ความคิดเห็นที่ 1 น่าจะเริ่มเก็บภาษีเงินได้อยู่แล้ว (ยังจะร้องเอาเงินอุดหนุนเสียอีก) ยกเว้นตาม ปว มานานมากเป็นสิบๆ ปี ปัจจุบันประเทศไทยมีธุรกิจการศึกษา มากจนเกินเหตุ  นักลงทุนแห่เปิด รร กวดวิชา รร อินเตอร์ลงทุนเป็นร้อยๆ ล้านให้ "คนไทย"  ส่งลูกไปเรียน เอากระแส + แฟชั่น  จน "เด็กไทย" ประหลาดขึ้นทุกวัน   บางแห่งก็หลอกรัฐบาล เอาเงินอุดหนุนจากจำนวนนักเรียนเยอะๆ ไปวันๆ แบบนักศึกษาพยาบาลที่เรียนจบจากวิทยาลัยนครราชสีมา  แต่หลักสูตรไม่ผ่าน  จนปัจจุบันไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร  ไม่นับที่เรียกรับเงินใ้ต้โต๊ะจากผู้ปกครองตอนจะเข้าเรียน  โชคดีก็เข้าสถานศึกษาเอาไว้ใช้  โชคร้ายเ้ข้ากระเป๋าผู้บริหารสถานศึกษา กระทรวงศึกษา + สรรพากร เข้าไปสะสางหน่อยก็ดีแล้ว จากคุณ : birdeyeview เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 07:39:18

ความคิดเห็นที่ 2 ทำไมโรงเรียนกวดวิชาจึงจะเอาเงินอุดหนุนจากรัฐบาล  มันเป็นธุรกิจเอกชนใช่หรือไม่ หรือว่าโรงเรียนกวดวิชาอยู่ในข่ายของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (ฮา) จากคุณ : สัญญาณหางปลา เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 07:57:02

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องถามว่าเด็กกี่เปอร์เซ็นต์ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ดดยไม่ต้องกวดวิชาบ้างล่ะ แล้วถามต่อว่า โรงเรียนไหนบ้างที่สอนเด็กนักเรียนให้มีความรู้ไปใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัยจริงๆมีกี่โรงเรียน แล้วหากนักเรียนเหล่านั้นเรียนในโรงเรียนและกวดวิชาควบคู่กันไปด้วยแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ทั้งหลายน่ะคุณคิดว่าเค้าจบม.6จากที่ไหนแน่โรงเรียนหรือสถาบันกวดวิชา กระผมว่านะ เด็กไปกวดวิชามันก็ แบ่งเบาภาระของครูเยอะเลยคืออาจไม่ต้องสอนเท่าไหร่ เด็กมันรู้มาจากกวดวิขาครบแล้ว แต่ ไปเพิ่มภาระให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่มั่นใจในการเรียนการสอนของครู แถม2ปีที่ผ่านมาเปิดโครงการทีวีสอนพิเศษโปรโมทรมต.และสถาบันกวดวิชาซะทุกวันเสาร์ เออแล้วที่ดูในจอมันทำให้เด็กอิ่มความรู้มากเลยหรือ จากคุณ : gsdza เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 12:25:59

ความคิดเห็นที่ 4 เริ่มเก็บเถอะคับภาษีโรงเรียนกวดวิชามันเห็นรายได้ชัดเจนคับ มันคือธุรกิจทางความรู้ ถ้าขาดทุนธุรกิจไม่ดำเนินมานานนับสิบปีหรอกคับ เมื่อเกิดรายได้ก็ต้องจ่ายภาษีให้รัฐ มากน้อยตามกำลังคน อย่างที่เขาบอกจากโรงเรียนกวดวิชา สอนขับรถ สอนแล้วเก็บเงินก็ช่วยจ่ายภาษีให้หมด ว่าไปแล้วตอนที่ผมไปนั่งเรียนวีดีโอจ่ายเงินคอร์สหนึ่ง 4500 ยังต้องตั้งใจออมเงินไปเรียนเลย ไม่คิดจะบ่นยังงัยก็เพื่ออนาคตเรา ผมเก็บเงินไม่ครบก็คงไม่ลงเรียนกวดวิชา มันก็มีความต่างกับการอ่านเองอยู่เหมือนกัน คิดไม่ถึงเพียงภาษีเข้ารัฐมาอุดหนุนทุกคนในชาติถึงกับโวยวายลั่นทุ่ง ถึงเวลาเก็บภาษีสักทีเถอะคับ ไอ้ที่เรื่องโรงเรียนกวดวิชาแบ่งเบาภาระครูในโรงเรียน ขอบอกคนละเรื่องกันเลย โรงเรียนก็สอนครบครับ เพียงผมไปติดเขี้ยวเล็บ เอาไว้ข่วนตัวเอง จากคุณ : bower33 เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 13:06:32

