ความคิดเห็นที่ 1 อธิบายว่าอะไร? ลองตอบผมมาก่อนแล้วผมจะตอบว่าอธิบายได้ยังไง ถ้าจะอ้างไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น หนังสือเล่มนี้สุดมั่ว มั่วทั้งหลักพุทธทั้งหลักวิทย์ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 20:44:40

ความคิดเห็นที่ 2 ผมไม่เคยอ่านหนังสือของทันตแพทย์สม นะ จากคุณ : โตนิค เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 21:03:22

ความคิดเห็นที่ 3 หลักๆ เลยคือแก่นของพุทธศาสนาเป็นเรื่องของ เหตุ-ผล เมื่อมีปัญหา (ทุกข์) เกิดขึ้น ก็ต้องหาสาเหตุของปัญหา (สมุทัย) และต้องมีเป้าหมายวัตถุประสงค์ของการแก้ปัญหา (นิโรธ) และแก้ปัญหาตามวิธีการที่ถูกต้อง (มรรค) ซึ่งโดยภาพรวมแล้วมันคล้ายกับกระบวนคิดทางวิทยาศาสตร์ครับ แต่รายละเอียดปลีกย่อยอาจจะต่างกันบ้าง แต่แก่นหรือหลักนั้นคล้ายกันมากครับ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 21:05:04

ความคิดเห็นที่ 4 สาร A + สาร B ทำปฏิกิริยากัน ได้สารใหม่ = สาร AB ช่วงสารตั้งต้น, ทำปฏิกิริยา, ได้สารใหม่ ------------ เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 21:22:44

ความคิดเห็นที่ 5 .... อย่างข้างบนนั้นผมว่ามันเหมือนพยายามจับเข้ามาชนกันนะ เหมือนคนตีความคัมภีร์นอสตราดามุส เอาที่อธิบายตรงๆ มีเรื่องเดียวที่ผมนึกออกคือเรื่องพัฒนาการของเด็กอ่อนในครรภ์ เรื่องอื่นแบบพยายามเอามาจับกับ Quantum หรือสัมพัทธภาพอ่านแล้วมั่วๆไม่ตรงทั้งหลักพุทธหลักวิทย์ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 21:49:09

ความคิดเห็นที่ 6 เพราะ ศาสนาพุทธ แท้จริง ไม่ใช่ศาสนา เพราะไม่มีเทพเจ้า แต่คือ ปรัชญา พิธีกรรมและประเพณี คือ เปลือกที่เอาไว้ปลอบประโลม คนที่ยังไม่ก้าวผ่านความกลัวและความไม่เข้าใจโลกแบบสัตว์โลก ที่ยังอยู่ในวังวงแห่งกรรม ผู้ที่เข้าใจโลกโดยวิทยาศาสตร์แล้ว จะพยายามเข้าใจโลก ทางจรรยาด้วยปรัชญา คนที่เชื่อ ทำทาน เพื่อหวังคลายบาป เพื่อหวังบุญส่งในภายภาคหน้า คนที่คิดด้วยปรัชญา ให้ทาน เพื่อแบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีมากพอแล้ว ให้ผู้ที่ด้อยกว่า โดยพอใจ ณ ขณะ นั้น ไม่ได้หวังผลบุญตอบแทน จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 00:23:58

ความคิดเห็นที่ 7 พอดีว่าผมอ่านหนังสือแล้วแบบว่า ประมาณช่วง ร.6 ให้มีการตีความหรือวิพากย์ พุทธศาสนาใหม่ เลยทำให้ความเชื่อแบบที่จากตำนาน อภินิหาร อาจจะลดความน่าเชื่อถือลง หันมาเน้นในพระธรรมวินัย เองมากขึ้น จากคุณ : โตนิค เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 01:01:11

ความคิดเห็นที่ 8 ผมคิดเหมือนคุณ Nexus ครับ การนำศาสนา (ไม่ว่าศาสนาใดๆ) ไปเทียบกับวิทยาศาสตร์ จะค่อนไปทางจับแพะไปชนแกะทั้งนั้น ถ้าจะเลือกเป็นส่วนๆ ศาสนาไหนๆ ก็เทียบเข้ากับวิทยาศาสตร์ได้ทั้งนั้น แต่ทุกๆ ศาสนา ก็มีส่วนที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้เหมือนๆ กัน ความจริงแล้ว ผมมองการเปรียบเทียบแบบนี้ เป็นแค่การโปรโมตศาสนาตัวเองเท่านั้นด้วยซ้ำครับ ปล. ทุกศาสนาเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และดำรงค์อยู่ด้วยความเชื่อ (ในแบบของตน) ไม่มีศาสนาใดที่เป็นความจริงสำหรับคนทั้งโลก จริงหรือไม่ อยู่ที่ใครจะเลือกเชื่อเท่านั้นเอง จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 01:59:41

ความคิดเห็นที่ 9 ผมถึงเลือกเอาแก่น หรือ อริยสัจ 4 ไปเทียบเลยน่ะครับ จริงๆ แก่นอีกอย่างที่เทียบได้ คือ ไตรลักษณ์ ครับ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 02:50:35

ความคิดเห็นที่ 10 คริสตชนขอตอบบ้างครับ วิทยาศาสตร์คือการคลำทางไปสู่พระเจ้า ยิ่งมนุษย์ค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งพิศวงในสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นว่ามหัศจรรย์พันลึกเพียงใด เพื่อที่มนุษย์จะได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ ปัจจุบันมนุษย์ยังรู้น้อยมากเมื่อเทียบกับสรรพสิ่งทั่วหล้าจักรวาลที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่ต้องดูอื่นไกลก็ได้ครับ ในตัวมนุษย์เองนี่แหละ ยังรู้ไม่หมดเลย ไม่งั้นหากเจ็บป่วยประการใด กินยาเม็ดเดียวก็หายขาดแล้ว วิทยาศาสตร์มาจากไหน? ก็มาจากสติปัญญาของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ให้แล้วในมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด ทรงประทานพระพรให้มนุษย์ทุกคนถนัดกันไปคนละด้านสองด้าน ไม่มีใครโง่ไปหมดทุกเรื่อง ไม่มีใครฉลาดไปหมดทุกเรื่อง เพื่อให้มนุษย์ได้ช่วยเหลือกันและกัน นำเอาความถนัดของแต่ละคนมาใช้เพื่อเลี้ยงชีพของตนเองได้ ที่เหลือก็นำไปช่วยผู้อื่น เป็นเช่นนี้เรื่อยไป ในทางคริสต์ เรียกว่า เป็นพระพรของพระจิตเจ้า แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 07:06:44 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 07:05:40 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 06:51:33

ความคิดเห็นที่ 11 # คุณ  Paphmania พระพุทธศาสนาไม่ใช่แค่ปรัชญาครับ แต่เป็นวิธีการ(Method)เลย สามารถจับต้องได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนที่จะเลือกนับถือด้วยครับ บางกลุ่มก็คิดแบบคุณว่าเป็นแค่ปรัชญาเท่านั้นเอง ตอบ จขกท จริง ๆ แล้ว วิทยาศาสตร์เป็นแค่เศษเสี้ยวธุลีหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่สามารถจะอธิบายพระพุทธศาสนาได้หมด เพราะวิทยาศาสตร์จะตั้งกรอบแนวคิดในการตัดสินใจอยู่กรอบหนึ่ง ในขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงมันใหญ่กว่ากรอบของวิทยาศาสตร์มาก เปรียบไปก็เหมือน วิทยาศาสตร์เป็นส่วน Interception ของ Setพระพุทธศาสนาเท่านั้นเองครับ ของอย่างนี้ก็พูดกันลำบาก เนื่องจากทิฐิมานะ(Bias)ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นถ้าไม่ลงมือปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนแล้ว ก็ยิ่งยากต่อความเข้าใจขึ้นไปอีก ก็เหมือนกับนักท่องคำภีร์แล้วไปตีความกันไป ตีความกันมา ไม่ต้องดูอื่นไกลในห้องศาสนาก็พบได้ไม่ยากนั่นเองครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 09:09:52 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 09:08:58

ความคิดเห็นที่ 12 ลองพยายามจะเข้าใจแล้วครับ  แต่ยิ่งฟังยิ่งไม่เป็นวิทยาศาตร์สักกะศาสนาเลยครับ   สงสัยผมคงจะต้องเป็นเหยื่อปูปลาต่อไป  เหมือน ๆกับคนเกือบทั้งโลกที่ไม่เข้าใจศาสนาพุทธ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 09:10:56 จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 09:09:11

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วเหตุใด ศาสนาอื่นจากพุทธ กับวิทยาศาสตร์ต้องเดินห่างกันเป็นเส้นขนานอ่ะฮะ จากคุณ : โตนิค เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 09:26:18

ความคิดเห็นที่ 14 เปรียบเทียบ  พุทธฯ กับ วิทย์ พุทธฯ....... ความจริงสูงสุด  ได้แก่   กฏไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) หลักการ   ได้แก่   ปฏิจจสมุปบาท ( สรรพสิ่งเป็นข่ายใยแห่งเหตุและผล) วิธีการ   ได้แก่   อริยสัจสี่ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) วิทย์........ เป้าหมาย   ได้แก่   หาความจริงของสรรพสิ่งที่อธิบายได้ในหนึ่งเดียว   หลักการ   ได้แก่    ความจริงย่อมสามารถอธิบายได้อย่างเป็นภววิสัยโดยการพิสูจน์ วิธีการ   ได้แก่   ระบุปัญหา  ตั้งสมมุติฐาน  ทดสอบ-ประเมินผล และสรุป-เสนอแนะ จะเห็นว่า   ทั้งสอง  มีลักษณะร่วมกันอยู่ กล่าวคือ   พุทธฯ มีข้อสรุปของความจริงสูงสุดแล้ว แต่วิทย์   ยังอยู่ในกระบวนการค้นหาความจริง...คือ  พยายามหาคำอธิบายหนึ่งเดียวต่อสรรพสิ่งอยู่ ที่เหมือนกันเด่นชัดมาก   ได้แก่   กระบวนการค้นหาความจริง สรุปอย่างย่อได้ว่า   วิถีพุทธฯ (อริยสัจสี่)มีความสอดคล้องกับ วิถีวิทย์(ทดสอบสมมุติฐาน)อย่างใกล้ชิด   และต่างกันอีกอย่างก็ตรงที่    พุทธฯถูกนำเสนอเพื่อการหลุดพ้นของชีวิต   ในขณะทีวิทย์ถูกใช้หรือนำเสนอเพื่อ  การอธิบายโลกและจักรวาลแล้ววกกลับมายังส่วนที่เล็กลึกเข้าไปในวัตถุ (ชนิดมองด้วยตาเปล่ามิได้) อย่างไรก็ตาม   ในเมื่อวิทย์ได้ดำรงอยู่ในฐานะกระแสหลักของการเปลี่ยนแปลงโลกและสังคม ในขณะที่ศาสนา  ก็ถือได้ว่า  เป็น มิติการแสวงหาความสุขสันติ อันเป็นคุณค่าที่ใฝ่หาสำหรับทุกคน ดังนั้น  พลังการค้นหาความจริง หรือ ความหมายของชีวิต  จึงเป็นพลังคู่ขนาน ที่ในบางครั้งหรืออาจหลายครั้ง  ทั้งรู้ตัว-ไม่รู้ตัว   ที่คำอธิบายหรือกระบวนค้นหา... จึงมีการกระโดดข้ามแนวทางต่างเนื้อหา.......แต่ที่สุด  อาจมาบรรจบกันก็ไ้ด้ จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 09:28:02

ความคิดเห็นที่ 15 ก่อนอื่นคงต้องพูดว่าศาสนาพุทธแบบใหน  เพราะศาสนาพุทธ  ที่เห็น ๆ อยู่ทุกวันนี้มันผสมมั่วกันไปจนแยกไม่ได้ว่า พุทธแท้-พุทธเทียม  แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังปฏิบัติกันมั่ว  เอาศาสนาอันนู้นมาใส่อันนี้  เอาใจช่าวบ้าน เดี๋ยวพอบอกว่าอันนั้นผิด  อีกฝ่ายก็บอกว่าอันนั้นพุทธเทียม(ขออภัยไม่เกี่ยวกับสถานการการเมืองปัจจุบัน)   มิฉะนั้นแล้วคงพูดกันไม่จบไม่เข้าใจ     อันหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์  คือเรื่อง บาป-บุญ เรื่องกฏแห่งกรรม  เรื่องการเกิดใหม่ ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของศาสนาพุทธ   อันนี้ถ้าจะให้ยอมรับไปก่อนถึงจะเข้าถึงศาสนาพุทธหรือเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 10:30:46 จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 10:23:56

ความคิดเห็นที่ 16 กฏแห่งกรรม ในพระไตรปิฎก ไม่เหมือนกับกฏแห่งกรรมในที่เค้าเชื่อกัน คุณรู้ใหมครับ กฎแห่งกรรมคือคืออะไร  ในทางพระพุธศาสนา กฏแห่งกรรมคือ การหมุนเวียนของ กรรม วิบาก กิเลส  ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิจจสมุปบาท กรรม ในทางพุทธคือ เจตนา (ไม่ใช่การกระทำ) เมื่อมีเจตนาเกิดขึ้น ก็จะได้รับผลแห่งเจตนานั้น (วิบาก) เมื่อไร้รับผลแห่งกรรม ก็จะทำให้เกิด กิเลส (ความชอบ หรือไม่ชอบ) ทำให้เราก็ กรรมต่อไป หมุนวนเป็นลูปอนันต์ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 13:02:34 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 13:01:49

ความคิดเห็นที่ 17 ความคิดเห็นที่ 13   แล้วเหตุใด ศาสนาอื่นจากพุทธ กับวิทยาศาสตร์ต้องเดินห่างกันเป็นเส้นขนานอ่ะฮะ จากคุณ : โตนิค ^ แล้วใครบอกคุณหรือคะ ว่าศาสนาอื่นนอกจากพุทธเค้าเป็นเส้นขนานวิทยาศาสตร์ ? ถ้าคนบอกคุณเป็นคนพุทธ คุณรู้ได้อย่างไรว่าที่เขาบอก เขาเข้าใจถูกต้องในเมื่อไม่ใ่ช่ศาสนาของเขา ? ถ้าคุณคิดว่าศาสนาอื่นนอกจากพุทธเป็นเส้นขนานกับวิทยาศาสตร์ ก็ขอบอกว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ อย่างในคัมภีร์ของอิสลามเองก็มีพูดถึงเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์หลายอย่าง และการศึกษาหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างก็เป็นสิ่งจำเป็นของทั้งอิสลามและคริสต์ ดังนั้นวิทยาศาสตร์กับอิสลามและคริสต์นอกจากไม่ใช่เส้นขนานแล้ว ยังเป็นเรื่องที่อยู่ในเส้นเดียวกันด้วย เหมือนกับที่คห.10 คุณหนุ่มไทยไร้นามได้ตอบไปแล้ว แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 13:55:56 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 13:37:57 จากคุณ : LuNaTicCaT เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 13:37:05

