ความคิดเห็นที่ 1 สยามมกุฏราชกุมาร คือ เจ้าชายมกุฏราชกุมารแห่งสยาม มกุฏราชกุมารก็คือองค์รัชทายาทที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งไว้แล้ว ไม่น่าจะมีข้อสงสัยใดๆนะครับ จากคุณ : นายบอนด์ เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 15:16:39

ความคิดเห็นที่ 2 ดูตามลำดับการนำเสนอในข่าวในราชสำนักครับ จากคุณ : Sand Canyon เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 15:30:12

ความคิดเห็นที่ 3 อ่าวแล้ว สยามบรมราชกุมารี ล่ะครับ? จากคุณ : Comme un Printemps เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 15:36:01

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นตำแหน่งเกียรติยศ ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัชทายาทแต่ประการใด จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 15:43:54

ความคิดเห็นที่ 5 สยามมกุฏราชกุมาร  คือตำแหน่งรัชทายาท สยามบรมราชกุมารี  คือตำแหน่งที่ทรงยกย่อง  เป็นเกียรติยศ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 15:45:20

ความคิดเห็นที่ 6 กฎมณเฑียรบาล ให้มีตำแหน่ง "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร" เป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ ฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรน่าสงสัย เว้นแต่จะตีความแบบเลอะเทอะ นึกเอาเองครับ ส่วนคำว่า "พระรัชทายาท" ตามกฎหมายคือ ทายาทของพระมหากษัตริย์ ก็ยึดเอาตามกฎหมายแพ่งฯ คือ 1.พระมเหษี พระราชโอรส พระราชธิดา 2.พระราชชนก พระราชชนนี 3.พระเจ้าพี่ยาเธอ พระพี่นางเธอ พระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าน้องนางเธอ ร่วมเชษฐ์โสธร 4.พระเจ้าพี่ยาเธอ พระพี่นางเธอ พระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าน้องนางเธอ ร่วมแต่พระราชชนก หรือ พระราชมารดา(ไม่มีในความเป็นจริง) 5.พระอัยกา พระอัยกี 6.พระปิตุลา พระปิตุฉา พระมาตุลา พระมาตุฉา ซึ่งในส่วน ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ครอบคลุม พระบรมราชวงศ์พระองค์อื่นด้วยตามหลักนี้ครับ จากคุณ : <<First>> เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 15:49:36

ความคิดเห็นที่ 7 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2515/A/200/1.PDF หน้า 2 ย่อหน้าสองไม่ต้องตีความหรืออ่านให้เป็นอื่นเลยครับ แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 54 15:55:33 จากคุณ : Players เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 15:50:01

ความคิดเห็นที่ 8 (สยาม) มกุฎราชกุมาร คือ Crown Prince (สยาม) บรมราชกุมารี น่าจะพอเทียบได้กับ Princess Royal สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นรัชทายาทแห่งราชอาณาจักรไทย ตาม คคห. 6 นั้น  กล่าวถึงทรัพย์สินส่วนพระองค์ (รวมทั้งหนี้) ตาม ป.แพ่ง แต่ลำดับพระรัชทายาทที่จะสืบสายสันตติวงศ์นั้น   ถือตาม กฎมณเฑียรบาล พระพุทธศักราช ๒๔๖๗   และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นหลัก กล่าวคือ  ถ้าทรงแต่งตั้งพระรัชทายาท ตามกฎมณเฑียรบาล (ซึ่งก็ทรงแต่งตั้งไปแล้ว)  ก็ให้อัญเชิญพระรัชทายาทขึ้นครองราชย์ ถ้าไม่ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาท ให้ใช้ลำดับสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล โดยคณะองคมนตรี เสนอให้ ครม. เพื่อเสนอให้ รัฐสภา ให้ความห็นชอบ แต่ในกรณีนี้ ตาม รัฐธรรมนูญ  จะเสนอพระนาม "พระราชธิดา" ก็ได้ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 16:14:23

ความคิดเห็นที่ 9 มกุฎราชกุมาร คือ Crown Prince (สังเกตุคำว่ามกุฎที่จะสื่อถึงการสืบราชสมบัติ) บรมราชกุมารี สูงกว่า Princess Royal ที่เป็นเพียงพระธิดาองค์โตของพระมหากษัตริย์ซึ่งก็เห็นมีแต่ในแผ่นดินอังกฤษ ซึ่งเกิดมาก็มีสิทธิได้เป็นเรย เคยมีการแปลยศนี้ไว้เป็นภาษไทยเมื่อจะรับเสด็จไว้ว่า พระวรกุมารี  ตำแหน่งบรมราชกุมารีไม่มีผลถึงการสืบราชสมบัติแต่อย่างใดเป้นเพียงตำแหน่งเกียรติยศเท่านั้นซึ่งถือว่าสูงมากเกือบที่สุดของฝ่ายใน(สูงที่สุดของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ) ซึ้่งเครื่องยศบางชิ้นที่ได้รับพระราชทานประกอบเกียรติยศนี้ก้เคยเป็นของประกอบเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชินีมาก่อนด้วยซ้ำ อีกทั้งยังรับสัปตปฏลเศวตฉัตรประกอบพระอิสริยยศด้วย จากคุณ : เพชรน้อย เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 16:45:04

ความคิดเห็นที่ 11 ขออนุญาตทำความเข้าใจ กับโต้แย้ง เจ้าคุณแม่ทัพ สักนิดครับ ในคห.6 ของผม บรรทัด 1-2 ได้กล่าวถึงการสืบราชสันตติวงศ์ไปแล้วครับ ส่วนเรื่อพระรัชทายาทตามกฎหมายแพ่ง ที่ผมกล่าวถึง มุ่งหมายให้เข้าใจในมาตรา112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วยครับ เพราะผมเกรงว่าจะมี บุคคลบางกลุ่มเล่นแง่ ไปบังอาจกระทำการ อันล่วงเกิน พระราชวงศ์พระองค์อื่น เพื่อเลี่ยงกฎหมาย ส่วนเรื่องที่ขอโต้แย้ง คือ เรื่อง ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ รัฐธรรมนูญ ระบุชัดว่า ในมาตรา 22 ว่า "ให้เป็นไปโดยนัยกฎมณเฑียรบาล พ.ศ.2467" ซึ่งตรามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 และใน มาตรา 23 วรรค 2 ระบุว่า หากไม่มีการแต่งตั้งพระรัชทายาท ให้คณะองคมนตรี เสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ ตาม มาตรา 22 กล่าวคือ ให้เสนอพระนามตามหลักเกณฑ์ของกฎมณเฑียรบาล พ.ศ.2567 นั้นเอง ส่วนในท้ายวรรค 2 ที่มีระบุว่า ในการนี้จะเสนอนามพระราชธิดาก็ได้นั้น เพียงแต่ไปเพิ่มเติมให้ทราบว่า หากไล่เลี่ยนผู้สืบราชสันตติวงศ์ไปจะหมดสายในกฎมณเฑียรบาลแล้ว พบแต่ขัตติยนารี ก็สามารถเสนอชื่อได้ โดยไม่ขัดกับกฎมณเฑียรบาล พ.ศ.2467 แต่อย่างใด (ร.6 ทรงห้ามในกฎมณเฑียรบาลเด็ดขาด ที่จะให้ขัตตินารีเป็นพระแม่เจ้าอยู่หัว) ฉะนั้น ลำดับจึงต้องเป็น ไล่ พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า แต่ละสายไปจนสุดสาย จนครบทุกสายเสียก่อน หากไม่มีจึง ไล่จากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในครับ ไม่ใช่จะมาตัดตอนเสนอพระนามพระราชธิดาทันทีได้ มิเช่นนั้น มาตรา 22 จะเป็นหมันทันที กฎหมายออกมาขัดกัน เป็นไปไม่ได้ครับ (แม้จะเคยเป็นไปแล้วก็ตาม) จากคุณ : <<First>> เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 16:48:05

