PANTIP.COM : K9722501 ผลร้ายมหาลัยรับตรง รร.ต้องเร่งสอนให้จบ 5 เทอม นร.เสียค่าสอบตกหัวละ 2 หมื่น [การศึกษา]

ผลร้ายมหาลัยรับตรง รร.ต้องเร่งสอนให้จบ 5 เทอม นร.เสียค่าสอบตกหัวละ 2 หมื่น

คมชัดลึก : แฉ!แอดมิชชั่นส์กลางล้มเหลว มหาวิทยาลัยหนีตายแห่รับตรงอื้อ! ส่งผลร้ายให้โรงเรียนเร่งสอนให้จบหลักสูตรม.ปลายภายใน 5 เทอม ส่วนพ่อแม่เดือดร้อนจ่ายเงินมหาโหด ทั้งค่ากวดวิชา ค่าสอบตรง เผยเด็กหนีเรียนวิ่งรอกสอบตรงตกหัวละ 2 หมื่นบาท ทวงสัญญา "ชินวรณ์" รับปากดึงเด็กกลับสู่ห้องเรียน อนาจ!ระบบการศึกษาไทยตกอยู่ในวังวนเดิมเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา แนะอาศัยมติครม.จัดระเบียบสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ ก่อนชาติล่มสลาย!

ความคืบหน้าหลังจากรัฐบาลประกาศยกเลิกสอบเอนทรานซ์ และอาศัยมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกาศนำระบบแอดมิชชั่นส์กลางมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปีการศึกษา 2549 จนถึงทุกวันนี้ 5 ปีของการนำระบบแอดมิชชั่นส์กลางมาใช้ ส่งผลให้มหาวิทยาลัยของรัฐทั่วประเทศเลี่ยงไปรับเด็กผ่านระบบรับตรงกันมากขึ้น

ล่าสุด นายอำนวย สุนทรโชติ ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า จากการที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่พอใจระบบแอดมิชชั่นส์กลางจึงหันมารับตรงกันมากขึ้น โดยบางคณะเปิดรับตรงถึง 100% สิ่งนี้ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายและทุกข์ทรมานกับนักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นอย่างมาก เพราะนักเรียนเกิดความสับสน เนื่องจากต้องคอยตามข่าวว่าที่ไหนเปิดรับสมัครรับตรงบ้าง สอบเมื่อไร ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยก็มีหลักเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกันเลย

"การสอบตรงในแต่ละมหาวิทยาลัยนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก่อนเดือนตุลาคม 2553 ซึ่งนักเรียนเพิ่งเรียนจบม.5 แต่ต้องถูกบังคับให้ต้องสอบเนื้อหาม.6 ด้วย เป็นการส่งเสริมให้เกิดการกวดวิชา อีกทั้งโรงเรียนก็เร่งสอนให้จบหลักสูตรม.ปลายภายใน 5 เทอม จากเดิมเรียน 6 เทอม เหล่านี้สร้างความไม่เท่าเทียมระหว่างนักเรียนที่มีความพร้อมที่จะไปกวดวิชา กับนักเรียนที่ไม่มีความพร้อม และทำให้นักเรียนทิ้งห้องเรียน" นายอำนวยกล่าว

นายอำนวยกล่าวต่อว่า ค่าสมัครสอบตรงที่แพงแสนแพง มีตั้งแต่วิชาละ 500-850 บาท เด็กบางคนวิ่งรอกสอบตรง จากเดิมที่นักเรียนคนหนึ่งที่อยากเป็นหมอแต่ถ้าไม่ได้ก็จะเลือกสอบตรงวิศวะหรือถ้าไม่ได้ก็จะเลือกวิทยาศาสตร์นั้น จากเดิมในระบบเอนทรานซ์จะใช้เงินสมัคร 250 บาทเท่านั้น เพื่อเลือกคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ แต่ปัจจุบันจะต้องใช้เงินมากกว่า 2 หมื่นบาท ซึ่งนักเรียนที่ยากจนไม่สามารถแบกรับภาระนี้ได้ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