ความคิดเห็นที่ 18 เอ้า งั้นเอาตัวอย่างนี้ไปดูว่าศาสนากับวิทยาศาสตร์เกี่ยวกันอย่างไร อัศจรรย์ศีลมหาสนิท ศตวรรษที่ 8  เมืองลันซาโน  อิตาลี บาทหลวงประจำโบสถ์องค์หนึ่งครุ่นคิดด้วยความสงสัยและไม่แน่ใจในการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท  และในการถวายมิซซาในเช้าวันหนึ่งเมื่อถึงภาคเสกศีล  แม้จะพยายามสำรวมอย่างไรก็ตามแต่ในจิตใจว้าวุ่นด้วยความสงสัย  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าทำให้ท่านชะงักและสั่นไปทั้งตัว  ไม่อาจดำเนินมิซซาต่อไปได้  ได้แต่ถอยออกมาและหันหน้ามาทางสัตบุรุษพร้อมกับเชื้อเชิญให้เข้ามาดูสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบนพระแท่น แผ่นปังรูปทรงกลมได้กลายเป็นเนื้อคนแผ่นบางๆ  และเหล้าองุ่นในกาลิกษ์ได้กลายเป็นเลือด  ซึ่งต่อมาค่อยๆ แห้งเกาะตัวเป็นลิ่มกลมๆ เล็กๆ 5 เม็ด เมื่อเห็นกันจะๆ เช่นนี้  ทั้งตัวบาทหลวงผู้สงสัยและสัตบุรุษต่างพากันคุกเข่า  เงียบงัน  สั่นสะท้านและตะลึงงันทั่วหน้า  พอรู้สึกตัวก็กล่าวขอขมาโทษและขอบพระคุณพระเจ้า  ที่ได้ทรงกระตุ้นเตือนความเชื่อของพวกเขาด้วยเหตุการณ์ประหลาดนี้  พระศาสนจักรท้องถิ่นยอมรับทันทีว่าเป็นอัศจรรย์และเครื่องหมายแท้จริงจากสวรรค์  ในระยะแรกๆ และต่อมาอีกหลายศตวรรษไม่มีการพิสูจน์อะไร  เพราะมีประจักษ์พยานมากมายอยู่แล้ว  พระศาสนจักรส่วนกลางได้สืบสวนและให้การรับรองอย่างเป็นทางการในปี 1574 การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ระหว่างปี 1970-1981  พระศาสนจักรได้อนุญาตให้คณะผู้เชี่ยวชาญภายใต้การนำของศาสตราจารย์ Odoardo Linoli และศาสตราจารย์ Ruggero Bertelli  ทำการพิสูจน์ความเที่ยงแท้ของอัศจรรย์ดังกล่าวโดยใช้หลักการแพทย์และวิทยาศาสตร์  ประกอบด้วย 4 สาขาวิชาหลักคือกายวิภาคศาสตร์ (Anatomy)  จุลกายวิภาคศาสตร์ (Histology)  วิชาเคมี (Chemistry)  และการใช้กล้องจุลทรรศน์ในการรักษาพยาบาล (Clinical Microscopy) ผลการพิสูจน์ได้ข้อสรุปเป็น 5 ข้อใหญ่ๆ คือ 1. เศษเนื้อและก้อนเลือดที่แข็งตัวแล้วทั้ง 5 ก้อน  เป็นก้อนเนื้อและเลือดจริง  เป็นเนื้อและเลือดของมนุษย์ผู้ชาย 2. เนื้อและเลือดที่ว่านี้  มาจากกลุ่มเลือดเดียวกันคือกลุ่ม AB 3. เศษเนื้อนั้น  เป็นกล้ามเนื้อบริเวณหัวใจ (Myocardium)  จากห้องหัวใจด้านซ้าย 4. ในก้อนเลือดทั้ง 5 ก้อนแม้จะแข็งตัวแล้ว  ยังพบสารต่างๆ ที่มีอัตราส่วนปกติในเลือดของคนที่มีสุขภาพปกติ  คือ  โปรตีน  คลอไรด์  ฟอสฟอรัส  แมกนีเซียม  โปรตัสเซียม  โซเดียม  และแคลเซียม 5. ไม่พบสารเคมีใดๆ ที่ช่วยสงวนเศษเนื้อและก้อนเลือดนี้ให้คงทนกว่า 12 ศตวรรษ  และในเมื่อต้องถูกแสง  อากาศ  ความชื้น  ก็ยังคงรูปเดิมพร้อมคุณสมบัติภายในโดยไม่เสื่อมสลาย   ทั้ง 5 ข้อข้างต้นนั้นเป็นผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์  คณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำการพิสูจน์ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมไว้ดังนี้ (ก)  เรื่องการหลอกลวงหรือสร้างสถานการณ์ให้หลงเชื่อในสมัยนั้น ตัดออกไปได้ (ข)  เรื่องเนื้อจากหัวใจ  จะมีใครที่มือฉมังขนาดเฉือนเนื้อหัวใจมาเป็นแผ่นบางๆ และมีรอยกลวงตรงกลางได้ (ค)  เนื้อจากหัวใจนั้นต่อมาแห้งเป็นชิ้นเล็กๆ  แทนที่จะเน่าเปื่อยผุพัง (ง)  เรื่องเลือด  ที่ปกติแล้วเมื่อออกจากร่างกาย  หรือเอามาจากคนที่เพิ่งตาย  คุณสมบัติทางเคมีจะสูญสลายภายในครึ่งชั่วโมง  แต่เลือดแห่งอัศจรรย์นี้แม้เวลาจะผ่านมาถึง 1,250 ปี  ยังคงรักษาคุณสมบัติทางเคมีและชีววิทยาครบถ้วน  โดยไม่มีสารป้องกันการเสื่อมสลายใดๆ เจือปน “นี่คือกายของเรา ที่จะถูกมอบเพื่อท่าน นี่คือถ้วยโลหิตของเรา  โลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่อันยืนยง  โลหิตที่จะหลั่งออกเพื่อยกบาปของท่านและมนุษย์ทั้งหลาย” ป.ล. ถึงเพื่อนต่างศาสนา ในพิธีเสกศีลมหาสนิท  หรือการเปลี่ยนแผ่นปังให้เป็นพระกายแท้  และเปลี่ยนเหล้าองุ่นให้เป็นพระโลหิตแท้ของพระเยซูคริสต์นั้น  “การเปลี่ยนโดยเนื้อแท้ (Substance)” นั้นมาจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  บาทหลวงผู้ประกอบพิธีมีหน้าที่เพียงการกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น เท่านั้น จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 13:54:57

ความคิดเห็นที่ 19 แถมให้อีกหนึ่ง ปี 1531  ประเทศเม็กซิโก เช้าวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 1531  ยวง ดิเอโก  ชาวอินเดียนแดงผู้ยากจน  แต่ดำเนินชีวิตอย่างไม่มีที่ติ  ขณะที่เขากำลังเดินทางผ่านภูเขาเตเปย้าก  เพื่อที่จะไปร่วมพิธีถวายบูชามิซซาที่โบสถ์ซานเตียโก  ตาลเตโลโก  พระแม่มารีประจักษ์มาหาเขา  ตรัสว่า “ลูกรัก เราคือมารีอา พรหมจารีและมารดาพระเจ้า  เราปรารถนาให้เขาสร้างโบสถ์ในที่นี้  ณ โบสถ์นี้ เรา มารดา ผู้รักชาวอินเดียน จะแสดงความเมตตาอย่างลึกซึ้งสำหรับผู้ที่มาหาเรา  เพื่อให้สำเร็จตามความปรารถนานี้  เจ้าจงไปเมืองเม็กซิโก  ไปบอกท่านสังฆราชว่า  เราเองส่งเจ้าให้ไปหา  เพื่อให้ท่านสร้างโบสถ์ ณ ที่นี้” ยวง ก็ตรงไปยังสำนักพระสังฆราช  คนรับใช้ของพระสังฆราชเห็นยวงแต่งกายซอมซ่อ  ก็พยายามกีดกันไม่ให้เข้าพบ  แต่ทนลูกตื๊อไม่ไหว  ในที่สุดยวงก็ได้เข้าพบพระสังฆราช  ซึ่งท่านยังสงวนท่าทีอยู่  บอกกับยวงว่าให้ขอเครื่องหมายเพื่อแสดงว่าผู้ที่ประจักษ์มานั้นเป็นแม่พระจริงๆ ยวงจึงเดินทางกลับ  พบแม่พระในที่เดิมอีก  พระองค์ตรัสว่า  “รุ่งขึ้นเจ้าจงมาที่นี่  เพื่อจะได้นำเครื่องหมายไปให้พระสังฆราช”   ยวงดีใจมาก  เขากลับไปบ้านพบลุงของเขาซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงไม่มีทางรักษา  มีอาการทรุดหนักลงอีก  วันรุ่งขึ้นเขารีบไปที่โบสถ์เพื่อตามบาทหลวงมาโปรดศีลสุดท้าย  ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่พระ  เมื่อมาถึงที่เดิมเขาพบแม่พระอีก  พระองค์ตรัสว่า “ฟัง ลูกรัก ลูกไม่ต้องเป็นห่วงกังวลด้วยสิ่งใด   เรามิได้เป็นแม่ของเจ้าดอกหรือ?  เจ้าไม่ได้อยู่ภายใต้ความอารักขาของเราหรือ?  ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการป่วยของลุง  เขาจะไม่ตาย  รู้ไว้เถิดว่า  เวลานี้เขาสบายดีแล้ว”   จากนั้นแม่พระจึงสั่งว่า  “จงขึ้นไปยังยอดเขา  แล้วเก็บดอกกุหลาบทั้งหมดใส่ในเสื้อคลุม  แล้วกลับมาที่นี่  เราจะบอกว่าต้องทำอย่างไร” ยวงรู้สึกแปลกใจ  เขารู้ดีว่าบนยอดเขานี้มีแต่หิน  แต่ก็เคารพเชื่อฟัง  เขาขึ้นไปที่ยอดเขาเตเปย้าก  เห็นพุ่มดอกกุหลาบหอม  เขาเก็บดอกกุหลาบเหล่านั้นแล้วกลับมาหาแม่พระ  พระองค์ทรงหยิบช่อกุหลาบจัดลงในเสื้อคลุมของยวง  ตรัสว่า “นี่คือเครื่องหมายที่ต้องนำไปให้ท่านสังฆราช  อย่าให้ใครดูดอกกุหลาบนี้ตามทางที่พบ  อย่าเปิดเสื้อคลุมให้ใครดูนอกจากเวลาอยู่ต่อหน้าท่านสังฆราช”     ยวงรีบไปหาท่านสังฆราช  ครั้งนี้เขารบเร้าจนคนรับใช้สงสัยว่าเขาซ่อนอะไรมาในเสื้อคลุม  เกิดการยื้อแย่งกัน  ยวงเกรงว่าดอกกุหลาบจะช้ำจึงเปิดให้ดู  เมื่อคนรับใช้เห็นกุหลาบงามเช่นนั้นจึงเอื้อมมือมาจับ  แต่จับไม่ได้เพราะกลายเป็นภาพวาดติดกับผ้า  ทุกคนตะลึงงัน  และคุกเข่าลง  เมื่อยวงได้เห็นภาพนั้น  เขากล่าวด้วยความยินดีอันใหญ่หลวง  “นี่คือรูปของสตรีที่ได้ประจักษ์มา” เมื่อยวงกลับถึงบ้าน  พบว่าลุงของเขาหายเป็นปกติ  ตรงกับเวลาที่แม่พระตรัสกับเขา  เรื่องการหายจากโรคอย่างอัศจรรย์นี้เป็นเครื่องยืนยันอีกประการหนึ่งว่าผู้ที่ได้ประจักษ์มานั้นเป็นแม่พระจริงๆ พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ทรงมีพระดำรัสทางวิทยุวาติกัน สำหรับทวีปอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1945 ว่า  “พู่กันที่ใช้วาดรูปนี้  มิใช่พู่กันของโลกนี้”   การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เสื้อคลุมนี้เป็นเสื้อคลุมที่คนจนในสมัยนั้นใช้กันอยู่ทั่วไป  ทอขึ้นจากเส้นใยหยาบๆ ของต้นตะบองเพชร  โดยทอขึ้นเป็น 2 ชิ้นแล้วนำมาเย็บติดกันด้วยด้ายธรรมดาๆ  ซึ่งปกติจะผุเปื่อยภายในเวลาไม่เกิน 25 ปี  แต่เสื้อคลุมตัวนี้ทอขึ้นตั้งแต่ปี 1531  คือเป็นเวลากว่า 4 ศตวรรษมาแล้ว  ก็ยังไม่ผุพังใดๆ  ทั้งๆ ที่ 116 ปีแรกมิได้เก็บรักษาไว้ในตู้แก้ว สีของภาพนี้ยังคงสดใหม่เหมือนเพิ่งวาดเสร็จ  ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ปี 1789  ดร.บาร์โตลาเช่ ได้จัดให้มีการวาดภาพลงบนเสื้อคลุม  โดยเลียนแบบของเดิมทุกอย่าง  ทั้งในแง่วัสดุที่ใช้  และกรรมวิธีในสมัยโบราณ  ผลปรากฏว่าสีต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  สีขาวกลายเป็นสีหม่น  สีแดงกลายเป็นสีกาแฟเข้ม  สีกุหลาบกลายเป็นสีขาวที่สกปรก เป็นต้น ปี 1975  ดร.เอ็ดวาร์โด พบว่าสีที่ปรากฏนั้น  อยู่ในใยเส้นผ้าตั้งแต่แรก  มิใช่เป็นการวาดภาพลงบนผืนผ้า  แต่เป็นภาพที่ปรากฏอยู่ตลอดความหนาของผืนผ้านั้น ปี 1979  ศาสตราจารย์กัลลาฮันและศาสตราจารย์สมิธ  ได้ตรวจสอบภาพนี้ด้วยรังสีอินฟราเรด  พบว่าภาพนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน  ส่วนแรกคือภาพพื้นประกอบที่จิตรกรหลายท่านได้วาดเสริมเติมแต่งขึ้น  เช่น ส่วนที่เป็นรังสีดวงอาทิตย์และดวงดาวต่างๆ  มีการใช้สีต่างๆ ที่รู้จักกัน  ซึ่งสีเหล่านี้หมดสภาพไปแล้ว ส่วนที่สองคือภาพดั้งเดิม  ซึ่งได้แก่พระพักตร์  พระหัตถ์  ผ้าคลุมพระเศียรสีขาว  และชุดกระโปรงสีกุหลาบ นั้น  ทำด้วยสีที่ไม่สามารถอธิบายได้  เพราะมิใช่สีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเช่นสีอื่นๆ  เป็นสีที่ยังสดใสราวกับว่าเพิ่งจะวาดเสร็จเมื่อไม่กี่วันมานี้  ซึ่งหากทำด้วยสีธรรมชาติแล้ว  สีดังกล่าวจะเสื่อมคุณภาพไปตามกาลเวลาโดยเฉพาะในอากาศร้อน  และเป็นสีที่รังสีอินฟราเรดจับไม่ได้  ทั้งๆ ที่มองเห็นได้ในแสงสว่าง  การที่สีดังกล่าวจะอยู่คงที่ได้ปกติต้องเคลือบด้วยสารเคมีป้องกัน  แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการใช้สารเคลือบใดๆ เลย การพยายามอธิบายด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทุกครั้ง  ย้ำความเชื่อมั่นว่า  อะไรคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น  และอะไรคือสิ่งที่มนุษย์มิได้เป็นผู้สร้าง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 13:58:54

ความคิดเห็นที่ 20 ขออภัยถ้าข้อความต่อไปนี้อาจดูโง่งมในสายตา คุณ หนุ่มไทยไร้นาม  แต่เป็นเพราะความไม่เข้าใจจริงๆ  ถึงแสดงความเห็น       ความดังกล่าว  ถ้าเป็นจริงเมื่อ 30 กว่าปีมานี้เอง น่าจะเป็นเรื่องคึกโคมยิ่งกว่าเรื่องใด ๆ ในยุคนั้น  แต่ก็ต้องบอกว่าผมเองไม่เคยได้ยินเลย (อาจเป็นข้อผิดพลาดของผมเอง)  ถึงกะนั้นก็น่าจะพูดกันไม่รู้จบ  เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องพอ ๆ กับเรื่องเล่าความพิศดารในพงศาวดารไทย  น่าจะเป็นทัศนะ-ความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งที่พูดต่อ ๆ กันมา เพิ่มความพิศดารเรื่อย ๆ เท่านั้น        และถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง  ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้พิสูจน์เรื่องความเป็นวิทยาศาสตร์หรือความเกี่ยวข้องของศาสนาหนึ่ง ๆ เลย  ก็เป็นเรื่องที่ต้องคาความสงสัยไว้   เหมือนเรื่องแปลก ๆ อื่น ๆ ที่ยังไม่มีคำตอบ   ถ้าเราจะบอกว่าเป็นเพราะพระเป็นเจ้าท่านทำอัศจรรย์ให้เห็นเพื่อคนจะได้เชื่อว่าท่านมีจริงพูดไว้จริงตามคำภีร์  ท่านน่าจะทำอะไรที่มันเห็นได้ชัดสำหรับคนปัจจุบันเพื่อพิสูจน์ความเป็นวิทยาศาสตร์ ได้มากกว่าแบบนี้  เรื่องราวแบบนี้ก็มีกันทุก ๆ ศาสนานะครับ        ขอย้ำนะครับ  ไม่มีเจตนาลบหลู่อะไรทั้งสิ้น  มันเป็นปัญหาคาใจของผมและอาจจะอีกหลาย ๆ คน  หรืออาจจะคิดว่าผมยังเป็นพวกที่ยังล้าหลังอยู่ก็ได้ครับ จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 14:41:05

