ความคิดเห็นที่ 1 ค่าตัวของทาส คือ ค่าตัวที่สามารถไถ่ถอนตนเองให้พ้นจากความเป็นทาส สำหรับค่าตัวทาสจะมากจะน้อยขึ้นกับปัจจัยหลายประการทั้งเพศ อายุ ความรู้ความสามารถ ในกฎหมายตราสามดวงซึ่งใช้มาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ กำหนดกรอบค่าตัวทาสไว้คร่าวๆ ตามเพศและอายุ โดยปกติเพศชายในอายุเท่ากันจะมีค่าตัวตามกฏหมายมากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย เช่น เด็กชาย ๑-๒ ขวบ ค่าตัว ๔ ตำลึง (๑๖ บาท) / เด็กหญิง ๓ ตำลึง (๑๒ บาท) เด็กชาย ๗-๘ ขวบ ค่าตัว ๘ ตำลึง / เด็กหญิง ๗ ตำลึง ผู้ชายอายุ ๑๖-๒๐ ปี ค่าตัว ๑๒ ตำลึง / ผู้หญิง ๑๐ ตำลึง ผู้ชายวัยฉกรรจ์ อายุ ๒๑-๒๕ ปีค่าตัว ๑๓ ตำลึง /  ผู้หญิงค่าตัว ๑๒ ตำลึง หลังจากพ้นวัยดังกล่าวแล้ว ค่าตัวของทาสจะลดลงตามอายุ เนื่องจากเริ่มมีอายุ ทำงานให้กับนายเงินได้ไม่มากเท่าวัยหนุ่มสาว ค่าตัวจะลดลง คือ ผู้ชายค่าตัวยังคงมีค่าเงินสำหรับค่าตัวนานคือ อายุ ๒๖-๔๐ ปี ๑๔ ตำลึง(๕๖ บาท) /  ผู้หญิงค่าตัวลดลงอายุ ๓๑-๓๕ ปีเหลือ ๑๑ ตำลึง ยิ่งถ้ามีอายุ ๖๑-๖๕ ปี จะเหลือ ๖ ตำลึง และอายุ ๘๖ ปีขึ้นไป เหลือ ๔ บาท ผู้ชายหลังอายุ ๔๐ ปี ค่าตัวก็ลดลงเช่นเดียวกัน เช่น อายุ ๔๑-๔๕ ปีเหลือ ๑๓ ตำลึง อายุ ๕๑-๕๕ ปีเหลือ ๑๐ตำลึง อายุ ๘๖ ปี ขึ้นไป เหลือ ๖ บาท ส่วนความรู้ความชำนาญก็ได้แก่ ความสามารถในการอ่านหนังสือ ถ้ามีก็สามารถช่วย นายเงินทำบัญชีได้ เขียนสัญญาได้ ความรู้ในการทำอาหารต่างๆ ความรู้ในงานช่าง งาน หัตถกรรมต่างๆ ความละเอียดหรือหยาบในการทำงานเหล่านี้กฎหมายมิได้กำหนดเอาไว้ นายเงิน จะเป็นผู้พิจารณาและกำหนดเอง ความรู้ความชำนาญขนาดไหนควรจะได้ค่าตัวสักเท่าใด หาก ทาสเป็นหญิงสาวสวย นายเงินเป็นผู้ชายก็อาจจะให้ค่าตัวสูง เพราะอาจจะเอาทาสคนนั้นเป็น ภรรยาได้หากครบ ๑ ปีแล้ว สามีหรือพ่อแม่ไม่มาไถ่ตัวไป กฎหมายให้ความคุ้มครองมิให้นาย เงินข่มขื่นทาสสาวได้เพียง ๑ ปี จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:43:10

ความคิดเห็นที่ 2 กราฟอัตราค่าตัวของชายและหญิง ตามอายุ ซึ่งได้ทำเป็นกราฟให้เห็นถึงอัตราค่าตัว จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:45:52

