|  | 
เรื่องภาษี
 จริงๆแล้วคนเปิดโรงเรียนก็ต้องเสียภาษีกันอยู่แล้วทั้ง
 1.ภาษีป้ายหน้าร้าน
 2.ภาษีเงินได้
 
 .........................................................................
 เรื่องทำไมต้้องมีติวกัน
 
 1. คนเรียนเก่งระดับเทพจริงๆไม่ค่อยเรียนครูกันเพราะค่าตอบแทนครูประถมมัธยมมันน้อย ดังนั้นคนไม่เก่งมักจะแห่กันไปเรียนครูในมหาลัยที่ผลิตครูปีละมากมาย จนปัจจุบันพวกเขาเป็นใหญ่ในแวดวงการศึกษาก็เลยพยายามออกกฎหมายกีดกันไม่ให้คนเก่งๆใด้ใบอนุญาตครูไป
 
 2. คนเรียนจบมหาลัยหลายๆแห่งในเมืองไทย ความรู้แตกต่างกันราวกับฟ้ากับดิน โรงเรียนประถมมัธยมบางแห่งได้ครูที่เรียนจบครูมาและเก่งวิชาที่สอนมากๆระดับเทพ ที่ครูพวกนี้ไม่ไปทำงานอื่น ไม่ใช่เพราะเขาฟังเพลง วงจันทร์ ไพโรจน์ ที่ร้องว่า "แสงเรืองๆที่ส่องประเืทืองไปทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่..." จนซาบซึ้งใจยอมเสียสละ หากแต่เป็นเพราะคนพวกนี้มาจากตระกูลร่ำรวย พ่อแม่ซื้อบ้านซื้อรถให้ แล้วโปะเงินให้เพิ่มจากเงินเดือนเพราะอยากให้ลูกทำงานอันทรงเกียรติ...
 
 2.1 ยกตัวอย่างเพื่อนเราคนหนึ่งเรียนจบมหาลัยดีๆจากเมืองนอก แม่ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ให้เช่าย่านสีลมรวยเป็นมหาเศรษฐี ไม่อยากให้ลูกอยู่เฉยๆเพราะอับอายชาวบ้าน แม่ก็เลยจ้างให้เพื่อนเรา ไปทำงานอันทรงเกียรติรับเงินเดือนๆละแค่หมื่นกว่าบาทเอง แต่แม่ซื้อรถบีเอ็บรุ่นใหม่ให้ขับ แล้วแถมเงินให้อีกเดือนละ 3 หมื่นบาท และขึ้นเงินเดือนให้ลูกทุกๆปี ปีละหลายพันบาท เริ่มต้นเมื่อ 23 ปีที่แล้ว เอป่านนี้เพื่อนเรามันคงได้เงินเดือนจากแม่มันเดือนละแสนกว่าบาทแล้วดิ...555+++...เพื่อนๆรุ่นเดียวกับแฟนเราที่จบมหาลัยมา ไปเรียนต่อต่างประเทศจนจบปริญญาเอกมาตอนนี้สอนในมหาลัยปิดดังๆ พ่อแม่ก็ต้องการให้ลูกทำงานอันทรงเกียรติเลยพ่อแม่ให้เงินเพื่อนแฟนเราเพิ่มจากเงินเดือนมหาลัย เดือนละหลายหมื่นบาท...!!! ในขณะที่เพื่อนเราที่เรียนครูแล้วจบมาเก่งมากแต่ฐานะยากจนต้องไปประกอบอาชีพอื่นที่ได้เงินมากกว่านั้น
 
 2.2 คนจบมหาลัยที่ต่างมหาลัยกันในประเทศที่เจริญแล้วมากๆ ความเก่งมากเก่งน้อยมันไม่ต่างกันราวกับฟ้ากับดินเหมือนในประเทศไทย
 ..........................................................................
 
 เรามาดูเหตุผลกันว่าทำไมการติวจึงจำเป็น เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมามีนักศึกษาปี 4 เรียนครู (ที่มหาลัยซึ่งผลิตครูปีละมากๆ) เพื่อออกไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เธอมาแปะ essay เกือบๆ 2 หน้าใ้ห้คนแก้ใน pantip ปรากฎว่า แทบไม่มีประโยคไหนที่เธอเขียนถูก grammar เลย และอดีตแฟนเก่าเราคนหนึ่งก็เรียนจบเอกอังกฤษจากมหาลัยนี้ด้วยเช่นกัน จบมาทำงานเป็นไกด์เลย 10 ปีแล้ว พูดอังกฤษทุกวัน จนป่านนี้เธอก็ยังพูดผิดเพียบ เขียนผิดเพียบเลย ในขณะที่เพื่อนร่วมงานเก่าเราคนหนึ่งซึ่งจบครูเอกการสอนภาษาอังกฤษมาจากมหาลัยปิดที่เอ็นเข้ายากมากๆ เขากลายเป็นพูดอังกฤษสูสีกับคนจบเมืองนอกมา แถมเขียนอังกฤษเก่งกว่าคนจบเมืองนอกมา แต่เขามาจากครอบครัวที่ยากจน เขาเลยต้องไปหาอาชีพอื่นที่ได้เงินมากกว่าอาชีพครู (ตอนนี้ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ให้หนังสือพิมพ์ต่างประเทศ)
 