ความคิดเห็นที่ 21 ยังไม่ได้อ่านความคิดเห็นของท่านอื่นๆ นะคะ ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นก่อน จุดร่วมของคำสอนของศาสนา และวิทยาศาสตร์นั้น น่าจะมาจากจุดมุ่งหมายเดียวกันรึเปล่า ต่างก็พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ หรือสร้างวิธีการที่จะอธิบายสิ่งต่างๆ หรือ สรุปวิธีการที่จะทำให้ มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในธรรมชาติได้อย่างเป็นสุข คำสอนของศาสนาหรือลัทธิและวิทยาศาสตร์นั้น จึงสามารถหาจุดร่วมที่เหมือนกันได้ ธรรมชาติ ในที่นี้ ก็หมายถึงทุกอย่างในโลก... คน สัตว์ ดิน น้ำ ลม ไฟ ฟ้า ป่าเขา สสาร พลังงาน คลื่น รังสี ฯลฯ จากคุณ : S77 เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 15:10:56

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่มีปัญหาใดๆ ครับ คุณวรรณเกษม คุยเรื่องศาสนาในห้องนี้แหละ ดีแล้ว เพราะแต่ละคนมีวุฒิภาวะแล้วทั้งนั้น แต่ถ้าไปห้องศาสนา ไม่แน่ อาจมีเรื่อง เพราะห้องนั้นเด็กๆ เยอะครับ อัศจรรย์สองเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังข้างบน หลักฐานยังอยู่จนทุกวันนี้ครับ ยังมิได้เสื่อมสลายไปเลย ผมเคยโพสต์เรื่องนี้ในห้องหว้ากอ พอดีมีสมาชิกคนหนึ่งในห้องหว้ากอเขากำลังจะไปเม็กซิโก เขาสนใจมาก ถามว่าภาพพระแม่มารีที่ว่านี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ไหน ผมบอกเขาไป เขาบอกว่าเขาจะไปดูให้เห็นกับตา เรื่องอัศจรรย์หรือเรื่องเหนือธรรมชาตินี้ มีมาทุกยุคทุกสมัยครับ เพียงเราต้องติดตามข่าวคราวแค่นั้นเอง ที่เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลกเมื่อไม่นานมานี้ก็คือเรื่องของนักบุณคุณพ่อปีโอ ผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) ครบทั้งห้าแห่งเหมือนพระเยซูคริสต์ เรื่องรอยแผลศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นเรื่องที่แปลกมาก นักบุญบางองค์ก็มีรอยแผลติดตัวตลอดเวลา มีเลือดซึมตลอดเวลา แถมยังมีกลิ่นหอม หมอรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย นักบุญบางองค์ก็เป็นเฉพาะในวันฉลองสำคัญๆ พอพ้นวันฉลองนั้นไปแล้ว จู่ๆ รอยแผลนั้นก็หายไป พอถึงวันฉลองสำคัญๆ วันต่อไป อ้าว รอยแผลศักดิ์นี้กลับเป็นขึ้นมาอีก นักบุญคุณพ่อปีโอมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1887-1968 นี้เองครับ และได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญเมื่อปี 2002 ท่านได้รับพระพรพิเศษหลายประการ หยั่งรู้อนาคต หยั่งรู้จิตใจคน รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้เป็นหมอ ท่านสามารถอยู่สองที่ในเวลาเดียวกันได้ (bilocation) ที่พิสดารที่สุด ย้อนยุคไปถึงสมัยพระเยซูคริสต์โน่นเลย มีผู้มาขอรับศีลอภัยบาปจากท่าน มีผู้ประเมินตัวเลขไว้ว่าคุณพ่อปีโอโปรดศีลอภัยบาปให้สัตบุรุษมากถึง 2 ล้านคน ในระยะเวลา 51 ปี จนถึงกับต้องแจกบัตรคิวกันเลยทีเดียว เพราะเหคุใดคนจึงมากมายขนาดนี้? ก็เพราะท่านหยั่งรู้น่ะสิ ใครไปทำบาปอะไรไว้ที่ไหน ท่านรู้หมด คนที่ไปขอรับศีลอภัยบาปจากท่านจึงโล่งใจเพราะได้สารภาพบาปหมดทุกข้อแล้ว บางข้อแม้กระทั่งตัวเองก็ลืมไปแล้ว แต่คุณพ่อปีโอยังรู้ ยังครับ ยังไม่หมด นักบุญคุณพ่อปิโอยังเป็นนักแปลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เทียบเท่าอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ในวัน "เปนตากอสเต" ที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพวกเขาเลยทีเดียว ผู้ที่มาขอรับศีลอภัยบาปจากท่าน มีมากมายหลายชาติหลายภาษา ทั้งรัสเซีย อเมริกา ต่างก็พูดเป็นภาษาของตน แต่นักบุญคุณพ่อปีโอได้ยินเป็นภาษาอิตาเลี่ยน ท่านก็โปรดศีลอภัยบาปให้พร้อมกับเทศน์สอนเป็นภาษาอิตาเลี่ยน คนฟังกลับได้ยินเป็นภาษาของตน จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 15:58:34

ความคิดเห็นที่ 23 ความแตกต่างระหว่างศาสนา มีทั้งโลกนี้ โลกหน้า แต่ปรัชญา จะมีเฉพาะปัจจุบัน ถามว่า ทำไม พุทธ จึงเป็นความจริง ทางวิทยาศาสตร์ คำตอบ ก็อย่างที่หลายๆคนว่าไปแล้ว ไม่ใช่ ว่า อะไร เหมือน ตรงกับวิทยศาสตร์ หรือ ประเภทที่ว่า พุทธ เจอแล้ว วิทย์พึ่งเจอ แล้วเอามาเปรียบเทียบ ว่า ฉันเจอแล้วๆ เห็นไหม ฉันถูก มันไม่ใช่ครับ ถามว่า มีหรือเปล่า มันก็คงมี มั๊งผมไม่รู้ เพระผมไม่ได้เรียนทางวิทย์ แต่ประเด็นจริงๆ คือที่ทำให้พุทธ ถูกโยงได้กับวิทยาศาสตร์ได้ ก็คือ แนวคิดที่เป็นวิทยศาสตร์ ต่างหากครับ การ หาเหตุหาผล อริยสัจสี่ การเปลี่ยนตามกฏไตรลักษณ์  หรือ การแม้แต่สภาพจิตของมนุษย์ พุทธ คือ ศาสนา ที่เป็นแนวทาง ไม่ใช่ วิถี ที่จะกำหนดทุกสิ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบในเชิงรัฐศาสตร์ ก็คงคล้ายกับ รัฐธรรมนูญอเมริกา ที่จะกำหนด หลักการเอาไว้ แล้ว ให้ คน ไปวางกฏ ที่เป็นรายละเอียดอีกที ว่า อะไรเป็นอะไรครับ จากคุณ : Angleevil เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 16:04:02

ความคิดเห็นที่ 24 ผมว่า ที่คุณ หนุ่มไทยไร้นาม ว่ามาเป็นความเชื่อและศรัทธา หาใช่ วิทยาศาสตร์ไม่ จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 16:54:26

ความคิดเห็นที่ 25 เพราะศาสนาพุทธใช้ผลการทดลองเป็นข้อสรุปการกระทำต่างๆ  คือพิสูจน์ก่อน และเมื่อเห็นว่าเป็นจริงตามธรรมชาติแล้วจึงเชื่อ ในขณะที่ ศาสนาอื่น ต้องเชื่อและศรัทธาก่อนจึงจะเกิดปาฏิหาริย์ ต่างกันอย่างนี้ แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามาบ่นว่า ของใครดีกว่าของใคร (งดดราม่า) จากคุณ : Sith Lord Nindle เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 17:12:07

ความคิดเห็นที่ 26 ผมมีเพื่อนหลายคนที่อ้างหรือคิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้ในศาสนาพุทธ  เวลาโต้เถียงกันก็ดูจะพยายามพูดแบบนี้แหละครับฟังแล้วก็เหมือนจะเป็นวิทฯดี        แต่เห็นเวลาปกติก็มักจะมีเรื่องที่คิดว่าไม่ใช่ศานาพุทธมาปนอยู่เรื่อย  เช่น เคารพบูชา เทพนู่นเทพนี่  หรือคิดว่าพระองค์นั้นเข้าขั้นเทพ-อรหันท์ รู้จริงรู้แจ้ง  แบบหลับตาเห็นอนาคต คนนั้นคนนี้ ได้   หรือไม่ก็แจกนู่นแจกนี่  หรือซัดน้ำมนต์  ทำให้เวลาจะพูดเรื่องนี้กับใครผมจึงต้องแยกแยะก่อนว่าพุทธแบบใหน   ผมเชื่อว่าแบบนี้ไม่น่าจะเป็นพุทธแท้ ๆ  แบบนี้น่าจะเรียกว่าพุทธแบบไทย ๆ  คือมีทั้งพุทธแท้ ๆ มีทั้งฮินดูผสมพรามห์ ความเชื่อแบบท้องถิ่น ประเพณี ค่านิยม ต่าง ๆ ผสมมาเป็นพุทธแบบไทย ๆ  อันนี้แหละที่ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นวิทยาศาสตร์         ผมยังมองเห็นคุณค่าของศาสนาต่อมนุษย์โลกอยู่  ไม่ได้ปฏิเสธไปหมดซะทุกอย่าง   แม้ว่าทัศนของตัวเองจะมองศาสนาทั่วไปในแง่ค่อนข้างไม่ค่อยน่าเชื่อถือ  แต่ก็ไม่ยัดเยียดความคิดนี้ให้ใครแม้แต่คนไกล้ชิดเช่นลูก จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 17:52:31

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ หลี่ เสียนหลอ เข้าใจผิดแล้วครับ อย่าว่าแต่พระเยซูคริสต์หรือพระแม่มารีเลย แม้แต่การสถาปนานักบุญ พระศาสนจักรคาทอลิกก็ยังใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วย ในการสถาปนานักบุญนั้น มีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้ 1. มีวี่แววตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว เพราะดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนเห็น 2. เมื่อท่านอำลาโลกนี้ไปเฝ้าพระเจ้าแล้ว ก็มีผู้เสนอสำนักวาติกันให้สถาปนาท่านเป็นนักบุญ เพราะได้เห็นมาแต่แรก 3. สำนักวาติกันสืบประวัติอย่างเข้มข้นและยาวนาน เพื่อให้ชัวร์จริงๆ 4. แต่กระนั้นก็ยังไม่ชัวร์ ต้องรอครับ รอสัญญาณจากสวรรค์ ให้เกิดอัศจรรย์ในสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ เพื่อเป็นเครื่องหมายยืนยัน 5. ยังครับ ยังมีอีก ให้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำมาพิสูจน์ว่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ โยนผ้าขาวยอมแพ้ไปตามๆ กัน เมื่อนั้นแหละทางวาติกันจึงจะสถาปนาเป็นนักบุญ ไม่ง่ายหรอกครับ แล้วยังงี้จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ได้ไง ก็บรรดานักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิทั้งหลายเขายอมแพ้ไปหมดแล้ว จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 19:59:06

ความคิดเห็นที่ 28 -หนุ่มไทยไร้นาม คุณไม่ทราบจริงๆหรือ ว่าที่คุณพิมพ์นะเป็นขั้นตอน เป็นสิ่งที่บอกเล่ากันมา ซึ่งไม่ ได้บอกเหตุที่มาที่ไป ซึ่งความเชื่อก็ไม่ได้ผิดอะไร ถ้าอยากถกในเชิง วิทยาศาสตร์ เดี๋ยวจะยาว ลองตั้งสติให้ดี   -นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้อยู่แล้ว อย่างทุกวันนี้ ที่กำลังทำเรื่อง บิ๊กแบง กำเนิดของโลก อยู่  ซึ่งเมื่อก่อนคนฝั่ง ยุโรปยังเชื่อกันอยู่เลยว่ามันแบน **แก้ไขข้อความ อันที่จริง  บิ๊กแบง  คือการกำเนิดจักรวาล** แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 53 20:26:52 จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 20:19:01

ความคิดเห็นที่ 29 #18 เรื่องที่คุณเล่ามาสิ่งที่พิสูจน์โดยทางวิทยาศาสตร์คือ ก้อนเนื้อนั้นเป็นกล้ามเนื้อหัวใจและก้อนแข็งๆนั้นเป็นก้อนเลือด มันไม่สามารถตอบคำถามได้ว่ามันเกิดจากปาฎิหาริย์จริงหรือเปล่าเพราะต้นกำเนิดของของสองสิ่งนั้นมีที่มาจากพยานบุคคลประมาณ ค.ศ. 700 และมีบันทึกหลักฐานแรกสุด ในปี 1574 ซึ่งพยานบุคคลก็คือพยานบุคคล สิ่งที่คุณว่ามาจึงไม่สามารถระบุได้ว่าปาฎิหาริย์มีจริง (นอกจากจะเชื่อพยานบุคคล) และเท่าที่ผมหาอ่านมาไม่มีบันทึกสมัย ค.ศ. 700 ที่พูดถึงเรื่องนี้ จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อย่างน้อยน่าจะมีหลักฐานร่วมสมัยเป็นบันทึกหรือจดหมายอะไรเหลืออยู่บ้าง จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 53 23:17:00

ความคิดเห็นที่ 30 คุณผ้าพับไว้ครับ อย่างที่คุณคิด นะเขาเรียกว่า ความเชื่อครับ ปรัชญา คือ ส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ มนุษย์เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิต ที่อยู่ในโลกดวงหนึ่ง ที่ดำเนินไปตามกฏ ฟิสิกส์ และพลังงาน ที่สัมพันธ์ กับสสาร หรือ สารเคมี จักรวาล ผ่านมา หลายพันล้านล้านปี ไม่มีมนุษย์ ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีศาสนาใด ศาสนาเพิ่งจะเกิด ไม่กี่พันปี และเป็นส่วนที่เกิดจากความกลัวของสัตว์ที่มีสมองซับซ้อนที่เรียกว่า Homo sapiens ความรู้พวกนี้จึงเป็นแค่ส่วนย่อยของจักรวาล เพียงแต่มันเป็นเรื่องใกล้ตัว จึงมองว่ามาก มันเป็นเรื่องที่คุณเชื่อและศรัทธาเลยมองว่ายิ่งใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก ปัจจุบัน เขาไม่นับถือศาสนากันแล้วครับ เขาใช้แต่ปรัชญา และ จริยธรรม ที่เกิดจาก จิตสำนึก ที่เกิดโดย ความดี ในใจของเขาเอง ไม่ได้เกิดจากความกลัวบาปครับ และอีกไม่นาน เมื่ออารยะธรรมมนุษย์ มาถึงจุดสูงสุด ก็ ก้าวผ่านความเชื่อ และความกลัวทิ้งไว้เบื้องหลังครับ ซึ่งการที่คุณจะเชื่อ ก็เป็นสิทธิของคุณ แต่อย่าลากคนอื่น ที่เขาข้ามผ่านมาแล้วต้องกลับไป ในวังวนแห่งความไม่รู้ครับ คุณจะเป็นพุทธแท้ พุทธที่ปราศจากเปลือกพราห์ม อย่างสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อ คุณ ไม่ยินดียินร้าย ต่อผู้ที่ต่อว่าศาสนาและศาสดาที่คุณนับถือ นั่นคือที่สุดแห่งอุเบกขาครับ เพราะจริงๆ ทุกสิ่งล้วน อนัตตา ออกมาจากพิธีกรรม ความเชื่อ อยู่บนเหตุผลที่ตั้งอยู่ในปรัชญาแห่งจริยะธรรมอันดี จะช่วยลดปัญหาและความขัดแย้งที่มีอยู่ในโลกนี้ครับ จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 01:09:44

ความคิดเห็นที่ 31 /\ /\ คุณ Paphmania ฮึ ๆ ถ้าสิ่งที่คุณบอกมาว่า สิ่งที่ผมเข้าใจมันคือความเชื่อ ผมก็คิดว่าวิทยาศาสตร์ของคุณก็คือความเชื่อหนึ่งเช่นกันครับ เพราะถ้าคุณไม่เชื่อ ศรัทธาก็ไม่เกิด เมื่อศรัทธาไม่เกิด คุณก็ไม่คิดอยากจะไปนับถือหรือลงมือทำตามสิ่งที่เขาสอนมาหรอกครับ นักวิทยาศาสตร์ทุกคนต้องมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่า "น่าจะถูกต้อง" ทั้งนั้นล่ะครับ เขาถึงลงมือทดลองทางวิทยาศาสตร์กัน อย่างกรณีกาลิเลโอที่ทำการทดลองทั้งหลายแหล่ ถามว่า ถ้ากาลิเลโอเชื่อตามความคิดเดิมในยุคนั้น กาลิเลโอ จะมาทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่แหกกฎความเชื่อเดิม ๆ เช่น โลกแบน ฯลฯ ไหมล่ะครับ ? ไป ๆ มา ๆ ผมมองว่าคนที่เชื่อถือวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ต่างจากคนนับถือศาสนาเท่าไร โดยมีศาสดาคือ "นักวิทยาศาสตร์"  อาจจะมีพระเจ้าหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามีพระเจ้าของนักวิทยาศาสตร์ก็คือ "ตัวของเขาเอง" ที่จะเป็นผู้บัญญัติสรรพสิ่ง(ที่เขาคิดว่าจะต้องเป็นไปตามที่เขาคิด หรือที่เขาทดลองได้) ส่วนสาวกก็คือ ผู้ที่ทำการทดลองตามหลังกันมานั่นเอง ภายหลัง ถ้ามีนักวิทย์รุ่นหลังเกิดทดลองแล้วได้ผลต่างออกไป ก็จะเกิดการบัญญัติศาสนาใหม่ขึ้นมา กลายเป็นความเชื่อในยุคต่อมานั่นเองครับ ไม่ต่างจากหลาย ๆ ศาสนาที่แบ่งความเชื่อเรื่องศาสนาของตัวเองไว้หลายยุคครับ ถ้าผมมองมุมนี้ ผมก็คิดแบบนี้ครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 08:05:02

