ความคิดเห็นที่ 1 ผมอธิบายไม่ค่อยเก่ง ดูภาพกันไปเรื่อย ๆ แล้วกันครับ เริ่มด้วยรองปกใน จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ (อันดามันฉันรักเธอ) เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:49:57

ความคิดเห็นที่ 2 สารบัญ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ (อันดามันฉันรักเธอ) เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:50:40

ความคิดเห็นที่ 3 ภาพที่ ๑ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ (อันดามันฉันรักเธอ) เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:51:19

ความคิดเห็นที่ 4 ภาพที่ ๒ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:51:49

ความคิดเห็นที่ 5 ภาพที่ ๓ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:52:14

ความคิดเห็นที่ 6 ภาพที่ ๔ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:52:42

ความคิดเห็นที่ 7 ภาพที่ ๕ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:53:06

ความคิดเห็นที่ 8 ภาพที่ ๖ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:53:24

ความคิดเห็นที่ 9 ภาพที่ ๗ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:53:40

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพที่ ๘ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:53:56

ความคิดเห็นที่ 11 ภาพที่ ๙ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:54:12

ความคิดเห็นที่ 12 ภาพที่ ๑๐ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:54:32

ความคิดเห็นที่ 13 ภาพที่ ๑๑ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:54:52

ความคิดเห็นที่ 14 ภาพที่ ๑๒ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:55:14

ความคิดเห็นที่ 15 ภาพที่ ๑๓ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:55:30

ความคิดเห็นที่ 16 ภาพที่ ๑๔ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:55:48

ความคิดเห็นที่ 17 ภาพที่ ๑๕ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:56:05

ความคิดเห็นที่ 18 ภาพที่ ๑๖ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:56:22

ความคิดเห็นที่ 19 ภาพที่ ๑๗ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:56:37

ความคิดเห็นที่ 20 ภาพที่ ๑๘ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:57:18

ความคิดเห็นที่ 21 ภาพที่ ๑๙ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:57:35

ความคิดเห็นที่ 22 ภาพที่ ๒๐ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:57:50

ความคิดเห็นที่ 23 ภาพที่ ๒๑ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:58:04

ความคิดเห็นที่ 24 ภาพสุดท้ายครับ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:58:28

ความคิดเห็นที่ 25 ที่มาของภาพและเนื้อหา จากเว็บ http://www.pisutshop.com/webboard3_detail.asp?TopicID=307 ขอบพระคุณมากครับ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 19:59:16

ความคิดเห็นที่ 26 ภาพล้อฝีพระหัตถ์นี่ รัชกาลที่ 6 ท่านวาดเองหรือค่ะ ดิฉันวิจารณ์ศิลปะไม่ค่อยเป็น แต่ก็ดีที่ได้ดูภาพการแต่งกายสมัยก่อนค่ะ จากคุณ : Paura eh? เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 20:14:07

ความคิดเห็นที่ 27 นำมาเทียบกันให้ชม ในภาพที่ ๑๒ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เทียบกับภาพถ่ายที่ท่านถือพระแสงปฏักในงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ส่วนเรื่องพัดเปรียญนั้น ท่านได้สอบได้จนเป็นเปรียญ ครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 21:22:34

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณ พี่หนุ่มรัตนะ มากครับสำหรับภาพขอบท่านเจ้าคุณ ฯ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 21:29:51

ความคิดเห็นที่ 29 สพานนี้หล่อด้วยเครื่องคอนกรีตติดเปนแท่นเดียวกัน และเปนสพานแรกที่ไม่ต้องใช้สิ่งของที่สั่งมาจากต่างประเทศเลย แลได้ทำตามแบบอย่างที่นิยมกันในสมัยนี้ โดยมีส่วนขนาดกว้างร่วมในพนักกว้าง ๔ วา ๑ ศอก ยาว ๑๗ วา ๑ ศอก สูงจากระดับน้ำธรรม ๓ ศอก ๑ คืบ มีพนัก ๒ ข้าง มีซุ้มโคมไฟฟ้าข้างละ ๒ ซุ้ม เปน ๔ ซุ้ม ประกอบด้วยลวดลาย แลภาพอันวิจิตร์บรรจงแบบโบราณ สิ้นพระราชทรัพย์ ๔๙๙๓๗ บาท ๕๕ สตางค์ บัดนี้การสร้างสพานก็เปนอันสำเร็จดังพระราชประสงค์แล้ว แลได้รับพระราชท่านนามว่า "สะพานเจริญศรัทธา" อยู่หน้าองค์พระ จ.นครปฐม คำความกราบบังคมทูลของเจ้าพระยามหินเดชาสมุหเทศานครไชยศ ๒๔๖๑ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 21:43:39

ความคิดเห็นที่ 30 มหาอำมาตย์เอก  เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร  เป็นสภานายกราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม    ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยินดีและรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์  เพื่อหาเงินซื้อเรือรบพระร่วง เพื่อเตรียมเข้าสงครามโลก และท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม จึงปรากฎมือหนึ่งจับตรากระทรวงยุติธรรม อีกมือถือสมอเรือ ไว้ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 21:59:32

ความคิดเห็นที่ 31 พอได้เห็นภาพเปรียบเทียบระหว่างของจริงกับแบบลายเส้น  ก็เข้าใจในพระอารมณ์ขันทีเดียว จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 00:06:16

ความคิดเห็นที่ 32 ภาพล้อฝีพระหัตถ์นี้ทรงเขียนแล้วพระราชทานไปลงพิมพ์ใน "ดุสิตสมิต" วารสารของดุสิตธานี  ใน ๒ช่วงเวลาคือปี ๒๔๖๑ และ ๒๔๖๓ ภาพทรงล้อนี้เล่ากันว่า บุคคลที่ทรงล้อนั้นต่างก็ขอพระราชทานซื้อภาพต้นฉบับไปเก็บรักษาเป็นสมบัติของคนในราคาที่สูงมาก  เงินรายได้จากการจำหน่ายภาพนั้นได้พระราชทานไปในการสาธารณะกุศลทั้งสิ้น เช่น พระราชทานให้ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยามเพื่อสมทบซื้อเรือรบหลวงพระร่วง  พระราชทานสภากาชาดสยาม เป็นต้น จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 07:14:59