 คนที่จบปริญญาครูสอนภาษาอังกฤษแล้วไม่เก่งอังกฤษ (คนที่พูดถึง) นี่ตอนนี้แทนที่จะกลับไปเรียนภาษาอังกฤษระดับมัธยมต้นใหม่ ดันไปเรียนต่อปริญญาโทเพื่อขึ้นเงินเดือนตามระบบการศึกษาของไทย ถ้าเอาเธอมาสอนภาษาอ้ังกฤษเด็ก ม.5 กับ 6 เพื่อเตรียมสอบ entrance เราท้าพนันว่าาเธอไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้ถ้าเธอสอนเด็กรุ่นเดียวซ้ำๆกันไป 5 ปีการศึกษา (หมายถึงเด็กเอ็นไม่ได้ก็ให้มาเรียนก้ับเธอเรื่อยๆไปจนเสียเวลาไป 5 ปี) แต่เพื่อนเราคนที่เก่งภาษาอังกฤษที่ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์สามารถสอนให้เด็กบรรชลุเป้าหมายได้ภายในเวลา 1 ปีการศึกษาสบายๆ เพราะความรู้ครู 2 คนมันต่างกันลิบลับ
 ..........................................................................
 
 3. ด้วยเหตุผลดังกล่าว คนอย่าง อาจารย์สงวย วงสุชาติ ที่เรียนจบรัฐศาสตร์ ไม่ได้จบครูมา ที่เก่งมากๆ (เขาเก่งอังกฤษระดับเทพ) จึงไม่ไปเป็นครูสอนโรงเรียนประถมหรือมัธยม แต่กลายไปเปิดติวภาษาอังกฤษจนร่ำรวยมหาศาล แล้วครูสอนเคมีอะไรชื่อดังๆที่เด็กกล่าวขวัญถึงบ่อยๆน่ะ ก็ไม่ได้สอนโรงเรียนประถมม้ัธยม แต่เขาก็เปิดติวเคมีเหมือนกัน
 ........................................................................
 
 สรุป
 ตราบใดที่มหาลัยซึ่งผลิตครูปีละมากๆ ยังเป็นแหล่งรวบรวมคนไม่เก่ง และยังมีการกีดกันไม่ให้คนเก่งๆที่เรียนสาขาอื่นเข้ามาเป็นครู ตราบนั้น โรงเรียนกวดวิชาก็จะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ และมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนเก่งๆที่ต้องการเป็นครูแล้วรวยได้จะมาช่วยเด็กให้เ้อยู่ในสภาพซึ่งพร้อมที่จะแข่งขัน
 
 แต่ถ้าเด็นยึดครูที่สอนโรงเรียนเป็นที่พึ่งแต่อย่างเดียว
 
 มันก็เท่าก้ับ
 
 "ปิดประตูตีแมว ตายลูกเดียว"
 
 .................................
 ส่วนเรื่องแพงเป็นประเด็นสุดท้ายที่จะพูดถึง
 
 พูดลำบากแฮะ สภาพสังคมเท่าที่เป็นอยู่อะนะ คนรวยมันก็ได้เปรียบคนจน อยู่แล้วนั่นหละ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเราเล่น pantip แล้วเจอเซียนภาษาอังกฤษที่พ่อแม่รวยมากๆส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วเขาคุยข่มเรา เราก็เลยทดลองหาบทเรียนภาษาอังกฤษของฟรีตามเวปเพื่อเรียนรู้
 
 ของฟรีถูกกฎหมายน่ะมันมี แต่คุณรู้ไหมว่า
 
 ของฟรีผิดกฎหมายเช่น textbooks, video การสอน และสื่อต่างๆ รามทั้ง software ที่ช่วยเรียนรู้ และจัดสิ่งที่เรียนรู้เป็นหมวดหมู่ นั่นหนะ...ที่ผลิตในต่างแดน กลายเป็นของฟรีที่เป็นตัวช่วยให้คนจนแข่งขันกับคนรวยได้สบายๆ โดยถ้าเราเอาเคล็ดลับวิธีหาสื่อการเรียนการสอนฟรีทั้งแบบถูกและผิดกฎหมายให้เด็กยากจนเรียนเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยนะ แล้วโดยตั้งสมมุติฐานว่ืาเด็กยากจนพวกนั้นเข้าใจภาษาอังกฤษมากพอที่จะใช้สื่อการสอนเ็ป็นภาษาอังกฤษให้ (หรือไม่ก็หาคนใจบุญสอนให้)...แล้วสามารถเรียนรู้วิชาอะไรก็ได้ฟรี (มีหมดทุกวิชาเท่าที่สอนในโรงเรียนเมืองไทยเพื่อให้เด็กสอบ entrance เข้ามหาลัยไทยหรือเทศได้) คุณว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ...
 
 มันก็จะกลายเป็น drama ใหญ่เรื่องกฎหมาย จริยธรรม และศีลธรรม ซึ่งจะต้องถกเถึยงกันอย่างรุนแรง จากคนต่างขั้วกันเหมือนๆกระทู้กระทู้หนึ่งในห้อง teachexchange เรื่องการละเมิดลิขสิทธินั่นแหละ
 
 ซึ่งในขณะนี้ กลุ่มคนที่ละเมิดลิขสิทธิ์ กระทำไปโดยมีความเชื่ออย่างรุนแรงว่า ของเถื่อนที่ได้มาโดยผิดกฎหมายมันเป็นเครื่องมืออันมีประสิทธิภาพในการที่จะช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนได้
 
 ลองไปอ่านกระทู้ที่ว่านี้ดูได้ที่ห้อง teachexchange
 
 http://www.pantip.com/tech/software/topic/SA2973375/SA2973375.html
 แก้ไขเมื่อ 27 ธ.ค. 53 17:05:46
				 
				 
				
					| จากคุณ | : 
fortuneteller       |  
					| เขียนเมื่อ | : 
27 ธ.ค. 53 17:01:56 |  
					|  |  |  |  |