ความคิดเห็นที่ 32 ประเด็นต่อมา เรื่องพุทธแท้พุทธเทียม และการลากคนอื่นไปไหนต่อไหนนั้น เจตนาที่ผมเขียน ผมเขียนเพื่ออธิบายให้เจ้าของกระทู้ทราบเท่านั้นครับ ส่วนท่านใดจะคิดว่าเป็นการลากคนอื่นไปไหนต่อไหน ตรงนี้ต้องแล้วแต่จิตสำนึกของท่านผู้นั้นครับ ก็เหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ผมได้บอกไปในความเห็นข้างบน ถ้าคนไม่เชื่อไม่ศรัทธา เขาก็ไม่ทดลองทำให้เมื่อยมือหรอกครับ ถ้าเปรียบเทียบเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การจะมานับถือศาสนาได้ ก็ต้องมีตั้งแต่สังเกต ,ตั้งสมมติฐาน,รวบรวมข้อมูล,ทดลอง,สรุปผล ถ้าเป็นคนที่มีแนวคิดอย่างคุณ ผมว่ากระบวนการทดลองนี้โดนตีตกไปตั้งแต่การตั้งสมมติฐานแล้วล่ะครับ เพราะผมเดาได้ว่า สมมติฐานของคุณก็คือสิ่งที่คุณคิด ไม่เช่นนั้นคุณคงไม่เขียนออกมาแบบนั้น พอสมมติฐานของคุณเป็นแบบนั้น คุณก็เลย "ข้ามกระบวนการทดลอง" ไปและสรุปผลจบเลยทันที ซึ่งกรณีแบบนี้ไม่แปลก คนสมัยนี้ก็เป็นกันเยอะ ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรแต่อย่างใดครับ มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมา คนทั้งโลกใบนี้ไม่ได้นับถือพุทธหมดทั้งโลกสักหน่อย แม้แต่ในเขตที่พระพุทธศาสนาเผยแพร่ไป คนก็ไม่ได้นับถือพุทธทุกคนสักหน่อย บางคนนับถือพุทธแล้วภายหลังจะเปลี่ยนไม่นับถือก็มีไม่น้อย ฯลฯ เหตุและผลเหล่านี้ ทางพระพุทธศาสนาท่านสอนไว้อยู่แล้ว และท่านก็ให้มองเหตุการณ์เหล่านี้ให้เป็นเรื่องปกติ ดังในข้อธรรมเรื่องโลกธรรม ๘  ถามว่ามีผลอะไรมากไหม คำตอบก็คือไม่มีครับ มันคือเรื่องของกรรมของแต่ละคน พระพุทธศาสนาไม่ได้บังคับว่า ถ้าคุณไม่ทำสิ่งนี้แล้วจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้นะ อันนี้มันเรื่องสิทธิของบุคคลนั้น ๆ ครับ เพียงแต่ว่า สิ่งที่คุณทำไม่ว่าจะดีหรือไม่ ทางพระพุทธศาสนาท่านบอกไว้ว่า มันจะส่งผลกับคุณในอนาคตเท่านั้นเอง ถ้าทำดีผลที่ดีก็จะรอตอบสนองคุณ ถ้าทำชั่วผลชั่วมันก็รอตอบสนองคุณ มันก็เหมือนกฎของไอสไตน์ที่ว่า สสารไม่สูญหาย แต่เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้นั่นล่ะครับ อุเบกขาที่คุณว่ามา มันต้องใช้ในกรณีช่วยเขาถึงที่สุดแล้ว ช่วยไม่ได้ พระท่านบอกว่าไม่ให้เสียใจถ้าช่วยเขาไม่ได้ นั่นถึงจะเรียกว่าอุเบกขา ไม่ใช่ทำเป็นหัวหลักหัวตอ เหมือนกรณีลูกศิษย์หลวงปู่ชาองค์หนึ่ง ท่านอยากจะฝึกอุเบกขา ท่านก็ปล่อยให้กุฏิของท่านโทรม จนหลังคารั่ว เวลาแดดออกแดดก็ส่องจนร้อน เวลาฝนตกน้ำก็รั่ว หลวงปู่ชา ท่านก็บอกให้ลูกศิษย์ไปซ่อมหลังคาเสีย ลูกศิษย์ท่านตอบว่า ผมปล่อยวาง(อุเบกขา)แล้วครับ หลวงปู่ก็เลยบอกว่า อุเบกขาแบบคุณเขาเรียกว่า "อุเบกขาควาย"  คือทำอะไรแบบไม่ใช้สมอง ท่านไม่ให้ยึดติด แต่เมื่ออยู่กับสมมติของโลก ก็ต้องดูแลมันให้ดี แม้แต่ในสมัยพุทธกาล ที่บรรดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ มากล่าวตู่พระรัตนตรัยหนักกว่ากรณีที่คุณว่ามาอีก ก็จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์และพระสาวก ต่างก็มีวิธีการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ "อยู่เฉย ๆ (อุเบกขาอย่างที่คุณเข้าใจ)" และการแก้ปัญหาก็มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับปัญหาที่พบ ในกระทู้นี้ก็เช่นกัน เมื่อผมเห็นเจ้าของกระทู้ถามมา ผมก็เข้ามาตอบ ใครจะหมิ่นพระพุทธศาสนาก็เรื่องของเขา เพราะเห็นมาเยอะ เมื่อผมตอบไปตามความเป็นจริง แล้วคุณมาบอกผมอย่างนี้ ผมก็ต้องอธิบายให้คุณฟัง แต่คุณจะเชื่อหรือไม่ นั่นเรื่องของคุณนะครับ และเมื่อผมอธิบายจบแล้ว ก็ถือว่าหมดหน้าที่แล้วนั่นเอง   แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 08:32:42 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 08:30:53 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 08:28:07

ความคิดเห็นที่ 33 #30 อย่างแรกนะรับ ผู้เจริญแล้วเค้าไม่ดูถูกความเชื่อของใคร ใครมีสิทธิ์จะเชื่อ ก็เชื่อ ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อ แล้วใครที่เชื่อ ก็มีสิทธิ์ที่จะพูดว่าเค้าเชื่อ เผยแพร่แนวคิดเค้าให้รับรู้โดยทั่วไป ถ้ามันไม่ผิดหลักจริยธรรมและศีลธรรม ผมติดใจคำนี้ของคุณครับ "แต่อย่าลากคนอื่น ที่เขาข้ามผ่านมาแล้วต้องกลับไป ในวังวนแห่งความไม่รู้ครับ" ผมอ่านแล้วรู้้สึกไม่ค่อยดี ในด้านคำพูดที่คุณใช้ บางครั้ง การคุยเรื่องความเชื่อ ก็ควรจะถนอมน้ำใจกันไว้บ้าง คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ ถ้ามีคนดูถูกในสิ่งที่คุณเชื่อ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 09:00:17 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 08:59:38

ความคิดเห็นที่ 34 แก่นแท้ของคำสอน(เกือบ)ทุกศาสนานั้น สอนให้คน "ทำความดี ละเว้นความชั่ว" คนที่นำหลักคำสอนมาตีความ (ตามความเข้าใจของตัวเอง) จนเกิดแนวคิดที่แตกต่าง แปลกแยก ร้อยแปดพันเก้า ล้วนเกิดจากคนทั้งสิ้น หาใช่ที่ตัวศาสนาไม่ แก่นคำสอนที่เป็นสัจนิรันทร์ สามารถอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้ทั้งสิ้น หากอธิบายไม่ได้ ก็แสดงว่า วิทยาการในปัจจุบันยังไม่ถึง แก่น หรือไม่ก็ คำสอนนั้นๆ ไม่ได้เป็นสัจนิรันทร์ นั่นเอง จากคุณ : Sarani เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 11:03:24

ความคิดเห็นที่ 35 วิทยาศาสตร์อาจจะเริ่มที่ความเชื่อ(แต่ผมว่าไม่ใช่ มันเริ่มที่ความสงสัย) แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนิกคือ นักวิทยาศาสตร์มีสิทธิ์เลือกที่จะทิ้งความเชื่อนั้นได้ทุกเมื่อถ้ามีหลักฐานใหม่ๆที่สามารถอธิบายปรากฎการณ์ได้ดีกว่าและยังคงเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ศาสนิกไม่มีสิทธิ์นั้นครับ การเอานักวิทยาศาสตร์มาเทียบกับ Founder นี่....แปลก พูดได้แค่นั้น เพราะวิทยาศาสตร์ไม่ได้เรียกร้อง Faith แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อเพราะมันมีเหตุผลและหลักฐานเพียงพอให้เชื่อ ต่างกับศาสนา (ส่วนใหญ่) ที่บอกให้เชื่อเพราะต้องเชื่อก่อน และสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วนั้นสามารถกระทำซ้ำได้ แสดงหลักฐานให้เห็นได้ และใครๆก็ทำได้ถ้ามีเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอและทำตามกระบวนการที่เปิดเผยเอาไว้ (ปาฎิหาริย์ทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เรียกปาฎิหาริย์หรอก lol) 100 คนทำตามคู่มือก็ได้ผลเหมือนกัน ไม่ว่าคนๆนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่มีการว่าคนที่เชื่อเท่านั้นถึงจะใช้เครื่องมือนี้แล้วเห็นผล (GT200) ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อเรื่องแรงโน้มถ่วง ถ้าคุณทิ้งแอปเปิ้ลภายใต้สนามโน้มถ่วง มันย่อมตกลงไปยังศูนย์กลางของสนามโน้มถ่วงอยู่ดี จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 11:26:29

ความคิดเห็นที่ 36 # คุณ Nexus ความเห็น ๓๕ เรื่องการทิ้งความเชื่อของศาสนิกชนนั้น ตรงนี้ผมคิดว่าแล้วแต่คนนะครับ เพราะถึงแม้ศาสนานั้น ๆ จะมีกฎข้อบังคับเรื่องการละิทิ้งความเชื่อ แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ที่ศาสนิกของศาสนานั้น ๆ จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นแทน (ขออนุญาตไม่ยกตัวอย่าง ไม่อยากจะเป็นประเด็นทางศาสนา ลองหาใน google ดูก็ได้ครับ ) ---------------------------------------------------------------------------- เรื่องการนับถือเพราะต้องเชื่อก่อน ขอตอบเฉพาะทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น ถ้าดูตามพระไตรปิฎก แต่ละคนที่เข้ามาเชื่อในพระพุทธศาสนา มีที่มาที่หลากหลาย บางท่านได้ฟังคำสอนแล้วเชื่อก็มา บางท่านอยากจะมาลองดี พอลองแล้วได้ผลแล้ว ประจักษ์กับตัวเองแล้ว(จะบอกว่าทดลองและสรุปผลได้ในตัวก็ได้) จึงเชื่อ เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าต้องเชื่อก่อน ผมคิดว่าเป็นการสรุปที่ไม่ถูกต้องครับ -------------------------------------------------------------------------- เรื่องการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถทำซ้ำได้ แสดงหลักฐานให้เห็นได้ ที่คุณยกตัวอย่างของ นิวตัน  ในมุมมองของผม ถ้านิวตันแค่สงสัย แต่นิวตันไม่ทดลอง แนวคิดของนิวตันก็จะเป็นไ้ด้แค่สมมติฐาน(Assumtion)เท่านั้น เมื่อเขาทดลองซ้ำ ๆ และพิสูจน์ได้จึงจะเรียกว่าเป็นทฤษฏี(Theory) อย่างน้อย ๆ นิวตันก็ต้องมีความเชื่อมั่นในความสงสัยของตัวเอง เขาถึงลงมือทดลอง นักวิทยาศาสตร์ในโลกนี้ทุกคน ต้องมีความเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่แล้ว จึงจะมีพื้นฐานในการทดลองทั้งสิ้น ผมค่อนข้างจะไม่เชื่อว่า นักวิทยาศาสตร์จะมีแค่ความสงสัยหรือสังเกตเพียงอย่างเดียวจนทำให้เริ่มลงมือทดลองได้ครับ ถ้าดูตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ สังเกต,ตั้งสมมติฐาน เมื่อจะเปลี่ยนผ่านขั้นตอนไปเป็นรวบรวมข้อมูล ข้อมูลนั้นมาจากไหน ? ความเชื่อของคนยุคโบราณ ความเชื่อทางศาสนา ความเชื่ออื่น ๆ ต้องมีอย่างน้อยสองข้อนี้เป็นแน่ ๆ พอสิ่งที่เขาพบมันเริ่มไม่ตรงกับ ความเชื่อทั้งหลายทั้งปวงนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงเริ่มมั่นใจว่า ความเชื่อเดิม ๆ นั้นผิด จึงเริ่มทำการทดลองเพื่อหักล้างความเชื่อเดิม และพิสูจน์ความเชื่อใหม่ที่ัตัวเองคิดไว้ พระพุทธศาสนาก็ทำไ้ด้ไม่แพ้วิทยาศาสตร์เหมือนกัน  พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ตั้งแต่เรื่องของทางโลก(โลกียะ) ยันถึงระดับโลกุตตระ ซึ่งถ้าไม่เชื่อ ก็สามารถพิสูจน์ทราบได้ จะทำอีกกี่ครั้งก็ยังเป็นผลเหมือนเดิม เช่นเรื่องการรักษาศีล ๕ ถ้าเราไม่ไปฆ่าสัตว์(ไม่ว่าจะประเสริฐหรือเดรัจฉาน) เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการตามล้างแค้น ยิ่งฆ่าคน เรื่องไม่จบแน่ ๆ ถ้าเราไม่ไปลักขโมยของ เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องติดคุก เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนตามมาไล่จับเรา ถ้าเราไม่ไปผิดลูก-เมีย-สามี ชาวบ้านเขา เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องโดนไล่ตามจับ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเสียทรัพย์(ผิดกฎหมาย ต้องจ้างทนายความ เสียเวลา เสียเงิน) ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องโดนเก็บ(ถ้าทางเจ้าทุกข์เขาโกรธ) ถ้าเราไม่พูดแล้วทำให้คนอื่นเสียผลประโยชน์ หรือพูดเท็จ เราก็ไม่ต้องกลัวจะผิดกฎหมาย ถ้าเราไม่ดื่มเหล้า+ เสพสิ่งเสพติด เราก็ไม่ต้องกลัวจะต้องเสียทรัพย์ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเสียชีวิต(กินเหล้าแล้วทะเลาะวิวาทอาจถึงตาย, กินเหล้าแล้วขับรถก็ถึงตาย) นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นชัด ๆ ของหยาบ ๆ แบบนี้พระพุทธศาสนาก็สามารถ Solve ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอ้างเรื่อง นรก-สวรรค์ หรือ บาป สำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ ก็ยังเห็นผลของการทดลองนี้ได้ง่าย ๆ เลย เพราะฉะนั้น เรื่องที่ละเอียดกว่าที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ ย่อมพิสูจน์ได้เช่นกัน  สำคัญว่าจะกล้ามาพิสูจน์กันหรือเปล่า ????? แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 12:05:33 แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 53 11:47:38 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 11:41:21