ความคิดเห็นที่ 12 ทำไมทางเอเชียถึงไม่ค่อยจะยอมให้ผู้หญิงเป็นกษัตริย์คะทั้งๆที่ฝั่งยุโรปผู้หญิงก็เป็นกษัตริย์ได้แล้วประเทศเค้าก็เจริญดีด้วย จากคุณ : giggsmay เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 16:51:26

ความคิดเห็นที่ 13 เพราะเอเชีย มีค่านิยมในการ "แต่งออก" ครับ คิดถือว่า ผู้หญิง เมื่อแต่งงานไป จะเป็นของบ้านสามี การเวนสมบัติ หรือ สืบสกุลอะไร จึงไปทางฝ่ายหญิงไม่ได้ มันจะหลุดไปตระกูลอื่นครับ จากคุณ : <<First>> เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 17:10:44

ความคิดเห็นที่ 14 ผมก็หมายความอย่างใน คคห. 11 น่ะแหละครับ ขออภัยที่พิมพ์ไม่เคลียร์ ถูกครับ ต้องไล่ให้สุดสายก่อน  ตามกฎมณเฑียรบาล  แล้วจึงจะเสนอพระนามพระราชธิดาได้ ถ้าเราสมมติว่าในขณะนี้ ไม่มีพระรัชทายาท  ลำดับการสืบสันตติวงศ์ก็จะเป็น 1. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร 2. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ 3. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี 4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ส่วนทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ไปแล้ว  ผมเลยไม่ทราบว่าจะจัดเข้าในลำดับสืบสันตติวงศ์ด้วยหรือไม่ และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ก็ถือว่าข้ามสายมาแล้ว  จึงน่าจะถูกข้ามตามกฎมณเฑียรบาล จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 17:15:02

ความคิดเห็นที่ 15 ความจริง  อินเดีย-อิหร่าน และเอเชียตะวันออก  หญิงแต่งออก แต่สังคมอุษาคเนย์ดั้งเดิม ก่อนรับวัฒนธรรมจากอินเดียและจีน  เราถือแม่เป็นใหญ่ และร่องรอยนี้ก็มีอยู่ในสังคมไทย เช่น  ผู้ชายไทยแต่งเข้าบ้านผู้หญิงนะครับ สมัยหลัง  ชายแต่งเข้าบ้านหญิง มักเกิดขึ้นเฉพาะคนในฐานะใกล้เคียงกัน  ถ้าต่างฐานะกันมาก  ผู้ฐานะต่ำกว่าแต่งเข้สบ้านผู้ฐานะสูงกว่า คำพูดที่คนไทยเรียกคนแปลกหน้า จึงมักเป็นญาติฝ่ายแม่ เช่น ตา ยาย น้า   เรื่องผู้หญิงในสังคมไทยมีบทบาทในการบ้านการเมืองสูงนี้  มีปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวต่างชาติหลายแห่ง  รวมทั้งร่องรอยในกฎหมายตราสามดวงถึงสิทธิของสตรี ในอีสาน  เมื่อพ่อแม่ตาย บ้านตกเป็นของลูกสาวคนเล็ก (ซึ่งตามธรรมเนียมเป็นคนดูแลพ่อแม่) ฯลฯ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 17:28:06

ความคิดเห็นที่ 16 ท่าน เจ้าคุณแม่ทัพครับ ผมว่ายังไม่ถูกต้องเสียทีเดียว โดยนัยกฎมณเฑียรบาล จะต้องถือเอาเหมือนตอนเลือกในหลวงอานันท์ครับ คือ สายราชสกุลมหิดล ใน สมเด็นพระพันวสา ต่อด้วยสายราชสกุลอื่นๆตามลำดับ จนหมดเจ้านายฝ่ายหน้าครับ จึงย้อยกลับมายังเจ้านายฝ่ายใน ในราชสกุลมหิดล แล้วลงไปสายราชสกุลอื่นๆ ตามลำดับ จากคุณ : <<First>> เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 18:01:24

ความคิดเห็นที่ 18 ตามกฎมณเฑียรบาล ฝ่ายหน้า ที่มีสิทธิสืบราชสมบัติ มีเพียงชั้น “ลูก” กับ ชั้น “หลาน” เท่านั้น แถมชั้นหลาน ต้องมีมารดาเป็น พระชายา คือ เมียหลวง เมียเอก เมียแต่ง เช่น สมเด็จพระบรมราชชนนี แม้เป็นสามัญชน แต่เป็นสะใภ้หลวง เป็นเมียแต่ง ในบัญชีผู้มีสิทธิในราชสมบัติ เมื่อครั้ง ร. 7 สละราชสมบัติ ก็มีถึงแค่ชั้นหลาน และ “ชั้นหลาน” เป็นลูกเมียหลวงทั้งสิ้น ส่วน ฝ่ายใน ตามรัฐธรรมนูญ ได้แค่ ชั้น “ลูก” ด้วยเจ้านายที่เหลืออยู่ เท่าที่ผมทราบ จึงว่าไปตาม คคห.14 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 19:54:19