ความคิดเห็นที่ 3 การเป็นทาส ทำได้ดังนี้ ๑ ทาสเปลี่ยนนาย หมายถึง ทาสที่นายเงินขายต่อให้นายเงินอีกคนหนึ่ง   เช่น นายเงิน ก. ได้ทาสมาด้วยราคา ๒๐ บาท ต่อมาทาสไปเล่นการพนัน(คิดว่าอาจจะหาเงินให้ได้ ๒๐บาทมาคืนนายเงิน) แต่กลับเสียพนัน ๓๐ บาท ก็จะขอกู้จากนายเงิน ก. หากนายเงินยินยอมก็ทำสัญญาทาส เพิ่มค่าตัวเป็น ๕๐ บาทได้ แต่ถ้านายเงิน ก. ไม่ยอมให้กู้ ทาสก็ไปหานายเงิน ข. (ซึ่งรวยกว่า) ไปขอกู้เงินยอมเป็นทาสนายเงิน ข. ด้วยราคา ๕๐ บาท โดยไถ่สัญญาทาสคืน ๒๐ บาท และใช้หนี้พนัน ๓๐ บาท ๒ ไพร่ขายตัวเองเป็นทาส คือการขายตัวเอง หรือ ถูกพ่อแม่ขาย หรือพร้อมใจกันขายตัวทั้งครอบครัวก็มี ๓ ขุนนางขายตัวเป็นทาส คือ เกิดจากทำผิดอย่างร้ายแรง ถูกริบราชบาตร และแพ้คดีในการต่อสู้ฟ้องร้องจนหมดตัว และขายตนเองและครอบครัวเป็นทาสได้เช่นกัน ๔ ทาสจากศึกสงคราม คือ การได้ทาสมาใช้แรงงานจากภาวะสงคราม จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:46:48

ความคิดเห็นที่ 4 เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับทาส ๑. การทำสัญญาทาส จากเอกสารโบราณพบว่า นายเงิน มักที่จะทำสัญญาวันพุธ – เสาร์ – พฤหัส ๒. ทาสสาวสวย มีค่าตัวสูง เพราะจะเอาเป็นเมียได้ และกฎหมายคุ้มครองไม่ให้ข่มขืน ๑ ปี ๓. ทาสชาย และทาสหญิงมีนายเงินคนละคน หากมีลูกมากๆ ลูกทาสคนคี่ (คนที่ ๑,๓,๕,๗,๙) จะตกเป็นสมบัติของนายเงินทาสหญิง ส่วนลูกทาสคนคู่ (คนที่ ๒,๔,๖,๘) เป็นของนายเงินทาสชาย ๔. ทาสที่นายเงินบวชให้จะได้อิสระ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:47:49

ความคิดเห็นที่ 5 แต่เดิมการขายตัวเองลงเป็นทาส จะกระทำกันระหว่างตัวทาสและนายเงิน ทำสัญญาเขียนเงินกู้ระหว่างกันเอง ต่อมาทางราชการกำหนดแบบฟอร์มเอกสารการขึ้นทะเบียนทาส เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน จะเห็นว่าถ้าบุคลใดตกเป็นทาสแล้ว สรรพนามของสตรี จากอำแดง จะเปลี่ยนเป็น "อี" โดยสมบูรณ์ อย่างที่นำมาให้ชมนี้เป็นสัญญาทาส ที่กระทำที่ท้องที่อำเภอ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ด้วยราคาทาส ๔ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ซึ่งเป็นเงินที่มีมูลค่ามาก แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 53 19:47:05 จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:52:27

ความคิดเห็นที่ 6 นี่ก็อีกฉบับหนึ่งทำเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ ทำก่อน ๒ ปีที่จะมีการเลิกทาส จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:53:39

ความคิดเห็นที่ 7 และแล้วในวันที่ ๑ เมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ พระเมตตาแห่งพระองค์ท่าน ซึ่งตั้งใจจะเลิกทาสตั้งแต่เริ่มต้นรัชกาล ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว โดยทรงออกพระราชบัญญัติทาษ รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ ให้มีการเลิกทาส ห้ามซื้อขายทาส และทาสที่อยุ่ก็ให้มีอัตราเงินไถ่ตัวลดลง ตามลำดับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:56:17

ความคิดเห็นที่ 8 . จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:56:34

ความคิดเห็นที่ 9 ด้วยทรงที่เล็งเห็นว่าการเลิกทาส ต้องกำจัดสิ่งที่ทำให้เกิดความเป็นทาส คือ การพนัน จึงมีพระราชบัญญัติเลิกเล่นการพนันประกอบกัน และทรงตั้งโรงเรียนสำหรับประชาชน ให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วหน้า จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 10:59:08