ความคิดเห็นที่ 5 เลิกทำกระมิดกระเมี้ยนได้ก็ดี    ว่ากวดวิชาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาไทยที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนกลายๆจากระบบการศึกษาปัจจุบันอยู่แล้ว... พ่อแม่เด็กกี่ล้านคนแต่ละปี ที่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้ติวเตอร์เหล่านี้... สอนสด คอร์สละ 2000 บาท ต่อเดือน ต่อคน  100 คน รายได้  200,000 บาทต่อเดือน   2,400,000 บาท ต่อปี   ไม่รวมฟังเทป.....     รวมเบ็ดเสร็จค่าการศึกษานอกระบบ หมุนเวียนอยู่โดยที่ไม่มีใครแตะต้อง มาปีละกี่ร้อยล้านพันล้าน     จ่ายภาษีให้ประเทศชาติบ้างเถิดค่ะ ติวเตอร์ทุกๆคน จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 13:43:53

ความคิดเห็นที่ 6 จริงๆ แล้ว ถ้าเด็กสนใจเรียนในห้องเรียนเท่าที่ไปเรียนตามกวดวิชา ก็คงจะดีไม่น้อย แล้วจะรู้ว่า ไม่จำเป็นต้องไปเรียนกวดวิชาที่ไหนให้เสียเงิน เพราะคนที่ไม่เคยเรียนกวดวิชาเลย สอบติดคณะแพทย์ก็ยังมี มันเป็นเพียงค่านิยม ใช่ว่าครูที่สอนในโรงเรียนไม่มีคุณภาพ เพราะโดยมากแล้ว ครูที่สอนกวดวิชา ก็ข้าราชการครูที่สอนในโรงเรียน นี่แหละ เยอะมากมายกว่าคนที่สอนแต่กวดวิชาซะอีก จะว่าคนที่มาสอนกวดวิชาเก่งกว่าครูอีกหลายๆ คน ก็ไม่น่าจะใช่ 100% คนที่เก่งจริงก็มี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังเชื่อว่าคนที่สอนเก่ง ที่เป็นครู มีมากกว่าคนที่เป็นติวเตอร์แน่นอน อีกอย่างนะคะ ภาระหน้าที่ งานพิเศษต่างๆ ของข้าราชการครู มันเยอะมาก แม้กระทั่งเวลาที่จะเตรียมการสอนยังแทบไม่ค่อยมี เพราะต้องเอาเวลาไป ทำงานพิเศษ เช่น งานทะเบียน งานธุรการ งานที่อยู่ในฝ่ายบริหารต่างๆ ก็ต้องเข้าใจว่า ระบบบริหารในโรงเรียนปัจจุบัน "ครูไม่ได้มีหน้าที่สอนเพียงอย่างเดียว" บอกตรงๆ ว่าไม่ค่อยชอบเท่าไร ที่ว่าเด็กที่เก่งๆ นั้นมาจากการเรียนพิเศษ แล้วการเรียนในระบบนั้นสู้เทียบชั้นกวดวิชาไม่ได้ ก็เรียนในโรงเรียนมันเรียนฟรี ไม่ต้องเสียเงิน จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ ไปสนใจที่เรียนพิเศษดีกว่า แล้วค่อยเอามาสอบกัน เวลาเรียนไปก็ไม่สนใจ ไม่ตั้งใจ อันนี้ไปเรียนพิเศษมาแล้ว เรียนแล้ว เข้าใจแล้ว... มันก็กลายเป็นความผิดครูกันไปว่าสอนเด็กโง่ลงๆ   อันนี้พูดถึงเด็กในเมือง ที่พอมีทุนทรัพย์มากพอที่จะเรียนพิเศษ ส่วนเด็กส่วนใหญ่ ที่อยู่ตามชนบท ที่ทำให้ผลสอบระดับชาติตกต่ำ เป็นเด็กที่ไม่มีทุนที่ไปเรียนติวเตอร์แน่นอนอยุ่แล้ว จะเอามาเทียบชั้น กับเด็กในเมืองที่มีพร้อมทุกอย่างมันก็ไม่ถูก เพราะโอกาสทางการศึกษา มันต่างกันที่ต้นทุนชีวิตที่ต่างกัน ใช่เด็กที่ไม่เรียนพิเศษเลย คงมีอัตราส่วนสอบเข้ามหาลัยได้น้อยกว่า คนที่ไปเรียน แต่ก็ใช่ว่าคนที่ไม่เรียนเลยจะไม่สามารถสอบได้ คนที่ไปเรียน เก่งกว่าเพราะได้ฝึกฝน และหมั่นหาความรู้ได้มากกว่า ใส่ใจที่จะเรียนรู้มากกว่า จากที่คนปกติ เรียนแค่ 6 ชั่วโมง แต่เด็กเรียนพิเศษ ต้องเรียนวันนึง รวมเรียนพิเศษด้วย 8 ชั่วโมง มองแคบจริงๆ ครูที่สอนในระบบผิดอีกแล้ว จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 14:32:42