ความคิดเห็นที่ 33 ในความเห็นที่ ๓๐  คุณหนุ่งรัตนะได้อธิบายภาพไว้แล้ว  ขออธิบายภาพเพิ่มเติมครับ ในภาพนั้นเจ้าพระยาอภัยราชาแต่งเครื่องแบบข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนักสังกัดกระทรวงวัง ยศ มหาเสวกเอก (อ่านว่า มะ หา เส วก เอก)  สวมครุยเนติบัณฑิต  เพราะโดยตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมนั้นท่านเป็นสภานายกพิเศษ เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์  มือขวาถือดุลย์หรือตราชั่ง หมายถึงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม  ส่วนมือซ้ายถือสมอเรือ คือ สภานายกจัดการเรี่ยไรเงินจัดซื้อเรือรบหลวงพระร่วงให้ราชนาวีไทย  ส่วนรูปช้างชูหม้อน้ำ คือ ตราสัญลักษณ์ของราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งท่านเป็นสภานายก จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 07:19:56

ความคิดเห็นที่ 34 ความเห็นที่ ๒๗ "มหาปริญญามาตย์นายก" ในภาพเจ้าพระยายมราชแต่งเครื่องแบบปกติข้าราชการพลเรือน บศ มหาอำมาตย์นายก (เทียบเท่า จอมพลทหารบก)  ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงนครบาล  ห่มจีวรมัดอก  หมายถึงท่านเคยบวชเรียนเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหานิกายที่วัดหงส์รัตนาราม  และเคยเป็นอาจารย์ถวายพระอักษรล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖  ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ "อัศวิน" บนสังฆาฏิ  เพราะท่านได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ ๒ มหาโยธิน  สำหรับผลงานการจับกุมชนชาติศัตรูคราวประกาศสงครามโลกครั้งที่ ๑  (พรบ.ตรารามาธิบดีกำหนดให้ผู้ที่ได้รับพระราชทานตรารามาธิบดีตั้งแต่ชั้นที่ ๔ ขึ้นไป  ให้ประดับตราชั้นที่ ๔ "อัศวิน" ที่อกเสื้อเบื้องซ้ายในเวลาแต่งกายปกติ)  พัดเปรียญนั้นแสดงคุณวุฒิเป็นเปรียญ ๓ ประโยค  มือขวาถือปฎัก  หมายว่า ท่านเป็นพระยาแรกนา จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 07:28:35

ความคิดเห็นที่ 35 คราวนี้มาว่ากันตั้งแต่ถาพแรก "นคราภิบาลผู้มีศุภลักษณ์"  คือ พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น  พุ่งบุญ)  ผู้ได้รับเลือกเป็นนคราภิบาล (เทียบได้กับนายกเทศมนตรีในต่างประเทศ) ของดุสิตธานีเป็นคนแรก  และกิจกรรมสำคัญที่ท่านนคราภิบาลจัดขึ้นในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งนคราภิบาล คือ การแข่งขันบิลเลียดในระหว่างทวยนาคร (พลเมือง) ของดุสิตธานี  ตรงนี้ขอขยายความเพิ่มเติมว่า ดุสิตธานีนั้นเป็นเมืองจำลองที่ย่อส่วนลงเหลือราว ๒๐% ของอาคารจริง  อาคารในดุสิตธานีจึงมีความสูงเฉลี่ยราว ๔๐ - ๕๐ เซนติเมตร  คนจึงไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้  แต่ก็มีห้องบิลเลียดเป็นสโมสรจริงๆ ที่ทวยนาครสามารถเข้าไปพักผ่อนและใช้เป็นสถานที่ลงคะแนนเลือกตั้งกันจริงๆ ในภาพท่านนคราภิบาลแต่งกายในชุดเต็มยศ นายกองเอก เสือป่าม้าหลวงรักษาพระองค์ ราชองครักษ์เสือป่า  ตามที่มียศตำแหน่งจริงในราชการเสือป่า จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 07:36:21

ความคิดเห็นที่ 36 ภาพที่ ๒ "เจ้าคุณสมุโหปะนายืกาธิบดี"  คือ เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ  พึ่งบุญ)  เวลานั้นยังเป็น จางวางเอก มหาเสวกเอก นายพลโท นายนาวาเอก พระยาประสิทธิ์ศุภการ  สมุหราชองรักษ์ และอธิบดีกรมมหาดเล็ก ยศจางวางเอก เป็นยศมหาดเล็กเ  ทียบเท่า นายพลเอกทหารบก   ยศมหาเสวกเอก  เป็นยศข้าราชการกระทรวงวัง  ทียบเท่า นายพลเอกทหารบก ในภาพเริ่มจากหมวกปีกสักหลาดสีดำ  ประดับพู่ขนนกขาว ปลายดำ  พู่ขนนกขาวหมายถึงเป็นนายพลเสือป่า ตำแหน่งอุปนายกเสือป่า  ส่วนปลายเป็นขนนกดำน้น หมายถึงเป็นผู้บังคับการพิเศษกองพันที่ ๒ กรมเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ ขออธิบายเพิ่มเติมเรื่องพู่นนกที่หมวก  สำหรับนายพลเสือป่าทั่วไปนั้นใช้พู้ขนนกใหญ่สีขาว  แต่นายพลเสือป่าพรานหลวงนั้นใช้พู่ขนนกใหญ่สีดำ  ในภาพทรงวาดพู้ขนนกผสมกันทั้งขาวและดำ เสื้อซีกขวาเป็นเสื้อเต็มยศขาวนายทหารชั้นขอมพลและนายพล  หมายถึงท่านเป็นนายพลโท สมุหราชองรักษ์  ประดับตรารามาธิบดีชั้นที่ ๒ "มหาโยธิน" ที่อกเสื้อเบื้องซ้าย"  เบื้องขวาสวมเสื้อเต็มยศ นายนาวาเอก  กางเกงแบบข้าราชการในพระราชสำนักข้างขวาประดับดุมเงิน  หมายถึงเป็นข้าราชการสังกัดกรมมหาดเล็ก  ส่วนข้างซ้ายประดับดุมทอง หมายถึงได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แต่งเครื่องยศกระทรวงวัง  กระบี่เป็นกระบี่ทหารเรือ  สวมรองเท้าแบบ Court Shoe จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 07:48:56

