 |
ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่าอารยธรรมนั้น เป็นคำที่คนไทยบัญญัติขึ้น คนยุโรปซึ่งเป็นอารยันคนขาวไม่ได้เป็นผู้บัญญัติ เราคนดำ คนเหลืองไปยกย่องว่าเขา-คนขาว เป็นผู้เจริญเอง
ว่าตามรูปศัพท์แล้ว อารยธรรม ควรมีความหมายว่า ธรรมะของชาวอารยัน ซึ่งความจริงนั้น มี และก็เป็น ธรรมะ อันสูงส่งเสียด้วย
ที่สูงส่งก็เพราะสมัยที่คนเถื่อนโนแมดอารยัน (Barbarism Nomad Aryan) ยังอยู่ที่ทะเลสาบแคสเปี้ยน เป็นสมัยที่สังคมของเขาเคลื่อนตัวมาอยู่ที่สมัยหินใหม่ สังคมของเขามีวัฒนธรรมชุมชนบุพกาล ซึ่งมีประชาธิปไตยบุพกาล (Tribal Democracy) อันทุกคนมีความเสมอกันในความเป็นอยู่ มีกรรมสิทธิ์ในสมบัติร่วมกัน อดๆด้วยกัน อิ่มๆด้วยกัน ทุกคนต้องทำงาน แต่เด็ก คนแก่ คนป่วยไม่ต้องทำงาน ความดีและคนดีในสมัยนั้นจึงเป็นความดีคนดีที่เป็นรูปธรรมแท้จริง คือมีความมักน้อย มีความซื่อสัตย์ และรักหมู่คณะ (ไม่ใช่เป็นรูปแบบของความกระล่อนดังเช่นสมัยทุนนิยมสามานย์นี้ ทำดีเพื่อให้ได้มาก ... ความจริงแล้วสภาวะเช่นนี้ทุกชนเผ่าก็ผ่านพัฒนาการของสังคมอย่างนี้มาเหมือนกันทั้งสิ้น) ความทุกข์ก็ยังไม่มี (ความทุกข์มีขึ้นในโลกเมื่อโลกเกิดระบบทาส ความจริงแล้วแม้มีระบบทาสแล้วคนอารยันก็ยังไม่มีความทุกข์ เพราะคนของเขาส่วนใหญ่เป็นนายทาส คนอารยันจึงไม่รู้จักสภาวะของความทุกข์ เขาจึงมีแต่คำว่า Tension Anxiety Sad ฯลฯ แต่ไม่มีคำว่า ทุกข์ ในภาษาของเขา)
ธรรมะของชาวอารยันสมัยเป็นคนเถื่อนที่ดีเด่นชัดอีกหลักหนึ่งที่พระพุทธเจ้าก็ยังนำธรรมะนั้นมาให้คนอารยันคนเมืองใหม่ปฏิบัติกันเพื่อแก้ทุกข์ คือ อริยมรรค 8 ประการ เพราะในสมัยของพระองค์ความดีดังกล่าวได้สูญสิ้นไปหมดแล้วตามสังคมของอารยันที่เคลื่อนตัวมาอยู่ในวัฒนธรรมคนเมืองโบราณ (Ancient Civilization Culture) อันเป็นสังคมในระบบทาสแล้ว
ยังสงสัยอยู่ก็เปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษเป็นอังกฤษ Civil Ciivlise Civilisation ดูเถอะครับ จะได้เห็นว่า อารยธรรม มันมิได้วิเศษวิโสอะไร
เพราะวัฒนธรรมคนเมือง ดูเพียงผิวเผินมันเป็นความเจริญทางวัตถุวัฒนธรรมเท่านั้น (แต่ความเจริญทางวัตถุทั้งหลายแหล่ก็ผลิตโดยแรงงานทาสคน ทาสควาย ทาสวัว ทาสช้าง ทาสน้ำตก ฯลฯ ตอนนี้เป็นนางสาวอิเล็กตรอน) แต่จิตวัฒนธรรมมันเปี้ยนไปดังที่เห็นๆกันในปัจจุบัน เอาพระเอาศาสนามาสอนกันวันละ 24 ชม. สอนมาเกือบสามพันปีแล้วมันก็ไม่เปี้ยนเป็นเหมือนเดิม