ความคิดเห็นที่ 7 สมัยก่อนเขาไม่เก็บภาษีก็เพราะส่งเสริมให้ติวเตอร์ที่ยากจนแต่เก่งมากๆลืมตาอ้าปากได้ แต่เดี๋ยวนี้บ้านเมืองมันไม่งั้นแล้ว บริบทสังคมมันเปลี่ยนไปซะแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ติวเตอร์ที่ยากจนแต่เก่งจนสร้างตัวได้ร่ำรวยเหมือนสมัยก่อนไม่ค่อยมี มีแต่คนรวยลงทุนเป็นตั้งหลายล้่านเปิดโรงเรียนกวดวิชาย่านหรูๆ (แล้วจ้างคนเก่งๆเป็น(...โดนกรองคำ สะกดเอาก็แล้วกัน เป็น "ขอ สระอี ไม้โท ขอ สระอา ไม้โท") หาเงินให้) จนกลายเป็นค่านิยมในหมู่วัยรุ่นว่าจะกวดวิชาต้องไปแถวๆสยามหรือ The Mall งามวงศ์วาน ธุรกิจกวดวิชากลายเป็นอยู่ในมือนายทุนที่ได้เปรียบคนอื่นเรื่องทุนทรัพย์ ดังนั้น เก็บภาษีหนักๆเข้าไปนั่นหละดีแล้ว ควรเก็บแบบภาษีก้าวหน้า คือรายได้น้อยก็เก็บน้อย รายได้เยอะก็เก็บเยอะตามตัว  พอเจอภาษีหนักๆเข้ัานั่นหละดี จะได้พิสูจน์กันได้ว่า ใครเก่งจริงหรือไม่เก่งจริง...ถ้าเก่งจริง ก็ลดต้นทุน (ค่าเช่าที่) โดยการไปเปิดติวแถวๆย่านชานเมือง กทม หรือในต่างจังหวัดในที่กันดารดูบ้างดิ...ว่าจะใช้ความเก่งกาจหานักเรียนได้ ให้อยู่รอดได้หรือเปล่า... จะได้พิสูจน์ได้ว่า "เก่งจริง ไม่ใช่ประสบความสำเร็จโดยการโฆษณาชวนเชื่อทำนองว่าเรียนแพล็บเดียวเก่งเป็นเทวดา" จริงๆแล้วควรมีกฎหมายควบคุมการตั้งชื่อโรงเรียนเหมือนๆกฎหมายควบคุมการตั้งชื่อยาด้วย เช่น ยา "ทันใจ" ตั้งชื่อแบบนี้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น "ทัมใจ" อะไรทำนองนี้...พวกติวเตอร์ระดับนายทุนจะได้เลิกใช้ advertising gimmicks กับการศึกษา ซะที... แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 54 15:36:34 แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 54 14:59:09 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 14:54:25

ความคิดเห็นที่ 8 ตามหลักการ... การทำธุรกิจต้องเสียภาษี...ชัดเจนมั๊ยครับ และน่าจะต้องเป็นภาษีสรรพสามิตรด้วยหรือเปล่า เพราะมันแสดงว่าเด็กๆเข้าโรงเรียนเพียงเพื่อเอาวุฒิ ไม่ยอมตั้งใจเรียน ส่วนความรู้ไปหาเอากับโรงเรียนกวดวิชา ..มันถูกแล้วหรือ แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 54 15:14:57 จากคุณ : ^MoOn_Man^ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 15:12:57

ความคิดเห็นที่ 9 กล้าพูดว่ะ เจ๊อุ๊ รวยจากภาษีต่ำแล้วสอนเทป เสียสละเพื่อประเทศชาติที่คุณอยู่คงไม่เสียหาย จากคุณ : still solo one เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 16:29:52

ความคิดเห็นที่ 10 โหยครูอุ๊เนี่ยแพงโคดดดดด สอนไม่ดีด้วย เรามาคิดๆดูนะ ความรู้จากโรงเรียนกวดวิชาที่มีเป็นสาขานี่เราไม่ได้อะไรเลยแฮะ เรียนพิเศษกะอาจารย์ดีกว่าอีก จากคุณ : Metaphysics เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 19:13:33

