Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ตามหาบรรพชน

ผมชอบรายการ ตามหาอดีตของบรรพชน ซึ่งอาจารย์เทพมนตรี กับคุณแอนนำเสนอ  โดยตั้งชื่อว่า ย้อนรอยอารยธรรม เนื้อหาของเรื่องจึงไม่เกี่ยวข้องกันเลย เพราะคำนี้มันแปลว่า  ย้อนรอยธรรมของคนขาวชาวอารยัน (อริยกะ)
จึงขอถือโอกาสนี้เอาคำชี้แจงของอาจารย์วินิจฉัยเรื่องคำ อารยธรรม มาให้อ่านกัน

ไม่มีคำอารยธรรม

การใช้คำ อารยธรรม อาจารย์และปัญญาชนไทยส่วนใหญ่ ก็ใช้ตามๆกันมาโดยมิได้ฉุกคิดว่ามันผิด   ทั้งนี้อาจเป็นคำที่ออกเสียงไพเราะดี  ผมเองก็ใช้ตามๆมาเช่นกัน
มาฉุกคิดได้ก็เมื่อลูกศิษย์ผมคนหนึ่งซึ่งเป็นถึงนายพลตำรวจถามผมว่า

อารยธรรม กับ วัฒนธรรม ใช้ในวาระต่างกันอย่างไรครับ?  