ความคิดเห็นที่ 10 ได้ความรู้อีกมาก ขอบคุณค่ะ จากคุณ : hayashimali เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 11:04:20

ความคิดเห็นที่ 11 ได้ความรู้มากๆ ครับ จากคุณ : Medhawint_CPSK เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 11:36:50

ความคิดเห็นที่ 12 ขอประชาสัมพันธ์นะคะ มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจอีกมากมาย ถ้าว่างลองไปชมนิทรรศการได้ที่หอสมุดวชิราลงกรณ์ตรงข้ามสนามหลวงสิค่ะ จากคุณ : nubamjung เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 12:04:18

ความคิดเห็นที่ 13 ผลของการเลิกทาส ผลของการได้รับการศึกษาอย่างทั่วหน้า ถือเป็นจุดเปลี่ยนของการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมอารยะประเทศ จากคุณ : techkon_d เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 14:58:52

ความคิดเห็นที่ 14 {ด้วยทรงที่เล็งเห็นว่าการเลิกทาส ต้องกำจัดสิ่งที่ทำให้เกิดความเป็นทาส คือ การพนัน จึงมีพระราชบัญญัติเลิกเล่นการพนันประกอบกัน และทรงตั้งโรงเรียนสำหรับประชาชน ให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วหน้า } แล้วสลากกินแบ่งหลวง เกิดในรัชกาลนี้หรือไม่? จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 21:31:56

ความคิดเห็นที่ 15 {การออกสลากกินแบ่งฯ ในประเทศไทยตามประวัติความเป็นมาได้เริ่มมีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โดยมีฝรั่งชาวอังกฤษชื่อ ครูอาลบาสเตอร์เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรกโดยเรียกว่า “ลอตเตอรี่” โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศ ไทย เมื่อปี พ.ศ. 2417 เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือ พ่อค้าต่างชาติที่นำสินค้ามาร่วมแสดงในการจัดพิพิธภัณฑ์ที่ตึกคองคาเดีย ในพระบรมมหาราชวัง } จากเวปโรงหวยหลวง!"O"! นี้ไงมรดกที่พระราชทานมา จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 21:35:06

ความคิดเห็นที่ 16 แว๊บมาอ่านจ้า ^ ^ จากคุณ : radiergummi เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 21:38:59

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่ให้มีการพนัน แต่ให้มีโรงหวยแทน จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 21:40:07

ความคิดเห็นที่ 18 http://www.oknation.net/blog/vihokpludtin/2007/08/27/entry-1 จากเวปนี้ได้รูปครูอาลบาทเตอร์ จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 22:03:28

ความคิดเห็นที่ 19 โรงที่คาดว่าจะออกหวยฉบับแรกของสยาม เวปนี้http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&date=11-05-2007&group=11&gblog=11 จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 22:11:34

ความคิดเห็นที่ 20 การออกลอตเตอรี่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ นั้นเกิดขึ้นและมีการออกลอตเตอรี่ เพื่อช่วยเหลือพ่อค้าชาวต่างชาติก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมรดกที่ทรงประทานมาให้ เนื่องจาก หลังช่วงเวลาดังกล่าวไม่ปรากฎว่า หน่วยงานรัฐทำการพิมพ์สลากเพื่อมอมเมาประชาชน เราต้องยอมรับว่า การพนันในสมัยอยุธยาจนยกเลิกอย่างสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๖ นั้น รายได้หลักของประเทศมาจากอากรการพนัน ซึ่งเก็บจากนายบ่อน นายอากรโรงหวย ต่างๆ ซึ่งทุกคนล้วนทราบดี แต่เงินที่นำมานั้นก็เข้าพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำนุบำรุงประเทศ เพื่อส่วนพระองค์ หรือจะอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ภาวะบ้านเมืองในสมัยพระองค์ท่านมีเหตุการณ์ที่ต้องใช้เงินอย่างมาก เช่น ๑.ต้องใช้เงินไปถึง ๓ ล้านฟรัง เพื่อเป็นค่าปรับในคราววิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ๒. การก่อสร้างรถไฟ และระบบสาธารณูปโภค เพื่อสร้างความเจริญให้บ้านเมือง ๓. เงินบางส่วนก็ต้องนำมาใช้ส่วนพระองค์ แต่ก็ในทำนองเดียวกัน เมื่อภาวะการเงิน การคลังของประเทศยังไม่มั่นคง รายได้หลักที่มาจากการพนัน ก็ไม่อาจจะยกเลิกไปในฉับพลันได้ เพียงแต่ค่อยๆลดบทบาทลงไปเรื่อยๆ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 22:12:45