ความคิดเห็นที่ 37 ลองพิสูจน์ให้ทุกคนได้ผลเหมือนกันสิครับ โดยไม่ต้องบอกว่า เวทิตัพโพ วิญญูหิติ บอกไว้ก่อนผมเป็นพุทธศาสนานิกชนที่มั่นคง แต่ผมต้อง Defend วิทยาศาสตร์ เพราะว่าคนที่เอาศาสนาไปจับ-ชนกับวิทยาศาสตร์ ท้ายที่สุดผลเสียก็จะตกกับศาสนาเอง ศาสนาก็มีขอบเขตของศาสนา ศาสนาไม่ใช่วิทยาการครอบจักรวาลที่ตอบความอยากรู้อยากเห็นได้ทุกประการ ดังนั้นศาสนิกทั้งหลายพึงเก็บศาสนาไว้ในที่ๆควรจะอยู่ อย่าพยายามมารุกล้ำในอาณาเขตของศาสตร์อื่นเลย ศาสนาที่ก้าวข้ามอาณาเขตที่ควรอยู่ทำร้ายมนุษยชาติมาหลายครั้งหลายคราแล้วครับ ในประวัติศาสตร์มนุษย์ และท้ายที่สุดความเสื่อมก็จะเกิดขึ้นกับศาสนานั้นๆเอง เอาล่ะตอบต่อคุณ ผ้าพับไว้ คุณยังยืนยันที่คุณกล่าวมานะครับ เรื่องศีลห้าที่ยกตัวอย่างมาจริงๆมันมีตัวอย่างเยอะแยะที่ไม่เป็นไปตามที่กล่าวมา คนดีๆโดนยัดข้อหาขังคุกก็มี ทั้งๆที่ไม่เคยทำร้ายใครไม่เคยฆ่าใคร (นึกถึงคดีเชอร์รี่แอน) คนชั่วๆที่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ แล้วกระบวนการทางกฎหมายต้องปล่อยตัวไปก็มี คุณยังจะยืนยันอีกหรือว่า ทุกคน ถ้าทำตามศีล 5 แล้วจะได้ผลตามที่คุณยกมา คิดดีๆก่อนตอบนะครับ ผมเกรงว่าพระพุทธเจ้าเองยังไม่กล้ายืนยันอย่างที่คุณยืนยันมาเลย เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่าเรื่องของกรรม(และวิบาก) เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินสติปัญญาจะคิดถึง มันไม่ใช่ง่ายๆอย่างทำตามศีล 5 แล้วได้ผล 1 2 3 4 5 อย่างนี้แน่ๆ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 17:07:31

ความคิดเห็นที่ 38 พูดแบบคุณ nexus ผมว่าฟังแล้วค่อยเข้าเค้าหน่อย    คนอื่นช่วยพูดเป็นศัพท์ธรรมดาได้ใหมครับ  คือว่าเรื่องภาษาพระนี่ผมยังโง่อยู่มากครับ จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 17:35:02

ความคิดเห็นที่ 39 คห.๑๐ เรียนถามคุณหนุ่มไทยไร้นามนะคับ อันนี้ถามเพราะสงสัยนะคับไม่ได้เกรียน ทำไมตอนกาลิเลโอบอกว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางระบบสุริยะแล้วถึงถูกขังคุกอ่ะคับ จากคุณ : antigen-U เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 19:54:14

ความคิดเห็นที่ 40 อ่านตั้งนาน  นึกว่าอยู่ห้องศาสนา ^.^ จากคุณ : ckman เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 53 21:55:43

ความคิดเห็นที่ 41 พระพุทธเจ้า ท่านแบ่ง มนุษย์ ไว้ 4 เหล่านะเพราะอะไร เพราะ พวกอยู่ในตม ไม่มีวันเข้าใจจริยะธรรมไม่ว่าวิธีใด พวกอยู่ผุดโผ่ ต้องใช้หลักกรรมคืนสนองหลอกล่อ พวกปริ่มน้ำต้องใช้สวรรค์ ให้เป็น เป้าหมาย พวกที่อยู่ เหนือน้ำ เข้าใจความดีด้วยสติและเหตุผล และไม่ใช้สมองอันน้อย ค่อนขอดผู้อื่นดั่งว่าฅวาย เพราะมันสะท้อนกลับถึงระดับจิตใจผู้ใช้และผู้อ้างวาจาผรุสวาสนั้นแล จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 00:24:13

ความคิดเห็นที่ 42 ตอบคุณ antigen-U คห.39 ครับ นั่นเป็นยุคมืดของพระศาสนจักรคาทอลิกครับ ไม่เกี่ยวข้องกับพระธรรมคำสอนแต่อย่างใด The Holy Bible ก็ยังคงอยู่อย่างนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา และยุคมืดที่ว่านั้นก็ผ่านพ้นมานานแล้ว ปัจจุบันเขาไปกันถึงขั้นศาสนสัมพันธ์แล้วครับ เรื่องนี้ถ้าจะคุยกันให้ละเอียดจริงๆ แล้ว คุยกันสามวันสามคืนก็ไม่จบครับ เรื่องศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันจริงๆ ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ศึกษาไม่หมด การศึกษาศาสนาคริสต์นั้น ไม่ใช่ศึกษาจาก The Holy Bible เท่านั้น ยังมีหนังสือที่เกี่ยวข้องอีกกองพะเนินเทินทึก ซ้ำยังมีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นในโลกตลอดเวลา เมื่อไม่นานมานี้ก็มีอัศจรรย์ศีลมหาสนิทเกิดขึ้นที่เกาหหลีใต้ มีผู้จับภาพไว้ได้ ผมเองศึกษามา 30 ปี ยังรู้ไม่หมด บางเหตุการณ์ผมตามไม่ทัน ดังนั้น ผู้ใดที่จะวิพากษ์วิจารณ์ คิดให้ดีก่อนครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 03:23:12

ความคิดเห็นที่ 43 ใครจะวิพากษ์วิจารณ์วิทยาศาสตร์เชิญเลยครับ นักวิทยาศาสตร์ไม่จับขึ้นตะแลงแกง ไม่เอามีดเสียบ ไม่ตัดคอ ไม่เอาปืนยิง ไม่ขู่ว่าลบหลู่ไอนสไตน์แล้วจะตกนรกหรือโดนธรณีสูบ จริงๆล้มแกได้ก็ดีเผื่อเราอาจจะเดินทางข้ามจักรวาลได้ด้วยความเร็วเหนือแสง ผมเบื่อทฤษฎีสัมพัทธภาพเหลือเกินแต่ยังไม่อาจล้มได้ ใครทำได้ช่วยทำที สิ่งที่ควรพกมาด้วยก็แค่ หลักฐาน ข้อมูลและตรรกะ(ที่ Valid) ก็พอ การถกเถียงทางวิทยาศาสตร์คือการคุยกันด้วยเหตุผล หักล้างกันด้วยเหตุผล และจบด้วยเหตุผล ยังไม่เคยเห็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไหนที่ความเห็นไม่ตรงกันแล้วควักปืนมายิงกันซะที จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 04:10:07

ความคิดเห็นที่ 44 ตกลงศาสนาพุทธแท้ ๆ เชื่อ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด  ชาติที่แล้ว  เรื่อง กฏแห่งกรรม  เรื่องบาปบุญ  เรื่องสวรรค์นรก หรือเปล่า   เพราะส่วนมากผู้รู้แจ้งทั้งหลายไม่เห็นฟันธงลงมา  ได้แต่พูดอ้อมไปอ้อมมา  เลี่ยงไปเลี่ยงมา  ส่วนมากแล้วก็พูดไปในแง่คำสั่งสอนให้เป็นคนดีทั้งนั้น  ซึ่งก็มีทุกศาสนา    ถ้าจะเอาแค่นั้น อ้ายที่เป็นกฏหมายหรือคำสั่งสอนของพ่อแม่ก็สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกันแค่นั้นก็น่าจะพอสำหรับมนุษย์โลก   หรือว่าผู้รู้แจ้งทั้งหลายก็ไม่รู้ พิสุจน์ไม่ได้   ก็เลยบอกว่าต้องปฏิบัติด้วยตนเองจึงจะรู้( โยนไปให้เป็นความโง่ของคนที่ปฏิบัติแล้วไม่เห็นแจ้ง)     แล้วส่วนที่เรื่องการปฏิบัติ  นั่งสมาธิ กัมฐาน อะไรทั้งหลายนั่นเป็นศาสนาพุทธหรือเปล่า  พระพุทธเจ้าท่านคิดเองขึ้นมาหรือ  คนไทยถึงได้เอามาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ  (ผมเห็นฝรั่งเขาก็มีการฝึกสมาธิคล้าย ๆเราเหมือนกันนะครับ  โดยไม่ได้อ้างอิงศาสนพุทธเลย)  แล้วการเห็นนิมิตอะไรนั่นมันจะมีประโยชน์ต่อคนเห็นอย่างไร  มันจะเกี่ยวกับคำสั่งสอนของพุทธองค์อย่างไร       อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะเอ่ยถึง  คือการเคารพในรูปปั้นต่าง ๆ เช่นพระ(สงฆ์)องค์นั้นองค์นี้   จนเลยเถิดกระทั้งกลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว  จะแก้ไขอะไรก็ยากซะแล้ว คนไทยเราก็เลยถือเอาเป็นศาสนาพุทธ   จะมีสักกีคนที่กราบไหว้รูปเหล่านั้นเพราะคิดถึงความดีของท่าน  ส่วนมากก็ไหว้ขอนั่นขอนี่  ผมว่าของศาสนอื่นเขาชัดเจนกว่าของศาสนาเรานะครับ   และพระพุทธองค์ก็ตายไปซะก่อนที่จะตัดสินว่าอันนี้มันใช่ศาสนาพุทธที่ท่านตั้งไว้หรือเปล่า  ปล่อยให้ชาวไทยเราตัดสินเองว่าเป็นพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่      พูดตรงไปหน่อยขออภัย จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 10:59:23

ความคิดเห็นที่ 45 [i]ตกลงศาสนาพุทธแท้ ๆ เชื่อ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด  ชาติที่แล้ว  เรื่อง กฏแห่งกรรม  เรื่องบาปบุญ  เรื่องสวรรค์นรก หรือเปล่า[i/] อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะผมพุทธเถรวาท ก็ไม่รู้ว่าแท้ ไม่แท้ ไม่รู้ว่าจะไปหา Certificate of Authenticity ได้จากไหน พุทธเถรวาท(ลังกาวงศ์) ถ้าจะเอาตามพระไตรปิฎกนั้น ควรเชื่อทั้งหมดตามที่ว่ามาครับ แน่นอนเราไม่มีสำเนาพระไตรปิฎกฉบับที่พระพุทธเ้จ้าเขียนเอง ดังนั้นว่าตามหลักแล้วก็คงต้องเอาตามฉบับลังกา จากการศึกษาของนักโบราณคดีก็ทำให้เราได้เห็นร่องรอยของพุทธศาสนาแท้ๆสมัยพุทธกาลอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่บันทึกไว้ในพระวินัย ดังนั้นถ้าอยากรู้ว่าพุทธศาสนาสมัยพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรแนะนำว่าควรอ่านพระวินัย จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 11:52:58

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ   : โตนิค ... อย่าสร้างอุปทานให้แก่ตัวเอง... วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ ISO ประกันความประเสริฐของ ศาสนา ไม่ใช่แค่พุทธศาสนา แต่กับทุกศาสนา... ถ้าคุยว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เท่ากับคุณ กำลังกดศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ต่ำลง ... หลายอย่างในพระอภิธรรม อธิบายด้วย วิทยาศาสตร์ไม่ได้ เว้นแต่วิทยาศาสตร์ปลอมๆ อย่ามั่ว ความเห็นที่ 45 พูดถึง พระวินัย อยากรู้ว่าพระพุทธ ศาสนาในยุคพุทธกาลเป็นเช่นไร ให้อ่านศึกษาพระวินัย มีส่วนถูกครับ ที่เราเรียกว่า พระไตรปิฎกนั้น เพราะมี ปิฎกอยู่สามปิฎกครับ คือ ๑/พระวินัย ๒/พระสูตร ๓/ พระอภิธรรม พระวินัยคืออะไร (สำหรับท่านที่ไม่ทราบ) คือ... ระเบียบปฏิบัติสำหรับพระภิกษุเพื่อดำเนินชีวิต "พรหมจรรย์" จุดมุ่งหมายของชีวิตพรหมจรรย์ คือ การดับกิเลสเป็นสมุจเฉท พระวินัยเตือนให้รู้ว่ากิเลสเหนียวแน่นเพียงใด และนำไปสู่โทษ ภัยอะไร ข้อวัตรปฏิบัติเหล่านั้น สามารถบอกสภาพความเป็นพุทธศาสนา ในยุคนั้นได้ เพราะไม่ได้กำหนดขึ้นมาเอาตามคิดสนุกหรือเท่ห์ มีเหตุมีปัจจัย ให้ทรงกำหนดเป็นวัตร แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 12:53:05 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 12:35:10

ความคิดเห็นที่ 47 ที่พูดถึงพระวินัยเพราะว่าเป็นส่วนที่มีความมั่นใจสูงว่าไม่ค่อยได้รับการเสริมเติม (จากการเปรียบเทียบระหว่างพระวินัยของเถรวาทกับฉบับที่เก่ากว่า) ส่วนพระสูตรน่าจะมีของเดิมอยู่มากแต่พระอภิธรรมนี่น่าจะได้รับการแต่งขึ้นมาในชั้นหลัง จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 14:37:55

ความคิดเห็นที่ 48 แนะนำ ผลงานของ ท่านพุทธทาส ชุด จากพระโอษฐ์ หากวิทยาศาสตร์บอกว่าทุกสิ่งต้องพิสูจน์ได้ แล้วท่านจะรู้ว่า คำสอนของ พระสมณะโคดม พิสูจน์ ได้ทุกประการ เกิด-ตาย แล้วเกิด วิญญาณสามารถเกิดใหม่ พวกนี้ รับมาจากฮินดูซะมาก จากคุณ : Lerman เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 14:45:08

ความคิดเห็นที่ 49 อ่านหลายความเห็นแล้ว ผมว่าต้องกำหนดนิยามของ พระพุทธศาสนา ซะก่อน ซึ่งผมถือว่า คำสอนพระสมณะโคดม ถ้าจะหาว่าคำสอนพระสมณะโคดมมีสิ่งใดที่ตกทอดมายังยุคปัจจุบัน ที่จะบริสุทธิ์ที่สุดก็คงจะเป็น พระวินัย ลองมาก็พระสุตันตะ ส่วนพระอภิธรรมนั้น แต่งเมื่อยุคหลัง สังคยนาครั้งที่ 3 ยุคพระเจ้าอโศกแล้ว (ประมาณ 300 ปีหลังปรินิพพาน) จึงเกิดพระอภิธรรม โดยเฉพาะ คัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้น พึ่งแต่งขึ้นเมื่อศาสนาไปถึงลังกาทวีปแล้ว ซึ่งก็หลังจากการสังคยนาครั้งที่ 3 เป็นร้อยปี จากคุณ : Lerman เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 15:27:58

ความคิดเห็นที่ 50 ตอบคุณ antigen-U คห.39 ครับ นั่นเป็นยุคมืดของพระศาสนจักรคาทอลิกครับ ไม่เกี่ยวข้องกับพระธรรมคำสอนแต่อย่างใด The Holy Bible ก็ยังคงอยู่อย่างนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา และยุคมืดที่ว่านั้นก็ผ่านพ้นมานานแล้ว ปัจจุบันเขาไปกันถึงขั้นศาสนสัมพันธ์แล้วครับ เรื่องนี้ถ้าจะคุยกันให้ละเอียดจริงๆ แล้ว คุยกันสามวันสามคืนก็ไม่จบครับ เรื่องศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันจริงๆ ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ศึกษาไม่หมด การศึกษาศาสนาคริสต์นั้น ไม่ใช่ศึกษาจาก The Holy Bible เท่านั้น ยังมีหนังสือที่เกี่ยวข้องอีกกองพะเนินเทินทึก ซ้ำยังมีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นในโลกตลอดเวลา เมื่อไม่นานมานี้ก็มีอัศจรรย์ศีลมหาสนิทเกิดขึ้นที่เกาหหลีใต้ มีผู้จับภาพไว้ได้ ผมเองศึกษามา 30 ปี ยังรู้ไม่หมด บางเหตุการณ์ผมตามไม่ทัน ดังนั้น ผู้ใดที่จะวิพากษ์วิจารณ์ คิดให้ดีก่อนครับ ผมไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์นะครับ แล้วก็ไม่ได้ดราม่าด้วย ผมถามเพราะไม่รู้จริงๆ ที่คุณบอกว่าวิทยาศาสตร์ใช้อธิบายการมีอยู่ของพระเจ้า มันก็เป็นความคิดของนักปรัชญาชั้นหลัง ... โบสถ์คาทอลิกที่ตั้งมาเมื่อสองพันปีก่อน กับปัจจุบันเป็นก็ยังเป็นสำนักเดียวกัน  แล้วอย่างนี้โป๊บคนที่สั่งขัง กาลิเลโอ เค้าจะไม่โกรธคนที่บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือบอกว่าพระเจ้ามีจริงเหรอ ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ครับ ถามเพราะไม่รู้ อย่าไบแอสนักเลย มีผู้รู้มาตอบก็นับว่าเป็นพระคุณแล้วครับ จากคุณ : antigen-U เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 16:14:13