ความคิดเห็นที่ 19 ขออนุญาตแย้งบางประเด็นนะครับ 1. ที่ว่า Princess Royal จะต่ำกว่า สยามบรมราชกุมารี นั้น ข้อนี้ผมไม่เห็นพ้องด้วย เพระาตำแหน่งพระราชธิดากรุงอังกฤษนี้ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้แก่พระราชธิดาพระองค์ใหญ่เท่านั้น แต่แม้กระนั้นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่บางพระองค์ ก็ไมไ่ด้รับพระราชทานไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม แสดงว่าพระเจ้าแผ่นดินกรุงอังกฤษได้ทรงพระราชวินิจฉัยอย่างถ้วนถี่ดีแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณายกให้มีพระอิสริยยศสูงขึ้น ถ้าจะว่ากัน สยามบรมราชกุมารี ก็มิได้ทำให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร ทรงมีพระฐานะในทางสืบราชสันตติวงศ์สูงขึ้นเช่นกันนะครับ ส่วนคำแปลนั้น ที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ทรงใช้คำว่า "พระวรกุมารี" นั้น ผมเข้าใจว่าเป็นเพื่อการเลี่ยงใช้คำว่า "บรม" ซึ่งแต่เดิมแบบแผนของการใช้คำราชาศัพท์ที่เคร่งครัดมาก จะใช้ "บรม" แสดงความสำคัญยิ่งของพระมหากษัตริย์ไทยเท่านั้น พระองค์จึงได้ทรงเลี่ยงไปใช้คำว่า "วร" แทน 2. ส่วนความเห็นที่ 6 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นไม่ถูกต้องครับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติว่า "ผู้ใดดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษ..." ดังนี้แล้ว ชัดเจนครับว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายอันจะเป็นความผิดตามมาตรา 112 นี้ จะต้องกระทำลงต่อ พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เท่านั้น การจะตีความให้หมายรวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นด้วยนั้น เป็นการตีความที่ขัดกับหลักของกฎหมายอาญา ซึ่งจะตีความขยายไปในเชิงลงโทษบุคคลมิได้ และสิทธินี้เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญด้วย เคยมีกรณีที่สมเด็จพระรัชทายาทแห่งประเทศ ๆ หนึ่งได้เสด็จประพาสประเทศญี่ปุ่น ปรากฎว่ามีการทำร้ายพระรัชทายาทพระองค์นั้น ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และอัยการได้สั่งฟ้องจำเลยข้อหาทำร้ายร่างกายพระรัชทายาท (ของญี่ปุ่น) แต่ในเรื่องนี้ศาลฎีกาโดยท่านประธานศาลฎีกาของญี่ปุ่นขณะนั้นเป็นเจ้าของสำนวนเอง ได้ตัิดสินลงโทษจำเลยเพียง "ทำร้ายร่างกายผู้อื่น" เท่านั้นครับ โดยศาลฎีกาญี่ปุ่นได้ยืนยันหลักที่ว่า จะลงโทษจำเลยด้วยการเทียบเคียงกฎหมายมิได้ 3. ส่วนเรื่องการเสนอพระนามพระราชธิดานั้น เป็นไปตามที่คุณ <<first>> กล่าวครับ คือจะต้องไล่สายพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าที่ใกล้ชิดและสนิทมากน้อยไปตามลำดับแห่งการสืบราชสันตติวงศ์ให้หมดเสียก่อน ถ้าไม่มีเจ้านายฝ่ายหน้าพระองค์ใดเหลืออยู่เลย จึงจะเสนอพระนามพระราชธิดาได้ และดังนั้น เจ้านายฝ่ายในที่จะอยู่ในข่ายที่คณะองคมนตรีจะสามารถเสนอพระนามเพื่อสืบราชสันตติวงศ์ได้คือ สมเด็จพระเทพฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ (สองพระองค์นี้เป็นพระราชธิดาในรัชกาลปัจจุบัน) และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ (พระองค์นี้เป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 6) จากคุณ : ohmygodness เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 20:36:52

ความคิดเห็นที่ 20 ในฝรั่งเศส ก็มี Princess Royale หรือ Madame Royale ไม่ได้มีแต่อังกฤษ และขอยืนยันตาม คคห. 19 ว่าพระราชธิดาองค์โตของกษัตริย์อังกฤษ ไม่ได้เป็น Princess Royal โดยอัตโนมัติ  แต่ต้องได้รับการโปรดเกล้า ฯ และขอยืนยัน คคห. 18 ของผมว่า กฎมณเฑียรบาล ให้ไล่สายถึงแค่ชั้นพระราชนัดดา (ในรัชกาลใดก็ได้) และพระราชนัดดานั้น ต้องมีพระมารดาเป็นพระชายา คือ เมียหลวง เมียเอก เมียแต่ง ถ้าไม่ถูกต้อง  ก็ขออภัยอย่างสูง จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 22:30:42

ความคิดเห็นที่ 21 เ็ห็นกับคุณ Ohmygodness เรื่องพระอิสริยยศ "Princess Royal" กับ "สมเด็จพระบรมราชกุมารี" ด้วยเหตุที่ว่า ทั้งสองพระอิสริยยศ เป็น ตำแหน่งที่พระราชทานเพื่อเป็นพระเกียรติยศ สำหรับพระราชธิดา โดยมิได้หมายความถึงลำดับในการสืบสันตติวงศ์แต่ประการใด อีกทั้ง Princess Royal เป็นตำแหน่งที่ต้องทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศ มิได้หมายความว่า พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ทุกพระองค์จะเป็นโดยอัตโนมัติ หากพิจารณาถึงลำดับโปเจียม ก็คงไม่สามารถอนุมานได้ ด้วยเหตุที่ว่า ในแต่ราชสำนักย่อมมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน จากคุณ : พระนายไวย เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 54 22:36:09

ความคิดเห็นที่ 22 แล้วพระองค์ที ถือว่าเป็นพระราชนัดดาที่มีพระมารดาเป็นพระชายา(เมียหลวง)รึป่าว? จากคุณ : Comme un Printemps เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 00:30:06

ความคิดเห็นที่ 23 พระองค์เจ้าทีปังกรฯ ถือว่าเป็นพระราชนัดดา ที่ประสูติแต่ พระวรชายา ซึ่งถือว่าเป็นเมียหลวงครับ จากคุณ : พระนายไวย เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 08:41:21