ความคิดเห็นที่ 11 คห.1 พูดในฐานะเด็ก จริงอยู่ว่าการเรียนตามกระแสมันเยอะ แต่เด็กที่จะเอาความรู้จริงๆมันก็มีครับ ถ้าคุณอยู่พวกโรงเรียนพวกสวน บดิน สส เตรียม มหิดล คงไม่ต้องเรียนก็ได้จริงไหม เพราะส่วนใหญ่ครูมีคุณภาพอยู่แล้ว แต่พวกโรงเรียนไก่กาทั้งหลายนี่เค้าจะทำกันยังไง เพราะติวเตอร์ก็มีคุณภาพมากกว่าครูที่โรงเรียนหลายเท่า รร.ตอนม.ต้นก่อนมาเรียนที่ตอ. นักเรียนบางคนเก่งกว่าครูในเนื้อหานั้นๆอีก เพราะประเทศไทยคนเก่งๆมีซักกี่คนที่จะไปเป็นครู ? ส่วนเรื่องภาษีผมว่าเก็บอ่ะถูกแล้ว เพราะมันก็คือธุรกิจอย่างหนึ่ง แต่ถ้าพูดถึงรายได้เอาราคาคอร์สมาหารชั่วโมงแล้ว มันก็เท่าๆกับที่เรียนพิเศษต่างจังหวัดอ่ะแหล่ะ ที่ครูตามรร.สอนๆกัน อ.อุ๊นี่ถูกด้วยซ้ำ แพงตรงไหน ?(ที่จังหวัดผมสอนกัน 1.5 ชั่วโมง 200 อ.อุ๊ชั่วโมงนึงแค่ประมาณ 50 บาท มีแอร์มีหนังสือให้อีกต่างหาก -*-) เรื่องเทปบางคนอาจคิดอย่างงู้นอย่างงี้ แต่อยากบอกว่ามันไม่ได้แตกต่างจากการสอนสดเลย ไปถามนร.คนไหนก็ได้ ทุกคนจะตอบเหมือนกันว่าไม่ได้แตกต่าง แสดงความคิดเห็นได้ แต่อย่าใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือด่าครูของพวกเราเลยครับ ครูใครๆก็รักนะ ถ้าคุณย้อนเวลามาได้คุณก็จะเข้าใจในบางส่วน ผมไม่รู้ว่าการศึกษาสมัยคุณมันเป็นอย่างไร แต่ในสมัยนี้โรงเรียนตามต่างจังหวัด ครูเก่งจริงๆมีเพียง 1-2 คนต่อโรงเรียนเ่ท่านั้น พูดในฐานะเด็กที่เคยเรียน รร.ธรรมดาๆมาก่อน เรปล่าง เทอมนึงให้แค่ 210 บาทคิดว่ามันฟรีมั๊ยครับ -*- สีกล่องนึงก็หมดแล้ว ค่าเทอมโรงเรียนก็เก็บตามปกติ เปิดเทอมหนังสือก็ส่งช้า ไปถามครูจุฬาซักคนสิว่าพอใจรัฐบาลไหม จุฬาไม่ได้งบประมาณเต็มเม็ดเต็มหน่วยมานานแล้ว เพราะรัฐเค้าถือว่าเก็บค่าเช่าที่ได้เยอะ แต่ก็เบิกมาในเงินจำนวนเต็ม ที่เหลืออยู่ไหนละ น่าจะรู้กัน หึหึ จนรองอธิการบดีสวนหน้าคว่ำไปแล้ว เด็กไทยเก่งๆระดับโลกมีหลายคนครับ แต่ถามว่าซักคนไหมที่จะกลับมาอยู่ไทย เพราะไทยเส้นทางสายนักวิจัยลำบากเต็มที เขาคงต้องการลืมตาอ้าปากมากกว่า ไม่ได้สนใจเรื่องทิ้งแผ่นดินเกิด เพราะคุณภาพชีวิตตนเองต้องมาก่อน ที่พูดมาไม่เกี่ยวกับการเมือง พูดตามผลงานด้านการศึกษาที่ทำๆกันอยู่ แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 54 23:28:07 จากคุณ : THANODOM (THANODOM) เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 22:41:39

ความคิดเห็นที่ 12 ถึงแม้ว่า ผมจะเห็นด้วยกับการเรียกเก็บภาษีจากโรงเรียนกวดวิชา แต่อีกด้านหนึ่ง ผมอยากจะเชิญชวนให้ทุกท่านลองหันกลับมาทบทวนประสิทธิภาพและศักยภาพของรัฐในการบริหารงบประมาณโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการปฏิรูปการศึกษา จนถึงปัจจุบัน ประเทศเราผ่านวาระของการปฏิรูปการศึกษามากี่ปีแล้ว จำกันได้ไหมครับ แล้วผลของการปฏิรูปที่ว่านั่น มาจนถึงขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรมมีอะไรบ้าง นอกไปจากระดับคุณภาพการศึกษาที่ตกต่ำลงเรื่อยๆเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ไม่อยากจะพูดถึงระดับเชาว์ปัญญาให้กลายเป็นประเด็นล่อเป้า ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดี๋ยวนี้เป็นยังไง ผ้าปูโต๊ะมาจากไหน? แม้แต่มหาวิทยาลัยของรัฐเอง ก็กำลังผันตัวเองเข้าสู่รูปแบบทางธุรกิจอย่างเต็มที่(มิต้องไปพูดถึงอุดมการณ์ทางวิชาการ) แต่เห็นป้ายขอบคุณรัฐบาลที่ได้เรียนฟรี (ซึ่งจัดทำโดยรัฐบาลเอง) แล้วก็สะท้อนใจ (แล้วตกลงมันฟรีจริงรึเปล่า?) ผมคิดว่า ปัญหาการศึกษาบ้านเรามันไม่ได้อยู่ที่จะเก็บหรือไม่เก็บภาษีหรอกครับ จากคุณ : Wiz เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 54 22:58:49

ความคิดเห็นที่ 13 อย่าลืมเก็บภาษีรายได้จากการเล่นหุ้นด้วยนะ นั่นน่ะ เป็นรายได้เห็นๆ โปรดอย่าแกล้งทำเป็นไม่เห็น จากคุณ : ต้นจั่น เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 54 00:27:50