ความคิดเห็นที่ 21 แต่การขายเกินราคาหน้าสลากไม่รู้เกิดในยุคเดียวกันไหม คงยังไม่เกิดเพราะยังเล่นน้อยอยู่? ก็คงยังมีคนเล่นแบบเก่าๆของ หวยของจีนอะแม้ว่าจะห้ามแล้ว"ประเภททายอักษร" จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 22:16:26

ความคิดเห็นที่ 23 ๑.ต้องใช้เงินไปถึง ๓ ล้านฟรัง เพื่อเป็นค่าปรับในคราววิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ต้องไม่ลืมว่าเงินบางส่วนเอามาจาก"เงินถุงแดง" ที่รัชกาลที่ 3 สะสมไว้คราวค้าขายต่างประเทศ! จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 22:24:28

ความคิดเห็นที่ 24 การขายสลากเกินราคา เป็นปัญหาที่เกิดจากการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เห็นช่องทางทำกำไรเมื่อใด ก็จะแสวงหากำไร โดยไม่สนต่อคนอื่น อีกอย่างคนเล่นสลากเอง ก็เป็นผู้สนับสนุนให้สลากขายแพงในทางเดียวกัน การเล่นการพนัน เป็นพื้นฐานอุปนิสัยที่ถูกจริต ของชาวสยามยิ่งนัก เรียกว่าไม่ต้องสั่งสอนก็เป็นเลย การเล่นพนันในสมัยเก่า ไม่ใช่เพียงเล่นทายตัวอักษร หรือ หวย ก.ข. หากแต่มีเล่นถั่ว โป ชนไก่ กัดปลา แทงเบี้ย และอีกสารพัดที่เล่นกัน เดิมเล่นกันในหมู่ชาวจีน และชาวสยามก็เข้าไปเล่นด้วยเลยเกิดติดใจ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 22:30:09

ความคิดเห็นที่ 25 เงินถุงแดงเป็นเงินไถ่ถอนประเทศ ก็จริงอยู่ แต่หลังจากนั้นประเทศต้องใช้เงินอีกมากในการพัฒนาประเทศ ๑. ต้องพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมตะวันตก เช่น การปฏิรูปการปกครอง คือ ต้องจ่ายเงินเดือนข้าราชการ สร้างสถานที่ราชการ ๒. การก่อสร้างทางรถไฟ จำเป็นให้สยาม ต้องกู้เงินจากต่างประเทศเป็นครั้งแรก ๓. เกิดกบฏผีบุญ - เงี้ยงเมืองแพร่ - ขบถพระยาแขกเจ็ดหัวเมือง ทำให้ต้องใช้เงินในการซื้ออาวุธและปราบปรามและเงินด้านการทหาร เพื่อปกป้องประเทศจากภัยคุกคามจากตะวันตก ๔. ค่าใช้จ่ายในราชสำนักเองก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 22:38:57

ความคิดเห็นที่ 26 ปัญาหามาจากที่คนสมัยนั่นทิ้งไว้มีดังนี้ สัญญาการปันแดน ซึ่งไมชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน รางรถไฟ ไม่แน่ใจว่าหลังจากที่สร้าง พวกตะวันตกก็เปลี่ยนขนาดราง? การสร้างสถานที่ราชการแม้ว่า จะใช้เงินพระองค์ก็จริงอยู่ แต่บางแห่งไม่ได้เปนของรัฐกลับเปนของสำนักทรัพย์สิน เช่นศาลากลางมลฑลปราจีนในจ.แปดริ้ว ปัจจุบันไม่เป็นของรัฐ เปนของสำนีกทรัพย์สิน จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 23:26:00