ความคิดเห็นที่ 24 บัญชีรายพระนามเจ้านายเรียงลำดับตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ (สันนิษฐานว่า จัดทำขึ้นเมื่อต้น ร. ๗  บางพระองค์อาจสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ที่มีรายพระนามน่าจะเพื่อให้ลำดับสายได้ถูกต้อง) ๑. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ ๒. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ๓. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ๔. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ๕. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฎพงศ์บริพัตร ๖. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร ๗. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ๘. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ๙. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ ๑๐. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท ๑๑. หม่อมเจ้าอมรสมานลักษณ์ ๑๒. หม่อมเจ้านักขัตมงคล ๑๓. หม่อมเจ้าขจรจบกิติคุณ ๑๔. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงปราจิณกิตติบดี ๑๕. หม่อมเจ้ากัลยาณวงศ์ ประวิตร ๑๖. หม่อมเจ้าจิตรปรีดี ๑๗. หม่อมเจ้าวิกรมสุรสีห์ ๑๘. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ๑๙. หม่อมเจ้าประสบศรีจีรประวัติ ๒๐. หม่อมเจ้านิทัศนาธร ๒๑. หม่อมเจ้าขจรจิรพันธุ์ ๒๒. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ๒๓. พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา จะเห็นได้ว่า  มีแค่ ชั้น "ลูก" และ ชั้น "หลาน"  ของพระมหากษัตริย์ (ในบัญชีนี้มีเฉพาะสาย ร. ๕ ด้วยซ้ำ   คงเพราะถ้าทำมากกว่านั้นอาจเยอะเกินไป และยังไม่จำเป็น) และ ชั้น "หลาน" นั้น  ต้องเกิดจากพระอัครชายา หรือตีความง่าย ๆ ว่า  เมียหลวง เมียเอก เมียแต่ง สายเจ้าฟ้าบริพัตร จึงมีเพียงพระองค์จุมภฏ (พระมารดาเป็นพระชายา) ไม่มีพระนามพระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ (พระมารดาเป็นหม่อม) ส่วนสายมหิดลนั้น ร. ๘ แม้จะมีพระมารดาเป็นหม่อม แต่เป็นสะใภ้หลวง ได้รับพระราชทานน้ำสังข์จาก ร. ๖ ได้รับเครื่องราชฯ พูดแบบชาวบ้านคือเป็นเมียหลวง ส่วนที่มีแค่ถึง ชั้น "หลาน" นั้น  น่าจะเป็นด้วย  สมัยโบราณ พระราชนัดดา เป็น "หม่อมเจ้า" ทั้งหมด  ไม่ว่าจะมีพระบิดาเป็น "เจ้าฟ้า" หรือ "พระองค์เจ้า" ความเป็น "เจ้า" จึงสิ้นสุดที่ชั้นพระราชนัดดา (หม่อมเจ้า) ต่อมาสมัยหลังนั้น  ชั้นหลานเธอ บางครั้งได้เป็นถึงพระองค์เจ้า  และชั้นเหลน ก็อาจยังเป็น "เจ้า" ได้ แต่ถ้าดูตามกฎมณเฑียรบาล  ก็จะเห็นว่าให้ถึงแค่ชั้นหลานเท่านั้น   ผมจึงมีความเห็นว่า  การไล่สายสืบราชสมบัติ ไล่ถึงแค่ชั้นหลาน (หรืออย่างน้อย บุคคลนั้นต้องเป็น "เจ้า") แก้ไข อ้อ พึ่งนึกได้  กรณีนี้ อาจมียกเว้น  เช่น  พระอนุชาของพระพระมหากษัตริย์ อาจเป็นเพียงชั้น "หลาน" ตัวอย่างเช่น  ร. ๙ เมื่อครั้งยังเป็นพระราชอนุชาใน ร. ๘  (คือเป็นชั้น "หลานปู่"  ใน ร. ๕ ทั้งสองพระองค์) ในกรณีลักษณะนี้  (กล่าวคือ มี "หลานปู่" ครองราชย์ต่อจาก "ปู่") หากพระราชอนุชาของพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นชั้น "หลานปู่" หาพระองค์ไม่   แต่พระราชอนุชา ยังมีพระโอรส   พระโอรสนั้นอาจนับเป็นชั้น "เหลนทวด" ในพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน แต่ก็ถือเป็น "หลาน" (พระภาติยะ-หลานลุง) ของพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน  ก็น่าจะมีสิทธิสืบราชสันตติวงศ์   แต่ก็ไล่หยุดแค่ชั้นนี้  ซึ่งเป็นการอนุโลมตามกฎมณเฑียรบาล "กล่าวง่าย ๆ คือไล่แค่ ๒ ชั้น" แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 54 10:27:26 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 10:04:16

ความคิดเห็นที่ 25 จากประกาศพระบรมราชโองการสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริธรเทพรัตนสุดา ทรงรับพระราชบัญชา และสัปตปฎลเศวตฉัตร เสมอ กรมพระราชวังหลัง แต่ทรงเป็นฝ่ายใน พระอิศริยยศจึงเสมอ สมเด็จพระบรมราชชนนี ส่วนทรงเป็น Princess Royal หรือไม่ก็ดูที่ ลำดับพระยศของ Princess Royal ของอังกฤษ นั้น อยู่เป็นอันดับรองจากเจ้าฟ้าชาร์ล มกุฎราชกุมารหรือไม่ สำหรับไทย คำว่า Prince Royal หมายถึง มกุฎราชกุมาร หรือเจ้าชายองค์ใหญ่รัชทายาท หรือไม่ครับ เพราะการที่ทรงตั้งโรงเรียน Prince Royal ขึ้นมาน่าจะมาจากพระยศขององค์ผู้พระราชกำเนิดตั้งโรงเรียน จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 10:09:18

ความคิดเห็นที่ 26 สมมุตินะครับ ว่า ถ้าทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ไม่ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ และไม่ได้ทรงอภิเษกสมรสกับชาวต่างชาติ ตำแหน่ง สยามบรมราชกุมารี จะเป็นของทูลกระหม่อมใช่ไหมครับ..... จากคุณ : love_paul เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 10:16:06

ความคิดเห็นที่ 27 Prince Royal เป็นคำแทน  Crown Prine  ในบางประเทศ นะครับ จึงน่าจะใช้แทนกันได้ แต่คำว่า มกุฎราชกุมาร แปลตามตัว ก็จะได้ Crown Prince ส่วน Princess Royal ของอังกฤษนั้น  เป็นตำแหน่งที่มีได้ครั้งละองค์  ถ้าองค์ก่อนยังอยู่  (เช่นเป็นพี่สาวของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน) พระราชธิดาองค์โตของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็ยังเป็น Princess Royal ไม่ได้   ส่วนเรื่องลำดับพระยศของ Princess Royal ของอังกษฤนั้น  ผมไม่แน่ใจ   แต่ถ้าลำดับโปเจียมนั้น  อยู่หลัง Prince of Wales ครับ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 10:51:30