"ผมเรียกร้องให้คุณชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ ที่เคยรับปากจะดึงเด็กกลับสู่ห้องเรียน ขอให้รีบดำเนินการ เพราะระบบการศึกษาไทยตกอยู่ในวังวนเดิมเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เพราะผลจากมหาวิทยาลัยเปิดสอบตรงได้เกิดโกลาหล พ่อ แม่เด็กเครียดจัดแต่ไร้ที่พึ่ง ผมวิงวอนขอให้รัฐมนตรีแก้ไขปัญหานี้ อาจอาศัยมติครม.จัดระเบียบสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ ก่อนที่ชาติจะล่มสลายเพราะระบบการศึกษาไทยล้มเหลว" นายอำนวย กล่าวในที่สุด

http://www.komchadluek.net/detail/20100923/74070/โจรปล้นพ่อแม่ค่าสอบตรงมหาโหดขั้นต่ำหัวละ2หมื่นทวงสัญญาชินวรณ์ดึงเด็กกลับห้องเรียน.html

จากคุณ : หมาป่าดำ

เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 53 11:51:11

ความคิดเห็นที่ 1

ความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย รู้สึกเคยโพสถามในนี้มาครั้งหนึ่ง ว่าไม่เห็นด้วยที่เด็กต้องสอบด้วยหลักสูตรที่จบ ม.6แล้ว ทั้งที่ตัวเองเพิ่งเรียนแค่กลางปี ม.6 มีผู้มาร่วมแสดงความเห็นรู้สึกจะ 4 ท่าน และยังคงยืนยันว่าระบบอย่างนี้เท่ากับว่าครูในโรงเรียนไม่มีความสำคัญ และผิดธรรมชาติ กลับเอื้อต่อธุรกิจกวดวิชาซึ่งเป็นเรื่องสิ้นเปลือง มีประโยชน์ก็แต่ช่วยให้ติวเตอร์รวยเท่านั้น

ปรัชญาการมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพในแต่ละวิชาชีพนั้น มาจากความต้องการความรับผิดชอบในแต่ละวิชาชีพ เป็นการสกรีนในระดับซีเรียส ยกตัวอย่างเช่น คุณไม่มีความรู้ทางศัลยแพทย์ โอกาสที่คุณจะผ่าตัดคนตายมีเกิน 90 เปอร์เซนต์
แต่ถึงคุณจะมีความรู้ด้านนี้คุณก็ต้องทำอย่างรับผิดชอบ มั่วไม่ได้ อ้างชื่อแต่แอบให้คนอื่นทำแทนไม่ได้ มีปัญหาเกิดเคสชุ่ยขึ้นปุ๊บ พักใบอนุญาตทันที ลงโทษด้วยเป็นการตัดไฟไม่ให้ไปชุ่ยเพิ่มกับรายอื่นด้วยไปในตัว
นอกจากนี้เป็นการบอกไปในตัวว่าคนที่ไม่มีใบอนุญาตเขาไม่มีความรู้ด้านนี้นะ หรือยังมีไม่พอ แต่อาจมีกติกาให้ผู้ที่มีความรู้เทียบเคียงสามารถทำการต่อยอดเพื่อให้มีความรู้ความสามารถเพียงพอในการได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้

สิ่งที่ยกตัวอย่างจึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เป็นเรื่องของศาสตร์ ที่ต้องการความรับผิดชอบอย่างมีรูปธรรม ไม่ใช่การกีดกันทางวิชาชีพ