แท้จริงแล้วคนส่วนใหญ่เขาใช้ในความหมายเจริญแต่คงอยากจะใช้ตามอาจารย์ และปัญญาชนบ้าง ก็เลยใช้ อารยธรรมแทน เจริญ ไป  เพราะพูดแล้วดูเป็นผู้รู้คงแก่เรียน  ภูมิฐานดี (ทุกวันนี้ผมทราบว่าใน ’หมาลัยบางแห่งมีวิชาอารยธรรมสอนกันแล้ว ผมก็ไม่ทราบว่ามีเนื้อหาอย่างไรบ้าง)
อารยธรรม ตงแปลมาจากคำ Civilize  ซึ่งผมเห็นบางทีก็ทับศัพท์ว่า  คนซิวิไลซ์  
ที่แท้จริงคำ ซิวิไลส์ นั้นแปลว่า คนเมือง ทำให้เป็นคนเมือง หรือกลายเป็นคนเมือง  ทั้งนี้เพราะมนุษย์นั้นจากดั้งเดิมเป็นลิงเป็นวานร แล้วกลายมาเป็นมนุษย์แท้ก็เริ่มสร้างวัฒนธรรมของตนเมื่อเป็นคนป่า (Savagery Culture) ในสมัยหินเก่า  แล้วต่อมาก็วิวัฒน์เป็นคนเถื่อน (Barbarism Culture) ในสมัยหินใหม่ แล้วก็วิวัฒน์เป็นคนเมืองในสมัยวัฒนธรรมคนเมืองโบราณ (Ancient Civilization Culture)
เพราะความหมายของวัฒนธรรม (Culture) ก็คือ สิ่งใดๆก็ตามที่รู้ที่เห็นในโลกมนุษย์ ถ้ามิใช่ธรรมชาติสร้างแล้ว  ก็เป็นสิ่งหรือปรากฏการณ์ที่มนุษย์สร้างทั้งสิ้น   แล้วสิ่งที่มนุษย์ ปลูก สร้าง (Culture) ขึ้นมาก็รวมเรียกว่าวัฒนธรรม ทั้งสิ้น ซึ่งมีทั้ง วัตถุวัฒนธรรม (Material Culture) และจิตตะวัฒนธรรม (Metal or Ideological Culture)
จากคำถามชองลูกศิษย์ในวันนั้นก็ให้เกิดฉุกคิดและทบทวน ตั้งแต่นั้นมาผมก็เลิกใช้คำว่า อารยธรรม เลย และต้องมาแก้ในทุกงานเขียนทุกเรื่อง   โดยพิจารณาว่า หากใช้ในความหมายเจริญก็ใช้ เจริญ เลย  แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผมเห็นใช้ในความหมายของ วัฒนธรรม (Culture)
ผมว่าที่มาของอารยธรรมนั้นน่าจะเริ่มมาจากพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาในสมัยหลังพุทธกาล ที่ถูกบิดเบือนแล้วโดยชนชั้นปกครอง เพราะหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง 300 ปี ศาสนาพุทธที่แท้ (พุทธะเถระวาทะ ก็สูญไปจากอินเดีย) พระพุทธเจ้ากลายเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ซึ่งเป็นเทพเจ้าดั้งเดิมของพราหมณ์ฑราวิฑคนดำเจ้าของวัฒนธรรมคนเมือง ซึ่งแพ้สงครามกลายเป็นทาสคนขาวคนเถื่อนอารยันที่เป็นผู้ชนะแล้วรับเอาวัฒนธรรมของคนดำเอาไว้เป็นของตนไป  
ความจริงแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่อารยันคนขาว พระองค์เป็นคนผิวเหลืองอาจเป็นคนทิเบท ไทย หรือจีน พระองค์แสดงธรรมต่อต้านชนชั้นปกครองอารยัน ธรรมของพระองค์เป็นอเทวนิยม พระองค์จึงเป็นคอมมิวนิสต์ของชนชั้นปกครองในขณะนั้น เพราะพระองค์สอนธรรมช่วยชนชั้นล่างที่ถูกกดขี่ขูดรีด  
แต่ที่ศาสนาของพระองค์กลายเป็นธรรมของอารยันไปก็เพราะศาสนาพุทธถูกกลืนภายหลังที่พระองค์ปรินิพพานไปประมาณ 300 ปี พุทธะเถระวาทะจึงกลายเป็นพุทธะเวทานตะ เป็นเทวินิยมไปตามเดิม   ชาวอริยกะก็กลายเป็นผู้เจริญไป  
คนรุ่นใหม่น่าจะศึกษาประวัติศาสตร์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์กันเสียที ซึ่งจะต้องศึกษาด้วยตนเอง เพราะทุกวันนี้ทั้งโลกการปกครองก็ยังเป็นระบบอภิชนาธิปไตยเหมือน กันทั้งโลก  มหาลัยก็สร้างโดยชนชั้นปกครอง วิชาการจีงถูกบิดเบือนเป็นส่วนมาก เขาให้การศึกษาแก่คนเมืองของเขาให้เป็นพลเมืองดี มีความรู้ดียอดเยี่ยมเฉพาะเรื่อง  เขามิได้สอนให้มีปัญญา  เพราะพลเมืองที่ดีนั้นหมายความว่า เป็นพละพลังของเมืองเพื่อการผลิต การบริการ เพื่อการเสียภาษี  อ่อนน้อมยอมตนต่อชนชั้นปกครองหรือระบบปกครอง เป็นนักอนุรักษ์นิยม  ยึดถือปรัชญาปฏิฐานนิยมเป็นสรณะ  ระบบทุกอย่างแต่โบราณกาลดีแล้ว ไม่ดีที่คน  ฯลฯ สรุปแล้วพลเมืองก็คือทาสในรูปแบบใหม่นั่นเอง