ความคิดเห็นที่ 28 กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ หมวด ๔ ว่าด้วยลำดับชั้นผู้ควรสืบราชสันตติวงศ์ มาตรา ๙ ลำดับชั้นเชื้อพระบรมราชวงศ์ซึ่งจะควรสืบราชสันตติวงศ์ได้นั้น ท่านว่า ให้เลือกตามสายตรงก่อนเสมอ ต่อไม่สามารถจะเลือกทางสายตรงได้แล้ว จึงให้เลือกตามเกณฑ์ที่สนิทมากและน้อย เพื่อให้สิ้นสงสัย ท่านว่าให้วางลำดับสืบราชสันตติวงศ์ไว้ดังต่อไปนี้ (๑) สมเด็จหน่อพุทธเจ้า (๒) ถ้าแม้ว่าสมเด็จหน่อพุทธเจ้าหาพระองค์ไม่แล้ว ให้อัญเชิญพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จหน่อพุทธเจ้า และพระอัครชายาของสมเด็จหน่อพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขึ้นทรงราชย์ หรือถ้าพระราชโอรสพระองค์ใหญ่หาพระองค์ไม่แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระราชโอรสพระองค์รอง ๆ ต่อไปตามลำดับพระชนมายุ (๓) ถ้าแม้ว่าสมเด็จหน่อพุทธเจ้าหาพระองค์ไม่แล้ว และไร้พระราชโอรสของท่านด้วยไซร้ ก็ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๒ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอัครมเหสี (๔) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๒ หาพระองค์ไม่แล้ว แต่ถ้ามีพระโอรสอยู่ ก็ให้อัญเชิญพระโอรสโดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒ แห่งมาตรานี้ (๕) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๒ ในสมเด็จพระอัครมเหสีหาพระองค์มิได้แล้ว และไร้พระราชโอรสของท่านด้วยไซร้ ก็ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์อื่น ๆ ในสมเด็จพระอัครมเหสี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓ และ ๔ แห่งมาตรานี้ (๖) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระอัครมเหสีหาพระองค์ไม่แล้ว และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น ๆ ก็หาไม่ด้วยแล้ว ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระมเหสีรองถัดลงไปตามลำดับชั้นพระอิสริยยศแห่งพระมารดา หรือถ้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอหาพระองค์ไม่แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น ๆ สลับกันตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓ และ ๔ แห่งมาตรานี้ (๗) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระมเหสีรองหาพระองค์ไม่สิ้นแล้ว และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น ๆ ก็หาไม่ด้วยแล้ว ให้อัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุมากที่สุด หรือถ้าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นหาพระองค์ไม่แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระโอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น แต่ถ้าแม้ว่าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุมากที่สุดนั้นหาพระองค์ไม่แล้ว และพระโอรสของท่านก็หาไม่ด้วยแล้ว ก็ให้อัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุถัดลงมา หรือพระโอรสของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓ และ ๔ แห่งมาตรานี้ (๘) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา ท่านว่าให้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระราชชนนีพระองค์ที่มีพระชนมายุถัดลงมาจากพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ (๙) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระอนุชาพระองค์ที่ควรได้ทรงเป็นทายาทนั้นหาพระองค์ไม่เสียแล้ว ท่านว่าให้อัญเชิญพระโอรสของสมเด็จพระอนุชาพระองค์นั้นตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒ แห่งมาตรานี้ (๑๐) ถ้าแม้ว่าสมเด็จพระอนุชาพระองค์ใหญ่หาพระองค์ไม่แล้ว และพระโอรสของท่านก็หาพระองค์ไม่อีกด้วยไซร้ ท่านว่าให้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระชนนีพระองค์ที่ถัดลงไปตามลำดับพระชนมายุ หรือพระโอรสของสมเด็จพระอนุชาพระองค์นั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ อนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓ และ ๔ แห่งมาตรานี้ (๑๑) ถ้าแม้สมเด็จพระอนุชาร่วมพระชนนีหาพระองค์ไม่สิ้นแล้ว และพระโอรสของสมเด็จพระอนุชานั้น ๆ ก็หาไม่ด้วยแล้ว ท่านว่าให้อัญเชิญสมเด็จพระเชษฐา และสมเด็จพระอนุชาต่างพระชนนี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชานั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๒, ๓, ๔ และ ๖ แห่งมาตรานี้ (๑๒) ถ้าแม้สมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชาต่างพระชนนีก็หาพระองค์ไม่สิ้นแล้ว และโอรสของสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชานั้นก็หาไม่ด้วยแล้วไซร้ ท่านว่าให้อัญเชิญพระเจ้าพี่ยาเธอ และพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระโอรสของพระเจ้าพี่ยาเธอ และพระเจ้าน้องยาเธอ ตามลำดับสลับกัน โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ ๗ แห่งมาตรานี้ (๑๓) ต่อเมื่อหมดพระเจ้าพี่ยาเธอและพระเจ้าน้องยาเธอ อีกทั้งหมดพระโอรสของท่านนั้น ๆ แล้วไซร้ ท่านจึงให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ หรือพระโอรส และเชื้อสายของท่านพระองค์นั้น ตามลำดับแห่งความสนิทมากและน้อย โดยอนุโลมตามข้อความที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ข้อ ๑ ถึง ๑๒ แห่งมาตรานี้ จาก มาตรา ๙ (๘)  เห็นได้ว่า  ให้ไล่ถึงแค่ชั้นพระราชนัดดาเท่านั้น และจะเห็นได้ว่า  ผู้มีสิทธิสืบราชสันตติวงศ์ นั้น (กล่าวแบบสรุปง่าย ๆ ไม่ลงรายละเอียด)  ได้แก่   สมเด็จหน่อพุทธเจ้า   สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเชษฐา สมเด็จพระอนุชา พระเจ้าพี่ยาเธอ พระเจ้าน้องยาเธอ   สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ   ซึ่งในขณะนั้น (๒๔๖๗) ล้วนอยู่ในชั้น "ลูก" ของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ทั้งสิ้น (และมีแค่ สมเด็จพระเชษฐา สมเด็จพระอนุชา พระเจ้าพี่ยาเธอ พระเจ้าน้องยาเธอ  เท่านั้น  ที่บางกาลเวลาอาจไม่ได้เป็นชั้น "ลูก") และการไล่สาย  ไล่แค่สองชั้น  คือ ๑. เจ้านายผู้มีสิทธิสืบราชสันตติวงศ์ (สมเด็จหน่อพุทธเจ้า  สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเชษฐา สมเด็จพระอนุชา พระเจ้าพี่ยาเธอ พระเจ้าน้องยาเธอ  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ) ๒. ชั้นพระราชโอรส หรือ พระโอรส ของเจ้านายตามข้อหนึ่ง แม้ในมาตรา ๙ (๑๓) จะมีข้อความเพิ่มมานิดนึงคือ  "... ท่านจึงให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ หรือพระโอรส และเชื้อสายของท่านพระองค์นั้น ตามลำดับแห่งความสนิทมากและน้อย โดยอนุโลมตามข้อความที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ข้อ ๑ ถึง ๑๒ แห่งมาตรานี้" แม้จะระบุคำว่า "เชื้อสาย"  แต่เมื่อ "โดยอนุโลมตามข้อความที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ข้อ ๑ ถึง ๑๒ แห่งมาตรานี้"   ผมจึงคิดว่า  ก็ต้องไล่ได้เพียง "สองชั้น" เท่านั้น นอกจากนั้น  หลายอนุมาตรา  ยังให้อนุโลมตาม มาตรา ๙ (๒) ซึ่งบัญญัติว่า "ให้อัญเชิญพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จหน่อพุทธเจ้า และพระอัครชายาของสมเด็จหน่อพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขึ้นทรงราชย์" ดังนั้น การอนุโลมตาม มาตรา ๙ (๒)  จึงต้องเป็นพระโอรสที่เกิดจาก "พระอัครชายา" โดยอนุโลม เป็น "เมียหลวง  เมียเอก  เมียแต่ง" (ดังเห็นได้จากบัญชีรายพระนามเจ้านายเรียงลำดับตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ และความเห็นของผม ใน คคห. ๒๔  ที่ "ชั้นหลาน" ล้วนเป็น "ลูกเมียหลวง") ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้  กอปรกับเจ้านายที่ยังทรงพระชนม์ชีพเท่าที่ผมทราบ ผมจึงเสนอลำดับสืบราชสมบัติ ในกรณีไม่มีพระรัชทายาท ไว้ใน คคห. ๑๔ หากผิดพลาด บกพร่อง ประการใด  ต้องขออภัยอย่างสูงยิ่งไว้ ณ ที่นี้ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 11:33:41