ความคิดเห็นที่ 37 ภาพที่ ๓ "มหาเสกนายก" อ่านว่า "มะ หา เส วก นา ยก"  คือ มหาเสวกเอก นายพลตรี เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม  มาลากุล  เสนาบดีกระทรวงวัง ในภาพท่านสวมหมวก Cock Hat แบบขวาง ซึ่งเป็นหมวกของนายทหารกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร. กรมทหารนี้เป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงวังแต่มียศแบบทหารบก  เสนาบดีกระทรวงวังจึงเป็นผู้กำกับราชการกรมทหารนี้โดยตำแหน่ง  และได้รับพระราชทานยศทหารเป็น นายพลตรี   เสื้อข้างขวาเป็นเสื้อเต้มยศข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนัก (เสื้อดำปักดิ้นทอง  คอและข้อมือเสื้อเป็นสีบานเย็น  สีกระทรวงวัง)  ปักไหมทองที่คอ ข้อมือและอกเสื้อ   เสื้อข้างซ้ายเป็นเสื้อเครื่องแบบนายพลเสือป่าสีกากี  ประดับอินทรธนูใบปกแบบเสือป่า  มีเครื่องหมายยศเป็นรูปกระบี่ไขว้มีพระมหามงกุฎอยู่เหนือ  แขนซ้ายสวมปลอกแขนประดับตราพระนนทิการ  มือขวาถือหม้อข้าว  หมายถึงเป็นเกียกกายเสือป่าซึ่งดูแลรับผิดชอบเรื่องเสบียงอาหารของเสือป่า  ประดับสะพายสายสะพายมหาวชิรมงกุฎ  สายสะพายนี้เดิมใช้สะพายเฉียงย่าขวามาเปลี่ยนสะพายเฉียงบ่าซ้ายในตอนปลายรัชกาลที่ ๖  ที่เอวเหน็บขวานเพราะเป็นทายาทของพระวรวงศ์เธอ กรมเหมื่นปราบปรปักษ์ ซึ่งเคยว่าการกรมช่างสิบหมู่  จึงโปรดเกล้าฯ ให้ป็นผู้กำกับราชการกรมศิลปากร  คาดประคดแบบพระตำรวจหลวง  เพราะบังคับบัญชาราชการกรมพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์  จึงได้รับพระราชทานยศเป็นพระตำรวจตรีพิเศษ (เทียบเท่านายพลตรีทหารบก) เท้าเป็นเท้าช้าง  เพราะโดยตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังต้องเป็น ผู้บัญชาการกรมช้างต้นด้วย มือขวา ถือคฑา  หมายถึงเป็นสมุหพระราชวัง  นั่งบนตั่งขาโค  มีรูปหน้าโคหรือพระนนที  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกระทรวงวั่ง  หมายถึงว่าราชการกระทรวงวัง จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 08:04:49

ความคิดเห็นที่ 38 ภาพที่ ๔ "สุขะศึกษาธิการธรรม"  หมายถึง จางวางเอก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น  เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ในภาพท่านแต่งเครื่องแบบเต็มยศข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนัก ยศชั้น จางวางเอก  ประดับสายสะพายปฐมจุลจอมเกล้า  สวมเสื้อครุยอาจารย์โรงเรียนมหาดเล็กหลวง(ปัจจุบันคือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย)  เพราะเคยเป็นกรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงและโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ปัจจุบัน คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)  มือขวาถือหมวกสักหลาดดำขนนกขาว จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 08:10:29

ความคิดเห็นที่ 39 สุดยอดข้อมูลเลยครับ ขอคารวะ จากคุณ : เทพบุตรศาลาแดง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 12:10:03

ความคิดเห็นที่ 40 มาต่อกันที่ภาพที่ ๕ "มหาดไทยนายก" คือ มหาเสวกเอก เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์ (เชย  กัลยาณมิตร)  เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ภาพนี้ท่านเจ้าคุณเสนาบดีแต่งกายเต็มยศ มหาเสวกเอก  โปรดสังเกตว่า ข้าราชการพลเรือนในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นท่านขัดกระบี่พลเรือนด้วยนะครับ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องมาจนถึงต้นรัชกาลที่ ๖  ผู้ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลล้วนเป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงมหาดไทย  แต่ก็มีบ้างที่โปรดเกล้าฯ ให้หมุนเอานายทหารชั้นนายพันเอกหรือนายพลตรีมาเป็นสมุหเทศาภิบาลบ้าง  ต่อมาภายหลังจากที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกราบถวายบังคมลาออกจากเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเพื่อรักษาพระองค์แล้ว  ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้โอนย้ายสมุหเทศาภิบาลจากกระทรวงมหาดไทยมาขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พร้อมกับโปรดเกล้าฯ ให้บรรดาสมุหเทศาภิบาลที่เคยใช้ยศมหาอำมาตย์อย่างข้าราชการพลเรือนเปลี่ยนมาใช้ยศ มหาเสวก อย่างข้าราชการกระทรวงวังบ้าง  ยศจางวางอย่างข้าราชการกรมมหาดเล็กบ้าง  การที่ทรงจัดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่า สมุหเทศาภิบาลนั้นเป็นผู้ที่รับสนองพระบรมราชโองการออกไปปกครองหัวเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ  จึงต้องรายงานตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะหัวหน้ารัฐบาล  การที่สมุหเทศาภิบาลไปสังกัดกระทรวงมหาดไทยนั้นจึงเสมือนว่า เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยนั้นมีอำนาจเหนือราชการในหัวเมืองทั้งปวงทั้วพระราชอาณาจักร  เป็นการไม่สอดคล้องกับพระราชนิยม เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์นี้ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นเจ้าพระยา  มาตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ครั้งยังเป็นสมุหเทศาภิบาลรักษาราชการมณฑลพายัพ  เมือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลพายัพเป็นมณฑลพายัพและมณฑลมหาราษฎร์  ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้เป็นอุปราชมณฑลภาคพายัพทำหน้าที่ปกครองมณฑลพายัพและมณฑลมหาราษฎร์ต่างพระเนตรพระกรรณได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ก็โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายกลับเข้ามาเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย   แล้วเลื่อนเป็นเจ้าพระยาหิรัญบัฏ   เมื่อเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์กราบถวายบังคมลาออกจากราชการในปี พ.ศ. ๒๔๖๕  เพราะเหตุสูงอายุแล้ว  ก็ได้ปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมกระทรวงนครบาลซึ่งปกครองเฉพาะมณฑลกรุงเทพฯ เข้ากับกระทรวงมหาดไทยซึ่งปกครองหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรเข้าด้วยกัน  และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น  สุขุม)เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยต่อมาตราบจนสิ้นรัชกาล จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 17:35:28