ความคิดเห็นที่ 27 รู้สึกว่าคนเก่าจริงมองเห็นแต่ด้านลบ และเห็นแต่ปัญหา ใช่ไหม่ครับ   ผมว่าคุณควรให้เกียรติเจ้าของกระทู้ในการตั้งประเด็นแย้ง ถ้าจะมาพูดถึงปัญหาของยุคสมัยที่คุณคิด ก็น่าจะไปตั้งกระทู้ใหม่ของคุณเอง เพราะผมว่าคุณหนุ่มมีจุดประสงค์ที่จะตั้ง กระทู้นี้เพื่อเล่าถึงสัญญาซื้อขายทาสนะครับ เรื่องบางเรื่องมันเปนเรื่องของยุคสมัย การพนันฝังรากและมีเสียหรือผลประโยชน์ในสมัยนั้นอย่างไร ผู้มีหน้าที่ก็พยายามหาทางลดปัญหาอยู่แล้ว จากคุณ : น่ารักอย่างกะยักษ์วัดแจ้ง เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 00:33:59

ความคิดเห็นที่ 28 จะมองแต่ผลดี ภาพดี ก็คงไม่เป็นธรรมนัก พอไม่เปนที่พอใจก็เอาอามรณ์เปนที่ตั้งไล่ไปตั้งกระทู้ใหม่ เปนแนวคิดดีฤา บางอย่างทีเปนปัญหาต้องเขียน ต้องพูดมิใช่ต้องบันทึกแค่ด้านดี และดี! จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 07:01:45

ความคิดเห็นที่ 29 พึ่งคุยกับเพื่อนว่า ประเทศเพื่อนบ้านเรา เลิกทาสตอนที่ถูกพวกฝรั่งยึดใช่มั้ยคะ ไม่งั้นก็คงจะต้องวุ่นวายแน่ๆเลย จากคุณ : โยธิกาหน้าหนาว เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:20:06

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณนะคะ สำหรับความรู้ดีๆ สำหรับกระทู้นี้ ภูมิใจ ดีใจ ที่เกิดเป็นคนไทยค่ะ และหากไม่ได้พระบารมีของพระพุทธเจ้าหลวง ดิฉันยังเคยนึกเล่นๆ เลยว่า ณ วันนี้ดิฉันจะเป็นทาสอยู่เรือนไหนหนอ ส่วนความคิดเห็นที่งอกขึ้นมาอย่างเสียมารยาท ขออ่านผ่านนะคะ เพราะเนื้อความนั่นไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของกระทู้ ส่วนตัวรังเกียจพวกอาศัยป่ายปีนกระทู้คนอื่น ... ไร้มารยาทสิ้นดี จากคุณ : อาซิ่ม เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 20:42:59