ความคิดเห็นที่ 29 ในส่วนของประเทศอังกฤษนั้น ลำดับโปเจียม และพระอิสริยยศแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดนะครับ ลำดับโปเจียม ย่อมเป็นไปตามธรรมเนียม ความสนิทมากน้อยแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ส่วนลำดับแห่งการสืบราชสันตติวงศ์นั้น ย่อมเป็นไปตามกฎหมาย และไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้โดยพระเจ้าแผ่นดิน ขอยกตัวอย่างง่าย ๆ ครับ เช่น เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระราชธิดา กับเจ้าฟ้าหญิงยูจีนี แห่งยอร์ค พระราชนัดดา ลำดับโปเจียม (ของอังกฤษ) เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ย่อมทรงพระดำเนินนำหน้าเจ้าหญิงยูจีนี แต่ลำดับแห่งการสืบราชสันตติวงศ์ ย่อมตามหลังเจ้าหญิงยูจีนี คัรบ ดังนั้น ด้วยความเคารพต่อท่านเจ้าคุณแม่ทัพนะครับ ในส่วนที่กล่าวว่า "ลำดับโปเจียมของ Princess Royal อยู่หลัง Prince of Wales" นั้น อาจจะไม่เป็นการแน่นอนเสมอไปครับ ตัวอย่าง ในรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ 2 พระราชโอรสพระองค์โต ได้สวรรคตไป จึงทรงตั้งพระราชนัดดาเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ (ต่อมาเป็นพระเจ้าจอร์จที่ 3) และขณะนั้นพระองค์มีพระราชธิดาคือเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ซึ่งทรงสถาปนาเป็น Princess Royal ดังนี้ ลำดับแห่งการสืบราชสันตติวงศ์ เจ้าชายจอร์จ ซึ่งเป็นพระราชนัดดา และอยู่ในลำดับที่ 1 แห่งการสืบราชสันตติวงศ์ (ซึ่งไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้) และได้ทรงรับการสถาปนาเป็น Prince of Wales แล้ว ย่อมอยู่เหนือกว่า เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระราชธิดา (ซึ่งเป็น Princess Royal) อย่างไ่ม่ต้องสงสัย แต่ลำดับโปเจียม แน่นอนว่า ในฐานะพระราชธิดา Princess Royal นั้น ทรงพระดำเนินนำหน้า Prince of Wales พระราชนัดดา แน่นอนครับ สำหรับที่คุณณัฐเศรษฐได้กล่าวว่า Prince Royal กับ ยุพราช ซึ่งเป็นนามโรงเรียนอันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้แก่โณงเรียนทั้งสองนั้น คงจะต้องเรียนว่า Prince Royal มิได้หมายถึง "มกุฎราชกุมาร" ครับ (แม้ว่าคำว่า Prince Royal จะใช้เป็นพระอิสริยยศสำหรับพระรัชทายาทในบางประเทศแต่เดิมก็ตามที) แต่คิดว่า น่าจะเป็นการสื่อว่าหมายถึง "พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระมหากษัตริย์" มากกว่าครับ จากคุณ : ohmygodness เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 11:48:27

ความคิดเห็นที่ 30 ความรู้ใหม่จริง ๆ เข้าใจผิดมานาน  แถมยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย ขอบคุณทุก ๆ ท่านค่ะ จากคุณ : หนึ่ง ต. กับ สามตัว (หนึ่ง ต. กับ สามตัว) เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 13:03:49

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบพระคุณมากครับ  ของผมตอบตามปัจจุบันน่ะครับ เพราะไม่ทราบรายละเอียด  ต้องขออภัยอย่างสูง ^^ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 13:13:08

ความคิดเห็นที่ 32 คห 26 คิดว่าแล้วแต่จะพระราชทานกระมังครับ เสริมจาก คห 20 เท่าที่อ่านจากหนังสือ "เบื้องหน้าเบื้องหลังบัลลังก์อังกฤษ" แล้ว เฉพาะในอังกฤษ พระราชธิดาจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ต่อเมื่อพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นไม่มีพระราชโอรสครับ ถ้ามี ตำแหน่งรัชทายาท (เจ้าชายแห่งเวลส์) ก็จะต้องเป็นของพระราชโอรสองค์ใหญ่ ถ้าสิ้นพระชนม์ไปก่อนรับราชสมบัติแล้วไม่มีพระนัดดา ค่อยลงมาเป็นของพระราชโอรสองค์รองต่อไป อย่างสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย ลูกคนโตเป็นพระราชธิดา คือเจ้าหญิงวิกตอเรีย ซึ่งเป็น "มงกุฎราชกุมารี"  แต่ไม่ได้เป็นรัชทายาทสืบบัลลังก์ (ต่อมาได้อภิเษกสมรสและเป็นพระราชินีของปรัสเซีย) ส่วนตำแหน่งรัชทายาทหรือเจ้าชายแห่งเวลส์ เป็นของเจ้าชายอัลเบิร์ต (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7) ซึ่งเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ แต่เป็นลูกคนที่สองของสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 54 14:45:00 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 14:38:38

ความคิดเห็นที่ 33 ใช่ครับ  อังกฤษไล่สายชาย ก่อนสายหญิง ในยุโรปสมัยก่อน ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ แต่สมัยหลัง ๆ บางประเทศก็เปลี่ยนเป็นไล่ตามอายุ  ไม่สนเพศ ส่วนญี่ปุ่นนี่ต้องชายเท่านั้น  ตอนที่ราชวงศ์ญี่ปุ่น ยังไม่มีรัชทายาทชาย  ก็เคยมีความคิดจะแก้ให้ผู้หญิงครองราชย์ได้ แต่ตอนนี้มีรัชทายาทชายแล้ว   ก็เลยเงียบไป ส่วนไทยนั้น  ตามกฎมณเฑียรบาล ฯ ๒๔๖๗  ได้เฉพาะชายเท่านั้น พึ่งจะมามีใน รัฐธรรมนูญ  ไม่แน่ใจว่าฉบับปี ๔๐ หรือไม่ ที่ให้เสนอนามพระราชธิดาได้ แล้วก็ยังมีอยู่ในฉบับปัจจุบัน แต่ถ้าย้อนไปสมัยโบร่ำโบราณ   หลายอารยธรรมก็เคยมีกษัตริย์เป็นผู้หญิง ญี่ปุ่นก็เคย    จีนก็มี บูเช็กเทียน    ล้านนา   หริภุญชัย     มอญ   ฯลฯ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 15:00:34