ความคิดเห็นที่ 51 คุณ Nexus ครับ   ที่ว่า ถ้าเอาตามพระไตรปิฏก  ก็ต้องเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ว่าเป็นจริง  อันนี้แหละครับที่ผมแม้ว่าจะเกิดมาในศาสนาพุทธ อยู่ในสิ่งแวดล้อมของศาสนาพุทธ  เริ่มแรกก็เชื่อไปตามที่สังคมเคยสั่งสอนมา   พออายุมากขึ้น เห็นสังคมมากขึ้น  มันก็ทำใจเชื่อลำบาก แม้ว่าคนอื่น ๆ หนังสืออื่น ๆ จะบอกมาเรื่อย ๆ ว่า ชาติเก่าเป็นแบบนี้นะเกิดมาจึงมารับใช้กรรมแบบนี้นะ (หาอ่านได้ทั่วไป)   คือมันไม่มีทางพิสูจน์ได้เลย  แถมบางครั้งมันก็ขัดแย้งซะด้วย ดังที่คุณว่า บางคนทำดีแต่กลับโดนยัดคุก  คืออันนี้ผมยอมรับแค่ว่า  ทำดีก็ควรจะได้ดี ทำชั่วควรได้ชั่ว ไม่ใช่ทำดีแล้วต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว       ผมคิดว่าพระพุทธองค์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา  แต่เป็นนักปราชผู้รู้เท่านั้น ฉะน้นผมก็คิดว่าท่านอาจไม่ไปถูกซะทั้งหมด  ท่านไม่ใช่เทพแบบที่หลายคนยกให้เป็น  ดังนั้นท่านก็มีผิดได้  หรือความคิดท่านบางเรื่องอาจจะไม่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน  บางอย่างอาจไม่เป็นวิทยาศาสตร์( หมายถึง พิสูจน์ไม่ได้ หรืออาจจะผิดไปเลย)         ผมก็คิดว่าผมเป็นพุทธคนหนึ่ง  แต่ก็อาจมองอะไรต่างจากคนพุทธส่วนใหญ่  อะไรที่รับได้ก็รับ อะไรที่รับไม่ได้ก็ปฏิเสธ  หลาย ๆ คนก็บอกว่าผมเป็นพวก ที่รังแต่จะเป็นเหยื่อปูปลาแบบ คห.41 ว่า  แต่ผมก็มีเพื่อนร่วมโลกอีกหลายพันล้านคนที่ไม่คิดว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดนะครับ จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 16:49:18

ความคิดเห็นที่ 52 ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนี่ครับถ้ามีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ ผมเองก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง(ว่ากันตามตรง) แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมละเลิกความศรัทธาในพุทธศาสนา สำหรับผม ชาติที่แล้ว ชาติหน้า สวรรค์ นรก ไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่ หลักปฎิบัติของพุทธศาสนาก็ยังเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ผมเคารพและทำตามอยู่ดี ศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญาครับ ศรัทธามากเกินไปก็จะกลายเป็นงมงายไปเสีย จริงๆในพระไตรปิฎก(ตอนบวชเวลาว่างๆผมนั่งอ่านพระไตรปิฎกก่อนนอน) มีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่องครับ เกี่ยวกับชีวิตพุทธประวัติ ความเป็นอยู่ของคนสมัยนั้นและวัฒนธรรม อ่านแล้วก็นั่งจดเอาไว้ในสมุดได้มาประมาณ 1 เล่ม ตอนนี้ไม่รู้ไปเก็บไว้ที่ไหนเสียดายอยู่เหมือนกัน อยากเอามานั่งอ่านเหมือนกันว่าตอนนั้นคิดยังไง ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 17:15:19 จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 17:14:58

ความคิดเห็นที่ 53 มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องศรัทธามาเล่าให้ฟัง ตอนผมบวชอยู่มีพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งเอารูปมาให้ดูแล้วอธิบายว่าหลวงปู่องค์นั้นศักดิ์สิทธิ์มาก ฯลฯ ผมดูรูปแล้วก็เห็นเป็นภาพที่เกิด Flare, Orb (ถ้าเป็นเมื่อสาม-สี่ปีที่แล้วคงเรียกจตุคามลง) บางภาพก็เกิดจากการถ่ายภาพด้วยความไวต่ำแล้วกล้องมันสั่นก็เลยเกิดแสงเป็นทาง ..... เห็นแล้วก็อยากจะอธิบายเรื่อง ความคลาดสี Internal Reflection หรือความไวชัตเตอร์ให้ฟังเหมือนกัน แต่ขืนอธิบายตอนนั้นคงวงแตกกันพอดี เพราะกำลังฮือฮากันอยู่ บางทีการอยู่ในหมู่คนที่ศรัทธามากๆก็อึดอัดเหมือนกัน นอกเรื่องไปหน่อยขออภัย จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 17:22:35

ความคิดเห็นที่ 54 # คุณ Nexus ความเห็นที่ ๓๗ จากที่คุณ Nexus บอกมาว่า "..คนดีๆโดนยัดข้อหาขังคุกก็มี ทั้งๆที่ไม่เคยทำร้ายใครไม่เคยฆ่าใคร (นึกถึงคดีเชอร์รี่แอน) คนชั่วๆที่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ แล้วกระบวนการทางกฎหมายต้องปล่อยตัวไปก็มี คุณยังจะยืนยันอีกหรือว่า ทุกคน ถ้าทำตามศีล 5 แล้วจะได้ผลตามที่คุณยกมา คิดดีๆก่อนตอบนะครับ ผม เกรงว่าพระพุทธเจ้าเองยังไม่กล้ายืนยันอย่างที่คุณยืนยันมาเลย เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่าเรื่องของกรรม(และวิบาก) เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินสติปัญญาจะคิดถึง มันไม่ใช่ง่ายๆอย่างทำตามศีล 5 แล้วได้ผล 1 2 3 4 5 อย่างนี้แน่ๆ " ถ้ายึดตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท พระพุทธศาสนาเถรวาทท่านให้ยึดในเรื่องของ "กรรม" ใครทำดีย่อมได้ดีตอบ ใครทำชั่วย่อมได้ชั่วตอบ และพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสในเรื่องของสังสารวัฏ พระองค์ท่านบอกว่าคนเราเกิดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ละชาติที่เกิด ไม่ได้มีแต่ทำดีอย่างเดียว  และก็ไม่ได้ทำชั่วอย่างเดียว ซึ่งเวลาที่จะสนองของแต่ละฝ่ายก็ไม่เท่ากัน  ไม่ต้องดูอะไรไกล ทำไมทุกคนถึงเกิดมาแล้วมีปัจจัยต่าง ๆ ต่างกันล่ะครับ ทำไมบางคนหล่อ บางคนสวย(โดยกำเนิด) ทำไมบางคนรวย ทำไมบางคนจน ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ เมื่อวิทยาการสมัยใหม่เจริญขึ้น เรื่องหยาบ ๆ ในแบบนี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้(สร้างกรรมใหม่ เหตุปัจจัยใหม่) นี่คือเรื่องหยาบ ๆ ที่เห็นได้ชัด ส่วนเรื่องของกรรมวิบากที่พระุพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่าเป็นอจิณไตยนั้น ถูกต้องแล้วครับ เพราะถ้าหาวิธีการพิสูจน์ไม่ตรง ก็คงจะต้องเถียงกันไปจนตายไปข้างหนึ่ง ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ จึงทรงตรัสไว้อย่างนั้น เพราะรู้ไปก็ไม่ได้ทำให้นิพพาน แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์จริง ๆ  วิธีการพิสูจน์ ผมให้ไว้สองวิธีครับ ๑..ฝึกสมาธิเพื่อให้ได้ "อตีตังสญาณ" แล้วย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต ๒.. สร้าง TIME MACHINE แล้วย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตครับ ตรงนี้ต้องรบกวนคุณ Nexus ตัดสินใจแล้วก็เลือกวิธีทดลองเองแล้วล่ะครับ ส่วนจะทำหรือไม่ ตรงนี้เป็นสิทธิของคุณล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 19:56:26 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 19:32:45

ความคิดเห็นที่ 55 # คุณ Paphmania ความเห็นที่ ๔๑ "...พระพุทธเจ้า ท่านแบ่ง มนุษย์ ไว้ 4 เหล่านะเพราะอะไร เพราะ พวกอยู่ในตม ไม่มีวันเข้าใจจริยะธรรมไม่ว่าวิธีใด พวกอยู่ผุดโผ่ ต้องใช้หลักกรรมคืนสนองหลอกล่อ พวกปริ่มน้ำต้องใช้สวรรค์ ให้เป็น เป้าหมาย พวก ที่อยู่ เหนือน้ำ เข้าใจความดีด้วยสติและเหตุผล และไม่ใช้สมองอันน้อย ค่อนขอดผู้อื่นดั่งว่าฅวาย เพราะมันสะท้อนกลับถึงระดับจิตใจผู้ใช้และผู้อ้างวาจาผรุสวาสนั้นแล ...." ตรงนี้เห็นที ผมจะไม่ได้ศึกษาครับ เพราะบุคคล ๔ ประเภทในพระพุทธศาสนา ท่านแบ่งเป็น อุคฆติตัญญู ฟังหัวข้อธรรมสามารถบรรลุได้ วิปจิตัญญู ขยายความเล็กน้อยก็สามารถบรรลุได้ เนยยะ ต้องเคี่ยวเข็ญแล้วจึงบรรลุได้ ยกเว้น ปทปรมะ พวกนี้ฉลาดเกินไปจึงไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น เพราะฉะนั้น..ปทปรมะไม่ใช่คนโง่ ตามรากศัพท์ ปทปรมะ แปลว่า ผู้มากด้วยบทบาท คือ ฉลาดเกินแล้วไม่ยอมรับความคิดคนอื่น ทำตัวเป็นน้ำเต็มถ้วยอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ต่อให้เอาธรรมะดีขนาดไหนใส่ลงไป ก็ล้นทิ้งไปเปล่า ๆ ผมเคยเรียนมาแต่แบบนี้น่ะครับ จึงสงสัยว่ากระผมน่าจะเรียนมาน้อย จึงยังไม่รู้สิ่งที่คุณ Paphmania บอกมาครับ ส่วนเรื่องอุเบกขาควาย ตรงนี้ลอง search ใน internet ได้เลยครับ http://www.google.co.th/#hl=th&source=hp&q=%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2&aq=f&aqi=&aql=&oq=&gs_rfai=&fp=7275a4c220bf505e ตรงนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมบัญญัติเองนะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณบอกมา ผมคงรับไว้ไม่ได้ครับ ต้องขออภัยด้วยนะครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 19:43:06

ความคิดเห็นที่ 56 เรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด? และ "ผมคิดว่าพระพุทธองค์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดา  แต่เป็นนักปราชผู้รู้เท่านั้น ฉะน้นผมก็คิดว่าท่านอาจไม่ไปถูกซะทั้งหมด   ท่านไม่ใช่เทพแบบที่หลายคนยกให้เป็น  ดังนั้นท่านก็มีผิดได้   หรือความคิดท่านบางเรื่องอาจจะไม่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน   บางอย่างอาจไม่เป็นวิทยาศาสตร์( หมายถึง พิสูจน์ไม่ได้ หรืออาจจะผิดไปเลย)"...#51 ^ ^ สิ่งที่คุณสะดุด  จากโลกแห่งประสบการณ์อันปรากฏต่อตัวคุณ  ประการที่หนึ่ง และประโยคที่ยกมาข้างบน  ประการที่สอง ข้อแรก   คงพิสูจน์ยาก  มองให้เห็นลำบาก  ซึ่งอาจจริงในระดับความเชื่อ(ความจริงที่ยังมาไม่ถึงหรือ มาแล้วแต่มิอาจจำมิอาจรู้ได้)  อย่างไรก็ตาม  มีความสมเหตุสมผลที่มีเหตุผลด้านอื่นๆที่ทรงความ หมายมากกว่า  ต่อการแสวงหาความหมายของชีวิตหรือการดำรงอยู่   เช่น หลักปฏิจจสมุปบาท หรือ วิธีค้นหาความจริงโดยอริยสัจสี่ ข้อสอง   เรื่องตัวตนของพระพุทธเจ้า กับ สิ่งที่พระองค์ค้นพบ ก็ต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น  หรือสั้นๆว่า  กระบวนการแสวงหาความจริงของพระองค์ดำเนินมาอย่างไร สั้นๆก็ว่า  ผ่านชีวิตที่สุขสบายสุด  ทิ้งชีวิตแบบนั้น  ท่องไปในโลกกว้าง  ยอมตัวเป็นศิษย์สำนักดังๆ ทรมานกายแบบต่างๆ  เรียกว่า  ทดสอบมาหมด  คือ  สุดโต่งของหลากวิถี หลากสำนัก  จากนั้น.. ก็พบว่า  ทางสายกลาง น่าจะเป็นหนทางแห่งการค้นพบ..นั่นคือ  คืนสุขภาวะให้ชีวิต แล้วทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมา   วิเคราะห์จิตเพื่อมองไปยังโลกกว้างแห่งประสบการณ์นั้น ที่สุด  ก็พบว่า  สรรพสิ่งไม่นิ่ง แปรเปลี่ยนตลอดเวลา และเป็นความว่าง  (ไตรลักษณ์) โลกทางวัตถุมีจริงเท่ากับโลกภายในจิต  แต่ก็จริงอย่างสมมุติวิถี  ซึ่งเบื้องลึกแล้ว ไม่มีตัวตนใดๆ เป็นแค่ความว่าง  คือ มิอาจอิสระโดยตัวเอง แต่เกาะเกี่ยวกับเป็นข่ายใยที่เคลื่อนไหวตลอด (ปฏิจจสมุปบาท)  นั่นคือ  เพราะ สิ่งหนึ่งมี  จึงมีสิ่งนั้นหรือสิ่งอื่นเกี่ยวเนื่องกันไปเรื่อย อันถือเป็นพฤติกรรมแ่ห่งความเป็นเหตุและผลต่อกันของสรรพสิ่ง(อิทัปปัจจยตา) วิริยภาพของพระองค์ต่อการแสวงหา...สะท้อนความเป็นมนุษย์เดินดิน เพียงแต่  การทดลองต่างๆ มันได้หล่อหลอมตัวตน ให้เข้าถึงธรรมหรือธรรมชาติ   ซึ่งก็คือ  การไร้ตัวตนของสรรพสิ่ง(สุญญตา) เท่ากับ การไม่ติดยึดกับสิ่งใดๆให้สะดุดเป็นตัวตนแยกส่วนออกจากความจริง หลังการค้นพบทางสายกลาง   การเผยแพร่ก็ค่อยๆดำเนินมา ดำเนินไป เรียกว่า กระบวนการเผยแพร่ ซึ่งถูกเรียกว่า ศาสนาพุทธ  ซึ่งก็ย่อมมีทั้งสิ่งที่เป็น แก่นและเปลือก   ตรงและเบียงเบน  อันเป็นปกติของคน  คนในระดับต่างๆ ที่จักเห็นถึงธรรมหรือความว่างหรืออนัตตาของสรรพสิ่งและ ..ของตัวตน *หมายเหตุ  ข้างบนอาจถือเป็นทัศนะเฉพาะบุคคล  ผู้ที่เห็นต่าง โปรดชี้แนะต่อ.. แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 19:55:06 จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 19:45:06