ความคิดเห็นที่ 31 #26 ขออธิบายเรื่อง "รางรถไฟ" แต่เดิมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รถไฟได้แบ่งเป็นสองสาย สายเหนือ กับสายใต้ โดยสายเหนือนั้นอยู่ในการกำกับดูและของเยอรมัน มีรางขนาดเมตรครึ่ง ส่วนสายใต้อยู่ในการกำกับดูแลของอังกฤษใช้รางขนาดหนึ่งเมตร ถามว่าทำไมต้องแบ่งเป็นเหนือใต้ ทำไมต้องให้ชาติยุโรปแบ่งกันดูแลถึงสองประเทศ เพราะ ๑. ในขณะนั้นประเทศไทยยังไม่มีเทคโนโลยีและบุคลากร จึงต้องนำเข้าจากชาติตะวันตก ๒. ที่ต้องมีชาติยุโรปสองประเทศเข้ามา ก็เพื่อการคานอำนาจ ในขณะนั้นชาติยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาแสวงหาอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากสยามซื้อเทคโนโลยีและใช้บุคลากรจากอังกฤษชาติเดียว อังกฤษก็จะเข้ามาควบคุมการคมนาคมของประเทศทั้งหมด อาจจะเป็นการเสี่ยงที่จะถูกเป็นอาณานิคมได้ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงแต่งตั้ง กรมพระกำแพงแพ็ชรอัครโยธินเป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง โดยมีหน้าที่กำกับดูแลทั้งสายเหนือ และใต้ หลังจากนั้นไม่นานสยามก็ได้ประกาศสงครามกับเยอรมัน กรมพระกำแพงเพ็ชรฯ จึงได้เอาคนไทยเข้าควบคุมรถไฟสายเหนือแทนเยอรมัน และเชิญคนเยอรมันออกไป (ในขณะนั้นอังกฤษเองก็กระหยิ่มว่า จะเข้าดูแลรถไฟสายเหนือแทนเยอรมัน แต่กลายเป็นว่าคนไทยเข้ากำกับดูแลเอง กรมพระกำแพงเพ็ชรฯ เป็นพระโอรสองค์ที่ ๓๕ ของรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๕ ได้ส่งไปศึกษาต่อทางด้านวิศวกรรมที่ประเทศอังกฤษ ทำให้ในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงมีคนไทยที่สามารถเข้ามาทำงานแทนชาวตะวันตกได้) หลังจากนั้นรัชกาลที่ ๖ จึงให้มีการรวมรถไฟสายเหนือและสายใต้ อยู่ภายใต้การดูแลของกรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน นั่นหมายความว่า อังกฤษซึ่งเคยมีอำนาจเต็มในรถไฟสายใต้ต้องมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนไทยซึ่งก็คือกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ นี่เอง ทีนี้เมื่อรวมรถไฟเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องรางที่มีขนาดไม่ตรงกัน เพื่อให้เดินรถได้ทั่วประเทศ ภายใต้ข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ทำให้ กรมพระกำแพงเพ็ชรฯ ตัดสินใจเลือกรางขนาด หนึ่งเมตร คือ ๑. ปัญหาเรื่องงบประมาณ การลดขนาดรางนั้นประหยัดกว่ามาก อีกทั้งรถจักรโบกี้ขนาดเมตรครึ่งก็สามารถตัดขนาดความกว้างล้อให้มาใช้กับราง ๑ เมตรได้ แต่ถ้าหากขยายราง รถจักร และโบกี้สำหรับรางหนึ่งเมตรไม่สามารถขยายขนาดได้ ๒. ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนั้น ประเทศเพื่อนบ้านได้สร้างรางขนาดหนึ่งเมตรทั้งหมด โดยอังกฤษเองก็สัญญาว่าจะใช้รางขนาดหนึ่งเมตรเชื่อมภูมิภาคดังกล่าว ๓. ถึงแม้ว่าจะรวมกรมรถไฟให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การดูแลของคนไทยได้แล้วนั้น อังกฤษเองก็ยังมีอิทธิพลอยู่มาก จึงเป็นการยากที่จะหักหาญกับอังกฤษโดยตรง ด้วยการเปลี่ยนระบบรถไฟทั้งหมดไม่ให้สอดคล้องกับระบบของอังกฤษในขณะนั้น อย่างไรก็ดีแม้ว่าอังกฤษจะให้สัญญาว่าจะใช้รางขนาดหนึ่งเมตรในการเชื่อมต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ต่อมาอังกฤษกับฝรั่งเศสจับมือกันที่จะสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดจีน-อินเดีย ด้วยทางรถไฟขนาดเมตรครึ่ง และต้องกาที่จะสร้างผ่านประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้กรมพระกำแพงฯ เสียพระทัยแล้ว พระองค์ก็ไม่ยอมรับที่จะสร้างทางรถไฟสายดังกล่าวเนืองจากประเทศไทยจะไม่ได้ประโยชน์จากทางรถไฟเส้นนั้นเลย ผมเชื่อว่าในขณะนั้นบรรพบุรุษของเราได้ตั้งสินใจดีที่สุดแล้ว ขอความกรุณาอย่าเอาปัจจุบันไปตัดสินอดีต เพราะหากคุณอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ก็อาจไม่สามารถตัดสินใจได้ดีเท่านี้ก็ได้ครับ จากคุณ : monkeygig เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 22:33:35

ความคิดเห็นที่ 32 คุณคนเก่าจริงครับ ผมก็บอกได้แค่ว่า สิ่งที่คนในอดีต สิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้ทำไว้นั้น อาจจะไม่สมบูรณ์แบบทั้งหมด แต่ทุกอย่างนั้นมีเหตุมีผลครับ ทุกวันนี้เราเรียนรู้กันแค่ว่า รัชกาลที่ ๕ ทรงทำอะไรให้กับประเทศไทยไว้บ้าง เลิกทาส พัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน ฯลฯ แต่หากเราจะศึกษาไปมากกว่านั้น สิ่งต่างๆ ที่ท่านทำไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่อยู่มาวันหนึ่งท่านตื่นเช้ามาแล้วบอกกับทุกคนว่า วันนี้ท่านจะเลิกทาส สิ่งที่ท่านทำท่านต้องเผชิญกับแรงกดดัน การต่อต้าน การต่อสู้มากมาย ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปได้หรอกครับ การเลิกกบ่อน เลิกการพนัน รัชกาลที่ ๕ ท่านไม่ทรงโปรด แต่คนอีกหลายคนที่มีอำนาจ มีผลประโยชน์เขาก็ต้องการไว้ ก็ต้องมีการต่อสู้ ต่อรองต่างๆ มากมาย จึงไม่มีอะไรง่าย ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปทั้งหมดหรอกครับ แต่ความไม่สมบูรณ์ที่เกิดขึ้นมาเนี่ยแหละครับ คือสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำ และไม่มีใครสามารถทำได้ หรือสามารถเท่ากับที่รัชกาลที่ ๕ ทำ ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราคนไทยจำนวนไม่น้อย เคารพนับถือ และระลึกถึงพระคุณของท่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันครับ จากคุณ : monkeygig เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 22:48:09