ความคิดเห็นที่ 34 ตำแหน่ง Princess Royal หรือแปลเป็นไทยว่าพระวรราชกุมารีนั้นเป็นพระอิสริยศักดิ์ที่พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงโปรดเกล้าพระราชทานแก่ พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ตามธรรมเนียมและถือเป็นการยกอย่างอย่างสูงสุดแก่พระราชธิดา แต่มิใช่ว่าเมื่อประสูติแล้วหรือเมื่อพระราชบิดาขึ้นครองราชย์แล้วจะได้ทรงพระอิสริยศักดิ์นี้เลย ทั้งนี้เพราะพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ จะได้รับพระอิสริยศักดิ์ดังกล่าวผ่านทางการโปรดเกล้าสถาปนาของ พระราชบิดา โดยมีกฎอยู่ว่าในช่วงเวลาที่ทรงสถาปนานั้นๆ ต้องไม่มีพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนที่ดำรงตำแหน่ง Princess Royal อยู่ก่อนและยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เพราะทางพระราชวงศ์อังกฤษมีกฎอยู่ว่า  Princess Royal นั้นเป็นตำแหน่งเกียรติยศที่ผู้ถือครองจะต้องดำรงตำแหน่งนี้ไปตลอดพระชนม์ชีพ แม้ว่าจะผ่านจากรัชกาลของพระราชบิดาของพระองค์ไปแล้ว แต่เจ้าหญิงพระองค์นั้นก็จะทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์ดังกล่าวไปจนสิ้นพระชนม์ และเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันจึงจะมีสิทธ์สถาปนาพระราชธิดาพระองค์ใหญ่หรือพระราชธิดาพระองค์เดียวของพระองค์ดำรงพระอิสริยศักดิ์ Princess Royal ได้ ดังตัวอย่างในรัชกาลพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระอัยกาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2นั้น เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้วในปี 1910 ก็ไม่อาจสถาปนา เจ้าฟ้าหญิงแมรี พระราชธิดาพระองค์เดียว ขึ้นดำรงตำแหน่ง Princess Royal ได้ ทั้งนี้เพราะ Princess Royal องค์ปัจจุบันในขณะนั้น คือ เจ้าฟ้าหญิงหลุยส์ พระชนิษฐาซึ่งเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 กับพระราชินีอเล็กซานดรายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ จนเมื่อ ปี 1931 เมื่อพระขนิษฐาสิ้นพระชนม์ลง พระเจ้าจิร์จที่ 5 จึงทรงสถาปนาเจ้าฟ้าหญิงแมรี พระราชธิดาของพระองค์ขึ้นทรงพระอิสริยศักดิ์ข้างต้น เช่นเดียวกันในสมัยพระเจ้าจอร์จที่ 6 เมื่อทรงครองราชย์ในปี 1936 จนสิ้นรัชกาลในปี 1952 ไม่ได้มีการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ Princess Royal แก่เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ (สมเด็จพระราชินีนาถองค์ปัจจุบัน) ทั้งนี้เพราะ Princess Royal องค์ปัจจุบันในขณะนั้น คือเจ้าฟ้าหญิงแมรี พระขนิษฐายังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ตลอดรัชกาล ในรัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นั้นได้มีการสถาปนา พระอิสริยศักดิ์ Princess Royal แก่เจ้าฟ้าหญิงแอน พระราชธิดาพระองค์เดียวของพระองค์ แต่มิได้ทรงสถาปนาทันทีภายหลังจากที่ Princess Royal องค์ก่อนคือเจ้าฟ้าหญิงแมรี ซึ่งเป็นพระปิตุจฉาสิ้นพระชนม์ลงในปี 1965 ดังในรัชกาลพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทั้งนี้เพราะเจ้าฟ้าหญิงแอนไม่ทรงต้องประสงค์พระอิสริยยศดังกล่าว ทั้งนี้สมเด็จพระราชินีนาถทรงต้องพระประสงค์จะสถาปนาพะราชธิดาเป็น Princess Royal มาตั้งแต่ปี 1970 จนเมื่อในปี 1987 จึงทรงยินยอมที่จะทรงดำรงพระอิสริยยศดังกล่าว ทั้งนี้เพราะทรงเล็งเห็นว่าในขณะนั้นสมเด็จพระราชินีนาถทรงมีพระสุณิสา 2 พระองค์ที่ทรงดำรงตำแหน่งยศอื่นๆ ขึ้นมาเพิ่มเติมในพระราชวงศ์คือ เจ้าหญิงไดอานา ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศ the Princess Of Wales และ ซาราห์ เฟอร์กูสัน ซึ่งดำรงพระอิสริยศักดิ์ Duchess of York พระองค์ซึ่งเป็นถึงพระราชธิดากลับทรงดำรงพระอิสริยศเจ้าฟ้าหญิงเฉยๆ จึงทรงตรัสขอพระราชทานจากพระราชมารดา สมเด็จพระราชินีนาถทรงยินดีอย่างมากที่ในที่สุดพระราชธิดาก็ทรงยอมรับพระอิสริยศักดิ์ดังกล่าว จึงทรงมีพระบรมราชโองการสถาปนาพระราชธิดาเป็น Princess Royal ตามที่ทรงปรารถนาพระสถาปนามาตั้งแต่ต้น ในบางกรณีก็พบว่าพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ก็ได้ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์ Princess Royal แต่พระประสูติ ดังในรัชกาลสมเด็จพะราชินีนาถวิคตอเรีย ทรงสถาปนาเจ้าฟ้าหญิงวิคตอเรียพระราชธิดาพระองค์ใหญ่เป็น Princess Royal แต่ประสูติ ทั้งนี้เพราะในรัชกาลของพระองค์ไม่มี Princess Royal องค์ก่อนดำรงพระชนม์อยู่ อัน เจ้าฟ้าหญิงวิคตอเรีย Princess Royal นั้นแม้เมื่อภายหลังเมื่อทรงอภิเษกสมรสไปแล้วจะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งเยอรมันและพระราชินีแห่งปรัสเซีย แล้ว แต่ทางฝ่ายราชวงศ์อังกฤษก็ยังเรียกขานพระนามของพระองค์ว่า Princess Royal อยู่ตราบจนสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เพราะทางฝ่ายพระราชวงศ์อังกฤษนั้นถือว่าพระองค์ยังทรงเป็นเจ้านายของทางอังกฤษอยู่แม้ว่าจะได้อภิเษกสมรสไปแล้วก็ตาม และทางอังกฤษก็เห็นว่าตำแหน่ง princess royal ของอังกฤษนั้นเป็นตำแหน่งสูงส่งที่มีคู่มากับราชวงศ์ที่เก่าแก่ของตน ซึ่งถือว่าทรงเกียรติกว่า พระอิสริยศทางเยอรมันซึ่งเพิ่งก่อตั้งพระราชวงศ์ได้ไม่นาน จากคุณ : Gunyarina (Gunyarina) เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 15:44:04