ความคิดเห็นที่ 14 ความเห็นที่ 6 คุณ ][NuUnAn-- คะ อย่าน้อยใจไปเลยค่ะ เราเชื่อว่ามีครูเก่งๆหลายคนอยู่ในระบบค่ะ แต่เด็กจำนวนมากต้องเรียนพิเศษเสริม ไม่ใช่เพราะผู้สอนในโรงเรียนขาดศักยภาพในการสอน ในความเห็นเรา เราคิดว่ามันเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับอาจารย์ หรือครูผู้สอนมากกว่า ยากที่จะเข้าถึงหรือทำให้เด็กทุกคนใน class เข้าใจกระจ่างในเนื้อหาที่สอนได้ทั้งหมด จำนวนเด็กต่อครูคนหนึ่งมันสูงไป เด็กครึ่งร้อยต่อครูหนึ่งคน/class ยังมี class อื่นที่ต้องเร่ไปสอนในวิชาที่รับผิดชอบอีก เปรียบไปก็เหมือนการหว่านข้าวในแปลงนา ข้าวหนึ่งกระบุงที่หว่านในนานั้น จะให้งอกงามทุกเมล็ดย่อมเป็นไปไม่ได้ บางเม็ดก็ฝ่อก่อนที่จะมาอยู่ในมือคนที่หว่านแล้ว ไหนจะตรวจการบ้าน งานวิชาการ และภาระด้านอื่นในหน้าที่ครู ยังเป็นตัวถ่วงให้ครูไม่มีเวลาพัฒนาศักยภาพตัวเองอีก ส่วนตัว เราเข้าใจครู อาจารย์ในระบบดีค่ะ เราเคยผ่านงานด้านนี้มาบ้างก่อนจะมาเป็นติวเตอร์ ***************************************************** กลับมาที่ว่าควรเก็บภาษีหรือเปล่า เราว่าควรเก็บอย่างมาก หลายๆที่กำหนดค่าสอนเอาเองตามใจชอบ แพงหูฉี่ ทั้งที่ต้นทุนการสอนต่ำมาก เทียบต่อหัวแล้ว กำไรจากการสอนมหาศาล จริงๆแล้วต้นทุนของการจ้างบุคลากรมาสอนในสถาบันติว อัตราค่าจ้างสอนต่อชั่วโมงนั้นไม่แพงเลย   เทียบรายได้ต่อหัวที่ทางโรงเรียนติวได้ ที่หักค่าน้ำไฟ ค่าทำบัญชีในการบริหารที่นั้นๆก็จะยังเหลือมากมาย เพราะฉะนั้น เราคิดว่าทางโรงเรียนติวน่าจะคืนอะไรให้แก่สังคมบ้าง หรือตั้ง "ราคา" ให้มันสมเหตุสมผล ไม่ใช่คิดแต่จะตักตวง รีดไถ *********************************** มีผู้ปกครองเด็กคนนึง มาหาเราแล้วให้ค่าเรียนของหลานมาเป็นแบงค์ 20 มาหลายร้อย เห็นถึงการอุตสาหะ เก็บออมเพื่อให้เด็กในความดูแลได้ดี เราได้คิดจากตรงนี้ค่ะว่า ถึงเวลาหรือยังที่ผู้สอนควร "จ่ายคืน" หรือ "ให้กลับ" อย่างคุ้มค่าจำนวนเงินที่เค้าหามาได้อย่างยากลำบากนั้น แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 54 10:16:53 จากคุณ : Lovely Creature เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 54 10:14:54