ความคิดเห็นที่ 41 ภาพที่ ๖ "เสนาธิการของเรา" คือ นายพลเสือป่า พระยานนทิเสนสุเรนทรภักดี (แม็ค  เศียนเสวี)  เสนาธิการเสือป่า ในภาพนี้ท่านเจ้าคุณแต่งเครื่องแบบปกตินายพลเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์  ติดปลอกแขนเสนาธิการเสือป่าพื้นสีธงไตรรงค์  มีรูปกระบี่ไขว้ สัญลักษณ์เสนาธิการเสือป่าปักบนปลอกแขน  มือขวาถือไม้เท้าเสือป่า  ไม้เท้าเสือป่านี้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นายเสือป่าตั้งแต่ชั้นยศนายหมู่ใหญ่ขึ้นไปใช้ถือในเวลาลำลองที่ไม่ขัดกระบี่  และใช้เคารพได้เหมือนสลุตกระบี่ ในตอนปลายรัชกาล  พระยานนทิเสนฯ ต้องหาทุจริตในการออกลอตเตอรี่เสือป่า  ศาลมีคำพิพากษาว่าผิดจริงให้ลงโทษจำคุก  จึงต้องถอดจากยศและบรรดาศักดิ์  แม้จะถวายฎีกาขอลดหย่อนผ่อนโทษโดยอ้างความชอบที่มีมาแต่เดิม  แต่เนื่องจากความผิดนั้นเป็นความผิดต่อหน้าที่ราชการซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชน  จึงไม่โปรดพระราชทานอภัยให้ลดหย่อนโทษแต่ประการใด จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 17:43:02

ความคิดเห็นที่ 42 ภาพที่ ๗ "แดงครวญ" คือ พระยาพิทักษ์ภูบาล (สวัสดิ์  วิเศษศิริ)  สารวัดเสือป่า และสารวัดในพระราชสำนัก เหตุที่แดงต้องครวญนั้น  เพราะสารวัดเสือป่านั้นมีหน้าที่รักษาระเบียบวินัยของเสือป่า  และโดยที่มีพระราชดำริที่จะป้องปรามมิให้นายเสือป่ากระทำผิด  จึงโปรดเกล้าฯ ให้สารวัดเสือป่าทุกนายสวมหมวกสีแดงเพื่อให้เห็นได้แต่ไกล  เป็นสัญญาณให้นายเสือป่าไม่กระทำการอันเป็นการละเมิดวินัย  แต่หากนายเสือป่านายใดยังคงกระทำการอันเป็นการละเมิดข้อบังคับก็จะต้องถ฿กสารวัดเสือป่าจับกุมไปรับโทษตามแต่กรณี  ด้วยเหตุนี้พวกหมวกแดงทั้งกลายจึงไม่ใคร่จะเป็นที่ต้อนรับของนายเสือป่าทั่วไป  และมีเรื่องเล่ากันมาว่า ในระหว่างการซ้อมรบเสือป่าคราวหนึ่ง  สารวัดเสือป่าทราบว่าจะมีนายเสือป่ากลุ่มหนึ่งนัดหมายกันลักลอบเล่นการพนัน  จึงนำกำลังไปซุ่มจนนายเสือป่ากลุ่มนั้นเริ่มเล่นการพนัน  ก็เข้าจับกุมนายเสือป่ากลุ่มนั้น  เมื่อคดีทราบถึงพระเนตรพระกรรณได้มีพระบรมราชวินิจฉัยว่า ที่ทรงจัดให้มีสารวัดเสือป่านั้นก็เพื่อป้องปรามมิให้เสือป่ากระทำผิดวินัย  เมื่อสารวัดเสือป่าไปซุ่มคอยจับกุมแทนที่จะป้องปราม  แนเป็นปฏิบัติหน้าที่ผิดจากวัตถุประสงค์  จึงโปรดให้ทั้งสารวัดเสือป่าและนายเสือป่าที่ลักลอบเล่นพนันนั้นมีความผิดเหมือนกัน  ให้ได้รับโทษปรับเท่าๆ กัน  จึงเป็นที่มาของ "แดงครวญ" จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 17:59:10

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบพระคุณมาก ๆ นะคะ จากคุณ : biebie999 เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 53 20:52:01

ความคิดเห็นที่ 44 ภาพที่ ๘  คุณหนุ่มรัตนะ  ได้ขยายความไว้ในความเห็นที่ ๒๙ แล้ว  เลยขอผ่านครับ ภาพที่ ๙ "ดำรงราชบุรมณฑล"  มหาเสวกตรี พระยามนตรีสุริยวงศ์ (ฉี่  บุนนาค)  สมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี พระยามนตรีสุริยวงษ์นี้เป็นพระยานาหมื่น  คือถือศักดินา ๑๐๐๐๐ เสมอเจ้าพระยาเสนาบดี  เลยทีเดียว มณฑลราชบุรีนี้นับว่าเป็นมณฑลสำคัญ  เพราะเป็นที่ตั้งกองพลทหารบกที่ ๔  ที่เป็นกองพลสำคัญของกองทัพบกสยามในเวลานั้น จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 06:36:06

