mainly IT-related with English/business/economics as secondary. จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 23:44:03

ความคิดเห็นที่ 17 ทำไม Logic จึงไม่ใช่วิชาหลักในการเรียนครับ ทั้งที่มันน่าจะมีประโยชน์กับชีวิตมากกว่าคณิตศาสตร์ด้วยซ้ำ? จากคุณ : TonyMao_NK51 เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 18:40:18

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเรียนศิลป์-คำนวณ ซึ่งเป็นรุ่นแรกและรุ่นสุดท้ายของโรงเรียนครับที่ได้เรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ในสายศิลป์ เป็นอะไรที่สุดยอดมาก วิทย์กายภาพ กับ ฟิสิกส์ ได้ 4 เคมี ชีวะ 1 โลด จากคุณ : alexmatrix เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:00:05