ความคิดเห็นที่ 15 ทำไมไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุละ ก็อาจารย์ที่สอนในโรงเรียนมันห่วยไง  สอนมาก็ไม่ตรงกับเนื้อหาที่จะเอาไปสอบเข้ามหาลัย ขนาดผมเรียนโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพห้องต้นๆของสายวิทย์เนี่ย อย่างวิชาภาษาไทยนี้สมัยผมเรียนอาจารย์เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง เข้ามาก็เช็คชื่อหมดเวลาไป 10 นาทีละแล้วสอนแบบลวกๆ แจกชีทบ้างคนก็ได้ไม่ได้คนที่ไม่ได้ให้ลอกลงสมุด(ทำไมอาจารย์ไม่เตรียมการสอนให้ดีกว่านี้?) แล้วอาจารย์เฉลยแม้งเฉลยดีๆก็ไม่ได้ พูดเร็วมากนักเรียนเขียนข้อแรกยังไม่เสร็จอาจารย์พูดไปข้อ 3 แล้วจนนักเรียนทุกคนบอกว่าอาจารย์ไม่ต้องเฉลยหรอกพวกผมหาคำตอบเองดีกว่า แล้วกวนตีนที่สุดคือให้ส่งภายในคาบใครไม่ส่งอดคะแนน แล้ววันนั้นไม่มีใครได้คะแนนเลยทุกวันนี้ผมยังจำเหตุการณ์นั้นได้ วิชาเคมี อาจารย์ไม่เข้าสอน แกล้งเขียนไม่รู้เรื่อง พอเด็กถามก็บอกว่าให้คิดเองอาจารย์สอนแบบฝรั่ง คือไม่สอนอะไรให้เลย แนวคิดก็ไม่มี ตอนผมไปสอบแข่งเอารางวัลระดับประเทศ ผมต้องนั้งรถเมย์ไปกับเพื่อน 2คน โรงเรียนอื่นมีรถตู้ไปส่งกันหมด(ที่โรงเรียนมีรถตู้ 3 คันซื้อ Vito มาด้วยคันนึง) พอผลสอบออกมาผมกับเพื่อนได้รางวัลชมเชยจากเด็ก 650คนทั่วประเทศ เท่านั้นแหละอาจารย์หมวดนั้นๆ ออกมาเอาหน้ากันใหญ่ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้เอามาเล่า ข้อดีก็มีแต่ข้อเสียเยอะกว่า(มาก) ทุกวันนี้ถ้ามีลูกก็คงส่งไปเรียนนานาชาติหรือไม่ก็พวกสาธิต เข็ดกับโรงเรียนแบบนั้นสุดจะทน ไม่เอาแล้วเข็ดจนวันตาย ถ้าอยากให้คนเรียนพิเศษน้อยลงทำไมไม่ทำอาจารย์ดีๆขึ้นมาสอนละ ทุกวันนี้เห็นวันๆไม่ทำอะไรเหมือนให้ผ่านไปวันๆ กินเงินภาษีเล่นๆ รอวันเกษียณกันหมดแล้ว ไม่คิดหรอถ้าอาจารย์ที่โรงเรียนดีเด็กมันจะไปเรียนพิเศษกันทำไม จากคุณ : Ploeauer เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 54 11:12:22