ความคิดเห็นที่ 45 ภาพที่ ๑๐ "พิชโย" คือ นายพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ (ผาด  เทพหัสดิน ณ อยุธยา) หัวหน้ากองทูตทหารในงานพระราชสงครามทวีปยุโรป  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง แม่ทัพใหญ่กองทหารสยามในสงครามโลกครั้งที่ ๑  ที่ต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น พลเอก พระยาเทพหัสดิน ในภาพนี้พระยาพิชัยฯ แต่งเครื่องแบบปกติ นายพลตรีกองทัพบก  ประดับเข็มข้าหลวงเดิม (เข็มรูปพระวชิราวุธ) ที่อกเสื้อเบื้องซ้าย  หมายว่า ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์   พระยาพิชัยฯ นี้จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเบลเยี่ยม  ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญจนได้เป็นครูวิชายุทธศาสตร์และยุทธวิธีในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก  สมดังราชทินนาม "พิไชยชาญฤทธิ์"  เมื่อจบการศึกษาจากประเทศเบลเยี่ยมแล้วได้เคยเป็นนายทหารปักปันเขตแดนสยาม  แล้วได้เป็นเจ้ากรมแผนที่ทหารบก  เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ ๔ มณฑลราชบุรี  ซึ่งเป็นกองพลอิสระขึ้นตรงต่อเสนาธิการทหารบก  แล้วได้เป็นหัวหน้ากองทูตทหารไปในงานพระราชสงครามทวีปยุโรป  และได้นำแนวคิดของกองทัพฝรั่งเศสที่ใช้รถแท๊กซี่ช่วยลำเลียงพลออกสู่แนวหน้า  มาจัดตั้งบริษัท แท๊กซี่สยาม ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศสยาม  โดยจัดให้นายทหารในกองทหารบกรถยนต์ซึ่งไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั้นเป็นสารถี  แต่มีเรื่องแปลกที่ผู้เป็นแม่ทัพนี้ไม่ได้รับพระราชทานตรารามาธิบดี  ทั้งที่ผู้ใต้บังคับบัญชานับสิบคนแม้แต่นายทหารคนสนิทก็ยังได้รับพระราชทานตราดังกล่าว กลับจากงานพระราชสงครามแล้ว  พระยาพิชัยฯ ได้กราบบังคมทูลขอลาออกจากราชการทหาร  เพราะมีเหตุขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาในกระทรวงกลาโหม  อันเนื่องมาจากมีแนวคิดในวิธ๊ยุทธแตกต่างกัน  แต่ไม่โปรดให้ย้ายจากกองทัพบกไปเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์พร้อมกับเปลี่ยนราชทินนามเป็น พระยาเทพหัสดิน  ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์นี้ท่านได้เป็นผู้ริเริ่มจัดการสอนวิชาครูกสิกรรมในโรงเรียนฝึกหัดครูมณฑลนครสวรรค์  จนทำให้กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนฝึกหัดครูทั่วราชอาณาจักรให้มีการสอนวิชาครูกสิกรรม  เพื่อรองรับการผลิตครูออกไปสอนวิชาทำมาหาเลี้ยงชีพในโรงเรียนประถมตามที่กำหนดไว้ในพระราชยัญญัติประถมศึกษาในเวลาต่อมา ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง  พระยาเทพหัสดินต้องคำพิพากษาศาลพิเศษในสมัยจอมพล ป.  พิบูลสงคราม  ต้องจำขังและถูกปล่อยเกาะพร้อมกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร  แล้วไดรับนิรโทษกรรมพร้อมกับการล้างมลทินในสมัยรัฐบาลนายควง  อภัยวงศ์ แล้ว  ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 06:54:44

ความคิดเห็นที่ 46 ภาพที่ ๑๑ "ท่านกระลาโหม" คือ จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (ม.ร.ว.อรุณ  ฉัตรกุล เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ภาพนี้ท่านเจ้าคุณเสนาบดีแต่งเครื่องแบบเต็มยศขาว จอมพลทหารบก  ประดับตรารามาธิบดี ชั้นที่ ๒ "มหาโยธิน" ที่อกเสื้อเบื้องขวา เจ้าพระยาบดินทรฯ ท่านนี้เริ่มรับราชการในรัชกาลที่ ๕ เมื่อแรกเป็นพลทหาร  แล้วได้รับพระราชทานเลื่อนยศและบรรดาศักดิ์มาเป็นลำดับ  ถึงรัชกาลที่ ๖ ได้เป็น นายพลเอก พระยาบดินทรเดชานุชิต  และเมื่อ จอมพล พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหมสิ้นพระชนม์ลง  ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาบดินทรฯ เลื่อนขึ้นเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม  รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต  เป็นนายทหารคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ได้เลื่อนยศจากพลทหารจนเป็นจอมพลซึ่งเป็นยศสูงสุด  และเป็นบุคคลธรรมดาคนแรกที่ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 07:01:07

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณสำหรับรุปที่นำมาฝาก ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณ V_Mee และรูปจากคุณหนุ่มรัตนะ ปล.กระทู้นี้เล่นเอากิ๊ฟแทบหมดเลยนะคะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 10:30:04