แต่กรณีของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ก่อนอื่นก็ต้องมีความรูในวิชาที่จะต้องสอน ครูสอนวิทย์ต้องรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ บังเอิญว่าคนจบด้านวิทยาศาสตร์ก็รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ เอาละข้อต่อไปต้องถ่ายทอดเป็น ผมยกตัวอย่างติวเตอร์ดัง ๆ ยุคนี้ละกัน เช่น ครูพี่แนน ติวอังกฤษจบอักษรฯ ฟิสกส์-หมอประกิตเผ่า จบแพทย์ คณิต-อ.ชัยวัฒน์ จบวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครจบครูโดยตรงเลย เพราะจริง ๆ แล้วการถ่ายทอดนั้นเป็นศิลปมากกว่าเป็นศาสตร์ ไม่เช่นนั้นแล้ว ศาสตร์วิชาต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณก็คงดับสูญ เพราะสมัยก่อนคำว่าครูก็คือผู้ที่ให้การถ่ายทอดโดยผู้มีความรู้ด้านสาขานั้น ๆ เขาไม่ได้ฝึกมาเพื่อเป็นครู แต่มีวิญญาณความเป็นครู นี่เป็นหลัก
ในประเด็นการอบรมสั่งสอน ครูสอนศิษย์ อีก 10 ปีข้างหน้า ศิษย์เลวติดคุกติดตะรางถามว่าเราควรลงโทษครูคนนั้นไหม โทษฐานสอนศิษย์แล้วคุณภาพไม่ดี แต่ถ้าวิศวกรสร้างสะพานแล้วอีก 10 ปี สะพานพังก่อนเวลาอันควร สามารถตรวจสอบได้ หากเกิดจากการทำงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ยึดใบอนุญาต มันเป็นรูปธรรม ถามว่ากรณีศิษย์เลว อะไรคือรูปธรรม แล้วเราจะพักใบอนุญาตครูกรณีไหน ศิษย์เลว นักเรียนสอบตก โทษครูได้ไหม เช่นนั้นแล้ว อะไรคือรูปธรรม

ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู จึงเป็นเพียงการกีดกันทางการทำงานเท่านั้น เพราะอะไร เพราะทุกวันนี้ ครูส่วนใหญ่มาจากบุคคลผู้มีความสามารถต่ำกว่า ซึ่งถูกบุคคลจากสาขาอื่นเข้ามาทำงานแทนได้อย่างไม่ยากเย็น หากให้มีการแข่งขันแบบแฟร์ ๆ โอกาสคนจบครูโดยตรงแพ้สูง ตัวอย่างเช่นในยุคหนึ่ง คนที่จบ วท.บ.นิยมเป็นครู จนกระทั่งคนที่จบสายครูโดยตรงตกงาน แพ้แม้กระทั่งการสอบวิชาความเป็นครูที่ตนเองเรียนมา แต่เพื่อนแค่อ่านตำราเพื่อสอบ อะไรคือคำตอบ

แต่นี่คือหลักการที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญอย่างที่สุดเท่าที่ประเทศชาติเราเคยก่อตั้งมา เพราะ คำว่าครู เรากลับต้องการคนที่เก่งที่สุด และมีความสามารถ มีวิญญาณครูสูงสุด

มีแต่ว่าต้องเชิญชวนให้คนเก่ง ๆ มาเป็นครู หมอฟัน พยาบาล สถาปนิก สัตว์แพทย์ คนจบบัญชี พวกนี้เชิญมา เขาก็ไม่ได้ว่าอยากมาอยู่แล้วถ้าไม่มีจิตวิญญาณความเป็นครู คนที่อยากมาทำไมจะไปกีดกันเขาอีก ทั้งหมดทั้งปวงจึงเป็นเรื่องการเมือง เรื่องการเอาใจ แต่ผลกรรมตกอยู่กับวงการศึกษาไทยทั้งระบบ

เมื่อมหาวิทยาลัยของรัฐถูกบีบให้ออกนอกระบบ ก็เป็นโอกาสให้มหาวิทยาลัยเอกชนแข่งขันได้ ทำเงินได้ เมื่อการศึกษาในระบบถูกบีบให้ล้มเหลว ก็เป็นช่องทางทำเงินให้กับโรงเรียนทางเลือก และสถาบันกวดวิชา ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับใคร

ประเทศชาติล่มจมแน่ หากทำอะไรคิดแต่ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มกันทั้งหมด

ในรอบสิบปีที่ผ่านมานี้ ผู้มีอำนาจในวงการศึกษาไทย คิดโน่นคิดนี่ จะเปลี่ยนระบบ อย่างนั้น อย่างนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เสียเวลาและไม่มีประโยชน์
ทำไมไม่เน้นไปที่การทำให้คุณภาพการศึกษามีช่องว่างความแตกต่างลดลง ควบคุมคุณภาพครู คุณภาพนักเรียนให้ดีขึ้น ๆ ส่งเสริมการศึกษาให้ก้าวหน้า ไม่ใช่มานั่งตีกรอบ

หรือว่าพวกท่านมาจากผู้มีคุณภาพต่ำ จึงทำงานให้มีประสิทธิภาพสูง ไม่เป็น
แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 53 15:15:41

จากคุณ : tanlove

เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 53 15:06:23