ความคิดเห็นที่ 1 เราสนใจ topic นี้คือ Failure in teaching English as a foreign language เราคิดม้ันไว้ในสมองมาหลายปีแล้ว ถ้าเราเขียน dissertation คงได้เนื้อหายาวมากๆ แต่ขี้เกียจเขียนเพราะเขียนไปก็ไม่ได้ปริญญาด้านภาษาเพราะเราไม่ได้เรียนมาทางนี้ แต่เห็นอะไรแปลกๆในระบบการศึกษาไทยมากๆ เช่น 1. อาจารย์บางคนซึ่งดูเหมือนว่าไม่ได้สอนอะไรนักศึกษาเลย แต่อยู่ดีๆเอาบทความภาษาอังกฤษอะไรยากๆโยนมาให้นักศึกษาแปล แล้วนักศึกษาก็เที่ยวเอาบทความไปจ้างคนอื่นแปลหรือไปขอให้คนแปลฟรีบนเวป ทั้งๆที่การสอนอ่านมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย นี่มันไม่ใช่การสอนภาษาอังกฤษตามขั้นตอนที่ถูกต้อง 2. คนเรียนครูสอนภาษาอังกฤษจำนวนตั้งหลายแสนคนจากมหาลัียระดับรองๆ ที่พูดอังกฤษเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันก็ยังพูดผิดธรรมชาติจนเพี้ยนมากมายแบบคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 แต่คนพวกนี้เรียนจบครูมากลายเป็นได้ teaching license แต่ทำไมคนไทยที่ไปล้างชามในอเมริกาตั้ง 10 กว่าปีที่เก่งภาษาอังกฤษมากกว่า มาขอ teaching license ไม่ได้ ทำไมไม่มีระบบทดสอบความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษของคนเรียนจบครูกับคนที่เคยไปล้างชามในอเมริกา แล้วงดออก teaching license ให้แก่คนจบครูที่พูดอังกฤษผิดมากเกินไป แต่ให้ teaching license แก่คนที่เคยไปล้างชามเมืองนอกมาแต่พูดอังกฤษเป็นธรรมชาติดีโดยไม่ได้เรียนครูมาหรือไม่ได้จบปริญญาใดๆมา แล้วเอาอดีตคนล้างชามไปฝึก TEFL สัก 6 เดือน แล้วเอาไปสอนเด็กประถมหรือมัธยม มันจะเข้าท่ามากกว่าเอาคนจบครูแต่ใช้ภาษาอังกฤษผิดเพียบไปสอน... 3. ทำไมหนังสือแนะนำว่าเรียนอังกฤษแล้วเก่งอย่างโน้นอย่างนี้มันขายดีพอๆกับหนังสือแนะนำเรื่องทำบุญไถ่บาปเพื่อให้ถูกหวยร่ำรวย จนคนเขียนหนังสือร่ำรวยกันไปตามๆกันแต่จนป่านนี้คนไทยเป็นจำนวนมากก็ยังมีปัญหากับการเรียนภาษาอังกฤษ และทำไมจนป่านนี้ยังมีคนเชื่อว่าหลักสูตรภาษาอังกฤษแดรกด่วนยังมีในโลก ทำไมคนแทบไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยคือรู้เกือบๆศูนย์ยังคงหลงเชื่อว่ามีหลักสูตรเตรียมสอบข้อสอบภาษาอังกฤษยากๆ ที่เรียนแต่่ทำข้อสอบแล้วจะสอบผ่าน ทั้งๆที่ในชีวิตเขาไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาตามขั้นตอนที่ถูกต้องเลย เราจะมีการเผยแพร่ข้อมูลไม่ให้คนพวกนี้ถูกหลอกลวงได้อย่างไร เราควรมีกฎหมายห้ามโรงเรียนสอนภาษาตั้งชื่อโรงเรียนที่ชี้นำว่าเรียนแพล็บเดียวก็เก่งได้หรือไม่ คล้ายๆกับที่มีกฎหมายห้ามบริษัทยาตั้งชื่อยาที่ชี้่นำว่าแดรกเข้าไปแพล็บเดียวรักษาโรคหาย อย่างเช่นยา "ทันใจ" ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นยา "ทัมใจ" โอ้ยยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกมากมาย...ลองไปคิดดูดิ... แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 53 16:14:20 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 11:52:44

ความคิดเห็นที่ 2 "..มีใครเคยศึกษาเรื่องนี้หรือใกล้เคียงมาบ้าง.." >> น่าจะเป็นคุณ texasprofessor กระมัง ท่านเป็นคนที่สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำได้ เพราะเป็นคนไทยที่เก่งจนสอนภาษาอังกฤษให้ฝรั่งได้ ท่านอื่นๆที่ผ่านหูผ่านตาว่ามีความรู้ความสนใจด้านภาษาและเคยสอนภาษาก็เช่นคุณ fortuneteller ซึ่งมีประสบการณ์ตรงกับการเรียนภาษาอังกฤษและการสอนภาษาอังกฤษแบบหมัดเมานอกแบบที่รับรองว่าไม่เหมือนใคร คุณ Paphmania ก็เป็นอีกคนที่ชอบภาษามาก ศึกษาละเอียดเรื่องสัทศาสตร์ สามารถไล่เลียงญาติโกโหติกาของคำหนึ่งๆผ่านภาษาต่างๆได้เป็นคุ้งเป็นแคว นอกจากนั้นก็มีท่านที่เป็นครูบาอาจารย์จริงๆอย่างเช่นอาจารย์ kdunagin และอีกหลายๆท่าน ขออภัยที่นึกออกได้ไม่หมด ส่วนผมนั้นได้แค่เสมอนอก เป็นนักเรียนโข่งพอได้ ให้สอนใครเป็นเรื่องเป็นราวเป็นระบบเห็นจะไม่ได้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 12:34:30