ความคิดเห็นที่ 48 รูปที่ ๑๒ "ปริญญามาตย์นายก"  คุณหนุ่มรัตนะได้อธิบายภาพแล้ว  ขอผ่านครับ รูปที่ ๑๓ ผู้แทนสยาม ณ ปารีส  คือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร  อัครราชทูตสยาม ณ กรุงปารีส พระองค์เจ้าจรูญฯ ทรงเป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์  ได้ตามเสด็จพระบิดาออกไปทรงศึดษาที่ยุโรปตั้งแต่ทรงพระเยาว์  จนสำเร็จการศึกษาวิชากฎหมายจากประเทศฝรั่งเศส  แล้วทรงรับราชการอยู่ที่สถานทูตในยุโรปมาโดยตลอด   ในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงชวนให้เสด็จกลับมารับราชการเป็นรองเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม  แล้วได้ทรงเป็นผู้รั้งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเมื่อเกิดคดีพญาระกา  ถึงรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงรับตำแหน่งเสนาบดียุติธรรมเต็มตัว เมื่อพระองค์จรูญฯ เป็นเสนาบดียุติธรรมแล้ว  ก็เกิดปัญหาขัดแย้งกับตุลาการที่เป็นศิษย์ของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  เพราะพระองค์จรูญฯ ทรงถือหลักกฎหมายฝรั่งเศสว่า ผู้ถูกกล่าวหาต้องเป็นผู้พิสูจน์ว่าตนเองไม่ผิด  แต่บรรดาตุลาการผู้เป็นศิษย์ในกรมหลวงราชบุรีฯ กลับถือคติตามแบบอังกฤษที่ได้รับการสั่งสอนมาว่า ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่า ศาลจะมีคำพิพากษาว่าผิด  ฉะนั้นหน้าที่การพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกกล่าวหาจึงตกเป็นหน้าที่ของผู้กล่าวหา เมื่อเกิดขัดแย้งกันเช่นนั้น  ตุลาการที่เคยสไตร์กันมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเกิดคดีพญาระกาก็พากันเฉื่อยงานจนคดีความคั่งค้างรกโรงศาล  ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งเคยเสด็จไปสะสางความวุ่นวายในคดีพญาระกามาแล้วครั้งหนึ่ง  จึงต้องทรงเข้าไปจัดการเรื่องวุ่นวายในกระทรวงยุติธรรมอีกครั้ง  โดยโปรดให้พระองค์จรูญฯ ออกไปเป็นทูตสยาม ณ กรุงปารีส  ชนิดไปลับไม่ต้องกลับกันมาเลยจนเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงถูกปลดออกจากราชการ ส่วนกระทรวงยุติธรรมนั้นโปรดให้แยกอำนาจตุลาการออกจากอำนาจบริหาร  ให้ตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายลริหาร  เสนาบดีคงกำกับราชการทั่วไปและรับผิดชอบงานธุรการของกระทรวง  โปรดให้ย้ายพระยาอินทราบดีสีหราชบาลเมือง (ม.ร.ว.ลพ  สุทัศน์) ย้ายขากปลัดกระทรวงนครบาลมาเป็นเสนาบดียุติธรรม  พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร  ส่วนอธิบดีศาลฎีกาซึ่งเป็นตำแหน่งมีเกียรติยศเสมอเสนาบดี โปรดให้กรมพระสวัสดิ์วัตนวิษฎ์มาดำรงตำแหน่งเป็นพระองค์แรก  พอขึ้นรัชกาลที่ ๗ กลับโปรดให้เสนาบดีกลับมามีอำนาจเหนือตุลาการอีกครั้ง  ตุลาการเพิ่งจะมาเป็นอิสระจากอำนาจบริหารอีกครั้งก็เมื่อราวสิบปีที่ผ่านมานี้ มรดกชิ้นสำคัญที่พระองค์จรูญฯ ทรงมอบไวเก่กระบวนการยุติธรรม คือ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานเสื้อครุยให้แก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิต  เรื่องนี้เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้มีพระราชกระแสตอบว่าขอคิดดูก่อน  แล้วได้ทรงกำหนดเสื้อครุยอาจารย์และครูโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นก่อน  ถัดมาอีก ๑ ปีจึงทรงกำหนดเสื้อครุยเนติบัณฑิตเป็นเสื้อครุยผ้าโปร่งแบบไทย  พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างเสื้อครุยนี้พระราชทานแก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตมาตลอดตราบจนสิ้นรัชกาล  จึงเลิกธรรมเนียมการพระราชทานเสื้อครุย  แต่เนติบัณฑิตคงใช้เสื้อครุยนี้มาจนเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว  จึงเปลี่ยนไปใช้ครุยดำแบบฝรั่งเศส  แต่ก็ยังคงรักษาแถบเสื้อครุยพระราชทานไว้เป็นแผ่นทาบบ่าที่เรียกกันว่า ผ้ากราบ  เสื้อครุยเนติบัณฑิตที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงคิดไว้นั้นยังเป็นต้นแบบของเสื้อครุยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ใช้กันมาถึงทุกวันนี้ด้วย จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 19:33:22

ความคิดเห็นที่ 49 ภาพที่ ๑๔ "คมนาคม" คือ นายพลเอก เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (ม.ร.ว.สท้าน  สนิทวงศ์) เสนาบดีกระทรวงคมนาคม ภาพนี้ท่านเจ้าคุณเสนาบดีแต่งเครื่องแบบเต็มยศนายพลเอก  สวมครุยเสนามาตย์ชั้นเอก  ประดับสังวาลย์ปฐมจุลจอมเกล้า   กระทรวงตมนาคมในยุคนั้นบังคับการกรมไปรษณีย์โทรเลข  ที่มีพระยาอจิรการประสิทธิ์ (นกยูง  วิเศษกุล - ต่อมาเป็น พระยาสุรินทราชา) เป็นอธิบดี  จึงมีภาพ "นกยูง" จับอยู่บนยอดเสาโทรเลข  กับกรมรถไฟหลวงที่มีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนกำแพงเพชรอัครโยธิน (พระนามเดิม พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร)  จึงมีรูป "ฉัตร" ซึ่งคือบุรฉัตร  ลอยอยู่เหนือปล่องควันรถไฟ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 19:39:27

ความคิดเห็นที่ 50 ภาพที่ ๑๕  คุฯหนุ่มรัตนธขยายความไว้แล้ว  ขอผ่านครับ ภาพที่ ๑๖ ร.ฟ.ล.  ย่อมาจากกรมรถไฟหลวง  ซึ่งมีนายพลโท พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงเป็นผู้บัญชาการ ในภาพเสด็จในกรมฯ ทรงเครื่องปกตินายพลโท จเรทหารช่าง  ประทับนหัวรถจักร  ที่กำลังดุนหลังนายทหารช่าง  เพราะในเวลานั้นเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นทั้งจเรทหารช่าง (ปัจจุบันเรียกว่า เจ้ากรมการทหารช่าง) และผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง  และการสร้างทางรถไฟในสมัยนั้นใช้ทหารช่างเป็นผู้ดำเนินการ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 19:43:39

