|
ความคิดเห็นที่ 1 |
เราว่าไม่ต้องค้นก็ได้ แต่ใช้เหตุผลคิดเอาเองโดยจำลองเหตุการณ์เหมือนทำโจทย์คณิตศาสตร์ตามขั้นตอนที่ว่า
What's the unknown? What are the data? What are the conditions? Have you seen this problem before? If you haven't, have you seen a similar problem that has been solved before? Can you find any relationship among the unknown, data and conditions? Can you vary (restate) the unknown differently? Can you vary (restate) the data differently? Can you satisfy all the conditions? If you can't, drop some of the conditions and see what you get. Assume what's required to be done as already done and see what you get.
ลองมาดูกัน What's the unknown? ตอบ effects upon children
Have you seen this problem before? If you haven't, have you seen a similar problem that has been solved before?
ตอบ เคยเจอคล้ายๆกัน เช่นครูเราสอน English literature ระดับมัธยมเรื่อง Oliver Twist ท่านเล่าเนื้อเรื่องให้เราฟังดัวยเสียง monotone ที่ยานคางเหมือนสวดมนต์ ผลปรากฎว่า นักเรียน 40 คนในห้อง 25 คนงัวเงียครึ่งหลับครึ่งตื่น 10 คนหลับสนิทแล้วกรนครอกๆ ส่วนอีก 5 คนตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
เพื่อพิจารณาถึงปัญหาที่เคยประสบจริงๆเมื่อในวัยเรียนของตนเอง เราจึง induce ได้ว่า
"น้ำเสียงและหน้าตาท่่าทางของครูมีผลกระทบต่อความตั้งใจเรียนของนักเรียน"
ดังนั้นเราจึงต้อง conduct further investigation...โดยการตั้งคำถามว่า นักเรียน 5 คนที่ตั้งใจฟังมี qualities อะไรที่แตกต่างไปจาก นักเรียน 35 คนที่เกือบหลับกับหลับสนิท
เช่น ทำไมเสียงพูดระดับเดียวกันจึงมีผลกระทบต่อนักเรียนแต่ละคนไม่เหมือนกัน?
ขั้นตอนต่อไปเราต้อง determine ว่า เนื้อหาเรื่องที่เล่านั้น มันน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน? และพิจารณา conditions (เงื่อนไข) ต่างๆเช่น Oliver Twist มันเป็นเรื่องราวแบบอังกฤษในยุค Victoria แล้วเด็กไทยจะสนใจเพราะมันแปลกดี หรือไม่สนใจเพราะไม่เข้าใจวัฒนธรรมต่างชาติ แต่ถ้าเป็นประการหลัง จะแก้ไขอย่างไร? เปลี่ยนบทเรียนหรือเปลียนทัศนะคติของเด็ก?
จากประสบการณ์เรื่อง Oliver Twist จะเห็นได้ว่า นักเรียน 5 คน ถึงจะตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคำ...!!! นั้นก็หมายความว่า "มันเป็น passive learning" เมื่อคิดถึง passive learning จิตของนักคิดหรือนักวิจัย ก็จะต้องคิดถึง active learning นั่นก็คือ active participation by students แต่จะในรูปแบบไหน? เราก็ต้อง exhaust all possibilities (หาความเป็นไปได้ทั้งหมด) เหมือนๆกับวิธีคิดตาเดินหมากรุกฝรั่งนั่นแหละ ซึ่งก็จะมีการ contrive โดย trial and error นั่นก็คือ "คิดอะไรมาแล้วเอาไปทดสอบว่าใช้การได้หรือไม่" ซึ่งในวิชาหมากรุก ส่วนใหญ่จะใช้กระบวนการที่เรียกว่า reductio ad absurdum นั่นก็คือค่อยๆพิสูจน์ไปว่าทางเลือกแต่ละทางนั้น อันไหนใช้การไม่ได้ก็ให้ขจัดออกไปทีละอันจนเหลือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ในงานวิจัยเราอาจต้องดำเนินขั้นตอนอะไรที่ยากมากกว่านั้นและใช้ logic แขนงอื่นๆอีกด้วยเช่นกัน...
เมื่อคิดถึง active learning คำพูดนี้ โยงใจไปถึง interactive นักวิจัยก็ต้องคิดต่อไปว่า มันมีวิธีการอันใดหรือไม่ที่จะ "กระตุ้น" ให้นักเรียน "ตอบสนอง" เช่นแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ฟังมา และมาถกกันในห้องเรียน ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการนี้ ครูควร "สนับสนุนให้นักเรียนคิดนอกกรอบ" คล้ายๆกับวิธีคิดตาเดิมหมากรุกฝรั่งแบบที่เราเขียนไว้ใน คคห 4 ในกระทู้นี้
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9762182/K9762182.html
...จริงๆแล้วจะเขียนให้ยาวและครอบคลุมเนื้อหาให้ละเอียดมากกว่านี้ก็ได้ แต่นี่เขียนแค่เพื่อเป็นแนวทางให้นักวิจัยหัดคิดเอง แล้วไปทำเอาเองเท่านั้น
จริงๆแล้ววิธีคิด ถ้าเริ่มจากเกือบๆ "ศูนย์" แล้วค่อยๆต่อยอดไปเรื่อยๆแบบเล่น building blocks มันจะทำให้เรารู้ว่าจะต้องค้นข้อมูลแบบไหนจากตำราเล่มไหนหรือจากแหล่งไหน ซึ่งในกรณีนี้ เราว่าเผลอๆแค่ google ก็เอาอยู่หมัดแล้ว แต่ในบ่างครั้งคิดๆไปอาจมองเห็นทางสว่างได้เองก็ได้
จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ (หรือแบบอื่น) เราจะเขียนงานวิจัยออกมาให้ได้เป็นจำนวนหลายร้อยหน้าเราก็ทำได้ (โดยไม่ต้องไปเรียนมหาลัยอันทรงเกียรติ์หรือจ้างใครเขียนให้) โดยใช้ logical reasoning ล้วนๆ + จินตนาการ + ทักษะในการค้นข้อมูล (โดยรู้ว่าจะต้องค้นอะไรที่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่จะค้นจาก google ได้สบายๆ)
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ต.ค. 53 12:01:33
|
|
|
|
|