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ต้องกดลบข้อความของคุณคนเก่าจริงก็ได้ครับ ผมเชื่อว่าในที่นี้ยังมีคนที่มีความรู้อีกหลายคนที่สามารถตอบคำถามของคุณคนเก่าจริงได้ และผมเห็นว่าจะเป็นการดีหากจะมีคนถาม และมีคนเข้ามาให้คำตอบ ให้ความรู้ ให้คำอธิบาย เราจะได้รู้ลึกรู้จริงกันเลยว่า สิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเราทำมาแต่ละอย่างนั้นไม่ง่าย บางคนอาจจะคิดว่าเป็นพระมหากษัตริย์จะทำอะไรก็ง่าย ก็สะดวกสบาย แต่แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ครับ ถ้ามีประเด็นไหนที่ผมศึกษามาและพอจะอธิบายได้ก็ยินดีอธิบายครับ ป.ล. เรื่องล็อตตารี่ถ้าจำไม่ผิดในสัมยรัชกาลที่ ๕ ไม่ได้ออกเป็นประจำนี่ครับ แต่ออกเป็นบางโอกาสครับ และสมัยเมื่อราวๆ สามสิบปีมาแล้วมีความพยายามจะออกสลากเดือนละ ๔ ครั้งด้วย ผมว่ากาออกสลากในลักษณะมอมเมานั้นน่าจะเป็นยุคหลังๆ มากกว่านะครับ ใครมีข้อมูลมาช่วยๆ กันตอบก็ดีครับ จากคุณ : monkeygig เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 22:55:12

ความคิดเห็นที่ 34 ขอโทษครับ ข้อความเข้ามาซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 22:58:00 จากคุณ : monkeygig เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 22:56:48

ความคิดเห็นที่ 35 หลากหลาย ก็ดี ก็ว่ากันไป จากคุณ : seal เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 23:10:03

ความคิดเห็นที่ 36 เรากดปล่อยไฟแดงให้คุณคนเก่าจริง ไม่ใช่เพราะเราเห็นด้วยกับคุณนะคะ เพียงแต่เพื่อให้ข้อความได้แสดงตัวตนของคนโพสต์ และเพื่อให้ผู้มีความรู้มาชี้แจงให้ เผื่อจะกระจ่างใจได้ จากคุณ : Guga เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 23:36:02

ความคิดเห็นที่ 37 #28 การที่คนในปัจจุบันตัดสินวิธีแก้ปัญหาของคนในอดีต ว่ามีแต่ข้อเสียอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ราวกับรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง โดยไม่พิจารณาบริบทแวดล้อม ปัจจัย หรือข้อจำกัดต่างๆ ในเวลานั้นๆ ก็ถือว่าไม่เป็นธรรม"อย่างสิ้นเชิง"สำหรับคนในอดีต จากคุณ : vee vee' เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 00:26:10

ความคิดเห็นที่ 38 คนดูนอกสนาม เก่งกันนัก ติได้เป็นติ ว่าได้เป็นว่า ผมกดปล่อยไฟแดงสุดท้าย จะได้แสดงความคิดและตัวตนของบางคน ให้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 00:43:42 จากคุณ : น่ารักอย่างกะยักษ์วัดแจ้ง เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 00:36:09

ความคิดเห็นที่ 39 อ้าว..เรื่องพระราชหัตถเลขาในเรื่องบ่อนกาซิโน ที่คุณหนุ่มลงไว้หายไปไหนแล้ว ? แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 08:32:33 จากคุณ : sawa เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 08:32:12