ความคิดเห็นที่ 51 ภาพที่ ๑๗ "เฉลิมอากาศ"  คือ นายพันเอกพระยาเฉลิมอากาศ (สุณี  สุวรรณประทีป) ท่านผู้นี้เป็นหนึ่งในสามนักบินชุดแรกของประเทศสยาม  เมื่อโปรดให้ส่งกองบินทหารบกและกองทหารบกรถยนต์ไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑  ท่านผู้นี้ได้เป็นผู้บังคับการกองทหารไทยและเป็นผู้บังคับกองบินทหารบกไปในงานพระราชสงครามครั้งนั้น  ได้ปฏิบัติงานในสงครามครั้งนั้นเป็นเวลา ๑ ปี  จึงมีแถบสีดำประดับที่ปลายแขนเสื้อ ๑ เส้น  (แถบสีดำนี้เพิ่มตามจำนวนปีที่ไปงานพระราชสงครามปีละ ๑ เส้น  ถ้าได้ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๓ เดือนขึ้นไปก็ให้นับเป็น ๑ ปี)   เสร็จสงครามแล้วโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเจ้าคุณผู้บังคับกองบินทหารบกคงอยู่ที่ฝรั่งเศสเพื่อเลือกซื้อเครื่องบินที่เหลือใช้จากสงคราม  แล้วนำกลัยมาจัดตั้งกรมอากาศยานทหารบก  ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศและขนส่งไปรณีบ์ภัณฑ์  ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นกองทัพอากาศในปีจจุบัน จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 19:51:52

ความคิดเห็นที่ 52 ภาพที่ ๑๘ "เจ้าคุณกรุง" คือ มหาเสวกโท พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร  เดชะคุปต์) อุปราชมณฑลกรุงเก่า (อยุธยา) ในภาพท่านเจ้าคุณแต่งกายเครื่องแบบปกติ นายกองเอก ผู้บัญชาการกองเสนารักษาดินแดนกรุงเก่า และราชองครักษ์เสือป่า  กำลังยืนชี้ซากโบราณสถาน  เพราะท่านเจ้าคุณท่านนี้ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในพงศาวดารชาติไทย  ได้เป็นผู้ค้นพบเจดีย์ยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ดอนเจดีย์  เมืองสุพรรณบุรี  ซึ่งเวลานั้นมีสภาพเป็นเนินดินเท่านั้น จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 19:56:01

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณ คุณ V_Mee มาก ๆ ครับ สำหรับความรู้เกี่ยวกับบุคคลในภาพฝีพระหัตถ์ สมกับเป็นแฟนพันธุ์แท้ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ครับ จากคุณ : อันดามันฉันรักเธอ เขียนเมื่อ : 5 ต.ค. 53 21:04:16

ความคิดเห็นที่ 54 ภาพที่ ๑๙ สมุหพระตำรวจ คือ พระตำรวจเอก (ยศกรมพระตำรวจหลวง เทียบเท่านายพลเอก ทหารบก) เจ้าพระยาราชศุภมิตร (อ๊อด  ศุภมิตร) ภาพนี้ท่านเจ้าคุณแต่งกายเต็มยศ พระตำรวจเอก กรมพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์  เสื้อสีฟ้าหม่น  คอและข้อมือเป็นสีบานเย็น (สีหมายกระทรวงวัง)  เพราะกรมพระตำรวจฯ สังกัดในกระทรวงวัง เจ้าพระยาราชศุภมิตรนี้เดิมท่านเป็นนายทหารบก  ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ โปรดให้ออกไปเป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (รัชกาลที่ ๖)  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ จนเสด็จกลับกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. ๒๔๔๕  แล้วกลับมารับราชการทหารบก  เมื่อล้นเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ทรงจัดระเบียบราชการกรมพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์ซึ่งเป็นทหารราชองครักษ์มาแต่โบราณ  จึงโปรดให้ท่านเจ้าคุณย้ายมาเป็พระตำรวจตรี (เทียบเท่านายพลตรี) ตำแหน่งสมุหพระตำรวจฯ ตนได้เลท่นยศเป็นพระตำรวจโท และพระตำรวจเอกตามลำดับ ท่านเจ้าคุณท่านนี้เป็นผู้มีชื่อว่า ได้รับวัฒนธรรมการสูบบุหรี่แบบชาวยุโรปมาแต่ครั้งตามเสด็จไปประจำรักษาพระองค์ที่ต่างประเทศ  จึงทรงวาดภาพล้อเป็นภาพท่านเจ้าคุณสูบบุหรี่  อีกเรื่องหนึ่งที่มีพระราชบันทึกทรงกล่าวถึงท่านเจ้าคุณ คือ เมื่อท่านเจ้าคุณไปประจำที่ยุโรปที่เมืองหนาว  ท่านจึงติดการอาบน้ำอุ่นจนกลับมาเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองร้อนก็ยังต้องอาบน้ำอุ่นอยู่ตลอดเวลา  แม้เวลาตามเสด็จประพาสน้ำตกหรือทะเล  เสด็จลงสรงน้ำตกหรือน้ำทะเล  ท่านเจ้าคุณก็ไม่เคยลงเล่นน้ำด้วย  อ้างว่า น้ำเย็นเกินไปเสมอ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 07:18:25