ผมเลยเอา ปัญญาวิวัฒน์ภาค 1 สมัคร บุราวาศมาให้หิวโหยกัน
4.11 ความเป็นอยู่ในชุมชนบุพกาล (ต้นสมัยหินใหม่) ชุมชนบุพกาลในระยะสมัยแรกๆของหินใหม่ ดำเนินไปด้วยความสงบสุขเป็นอย่างดียิ่ง ทุกคนมีความเสมอภาคกัน และแบ่งงานกันทำทุกคนเป็นเจ้าของเครื่องมือเครื่องใช้ สัตว์เลี้ยงและที่ดินสำหรับเพาะปลูกร่วมกัน มีครัวสำหรับทำอาหารร่วมกัน อาหารที่ทำเป็นส่วนรวมก็จ่ายแจกไปให้กินทั่วถึงกัน บางทีหลายๆคนอาจกินอาหารในภาชนะอันเดียว กันด้วย เช่นที่พวกแขกอินเดียยังทำกันอยู่ทุกวันนี้ ทุกคนในครัวเรือนต้องทำงานนอกจากจะเป็นเด็กๆ ที่ยังทำงานไม่ไหว กับคนป่วย และคนชรา ครัวเรือนในต้นสมัยหินใหม่นี้ มีสวัสดิการของสังคมไปในตัวคือคนป่วยกับคนชราได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่ต้องกลัวอดตาย ขณะนั้นโลกจึงปราศจากชนชั้นวรรณะหรือคนมีคนจน ในยามมีกินมีใช้ทุกคนในครัวเรือนก็เป็นสุขทั่วหน้ากัน ในยามขัดสนทุกคนก็ร่วมทุกข์กันและช่วยกันหาทางแก้ไขด้วยประการฉะนี้ วาระนี้จึงเป็นวาระซึ่งมนุษยชาติประสบความสุขใจมากทีเดียว และจึงได้มีการจดจำสืบต่อกันมาช้านานถึงสมัยแห่งความสุขสมบูรณ์นี้ ในคัมภีร์มหาภารตะของอินเดีย เราพบข้อความระบุว่า สมัยต้นๆของมนุษยชาติ คือ กฤตยุค เป็นสมัยซึ่งมีสัตยธรรมมั่นคง ผู้เขียนขอนำคำของพระมหามงกุฎเกล้าในหนังสือ นารายณ์สิบปาง มาอ้างไว้ ณ ที่นี้
กฤตยุค เป็นยุคซึ่งมีสัตยธรรมมั่นคง จึงมีนามเรียกด้วยว่าสัตยยุค ในยุคนั้นกรณียะทั้งปวงได้กระทำไปสำเร็จเสร็จสิ้น (กฤต) ไม่มีสิ่งใด บกพร่อง ในยุคนั้นมิได้มีเทวดาต่างๆ คือมีแต่พระปรพรหมองค์เดียว ที่เคารพบูชาของนรชน ไม่มีทานพ,คนธรรพ์,ยักษ์,รากษสหรือปันนาค(งูร้าย) ไม่มีการค้าขายและซื้อกันในระหว่างนรชน ผลทั้งปวงแห่งพิภพย่อมได้โดยความปรารถนาเท่านั้น กุศลธรรมบทหรือความไม่เห็นแก่โลภย่อมมีอยู่ทั่วไป โรคาพยาธิและความคร่ำคร่าแห่งอวัยวะทั้งปวงอันบังเกิดแต่ชราภาพหามีไม่ ชนย่อมปราศจากโทมนัส,โศก,โมหะหรือทุจริตปราศจากวิวาท, เกลียดชัง, โกรธ, ภัย, พยาธิ, ริษยาและพยาบาทพระปรพรหมเป็นที่พึ่งแห่งโยคีทั้งหลาย ในยุคนั้นพระนารายณ์อันเป็นวิญญาณแห่งสิ่งทั้งปวงมีพระกายสีขาวบริสุทธิ์ในยุคนั้น,มีกำเนิดแต่ชนผู้ตั้งมั่นในกรณียะ และเหมือนกันหมดในทางสัตยธรรม,ในการปฏิบัติและในความรอบรู้ ยุคนั้นชนทุกชาติมีหน้าที่เหมือนกันประกอบกรณียะ, ไม่ลดละความเลื่อมใสในองค์พระปรพรหม (พระนารายณ์) องค์เดียว ใช้มนต์อย่างเดียว วินัยอย่างเดียว พิธีอย่างเดียว เขามีพระเวทแต่เพียงหนึ่งเท่านั้นคือ ฤคเวท