ความคิดเห็นที่ 16 เราเคยลองใช้ video clips เรียนวิชาที่เราเคยเรียนแล้วไม่เอาไหนตอนเด็กๆดูอย่างเช่นภาษาจีนหรือ physics รู้สึก digital media ที่ใช้สอนแบบนี้ เขาทำได้เก่งมากๆ มันทำให้เรียนรู้ด้วยตัวเองง่ายกว่าเดิมที่เคยไปนั่งเรียนในห้องเรียนตั้งหลายเท่า  แต่น่าเสียดายที่มีของดีๆแต่ภาษาอังกฤษยังไม่มีภาษาไทยแพร่หลายมากนัก ในอนาคตข้างหน้าถ้ามีการผลิต video clips พวกนี้เยอะเด็กไทยก็จะหมดความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปนั่งเรียนในโรงเรียนอีกต่อไป และปัญหาเรื่องการศึกษาไทยก็จะหมดไป เนื่องจากมีการแข่งขันกันได้โดยเสรีโดยการทำ video clips เพื่อการศึกษาขายกันเป็น DVD หรือทำแบบ online โดยผู้ผลิตได้รับค่าตอบแทนด้วยวิธีการอย่างอื่น ปัญหาเรื่องพวกนี้จะหมดไป 1 คนไม่เก่งสอบเข้าสาขาอื่นไม่ได้ยอมเลือกเรียนครูและยอมรับเงินเดือนครูต่ำๆ 2 คนเรียนเก่งเลือกเรียนครูยอมรับเงินเดือนต่ำๆ เพราะพ่อแม่รวย พ่อแม่ซื้อบ้านซื้อรถให้และเพิ่มเงินให้บวกกับเงินเดือนครูแล้วกลายเป็นรวย 3 คนเก่งๆที่เรียนสาขาอื่นจะยอมรับเงินเดือนครูต่ำๆเพราะใจรักการสอน แต่กลายเป็นถูกกีดกันไม่ให้ได้รับใบอนุญาตครู เพราะคนเรียนครูแล้วไม่เก่งกลายเป็นใหญ่ในแวดวงการศึกษา ก็เลยออกกฎระเบียบให้คนเรียนสาขาอื่นเก่งๆไม่ได้ใบอนุญาตครู อย่างเช่นโครงการครูสายพันธ์ใหม่ปริญญาตรีโทควบกัน 5-6 ปีที่กำลังจะผลิตออกมาทำลายประเทศชาติ อะไรนี่หละ จริงๆแล้วในเมื่อการศึกษาไทยมันย่ำแย่แบบนี้ ก็ควรเปิดการแข่งขันกันอย่างเสรีโดยไม่จำกัดวุฒิหรือสาขาที่เรียนมา นั่นก็คือเปิดให้มีการแข่งขันกันวางแผนการสอน สร้างสื่อการสอน และลงมือสอน ประกวดกัน ใครสอนวิชาไหนเก่งที่สุด (ถึงแม้ว่าจะไม่จบปริญญามาเลยสักใบ) ก็ให้ได้ใบอนุญาตครูไป และได้เงินเดือนสูงต่ำตามคะแนนที่ได้ชนะการประกวด หากมีการแข่งขันกันโดยเสรีเช่นนี้ คนอย่าง Thomas Edison ที่ไม่เรียนหนังสือที่โรงเรียน และไม่เรียนหนังสือที่มหาลัย แต่เรียนด้วยตัวเอง (home schooling) จนเป็นอัฉริยะ ก็จะได้เข้าร่วมแข่งขันด้วยได้ และกลายเป็นครูที่ "คิดเองเป็น" เราไม่เคยเรียนครูมา แต่ทุกวันนี้เราก็เป็นครูที่ดีได้ ทุกวันในชีวิตเราเรียนครูสะสมกันเรื่อยๆเพราะมันจำเป็นในชีวิต เรียนไปสอนใคร? สอนตัวเองยังไงล่ะ เราอาศึัยความรู้ภาษาอังกฤษกับ ICT ตะลุยหาบทเรียนศาสตร์ต่างๆจากต่างประเทศ เมื่อหามาได้เป็นจำนวนมาก เราเอามันมาสร้างเป็น digital media เพื่อสอนตัวเอง...ได้อย่างมีประสิทธิภาพ...!!!!! สื่อการสอนดีๆในรูปแบบของ digital media สำหรับวิชาต่างๆทั้งแบบ DVD และ online ตอนนี้มันมีครบอยู่แล้ว หากแต่ว่ามันเป็นภาษาอังกฤษ ตอนนี้พ่อแม่ที่พูดอังกฤษได้คล่องจะไม่ต้องเผชิญปัญหาเรื่องการศึกษาไทยไร้คุณภาพเลย เพราะแค่พูดภาษาอังกฤษกับลูกตั้งแต่วันที่ลูกแรกเกิด ยกตัวอย่างเช่นพ่อพูดอังกฤษแม่พูดไทยหรือแม่พูดอังกฤษพ่อพูดไทย พอเด็กโตขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็สอน ICT ให้เด็ก หา video clips ให้เด็กเรียน ถ้าสอน logic กับ creative imaginations ให้เด็ก เด็กจะใช้ computer กับ Internet หาบทเรียนภาษาอังกฤษจากต่างแดนมาเรียนได้เอง  พอเรียนครบแค่ 5 วิชาอะไรก็ได้ แล้วก็ไปสมัครสอบ gcse (ถ้าเด็กฝึักพูดอังกฤษตั้งแต่เด็กๆจะสอบผ่านได้ง่ายขึ้น) สอบได้แค่ 5 วิชา ก็เอาไปเทียบวุฒิ ม.6 ได้แล้ว วิชาที่สอบจะเลือกสอบอะไรผสมกันก็ได้ ยืดหยุ่นมากๆ ลองไปดูรายวิชาได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/General_Certificate_of_Secondary_Education home schooling แบบที่เราคิด มันจะดีตรงที่ 1. เด็กไม่ต้องแบกหนังสือไปเรียนจนหลังโก่ง (บางคนแบกจนกระดูกสันหลังเบี้ยวไปก็มี)เหตุผลก็เพราะคนเป็นใหญ่ในด้านการศึกษาอนุมัติหนังสือเรียนออกมาใช้ัตั้งมากมายเพื่อรับเงินใต้โต๊ะจากผู้ผลิตหนังสือเรียนที่เฮงซวย 2. ไม่สิ้นเปลืองค่าโรงเรียนค่าติวเตอร์ 3. บทเรียนเป็นภาษาอังกฤษจากต่างประเทศพวกนี้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าบทเรียนในเมืองไทย (ซึ่งผลิตโดยคนที่เรียนไม่เก่งจึงเลือกเรียนครู) ตั้งหลายเท่า...!!! สรุปแล้วถ้ามีการเร่งผลิต digital media เพื่อการเีรียนการสอนทั้งในรูปแบบ DVD และ online เป็นภาษาไทย พวกเราจะหลุดพ้นจากการศึกษาไทยที่ไร้ประสิทธิภาพเนื่องจากคนเรียนไม่เก่งกลายเป็นผู้บริหารการศึกษาตั้งมากมาย (คนพวกนี้ส่วนใหญ่เรียนมหาลัยแบบเรียนไงก็จบจนถึงปริญญาเอก เรารู้ด้วยว่าพวกเขาเรียนมหาลัยไหนกัน แม้กระทั่ง research papers ที่เอาไปตีพิมพ์วารสารต่างแดนเพื่อรับปริญญาเอก พวกเขาก็ไม่ได้เขียนเอง แต่ทางมหาลัยจัดการเรื่องพวกนี้ให้หมด แค่นักศึกษาจ่ายเงินเท่านั้นเอง คนพวกนี้มักจะเป็นข้าราชการที่อยู่ในแวดวงการศึกษา เีัีรีัยนเอาวุฒิเพื่อไปขึ้นเงินเดือน) จนพวกเขาออกมาเป็นใหญ่ในแวดวงการศึกษาแล้วก็เลยกีดกันไม่ให้คนเก่งๆเ้ข้าไปเป็นครู ดังนั้น การสร้าง digital media เพื่อการเรียนการสอนแข่งขันกันโดยเสรี "มันเป็นการเปิดประลองวิชากันโดยเสรี มันทำให้คนไม่เรียนในโรงเรียนไม่เรียนในมหาลัย แต่เรียนด้วยตัวเองจนเก่งระดับอัฉริยะแบบ Thomas Edison แจ้งเกิดได้ในเมืองไทย (แทนที่จะบินออกนอกประเทศเพื่อไปหาความเจริญก้าวหน้าที่อื่น) และมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศชาติ แทนที่จะถูกกีดกัน" ลองไปอ่านเรื่องมิติใหม่ในการอ่าน (จริงๆแล้วต้องเป็นมิติใหม่ในการรับรู้ข้อมูล (เพื่อการเรียนรู้และความบันเทิง)) ได้ที่กระทู้นี้ ซึ่งเราไปปั่นเอาไว้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10114470/K10114470.html แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 54 13:42:03 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 54 11:48:26