ความคิดเห็นที่ 55 ภาพที่ ๒๐ "เลขาธิการ" คือ มหาเสวกเอก พระยาจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (ลออ  ไกรฤกษ์ ต่อมาเป็น เจ้าพระยามหิธร)  ราชเลขาธิการในรัชกาลที่ ๖ - ๗ ในภาพเจ้าพระยามหิธรแต่งกายเครื่องแบบปกติข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนัก ข้อแตกต่างระหว่างข้าราชการพลเรือนสามัญกับข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนักที่รับพระราชทานเงินเดือนจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ คือ ข้าราชการพลเรือนสามัญที่รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดิน  ติดอินทรธนูหมายยศแบบขวางที่ปลายบ่า  แต่ข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนักใช้ติดแผงคอแทนอินทรธนู  ข้าราชการกระทรวงวังใช้แผงคอพื้นดำแถบทอง  ส่วนข้าราชการกรมมหาดเล็กใช้แผงคอพื้นน้ำเงินแถบเงิน เจ้าพระยามหิฑรนี้  เป็นศิษย์เอกของกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์  สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตสยามคนแรก  เริ่มรับราชการเป็นตุลาการมาแต่รัชกาลที่ ๕  และเป็น ๑ ใน ๒๘ ตุลาการที่ก่อการสไตรก์ในคดีพญาระกา  จนถูกงดบำเหน็จในตอนปลายรัชกาลที่ ๕  ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อทรงตั้งเนติบัณฑฺตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์  ได้ดำรงตำแหน่งนายกเนติบัณฑิตยสภาฯ เป็นคนแรก  ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ โปรดให้ย้ายไปรับราชการในพระราชสำนักเป็นสมุหพระนิติศาสตร์  ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาข้อกฎหมายและเป็นเจ้าพนักงานรักษาพระราชกำหนดกฎหมายในพระราชสำนัก  แล้วได้เป็นอธิบดีศาลฎีกา หรือประมุขของตุลาการ เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมติอมรพันธ์ ราชเลขาธิการสิ้นพระชนม์  ได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมารับราชการเป็นราชเลขาธิการ ซึ่งหากเทียบกับสมัยนี้คงเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือ "นายกฯ น้อย"  และคงดำรงตำแหน่งนี้มาจนเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕  จึงกราบถวายบังคมลาออก  รวมเวลาที่ดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึง ๑๔ ปี กล่าวกันว่า เมื่อ้จ้าพระยามหิธรเป็นราชเลขาธิการนั้น  มีราชการสำคัญที่ท่านต้องใช้อุตสาหะวิริยภาพยิ่งกว่างานใดๆ คือ การถวายหนังสือขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตประหารชีวิตนักโทษ  ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิตแล้ว  กระทรวงยุติธรรมจะต้องนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อนจึงจะนำตัวไปประหารชีวิตได้  เมื่อเจ้าพระยามหิธรถวายหนังสือเรื่องนี้ขึ้นไปคราวใด  มักจะทรงกริ้วและทรงหาเหตุไม่ลงพระปรมาภิไธย  เจ้าพระยามหิธรก็จะต้องกลับมาคิดหาช่องทางที่จะพระราชทานอภัยลดหย่อนผ่อนโทษให้นักโทษผู้นั้น  แล้วถวายหนังสือขึ้นไปใหม่  ถ้ามีเหตุให้พระราชทานอภัยก็จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตกลับคืน  แต่ถ้าไม่อาจหาช่องทางลดหย่อนผ่อนได้คงต้องประหารสถานเดียว  เจ้าพระยามหิธรก็จะโดนกริ้วซ้ำ  และต้องใช้ความพยามถวายหนังสือนั้นจนลงพระปรมาภิไธยให้ประหารชีวิตได้ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 07:37:39

ความคิดเห็นที่ 56 ภาพที่ ๒๑ "ตุลาการนายก" คือ พระยากฤติกานุกรณ์กิจ (ดั่น  บุนนาค) อธิบดีศาลฎีกา คนที่ ๓  ต่อมาเป็นเจ้าพระยาพิชัยญาติ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ในภาพนี้เจ้าพระยาพิชัยญาติ แต่งเครื่องแบบปกติข้าราชการพลเรือน  สวมเสื้อครุยเนติบัณฑิตที่ได้รับพระราชทานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗  ในมือขวาถือม้วนฎีกา  หมายถึงเป็นอธิบดีศาลฎีกา  มีหน้าที่พิจารณาพิพากษาความอาญาเป็นที่สุด  ซึ่งคำพิพากษานั้นบางคราวถึงต้องประหารชีวิตนักโทษ  จึงมีหน้าเหมือนยักษ์ทั้งที่เป็นผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 07:42:02

ความคิดเห็นที่ 57 ภาพที่ ๒๒ "เดโช" คือ นายพลโท พระยาสีหราชเดโชชัย (แย้ม  ณ นคร) ปลัดทูลฉลองกระทรวงกลาโหม  ต่อมาเลื่อนเป็น นายพลเอก เจ้าพระยาบดินเดชานุชิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ท่านผู้นี้ได้เป็นเสนาบดีกลาโหมต่อจาก จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (ม.ร.ว.อรุฯ  ฉัตรกุล) ที่ถึงอสัญกรรม  และเป็นพยานสำคัญว่า ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น บุคคลธรรมดาถ้ามีความรู้ความสามารถก็สามารถดำรงตำแหน่งสำคัญในราชการได้   ท่านผู้นี้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการเมื่อต้นรัชกาลที่ ๗ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 07:46:53

ความคิดเห็นที่ 58 จบภาพที่โปรดให้ลงพิมพ์ในสมุดภาพล้อฝีพระหัตถ์แล้ว แต่ยังมีภาพล้อฝีพระหัตถ์ที่มิได้พิมพ์ในหนังสือนั้นอีก๑ ภาพ  ทรงวาดภาพลายเส้นเป็นพระองค์เอง  แล้วโปรดให้เชิญไปประมูลในงานฤดูหนาว  ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดคือ หลวงวิจิตรพัสตราภรณ์ (เพี้ยน  แสงรุจิ) เจ้าของร้านวิวิธภูษาคาร ลองดูพระบรมฉายาลักษณ์องค์จริง  ทรงเครื่องปกติ นายพลเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ ก่อนนะครับ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 07:53:23

ความคิดเห็นที่ 59 ส่วนภาพนี้เป็นภาพล้อฝีพระหัตถ์ซึ่งทรงวาดเป็นพระองค์เอง เป็นอันจบสิ้นกระบวนความเรื่องภาพล้อฝีพระหัตถ์แล้วครับ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 6 ต.ค. 53 07:54:26

ความคิดเห็นที่ 60 ภาพที่สองนี่ดูออกง่ายๆเลยว่าเป็นเจ้าคุณราม จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 53 22:30:28