ผู้ชอบดูโขน จะได้แก้เรื่องโขนให้ถูกต้องเสียที  เพราะแท้จริงแล้ว ราม ลักษณ์ เป็นโจรโนแมดคนเถื่อนอารยันคนขาวหนีความอดอยากจากตอนไต้ของทะเลสาบแคส เปี้ยนบุกรุกบ้านเมืองของฑราวิตคนเมืองผิวดำแล้วเอานางสีดาทาสเรือนศึกไปเป็นเมีย  รู้แล้วจะได้เลิกยกย่องคนขาวเป็นผู้วิเศษเป็นอริยะกันเสียที
ก่อนจบผมเลยเอาข้อความบางตอนในปัญญาวิวัฒน์ของท่านอาจารย์สมัคร บุราวาศมาให้อ่านกัน  จะได้แก้ชื่อเรื่อง ตามรอยอารยธรรม  มาเป็น  ตามหาบรรพชนคนไต-จีน  
เมื่อถึงสมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19, ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20, ชาวยุโรป, ซึ่งมีอาณานิคมอยู่หลายแห่งในโลก, ก็เริ่มเกิดความภาคภูมิใจในความเจริญก้าวหน้าและความยิ่งใหญ่ของตน อังกฤษและฝรั่งเศสได้กลายเป็นเจ้าโลกไป เยอรมนีเริ่มรู้ตัวว่าเจริญไม่ทันอังกฤษและฝรั่งเศส และไม่อาจแสวงหาอาณานิคมทางตะวันออกได้อีก อิตาลีเริ่มรู้สึกว่าประเทศของตนคับแคบ ไม่พอกับประชากรที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกที ๆ
ในเวลาเดียวกันนี้ชาวตะวันออกในอินเดีย, พม่า, สยาม, อินโดจีน และจีน เริ่มสำนึกถึงความล้าหลังของตน และเกิดความนิยมในวัฒนธรรมของชาวยุโรปขึ้นมาอย่างรั้งไว้ไม่อยู่ การรังเกียจผิวสีของชาวยุโรป จึงเกิดเคียงคู่ไปกับการบูชาผิวขาวของชาวตะวันออก วัฒนธรรมเพียง 200 ปีของชาวยุโรปถูกจับตามอง แต่วัฒนธรรมนับพันๆปีของชาวตะวันออกกลับถูกลืมเสียสิ้น ชาวยุโรปมักอ้างถึงภารกิจของชาวผิวขาวที่จะมาทำให้ชาวผิวสีเจริญขึ้น และพวกเขาก็ได้พบกับผู้ร่วมมือกับเขาทั้งในทางการเมือง, การค้าและวัฒนธรรมมากมายทางประเทศตะวันออก นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการครองโลกของชาวยุโรปที่มีอาณานิคมเป็นอย่างยิ่ง
ชาวตะวันออกเกิดการเหยียดหยามดูถูกพวกเดียวกันเอง มีความท้อแท้และไม่มองความจริงทางประวัติศาสตร์ เขาเห็นโลกดำรงอยู่เช่นนี้ไปชั่วกัลปาวสาน เขาเห็นอานุภาพอันแข็งแกร่งคงกระพันชาตรีของชาวยุโรป, เหมือนกับที่ชาวยุโรปมองไม่เห็นทางสู้รบปรบมือกับพวกมองโกลเมื่อ 600 ปีกว่ามาแล้ว เขาเห็นความเจริญทางวัตถุและบ้านเมืองอันใหญ่โตโอ่โถงของชาวยุโรป เห็นศิลปะอันงดงามของชาวยุโรปและอเมริกันในภาพถ่ายและภาพยนตร์ เห็นปัญญาของชาวยุโรป ที่เจริญก้าวหน้าไปไกล จนมองไม่เห็นทางที่จะตามให้ทันได้ เห็นรูปร่างอันขาวสะอาด, สูงสง่า, สวยงามของเขา เห็นรถยนต์และยานยนต์มากหลาย เรือเดินทะเลใหญ่ๆ กับอากาศยานที่เพรียวลมของชาวยุโรป จึงเกิดความดูถูกดูแคลนเชื้อชาติและประเทศของตนขึ้นมา และเกิดปมด้อยในชีวิตอันยากที่จะรักษาให้หายได้ ปมด้อยนี้พลิกกลับเป็นการวางท่าเขื่องต่อเพื่อนร่วมชาติ, ร่วมทวีปกับเขาเอง ด้วยประการฉะนี้จึงดูเหมือนว่า ความเป็นไปเช่นนี้จะดำรงอยู่ชั่วกัลปาวสาน แต่พลังที่ผลักดันประวัติศาสตร์ก็คงดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง

แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 53 23:51:44

จากคุณ : ลุงกฤช
เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 53 22:34:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com