|
ความคิดเห็นที่ 7 |
>>>เจ็บใจจริงๆ เดี๋ยวต้องชวนพี่แสนอักษรมาหัดเต้นรำกันใหม่แล้ววุ้ย โถ..... ผมว่าถ้าตำราที่แปลผิดนั้นถูกยกระดับมาเป็นบรรทัดฐานประกอบการรักษาโรค แพทยสภาก็น่าจะมีส่วนรับผิดชอบไม่น้อย ผมโดนฝรั่งถามบ๊อยบ่อยว่า พระพุทธเจ้าห้ามฆ่าสัตว์ แต่ผมซึ่งเป็นพุทธทำไมกินเนื้อสัตว์?? อ้าว !! เกี่ยวอารายกับเรื่องแปลตำราแพทย์.....เกี่ยวไม่เกี่ยวเดี๋ยวผมก็จะพยายามม้วนหัวม้วนหางเกี่ยวกันให้ได้ล่ะน่า อิ อิ อิ ผมเคยถูกเรียกใช้งานให้ไปอธิบายเรื่องศาสนาพุทธในห้องเรียนเด็กนักเรียนวัยรุ่นฝรั่งว่าช่วงวิชาศาสนาเปรียบเทียบ เจอคำถามอย่างนี้แหละ ประเด็นอย่างนี้มันต้องอธิบายถึงสองนัยยะซ้อนๆ กัน ไม่งั้นฝรั่งจะไม่ถึงบางอ้อ นัยยะแรก: การถอดความเรื่องการฆ่าสัตว์ ซึ่งผมเจอบ่อยมากในภาษาอังกฤษโดยเฉพาะคนไทยที่เขียนเรื่องศีลห้าเป็นภาษาอังกฤษ ศีลข้อแรก do not kill....ไปนู่นเลย ต้นภาษาจริงๆ คือภาษาบาลี ไม่ได้แปลว่า "ห้าม" เลยแม้แต่น้อย แต่ให้ "ละเว้น" (keep from doing) เจอทั้งในหนังสือทั้งบทสนทนาสดๆ เจ้าคำว่า do not ที่หมายถึงศีลห้านี่.....ผมว่าน่าจะเป็น refrain มากกว่า ตรงนี้ก็ต้องอธิบายฝรั่งให้เข้าใจ นัยยะสอง: ถึงฝรั่งเข้าใจแล้ว แต่มันก็น่าจะคาใจอยู่ดีล่ะว่า แหม...สู้อุตส่าห์แสดงท่าทีที่มีเมตตาต่อสัตว์โลกแล้ว เราชาวพุทธยังกินเนื้อกันโครมๆ ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ยิ่งเจอฝรั่งที่อ่านหนังสือมามากหน่อย ก็นู่นเลย..ยกอ้างไปไกลว่าขนาดพระพุทธเจ้าเองก็ยังฉันเนื้อสัตว์ อย่างนี้ไม่เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เขาฆ่าสัตว์กันหรือ?? ยิ่งถ้าไปเจอคนที่เป็นมังสวิรัตก็ยิ่งเสียวที่จะโดนต้อนเข้ามุมในเรื่องนี้ ตรงนี้ก็เตรียมหาคำตอบกันเอาไว้ก็แล้วกัน สำหรับชาวพุทธ...เมื่อถามว่าคนที่ทานเนื้อสัตว์บาปไหม? เพราะเมื่อคิดสะระตี่แล้วโยงจากจุดนั้นไปจุดนั้นแล้ว มันก็เท่ากับส่งเสริมให้คนอื่นฆ่าสัตว์อยู่ดี ตรงจุดนี้ ก็พอจะเลียบๆ เคียงๆ ถามในทำนองเดียวกันว่านักแปล C ผิดไหมที่ตำราที่เขาแปลผิดนั้นถูกนำไปใช้แล้วส่งผลกระทบกระเทือนต่อคนไข้? คำตอบตรงนี้ผมก็คงตอบเหมือนหมอแอ๊ดว่า ทั้งคนแปลและคนทานเนื้อสัตว์น่าตำหนิ ส่วนคนที่รับผิดชอบเต็มๆ น่าจะเป็น หมอหรือคนฆ่าสัตว์ สำหรับศาสนาพุทธ คนที่ทำให้ชีวิตสัตว์ต้องตกไปถือว่าบาป คนที่กินเนื้อสัตว์สำหรับศาสนาพุทธแล้วก็มองว่าเป็นการดำรงชีวิต กิน ขี้ บี้ นอน ธรรมดา เว้นแต่ว่าหากเนื้อสัตว์นั้นคนกิน ฆ่าเอง หรือใช้ หรือhint ให้คนอื่นไปฆ่าแล้วเอาเนื้อสัตว์มาให้เขากิน คนกินก็ถือว่าบาป ที่ผมยกเรื่องการกินเนื้อสัตว์และศีลข้อหนึ่งมาตรงนี้ แม้จะไม่สามารถเปรียบเทียบกรณี นักแปล แพทย์ และ คนไข้ ได้เต็มปากเต็มคำนัก แต่สิ่งหนึ่งที่คล้ายกันก็คือ 1. มีผู้ปฏิบัติ (คือ แพทย์, คนฆ่าสัตว์) 2. ผู้ที่รับผลจากการปฏิบัติของบุคคลจากข้างบน (คนไข้, สัตว์) 3. ผู้ที่เป็น "เสมือน" สิ่งจูงใจให้บุคคลจากข้อแรกต้องปฏิบัติ (นักแปล, คนทานเนื้อ) สรุป ผู้ปฏิบัติ มีพิจารณญานที่จะไตร่ตรองก่อนลงมือปฏิบัติ และหากผลปฏิบัติออกมาเช่นไร ก็ต้องรับผิดชอบตรงนั้น ส่วนนักแปลและคนทานเนื้อ ก็ถือว่าดำรงชีวิตธรรมดาๆ เว้นไว้แต่ว่านักแปลจงใจแปลผิดเพื่อหมายจะให้คนไข้ทรุดหรือตาย หรือคนทานเนื้อสัตว์ใช้หรือบอกใบ้ให้คนอื่นไปฆ่าสัตว์เพื่อจะได้เนื้อมาทาน
จากคุณ |
:
ใ (วัชรานนท์)
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ต.ค. 53 06:39:55
|
|
|
|
|