ความคิดเห็นที่ 17 เพิ่งรู้ว่าไม่เก็บภาษีนะเนี่ย เก็บๆไปเหอะ เยอะๆก็ได้ ขึ้นราคาก็ขึ้นไปดิ แพงแล้วไง มันไม่ใช่อะไรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต จนต้องจำกัดราคาเหมือนข้าวสาร ไข่ไก่ ซักหน่อย จากคุณ : ลิงลี่ เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 54 13:04:38

ความคิดเห็นที่ 18 อยากเจอนักเรียนที่ตั้งใจเรียน อยากได้ความรู้ แบบความคิดเห็นที่ 15 คุณPloeauer จังเลย ทำไมที่สอนๆอยู่ทุกวันนี้ มีแต่ผู้เรียนไม่พอใจ เพราะสอนไม่ตลก (เน้นเนื ้อหามากไป) สอนเข้มข้นเต็มเวลาเกินไป ให้การบ้านมากเกินไป(แค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้นเอง) จากคุณ : จิน ณ จันทร์ เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 54 21:40:21

ความคิดเห็นที่ 19 เดี๋ยวนี้ยังค่าเล่าเรียนคอร์สEnt 4500 ไหมคะ เราว่าแพงมากนะ เมื่อก่อนเราก็เรียน ถามว่าได้อะไรไหม ก็ได้ แต่คิดว่า ถ้าย้อนกลับไป คงคิดว่าไม่เรียนค่ะ เรียนเอง อ่านเอง โดยเฉพาะพวกเลข ชีว พวกนี้อ่านเอง ทำโจทย์เองดีกว่าค่ะ  แล้วไหนเจะต้องเห็นพ่อแม่ รีบมาหน้าเคาเตอร์เพื่อจ่ายเงิน ให้ลูกแต่เช้า สงสารมากเลยค่ะ จากคุณ : prettypsyche เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 54 08:01:40

ความคิดเห็นที่ 20 พอเห็นข่าวที่ว่าโรงเรียนกวดวิชาไม่เคยเสียภาษีเนี่ย อึ้งเลย รักครูอุ๊นะ เคยเรียนด้วย (ถึงแม้ว่าโดดบ่อยๆอิอิ) แต่ไม่เสียภาษีเลยเนี่ย มันก็เกินไปนะครับ อย่าบอกว่าทำเพื่อเด็กเลย รายได้แต่ละปีเป็นร้อยๆล้านเนี่ย ทำเพื่อเด็ก แล้วทำเพื่อสังคม เสียภาษีหน่อยเถิดครับ ผมว่าที่เด็กนิยมเรียน เพราะว่า ความสามารถในการสอนของครูแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเอาครูสองคนที่มีความรู้เท่ากัน จบจากที่เีดียวกันมาสอน ก็ไม่ได้การันตีว่าเด็กจะเรียนรู้เรื่อง ผมว่าการสอนมันต้องใช้เทคนิคเยอะ ทำไงให้เด็กตั้งใจฟัง สนุก เนื้อหาครบ จำไปสอบได้แม่น อย่างโรงเรียนมัธยมผม ผมได้เรียนชีวะกับครูที่สุดยอดมากๆ สอนได้เข้มข้นชนิดที่แบบไม่ต้องไปพึ่งกวดวิชาเลย เด็กก็ไม่ค่อยไปเรียนพิเศษชีวะกัน ขนาดตอนเรียนมหาลัย วิชาเดียวกันแต่มีอาจารย์สอนหลายห้อง จะเห็นชัดเลยว่า อาจารย์คนไหนสอนดี เด็กก็จะแย่งไปเรียนห้องนั้นแทน ทั้งๆที่อาจารย์ก็ความรู้แน่นปึ้กเหมือนกัน จากคุณ : ปูเทียมไก่ชุบ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 05:47:53

ความคิดเห็นที่ 21 สนับสนุนให้เก็บภาษีด้วยอีกคนค่ะ เดี๋ยวนี้ทำกันเป็นลักษณะธุรกิจแล้ว ในเมื่อรายได้ดี ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ มีกำไรก็เสียภาษีสิ ในเมื่อจ่ายค่าเช่าสถานที่ ค่าพนักงาน ค่าโฆษณาเดือนเป็นแสนๆ ได้  ทำไมจะจ่ายภาษีไม่ได้ จากคุณ : เจ๊วรรณา เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 54 12:22:36