ความคิดเห็นที่ 40 เข้ามาชมค่ะ คุณจขกท หาข้อมูลมาประกอบได้ดีมากค่ะ ตามมาอ่านเบื้องลึกที่ไม่เคยทราบมาก่อนเรื่องของเลิกทาส และเห็นด้วยกับ # 30 แจกกิฟท์จขกท และคห อื่นๆ เพลินไปเลย เป็น ไทย ทุกวันนี้ได้เพราะพระปรีชาสามารถของพระองค์ที่เห็นการณ์ไกล  ทำให้ไทยได้มีความเจริญทัดเทียมอารยะประเทศ แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 53 10:21:13 จากคุณ : แมวขาวในห้องมืด (แมวขาวในห้องมืด) เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 10:06:36

ความคิดเห็นที่ 41 กะจะแวะมาอ่าน ไม่กะเขียนคอมเมนท์ลง แต่อดไม่ได้จริงๆ ปล่อยผ่านดีแล้วค่ะ คนมาอ่านทีหลังอย่างเราจะได้เห็นความคิดของแต่ละท่านหมด จากคุณ : citrus_tree เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 10:09:25

ความคิดเห็นที่ 42 สวัสดีครับคุณหนุ่มฯ จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 13:42:10

ความคิดเห็นที่ 43 รัชกาลที่ 5 เลิกทาส ให้ตั้งแต่ท่านครองราชย์ แต่จนปัจจุบัน  คนไทยก็ยังยอมตกเป้นทาส กันเยอะ  .......ไม่เข้าใจ ทาสทางความคิด ทาสทางวัฒนธรรม ทาสทาง..... จากคุณ : chelsit เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 14:51:55

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาลงชื่อว่าตามอ่านอีกหนึ่งคนนะครับ ขอบคุณ จขกท ที่นำมาให้ชมนะครับ และผมขอสนับสนุนให้มีการอภิปรายในประเด็นต่างๆ ที่ใหนๆก็ตั้งกันขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าการอภิปรายนั้น อยากให้เป็นไปในเชิงเปิดโลกทัศน์ สร้างความรู้ เพิ่มมุมมอง มิใช่ใช้อารมย์หรือมายาคติ ครอบงำแนวคิดใดๆจนยึดติดจนเกินไปครับ ผมเห็นบางท่าน นำเสนอแนวคิดมุมมองที่อาจจะไม่ตรงใจท่านอื่นๆหลายท่าน ผมเห็นว่า เราก็ควรจะอภิปรายกันด้วยเหตุผล หลักฐาน ฯลฯ กันอย่างกว้างขวางจะดีกว่าใหมครับ ปล. ผมชอบห้องนี้ก็ตรงนี้แหละ  ถ้าเป็นที่อื่นป่านนี้เป็น มาม่า ไปแล้วหละครับ จากคุณ : Diwali เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 15:05:23

ความคิดเห็นที่ 45 จขกท. ความรู้แน่นมากเลยค่ะ ขอบคุณที่เอาความรู้ดีๆมาแบ่งปันกันนะค่ะ จากคุณ : ํYuMiTan (YuMiTan) เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 53 15:53:47

ความคิดเห็นที่ 46 ชอบห้องนี้ตรงที่ใช้เหตุผลนี่แหละ แล้วผู้ชมเอาข้อมูลไปพิจารณาเอง จากคุณ : yanori เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 14:39:44

ความคิดเห็นที่ 47 ท้ายเอกสารสัญญาใน คคห.5 และ คคห.6 นั้น ที่เห็นเป็นกากบาท เรียกว่า "แกงได" ใช้แทนการลงลายมือชื่อ โดยทำเครื่องหมายดุจกล่าวไว้ต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็เสมือนหนึ่งว่าลงลายมือชื่อครับ จากคุณ : น้ำค้างหยกเก้าบุปผา เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 23:30:27

ความคิดเห็นที่ 48 ผมรักและเทิดทูนพ่ออยู่หัว รัชกาลที่ ๕ อย่างสุดซึ้งครับ จากคุณ : To_harm_never (To_harm_never) เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 53 20:06:20

ความคิดเห็นที่ 49 กดเข้าคลังกระทู้เลยครับ ความรู้ จากคุณ : คนไม่พิเศษ "ซาคุ" เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 53 21:12:21