อะไรคือเหตุแห่งความเป็นอยู่เช่นกล่าวเล่าเหตุเหล่านั้น เหตุก็คือการผลิตร่วมกันและการบริโภคร่วมกัน มีความเสมอภาพกันโดยปราศจากชนชั้นวรรณะนั่นเอง การเป็นเจ้าของแผ่นดินและทรัพย์สินร่วมกัน ทำให้วัตถุไม่มีอำนาจยึดเหนี่ยวจิตแบบมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัวมนุษย์จึงพ้นจากกิเลสทั้งปวง ดังพวกพราหมณ์บันทึกไว้ในเรื่องกฤตยุคศีลธรรมอันดีเป็นผลสะท้อนของชีวิตเสมอภาคกันในชุมชนบุพกาลนี้จึงมิใช่เกิดขึ้นเพราะคำสอนในเรื่องจริยธรรมแต่อย่างใดเลย ด้วยประการฉะนี้ มาตรฐานของศีลธรรมจึงเกิดขึ้น และถูกอ้างต่อๆกันมา ศีลธรรม ที่เราร่ำร้องกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือศีลธรรมที่เป็นผลของชีวิตร่วมกันในชุมชนบุพกาล ซึ่งคนมีความทัดเทียมกันทุกประการทำงานกันอยู่ทุกคน หากมีวัยและเรี่ยวแรงที่จะทำงานได้ และเสวยผลทั้งปวงแห่งพิภพ ตามความปรารถนาของตนนั่นเอง
จากสมัคริสม์ (ปัญญา)
สังคมหนึ่ง ๆ ได้ให้กำเนิดวัตถุและความเชื่อมั่นอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ อันรวมเรียกว่า วัฒนธรรม (Culture) ซึ่งแปลว่า,สิ่งที่เพาะขึ้นมาโดยมนุษย์
วัตถุวัฒนธรรม (Material Culture) หรือประจักษ์พยานทางวัฒนธรรมนั้น ได้แก่เครื่องมือในการผลิต และวัตถุอันเป็นศิลปะ (Works of Arts) ต่างๆ รวมทั้งวัตถุสำหรับใช้ และอาคารทุกชนิด
จิตวัฒนธรรม หรือวัฒนธรรมทางจิต หรือความคิด (Mental or Ideological Culture) ศาสตราจารย์ แอล.ชาร์พ (L.Sharp) กล่าวว่า เป็นแบบแผนแห่งพฤติกรรม ความเชื่อ และความรู้สึกที่จัดไว้เป็นส่วนรวม อันชนหมู่หนึ่งๆได้เรียนรู้และนำมาใช้ นี่,เป็นเรื่องที่มานุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Antropology) สนในศึกษา วัฒนธรรมทางความคิด หรือขนบประเพณีมีร่องรอยเหลือมาในบันทึกต่างๆ และในคำพูดของมนุษย์ในปัจจุบัน บางทีก็มีวัตถุที่ใช้ในการนี้ (Cultural Object) เหลืออยู่เป็นประจักษ์พยานด้วย
จากคุณ |
:
ลุงกฤช
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ต.ค. 53 21:17:50
|
|
|
|
 |