ความคิดเห็นที่ 3 I don't think this topic is not good in that English is more or less the lingua franca and practically every country in the world has English as a second/foreign language in their curruculum. I cannot imagine there is a cultural contrainst for a person who is not a native speaker but can teach English if that person is properly trained. In my over 40 years' experience, I have seen practically all nationalities who can speack/write English very well if they happen to be trained/gifted. At the same time, I also see terrible users of English from practically all nationalities. In my opinion, it is not the culture, but individuals that are the determining factors. จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 19:09:30

ความคิดเห็นที่ 4   โอ... ไม่กล้ารับเกียรตินั้นครับพี่แอ๊ด ไม่เก่งอะไรเลยครับ แค่สอนสิ่งที่เรารู้แต่เค้าไม่รู้ (ถ้าจะเปรียบเทียบคงเหมือนสอนเรื่องทำงานของระบบการหายใจ ปัจจัยภายนอก และภายในที่มีผลต่อระบบการหายใจ ฯลฯ ให้นิสิต ทั้งๆที่นิสิตส่วนใหญ่ก็หายใจกันเป็น หายใจกันคล่องอยู่แล้วประมาณนั้นน่ะครับ) สรุปคือ ไม่ใช่สอนจรเข้ แต่อย่างใด....เพราะนิสิตก็ไม่ทราบเรื่องเหล่านั้นเหมือนกัน ฮา... เอ้า เข้าเรื่องจขกท... หัวข้อให้มามันกว้างมาก เพราะคำว่า teaching english as a second lang มันกินความถึง สอนฟัง พูด อ่าน เขียน... ในขณะที่ dissertation ของคุณคงทำกว้างขนาดนั้นไม่ได้ คุณต้องเจาะเรื่องที่จะทำ ยิ่งแคบยิ่งดี เพราะมัน specific กว่า และมีตัวแปรควบคุมน้อยกว่า ดังนั้น การแปรผลก็จะง่ายขึ้น เช่น เปรียบเทียบกระบวนการจัดระเบียบ paragraph ในการเขียนเรื่องเล่า (narrative) ของนักศึกษาชั้น....ของไทย กับนักศึกษาชั้น...ของญี่ปุ่น เป็นต้น แล้วดูว่ามีปัจจัยทางวัฒนธรรมมาเกี่ยวด้วย) หรือ บางคนสนใจเรื่อง pragmatics เช่น กระบวนการแสดงความเห็นในห้องเรียนของนักศึกษาที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (เช่น ในการแสดงความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมชั้นเวลามีการอภิปราย หรือในการวิจารณ์งานของเพื่อนร่วมชั้น) เพื่อดูว่า pattern ของนักศึกษาเหล่านี้เป็นอย่างไร และผลการวิจัยจะนำมาปรับปรุงการเรียนการสอนยังไงได้บ้าง เพราะแน่นอนวัฒนธรรมมีส่วน... หรือจะทำเรื่อง pronunciation ก็ได้ ปัจจัยทางวัฒนธรรมที่มีผล เช่น ทำนองเสียง (intonation) ก็มีผล จังหวะจะโคน (rhythm) ในการพูด... สรุปคือ ต้องหา niche ให้เจอก่อนครับ แล้วค่อยคิดสเต็ปต่อไป... จากคุณ : texanprofessor เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 07:25:14 A:76.31.206.227 X: TicketID:286071

ความคิดเห็นที่ 5   ขอบคุณทุกคนมากๆๆค่ะ ที่มาตั้งกระทู้ก็เพื่อจะหา niche อย่างที่คุณ texamprofessorบอกนี่แหละค่ะ จริงๆสนใจเรื่อง pragmatics ค่ะ แต่อยากลองฟังคนอื่นๆว่าใครเคยทำอะไรมาบ้างค่ะ ^^ คุณ fortuneteller น่าสนใจมากๆค่ะ ตอบคุณ K.Senior นะคะ มุมของคุณก็เป็นopposing viewpointของงานเขียนเรื่องนี้ของหลายๆคนค่ะ ส่วนตัวอย่างทีจขกทหมายถึงโดยการใช้cultural constraints เช่น ในประเทศจีน CHC เป็นเหมือน educational culture ซึ่งมี memorization, repetition and understanding เป็นหัวใจหลักก็ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนของทุกวิชาค่ะ แต่ยอมรับว่างานวิจัยพวกนี้generalizationมาก คล้ายๆกับ Hofstede's Values of Cultures theory ค่ะ จากคุณ : มิวสิค เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 16:49:28 A:121.79.214.152 X: TicketID:235689