ความคิดเห็นที่ 57 ๑..ฝึกสมาธิเพื่อให้ได้ "อตีตังสญาณ" แล้วย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต วิธีนี้คุณลองทำหรือยังครับ? และก่อนที่จะเสนอวิธีนี้คุณต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าอตีตังสญาณนั้นเป็นจริงก่อน (เรียกว่าเป็นการทดสอบเครื่องมือก่อนก็ได้) การทดลองทางวิทยาศาสตร์มีหลักฐานที่บันทึกเอาไว้ให้พิสูจน์ซ้ำได้ครับ และหลักฐานต่างๆก็เปิดเผยต่อการพิสูจน์ว่าทำจริงหรือไม่จริง ไม่ได้เป็นเรื่อง "วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน" การทำเครื่องมือต่างๆก็ไม่ได้เป็นความลับ และถ้าไม่มีเครื่องมือก็ยืมได้ครับ(ถ้าเขาให้ยืม) ๒.. สร้าง TIME MACHINE แล้วย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตครับ ตามทฤษฎีปัจจุบัน Time Machine เป็นสิ่งที่้ทำไม่ได้ และถึงทำได้ก็ไม่สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของภพ ชาติได้ เพราะว่าเราไม่มีทฤษฎีใดๆในทางพุทธศาสนาที่สามารถระบุได้ว่าชาติที่แล้วเราเป็นใครต้องใช้ฌาณในการหยั่งรู้เท่านั้น (ซึ่งก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่ามีจริง) ถ้าใครเห็นหรือรู้จักคนที่มีฌาณเหล่านี้ติดต่อผมได้เลยครับ ถ้ามีจริงน่าจะได้เงินถึง 35 ล้านบาทเลยทีเดียว หรือถ้าไม่อยากได้เงินก็ถือว่าเป็นการทำเพื่อความก้าวหน้าของมนุษยชาติก็แล้วกัน จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 19:56:54

ความคิดเห็นที่ 58 ส่วนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ผมไม่แน่ใจว่าคุณ Nexus เคยได้อ่านผลงานของ Dr. IAN STEVENSON หรือยังนะครับ ? ถ้ายังลองหาอ่านดูนะครับ เพราะคุณเอียน แกทดลองเป็นวิทยาศาสตร์ครับ และผลงานส่วนหนึ่ง Dr. IAN ได้เข้ามาร่วมเก็บข้อมูลกับ ดร. คลุ้ม วัชโรบล น่าจะตรงกับความต้องการของคุณ Nexus ไม่มากก็น้อย Dr. IAN STEVENSON http://www.google.co.th/#hl=th&q=ian+stevenson&aq=1&aqi=g1&aql=&oq=ian+ste&gs_rfai=&fp=7275a4c220bf505e ดร. คลุ้ม วัชโรบล http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1_%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A5 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 20:01:47

ความคิดเห็นที่ 59 แถมให้คุณ Nexus อีกนิดครับ อย่างไรก็ตาม ในการเก็บรวบรวมคนระลึกชาตินั้น ไม่เฉพาะนายธวัชชัยเท่านั้น ในระดับโลก ก็มี ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน แต่ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งนี้ท่านทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” มากว่า ๔๗ ปี ตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๓  ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้ หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา และทวีปเอเชีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า ๓,๐๐๐ ราย ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็กที่จำอดีตชาติได้จำนวนมหาศาล ถึง ๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน (Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย คณะนี้ ได้เข้ามาสืบหา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในประเทศไทยหลายครั้ง ตั้งแต่เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๙ จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า ๔๐ ปีแล้ว โดยจะเดินทางเข้ามาติดตามกรณีศึกษาที่เคยเก็บข้อมูลหลักฐานไปแล้ว และมาสืบหา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้รายใหม่ๆ ในประเทศไทย ปีละ ๒-๓ ครั้ง ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ดร.เจอร์เกน ไคล์ (นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน เคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย) ได้เดินทางมาศึกษาค้นคว้าเรื่องเด็กที่จำอดีตชาติได้ในประเทศไทยแทน ศ.นพ.เอียน โดยมี นายสุตทยา วัชราภัย นักวิชาการอิสระสาขาพุทธศาสตร์ และจิตศาสตร์ เป็นผู้ร่วมศึกษาค้นคว้า บุคคลทั้งสองได้เดินทางไปยังภาคอีสานตอนบน เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กที่จำอดีตชาติได้ โดยสืบถามข้อมูลจากญาติพี่น้อง พยานที่รู้เห็น หรือตัวเด็กที่จำอดีตชาติได้ (บางคนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ข้อมูลที่ค้นคว้ามาได้มีมาก (ระหว่างปี ๒๕๓๕-๒๕๔๑) ค้นคว้ามาได้รวม ๕๐ ราย เฉพาะปี ๒๕๕๐ มี ๘ ราย และมีอีก ๗๐-๘๐ ราย ที่ยังไม่ได้ไปสัมภาษณ์ ในประเทศไทยนั้น ท่านและคณะศึกษาวิจัยได้เคยมาสืบหา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้หลายครั้ง โดยความร่วมมือจากคณะคนไทยที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วหลายท่าน ได้แก่ นายแพทย์เชียร สิริยานนท์, อาจารย์นาซิบ สิโรรส, อาจารย์เต็ม สุวิกรม, ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล เป็นต้น ซึ่งท่านได้เขียนไว้ใน กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgments) ในหนังสือ Reincarnation and Biology  ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี ๒๕๒๐ และยังมีอีกหลายท่าน เช่น คุณประสิทธิ์ การุณยวณิชย์, ดร.บุญย์ นิลเกษ, อาจารย์สุตทยา วัชราภัย ดร.วิเชียร  สิทธิประภาพร อาจารย์ประจำ แขนงวิชาดนตรีบำบัด วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ รศ.ดร.นัยพินิจ คชภักดี ผู้อำนวยการโครงการวิจัยชีววิทยาระบบประสาทและพฤติกรรม สถาบันวิจัยและพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล(ศาลายา) http://www.komchadluek.net/detail/20090908/27498/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD.%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%88.%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C.html จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 20:16:03

ความคิดเห็นที่ 60 ส่วนนี้เป็นหนังสือของ Dr. Ian Stevenson ครับ http://www.google.com/books?hl=th&lr=&id=JoFUIvIxPEwC&oi=fnd&pg=PR11&dq=Reincarnation+and+Biology&ots=Ki42XEISSy&sig=zF3Frj_r6yqcI_SPLzuSvAupzHw#v=onepage&q&f=false มีอยู่บน Google Book ด้วยแฮะ ผมว่าให้ผลงานของท่าน ดร.เอียน น่าจะตรงจริตของคุณ Nexus มากกว่ามาถามว่าผมทำได้หรือไม่ได้ครับ ส่วนจะคิดอย่างไรกับผม เชิญตามสบายครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 20:19:54

ความคิดเห็นที่ 61 "อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์" เพียงประโยคสั้นๆ แต่ความหมายมากมาย จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 20:22:45

ความคิดเห็นที่ 62 /\ /\ ฮึ ๆ ขนาดเอาแนววิทยาศาสตร์แล้วนะเนี่ย.... ๕๕๕ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 20:36:43

ความคิดเห็นที่ 63 "อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นอาจารย์" พวกท่านคงทราบอยู่แล้วว่ามีที่มาอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เรื่อง ระลึกชาติ ถ้าผลทุกอย่างพิสูจน์ได้จริง ทำซ้ำได้ ไม่ต้องกังวลเลย และเชื่อได้เลยว่า ในทางวิทยาศาสตร์ พร้อมรับและยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 20:58:23

ความคิดเห็นที่ 64 /\ /\ /\ ในหนังสือนั่น ไม่ได้มีแค่กรณีเดียวนะครับ อย่างนี้ไม่เรียกทำซ้ำได้หรือครับ ลองอ่านหรือยังเอ่ย แล้วคุณหมอเอียน ก็ทำการทดลองอย่างวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ ผมถึงได้ขำอย่างไรล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 21:06:15 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 21:02:58

ความคิดเห็นที่ 65 -ไม่จำเป็นต้องไปอ่าน เพราะผมไม่ได้ ปฎิเสธเรื่องของคุณ ส่วนคุณจะขำ อย่างไรก็ตามสบาย ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง และเผยแพร่นำมาใช้ประโยชน์กับมนุษย์ำ ได้ มีแต่จะน่ายินดี ขอให้เป็นจริงๆซักทีด้วยเถอะ จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 21:10:14

ความคิดเห็นที่ 66 เข้าไปอ่านมาแล้ว http://www.google.com/books?hl=th&lr=&id=JoFUIvIxPEwC&oi=fnd&pg=PR11&dq=Reincarnation+and+Biology&ots=Ki42XEISSy&sig=zF3Frj_r6yqcI_SPLzuSvAupzHw#v=onepage&q&f=false แต่ไม่มามารถโหลดได้ครบ งั้นคุณผ้าพับไว้ ช่วยแจงแบบได้ใจความหน่อย จะเป็น พระคุณยิ่ง เผื่อจะขำตาม จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 21:30:21

ความคิดเห็นที่ 67 /\ /\ รบกวนคุณหลี่อ่านตามนี้เลยครับ http://www.near-death.com/experiences/reincarnation01.html ส่วนที่ผมบอกว่าขำ ผมขำเพราะว่า ไม่รู้จะหาวิธีอะไรมาทำให้ท่านที่สงสัยหายสงสัยได้สักที ผมขำชีวิตผมเองครับ... ๕๕๕ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 21:36:56

ความคิดเห็นที่ 68 โอ้ หาไปหามา ไปเจองานวิจัยอีกเพียบเลยแฮะ http://www.aspr.com/jaspr.htm JANUARY 1997 Volume 91 Number 1    * Random Generators and Living Systems as Targets in Retro-PK Experiments      Helmut Schmidt          * Mapping the Characteristics of Out-of-Body Experiences      Carlos S. Alvarado          * An Experiment With the Alleged Human Aura      Loftur R. Gissuarson & Asgeir Gunnarsson จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 21:39:22

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณ ครับ ผมเชื่อว่า ถ้าทุกอย่างเป็นจริง ในแง่วิทยาศาสตร์ ที่สามารถล่วงรู้ความลับนี้ได้   มีแต่จะยินดี และส่งเสริม แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 21:46:09 จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 21:45:34

ความคิดเห็นที่ 70 งานของ Dr. Stevenson (และงานประเภท Reincarnate ทั้งหลาย)ถูกจัดอยู่ในประเภท Pseudoscience ครับ และลองฟังจากปากคำของ Dr.Stevenson เองดู "reincarnation is the best -- even though not the only -- explanation for the stronger cases we have investigated" จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:00:32

ความคิดเห็นที่ 71 /\ /\ ถึงจะเป็น  Pseudoscience แต่ผมมองว่า มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และอย่างน้อยก็ได้มีความพยายามนำกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเพื่อทดสอบและวัดผลความน่าเชื่อถือ ปัญหาที่ผ่านมาก็คือ เครื่องมือเหมาะสมหรือไม่ ? ระเบียบวิธีการทดสอบเหมาะสมหรือไม่ ? ผู้ทดสอบมีการตั้งสมมติฐานถึงปัจจัยคงที่และปัจจัยผันแปรสำหรับการทดลองเหมาะสมหรือยัง ขาดตกหรือเกินไปหรือเปล่า ? ท่าจะให้ดี เห็นทีคุณ Nexus และท่านผู้รู้อื่น ๆ คงต้องลองออกแบบการทดลองให้กระผมดูบ้างแล้วล่ะครับ ว่าจะมีรูปแบบการทดลองอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไรบ้าง แล้วผลของการทดลองที่ควรจะเป็นไปมีอะไรบ้าง จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:13:23

ความคิดเห็นที่ 72 เท่าที่ไปดูใน List ของ Pseudoscience มาเห็นมีหัวข้อหนึ่งคือเรื่องของ ชี่(Qi) http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_topics_characterized_as_pseudoscience ซึ่งตอนนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าวิทยาศาสตร์จะยอมรับหรือยัง แต่กลายเป็นสินค้าส่งออกไปทั่วโลกแล้วล่ะครับ หมอฝังเข็มของจีนก็ได้รับการยอมรับไปแล้ว นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่า หากมีการเอาจริงเอาจัง และมีระเบียบวิธีการทดสอบ รวมไปถึงเครื่องมือและข้อมูลที่เพียบพร้อม ก็สามารถพิสูจน์เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ปัญหาก็อย่างที่ผมบอกไป เครื่องมือพร้อมหรือไม่, ระเบียบวิธีจะทดสอบอย่างไร, ฯลฯ และที่สำคัญคือ "ทุนในการวิจัย" จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:23:20

ความคิดเห็นที่ 73 คุณ ผ้าพับไว้     ผมพยายามจะอ่าน link ที่คุณส่งมาให้  แต่ก็ยอมรับว่าอ่านไม่ได้หมด อ่าน ผ่านๆ เคร่า ๆ อย่างมาก ๆ  เนื่องด้วยภาษาอังกฤษผมอ่อนแอ  แต่เท่าที่อ่าน  มันเป็นแค่ reserch ที่แกรวบรวมไว้   น่าจะยังไม่มีการทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก  (ผมอาจอ่านผ่านไปก็ได้นะครับ)   โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก Birth mark & defect ทั้งหลาย  แกก็คงจะรวบรวมข้อมูลมา แล้วก็ตีความตามที่แกเชื่อ  ถ้าจะให้ดี  คุณช่วยแปลมาแจกคนอื่นยืนยันความเชื่อของเขาและของคุณมาด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 10:27:24

ความคิดเห็นที่ 74 /\ /\ หนังสือของ Dr. Ian Stevenson มีแปลเป็นภาษาไทยนานแล้วนะครับ ชื่อหนังสือคือ ๒๓ ผู้กลับชาติมาเกิด โดย Ian Stevenson, M.D. (ศาสตราจารย์ น.พ.เอียน สตีเวนสัน)  มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย  พิมพ์โดย อภิธรรมมูลนิธิ หน้าพุทธมณฑล อ. พุทธมณฑล  จ. นครปฐม ๗๓๑๗๐ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นเล่มเดียวกับ หนังสือ "...Reincarnation research..." หรือไม่นะครับ เพราะยังไม่เคยอ่านเลย หรือจะเป็นเว็บไซต์ก็มีเช่น http://sites.google.com/site/reincarnationthailand/rwm-ray-chux-phu-ca-xdit-chati-di-pheux-kar-khnha/xangxing-thima-khxng-ray-chux-phu-ca-xdit-chati-di(ภาษาไทย) จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 11:05:50

ความคิดเห็นที่ 75 ไปๆ มาๆ ทำไมเป็นเรื่องกลับชาติมาเกิด ออกทะเลซะแล้ว จากคุณ : Lerman เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 13:55:11

ความคิดเห็นที่ 76 ก็ยังไม่ออกไปไกลเท่าไหร่ครับ  คือเป็นความเชื่อของศาสนาพุทธเรื่องเวียนว่ายตายเกิด  ก็น่าจะเหมือนกับกลับชาติมาเกิด  กำลังโต้กันว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์  กันได้หรือเปล่า จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 15:03:01

ความคิดเห็นที่ 77 เรื่องเดิมยังไม่จบ ผมก็ดันมีประเด็นใหม่มาเล่นแล้วล่ะครับ คราวนี้ชักสนุก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9659831/Y9659831.html น่าอัศจรรย์เมื่อ ๒,๕๐๐ ปี ศาสนาพุทธทราบถึงการกำเนิด มนุษย์ไนครรภ์อย่างละเอียดได้อย่างไร   vote  [ถูกใจ]  [แจ้งลบ]   กำเนิดมนุษย์นั้น…. เป็นไฉน เรื่องของการเกิด เป็นมนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่สงสัยกันมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งในคัมภีร์สังยุตตนิกาย (อินทกสูตร ยักขสังยุต) กล่าวว่า ในสมัยหนึ่ง พระศาสดาของเราประทับอยู่ ณ ภูเขาอินทกูฏ ในมคธรัฐ สมัยนั้นมียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า อินทกะ ได้ทูลถามพระศาสดาว่า สัตว์ที่ปฏิสนธิในท้องมารดาได้ร่างกายมาจากไหน กองกระดูกก็ได้มาจากไหน เข้าปฏิสนธิในท้องมารดาได้อย่างไร และการเป็นไปในท้องมารดาเป็นมาอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการก่อกำเนิดมนุษย์ที่เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มารดาไว้ดังนี้ http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=6627&Z=6642&pagebreak=0 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 17:13:11 แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 17:12:10 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 17:08:57

ความคิดเห็นที่ 78 “ ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺพุทํ อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน ฆนา ปสาขา ชายนฺติ เกสา โลมา นขาปิ จ ยญฺจสฺส ภุญฺชตี มาตา อนฺนํ ปานญฺจ โภชนํ เตน โส ตตฺถ ยาเปติ มาตุกุจฺฉิคฺคโต นโร ฯ “ แปล ว่า “ รูปนี้เริ่มแรกเกิดเป็นกลละ (กะละละ) ก่อน จากกลละเกิดเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ (คะนะ) จากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม (ปัญจสาขา) ต่อจากนั้นก็มี ขน ผม และเล็บ (เป็นต้น) เกิดขึ้น มารดาของทารกในครรภ์นั้นบริโภคข้าวน้ำอาหารฉันใด ทารกที่อยู่ในครรภ์นั้น ย่อมมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารนั้นในครรภ์มารดานั้น ฉันนั้น “ แม้ในอรรถกถาสารัตถัปปกาสินี ก็อธิบายถึงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดาตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระสูตรข้างต้นนั้นไว้ว่า “ ในสัปดาห์แรกแห่งการปฏิสนธินั้น เกิดเป็นกลลรูป คือเป็นหยาดน้ำใสเหมือนน้ำมันงา ในสัปดาห์ที่ ๒ หลังจากกลลรูป เกิดเป็นอัพพุทรูปขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นฟองสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ในสัปดาห์ที่ ๓ หลังจากอัพพุทรูป ก็ได้เกิดเป็นเปสิรูป ซึ่งมีลักษณะเหมือนชิ้นเนื้อที่เหลวๆ สีแดง ในสัปดาห์ที่ ๔ หลังจากเปสิรูป ก็ได้เกิดเป็นฆนรูปขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อน มีสัณฐานเหมือนไข่ไก่ ในสัปดาห์ที่ ๕ หลังจากฆนรูป จึงได้เกิดปัญจสาขาขึ้น คือรูปนั้นงอกออกเป็น ๕ ปุ่ม คือ เป็นศีรษะ ๑ แขน ๒ ขา ๒ ต่อจากนั้น คือในระหว่างสัปดาห์ที่ ๑๒ ถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ ผม ขน เล็บ ก็ปรากฏขึ้น “ ในหนังสือ พระอภิธรรมพิศดาร โดย ส. สายเกษม เล่มที่ ๒ หน้า ๔๓๖ ได้อธิบายคำว่า “กลละ” ไว้ดังนี้ คำ ว่า กลละ ได้แก่น้ำใสสะอาดที่ปฏิสนธิในท้องมารดา ความใสของน้ำสะอาดนี้ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาของมนุษย์ คะเนว่า เหมือนหยาดน้ำมันงา หรือน้ำมันเนย ซึ่งพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า ติลเตลสฺส ยถา พินฺทุ สปฺปิมณฺโฑ อนาวิโล เอวํ วณฺณปฏิภาคํ กลลํ สมฺปวุจฺจติ ฯ แปล ว่า เหมือนหยาดน้ำมันงา หรือน้ำมันเนย มีวรรณะอย่างนี้เรียกว่า กลละ น้ำกลละนี้มีเวลาตั้งอยู่เพียง ๗ วันเท่านั้น เมื่อครบ ๗ วันแล้วก็แปรสภาพเป็นอัพุทะ แปลว่าน้ำข้นเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง ตลอด ๗ วัน เมื่อครบ ๑๔ วันแล้ว อัพพุทะ นี้ก็แปรสภาพเป็น เปสิ มีสีเหมือนดีบุกตลอด ๗ วัน เมื่อ ๒๑ วันแล้ว เปสิ นี้ก็แปรสภาพเป็น ฆนะ เป็นก้อนเหมือนกับเยื่อไข่ตลอด ๗ วัน ในอรรถกถากำกับไว้ดังนี้ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 17:09:42

ความคิดเห็นที่ 79 ยถา กุกฺกุฏิยา อณฺฑํ สมนฺตํ ปริมณฺฑลํ เอวํ ฆนสฺสสณฺฐานํ นิพฺพตฺตํ กมฺมปจฺจยา ฯ แปล ว่า เหมือนกับไข่ไก่กลมโดยประการทั้งปวง รูปของฆนะปฏิสนธิก็เช่นนั้นเพราะกรรมดังนี้ เมื่อครบ ๒๘ วันแล้วก็แปรแปรสภาพเป็นปุ่มสำหรับสาขาทั้ง ๕ คือ ศีรษะ ๑ แขน ๒ ขา ๒ รวม ๕ ตลอด ๗ วัน รวมสัปดาห์ ๕ สัปดาห์ เป็น ๓๕ วัน พระบาลีในสังยุตตนิกาย แสดงไว้ว่า ปญฺจิเม โข ภิกฺขเว สตฺตาเห ปญฺจ ปิฬกา ชายนฺติ สณฺฑหนติ กมฺมโต ฯ แปล ว่า ในสัปดาห์ที่ ๕ นั้น ปิฬก คือ ปุ่มสำหรับจะเกิดเป็น ศีรษะ แขน ขา ก็ย่อมปรากฏเพราะกรรม แต่นั้นต่อไปจนถึง สัปดาห์ที่ ๑๑ คือ ๗๗ วัน จึงบริบูรณ์ด้วย จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา รวม ๔ ประการ ปรากฏตามลำดับ…. ทั้ง หมดนี้ คือคำสอนในทางพุทธศาสนาที่มีมานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ได้นำมาเรียบเรียงเป็นภาษาบาลี และถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาจนถึงยุคปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าการเกิดขึ้นเป็นมนุษย์นั้น จะต้องมีการเจริญเติบโตไปตามขั้นตอน ที่สรุปได้ดังนี้ สัปดาห์ที่ ๑ เป็น กลละ มีลักษณะใสดุจน้ำมันเนย มีขนาดเล็กมากเท่าหยดน้ำมันงาที่นำปลายขนจามรีมาจุ่มและสลัดออก ๗ ครั้ง กลละจะมีขนาดเท่าหยดที่ ๗ ซึ่งเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ สัปดาห์ที่ ๒ เป็น อัพพุทะ มีลักษณะข้นขึ้น ดุจน้ำล้างเนื้อ สัปดาห์ที่ ๓ เป็น เปสิ มีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อ สัปดาห์ที่ ๔ เป็น ฆนะ มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ มีสัณฐานดังไข่ไก่ สัปดาห์ที่ ๕ เป็น ปสาขะ มีลักษณะแตกออกเป็น ๕ ปุ่ม คือ ศีรษะ ๑ แขน ๒ ขา ๒ เรียกว่า ปัญจสาขา สัปดาห์ที่ ๖ เป็น ปริปากะ เป็นปัญจสาขาที่แก่ตัว คือเจริญเต็มที่ สัปดาห์ที่ ๗ เกิด จักขุปสาท มีการเจริญทางประสาทตา สัปดาห์ที่ ๘ เกิด โสตปสาท มีการเจริญของประสาทหู สัปดาห์ที่ ๙ เกิด ฆานปสาท มีการเจริญของประสาทจมูก สัปดาห์ที่ ๑๐ เกิด ชิวหาปสาท มีการเจริญของประสาทลิ้น ส่วน กายปสาท นั้นมีมาแล้วในขณะที่เกิดปฏิสนธิจิต นับตั้งแต่อุปาทะขณะของปฏิสนธิจิตที่เรียกว่าปฏิสนธิกาลเป็นต้นไป ต่อ จากนั้นสัปดาห์ที่ ๑๑ จะเจริญต่อไป สร้างอวัยวะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น เป็นต้น จนกว่าจะครบอาการ ๓๒ จึงจะรวมเป็นสัตว์ผู้เกิดในครรภ์มารดา ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์จะอยู่ในครรภ์มารดาถึง ๒๙๔ วัน หรือ ๙ เดือน ๒๔ วัน ปัจจุบัน นี้ความก้าวหน้าของงานวิชาการทางโลก โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์มีความเจริญมากขึ้น มีการประดิษฐ์กล้องจุลทัศน์ ทำให้การศึกษาค้นคว้าในเรื่องการเกิดมีความรุดหน้ามาก ทำให้ทราบความเป็นไปจนได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องการปฏิสนธิ และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามในหลัก ของพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการที่มนุษย์ได้ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดาว่า จะต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการคือ ๑. มาตา อุตุนี โหติ แปลว่า มารดามีระดู ๒. มาตาปิตโร สนฺนิปาตา โหนฺติ แปลว่า มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน ๓. คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ แปลว่า มีสัตว์มาเกิด ปรากฏว่าวิชาการทางโลกกล่าวถึงปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดเพียงประการที่ ๑ และ ๒ เท่านั้นคือ ๑. มารดามีระดู หมายถึง มีการตกไข่ (Ovualation) เกิดขึ้นในครรภ์มารดา ขอขอบคุณ คุณเจตบุตร ที่ช่วยหาภาษาบาลีมาให้นะครับ ผมคิดอยากจะศึกษาเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ได้ยินท่านผู้รู้ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ฟังครับ น่าแปลกจริงหนอ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 17:11:25

ความคิดเห็นที่ 80 เสริมบ้างสั้นๆครับ จุดที่พวกนักวิทยาศาสตร์ยอมรับและยกย่องศาสนาพุทธคือ สามารถปฏิบัติตามคำสอนแล้วเห็นผลจริงครับ ดังนั้นผู้ที่สงสัยหลักคำสอน ผมแนะนำว่าอยากรู้ต้องทดลองครับ แน่นอนว่าเราทำตามไม่ได้หมดหรอก เอาข้อหลักๆ แต่เรียบง่ายดูก็ได้ เช่นอริสัจ 4 ผมเคยลองพยายามทำตามหลักคำสอนแบบจริงจังอยู่ช่วงหนึ่ง ปรากฏว่าชีวิตผมที่เคยเผชิญมรสุมหนักๆเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ดีขึ้นเยอะนะ สำหรับส่วนที่ใช้หลักคำสอนของพุทธศาสนาเข้าช่วย ทำให้มองโลกในอีกมุมหนึ่ง และผลของการกระทำที่ออกมาตามนั้น แม้จะไม่ดีสุดยอดเต็มร้อย แต่ก็ได้ผลเกินคาดไม่เลวเลย จุดหนึ่งที่ผมชอบในคำสอนพระพุทธเจ้าคือ อย่าเชื่อท่านหมด ถ้าอยากรู้ให้ทดลองทำดูให้เห็นผลเอง จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 00:26:49

ความคิดเห็นที่ 81 ลองทำยังไงครับ  มีครั้งหนึ่งเพื่อนผมบอกว่าให้ลอง  ผมก็ลองไป แต่ปรากฎว่า  ให้ไปทำพิธีเบิกเนตรพระที่สำนักสงฆ์นเองสร้างขี้น  ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะใช่การลองที่ว่าหรือเปล่า      หรือว่าให้ลองไปนั่งสมาธิ  ตามวัดหรือสำนักต่าง ๆ ต่าง ๆ  ให้เห็นนิมิตรต่าง ๆ    หรือว่าให้ลองปฏิบัติ อะไรครับ      แต่ถ้าบอกว่าให้ลองปฏิบัติถือศีลไม่ว่า ศีล 5 หรือ ศีล 8  ผมก็ไม่มีอะไรจะถามเพราะมันต้องดีกว่าไม่ถือศีลแน่นอน  แต่ว่าแบบนี้ศาสนาอื่นเขาก็มีข้อปฏิบัติไม่ต่างกับเจตนารมย์ของศาสนาพุทธ  คือให้คนเป็นคนดี  จะปฏิบัติตามศาสนาใหนก็สรุปว่าดีทั้งนั้น    อันนี้ไม่เข้าใจจริง ๆ นะครับ จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 15:56:18

ความคิดเห็นที่ 82 หากจะเข้าใจ พุทธปรัชญา ต้องแยก พุทธ ออกจาก ผี ให้ได้ก่อนครับ จากคุณ : q_cosmo เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 17:12:52

ความคิดเห็นที่ 83 แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 53 19:55:13 แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 53 19:54:24 แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 53 19:19:14 จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 19:11:12

ความคิดเห็นที่ 84 คห.81 ถ้าไม่เข้าใจ และอยากรู้ ก็ลองทำดูเองสิครับ ไม่งั้นหากไม่แน่ใจก็ลองค้นคว้าดูก่อนก็ได้ ส่วนตัวผมแล้ว พวกพิธีกรรมที่ออกไปทางคุณไสย ผมไม่เชื่อถือนะครับ เพราะถ้าเราดูตามหลักคำสอนทางพุทธก็ไม่ได้มีพูดถึง แต่จะมีในพวกสำนักปฏิบัติต่างๆอยู่บ้าง มาถามเอาแบบนี้ อธิบายให้ตายยังไงก็ไม่เข้าใจหรอกครับ เหมือนคนที่ไปลองปฏิบัติธรรมตามวัดตจว. นุ่งขาวห่มขาว พอเขาไปทำแล้วกลับมา คุณถามเขาว่าดีไหม เขาบอกว่าดี แล้วคุณบอกว่าดียังไง เขาอธิบายว่า ทำให้จิตใจดีขึ้น มองโลกเปลี่ยนไป คุณก็ถามอีกว่า แล้วมันยังไง เปลี่ยนไปยังไง มันก็ถามไม่รู้จบหรอกครับ อธิบายให้ตายยังไงคุณก็ไม่มีทางเข้าใจนอกจากลองไปทำดูเอง แล้วถ้าลองทำดู คุณไม่ชอบ ก็เท่ากับคุณได้ข้อสรุปครับว่า เออ มันไม่ดีจริง ไม่เห็นช่วยอะไร ก็ไม่ต้องไปเชื่อถือตามวิธีการนั้นอีกครับ คุณก็แค่หาวิธีอื่นต่อไป ถ้าอยากจะเข้าใจ นี่แหละครับ คือสิ่งที่พุทธศาสนาพยายามจะบอก ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหลักวิทยาศาสตร์เลยครับ ทดลองพลาดแล้วพลาดอีก เพื่อให้รู้ว่าวิธีการนี้มันใช้ไม่ได้ จนกระทั่งค้นพบทางที่ถูกต้องในท้ายที่สุด เพียงแต่พุทธจะบอกแนวทางที่ถูกและควรไว้แล้ว คุณไม่เชื่อก็ไปลองดูได้ ถ้าทำแล้วมันไม่เวิร์คจริง คุณก็ไม่ต้องไปทำหรือไม่ต้องเชื่อในคำสอนนั้นอีก ก็แค่นั้น จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 53 02:12:24

ความคิดเห็นที่ 85 ใครที่มีประสบการณ์ช่วย  อธิบายให้ผมฟังหน่อยครับว่า  พวกที่ว่าไปลองปฏิบัติธรรม  ตามวัดต่าง ๆ  เขามีวิธีการอะไรบ้าง  เนื้อหาเขาเป็นอย่างไร  วัน ๆ หนึ่งเขาทำอะไรกันบ้าง  นั่งสมาธิกันหรือทำอะไร  หรือว่านั่งฟังพระเทศ  หรือว่ามีอย่างอื่น ๆอีก จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 53 09:18:02

ความคิดเห็นที่ 86 ^ ^ ผมเคยถือศีลและปฏิบัติธรรมในแง่การสร้างอุโบสถครับ คือไปช่วยเขาขุดดินกันเลย สร้างให้วัดที่นครนายก (ขอไม่พูดชื่อนะครับ) ซึ่งตอนนั้นยังเป็นวัดที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย มีมากตรงที่ดินกว้างขวางเท่านั้น แต่อุโบสถหรือกุฏิพระแทบจะไม่มี และหลังจากได้ออกใช้แรงงาน ก็ได้โอกาสลองทำสมาธิ วิปัสสนา ตามหลักครับ เย็นหน่อยก็เดินจงกลมแถวเมรุ (โอว) สิ่งที่คุณจะได้แน่ๆหลังจากทำพวกนี้คือ เหนื่อยครับ 5555 แต่ก็จะได้มาซึ่งการที่ สบายและปลอดโปร่งทางจิตใตครับ ไม่ต้องรับรู้เรื่องภายนอกเลย และการได้ทุ่มเทกำลังและสมาธิไปกับเรื่องพวกนี้ แล้วมานั่งสมาธิ ให้จิตใจสงบนิ่งราวๆ 1 ชม. 2 ชม. ทุกวัน ผลคือ ใจเรานิ่งและสบายขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ พอนานๆเข้า คุณจะมองโลกเปลี่ยนไปอีกแบบ และถ้าเป็นวัดที่อยู่กับธรรมชาติอีกยิ่งดีครับ ช่วงเวลานั้นคุณจะได้สังเกตสรรพสิ่งต่างๆในธรรมชาติที่อยู่กับเราชนิดที่เมื่อก่อนคุณไม่เคยคิดสังเกต แน่นอนว่า หลังจากนั้นเมื่อกลับสู่งสังคมกรุง ก็ต้องกลับมาเผชิญโลกจริงอีกครั้ง แต่คุณก็จะมองอะไรเปลี่ยนไปเยอะครับ และบางครั้งจะอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งต่างๆในโลกศิวิไลซ์ มันโคตรจะไม่จีรังเลย จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 03:12:03