ความคิดเห็นที่ 35 ในประเทศอังกฤษนั้น ไม่มี Crown Princess จึงไม่มีมกุฎราชกุมารี และ (ในทางทฤษฎี) เจ้า (ฟ้า) หญิงซึ่งอยู่ในลำดับที่ 1 แห่งการสืบราชสันตติวงศ์ ย่อมมีโอกาสเสมอที่จะตกลงไปด้วยเจ้านายที่ประสูติใหม่ได้ ดังนั้น จึงไม่มีการสถาปนาเจ้า (ฟ้า) หญิงพระองค์ใดให้เป็น Princess of Wales กรณี Princess of Wales ที่ปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน เป็นพระชายาในองค์ Prince of Wales ทั้งสิ้น ในสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระเจ้าจอร์จที่ 6 เคยมีเสียงเรียกร้องให้สถาปนาพระราชธิดาพระองค์โตเป็น Princess of Wales แต่กระนั้นก็ตาม พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงพระราชดำริว่า การพระราชทานพระยศดังกล่าว จะเป็นการลดพระสถานะในฐานะองค์รัชทายาท (อันอาจเปลี่ยนแปลงได้) ของเจ้าฟ้าหญิงแมรี (ต่อเป็นพระราชินีนาถแมรี่ี่ที่ 1) และเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ (พระราชินีนาถพระองค์ปัจจุบัน) ลงไปเป็นเพียง "พระสุณิสา" หรือก็คือเพียง พระชายาในองค์รัชทายาท เท่านั้น จึงไม่พระราชทาน ส่วนกรณีของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ คงจะต้องทำความเข้าใจดังนี้ครับว่า นับแต่มีระบบ Feudalism และระบบ Peer ในประเทศอังกฤษ นับได้เป็นร้อยเป็นพันปีมาแล้ว โดยปกติ จะไม่มีการตั้งให้ ผู้หญิง เป็นขุนนาง ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดินกรุงอังกฤษ ทรงพระราชประสงค์จะสถาปนาผู้หญิงคนใด ให้มีตำแหน่งเป็นขุนนาง ก็จะมีพระราชโองการสั่งให้สถาปนาสามีของหญิงนั้นเป็นขุนนางครับ เช่น เจ้าฟ้าหญิงมากาเร็ต พระกนิษฐา เมื่อทรงเสกสมรส สมเด็จพระราชินีนาถได้ทรงสถาปนาพระสวามี เป็น Earl of Snowdon ซึ่งแท้ที่จริงก็เพื่อให้พระกนิษฐาของพระองค์ได้เป็น Countess นั่นเอง แต่ในเวลาที่ เจ้าหญิงอเลกซานดรา (ลูกพี่ลูกน้องควีน) ทรงเสกสมรสในปี 1963 และเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ทรงเสกสมรสทั้งครั้งแรกในปี 1973 และครั้งที่สองในปี 1992 เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ได้ทรงปฏิเสธที่จะให้พระราชินีนาถพระราชทาน Earldom ให้แก่พระสวามี ดังนั้น เรื่องที "เล่ากันว่า" เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ทรงปฏิเสธพระอิสริยยศนี้ ตราบจนกระทั่งพระอนุชาจะเสกสมรส จึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริงครับ จากคุณ : ohmygodness เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 17:16:26

ความคิดเห็นที่ 36 ส่วนกรณีที่เจ้าคุณแม่ทัพได้กล่าวเกี่ยกวับเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ว่าจะต้องเป็นชั้น "ลูก" แลชั้น "หลาน" เท่านั้น ผมเองก็เห็นพ้องด้วย แต่กระนั้นก็ตาม ก็มีข้อที่น่าสังเกตอีกสองประเด็นครับ 1. ในเวลาที่ตรากฎมณเทียรบาลฉบับนี้ ไม่มีพระเจ้าหลานเธอ ส่วนพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า นั้น ที่มีอยู่ก็เฉพาะที่เป็นพระโอรส-ธิดา ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระภาณุพันธ์วงศ์วรเดช เท่านั้น (ซึ่งมีพระบรมราชโองการในรัชกาลที่ 5 กำกับว่า ถ้าหากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระภาติยะเหล่านี้มีพระโอรส-ธิดา ๆ นั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นหม่อมเ้จ้า) ดังนั้นพระเจ้าวรวงศ์เธอ เหล่านี้ ซึ่งก็เป็นชั้นพระราชนัีดดา (ชั้นหลานแล้ว) ย่อมอยู่ในสายแห่งการสืบราชสันตติวงศ์ โดยมิต้องสงสัย แต่พระโอรสของพระองค์เหล่านี้ ซึ่งก็เป็นหม่อมเจ้า น่าจะอยู่ในสายด้วยหรือไม่ครับ อีกส่วนหนึ่งที่จะยกขึ้นสนับสนุนความเห็นในส่วนนี้ของผมก็คือ ในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระภาติยะในพระองค์ ทั้งที่เป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า และที่เป็นหม่อมเจ้า หลายพระองค์ขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ทั้งนี้โดยมีพระบรมราชโองการกำกับสั่งด้วยว่า ให้บุตร (ของพระองค์ท่านเหล้านี้) เป็น "หม่อมเจ้า" ด้วย ก็น่าจะเพื่อให้มีเจ้านายอยู่ในสายแห่งการสืบราชสันตติวงศ์ด้วยใช่หรือไม่ครับ 2. เรื่อง "เมีย" ต่าง ๆ ของเจ้านายนั้น คงจะต้องทำความเข้าใจกันหน่อยว่า ก่อนที่จะมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว (ซึ่งได้ตราโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) ก่อนหน้านั้นมา เมียทุกคนย่อมเป็นเมียโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น เมียพระราชทาน เมียกลางเมือง เมียกลางนอก หรือเมียกลางทาสี ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเมียทั้งนั้น จากคุณ : ohmygodness เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 17:34:49

ความคิดเห็นที่ 37 อีกส่วนหนึ่งที่จะยกขึ้นสนับสนุนความ เห็นในส่วนนี้ของผมก็คือ ในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระภาติยะในพระองค์ ทั้งที่เป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า และที่เป็นหม่อมเจ้า หลายพระองค์ขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ทั้งนี้โดยมีพระบรมราชโองการกำกับสั่งด้วยว่า ให้บุตร (ของพระองค์ท่านเหล้านี้) เป็น "หม่อมเจ้า" ด้วย ก็น่าจะเพื่อให้มีเจ้านายอยู่ในสายแห่งการสืบราชสันตติวงศ์ด้วยใช่หรือไม่ ครับ - รบกวนช่วยบอกลำดับเวลาด้วยได้หรือไม่ครับ  เพราะกฎมณเฑียรบาลตราขึ้นในปี ๒๔๖๗   ก่อน ร. ๖ สวรรคตเพียง ๑ ปี เรื่อง "เมีย" ต่าง ๆ ของเจ้านายนั้น คงจะต้องทำความเข้าใจกันหน่อยว่า ก่อนที่จะมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ว่าด้วยครอบครัว (ซึ่งได้ตราโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) ก่อนหน้านั้นมา เมียทุกคนย่อมเป็นเมียโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น เมียพระราชทาน เมียกลางเมือง เมียกลางนอก หรือเมียกลางทาสี ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเมียทั้งนั้น - เมียทั้งนั้น ย่อมเป็นเมียที่ชอบด้วยกฎหมายแน่นอน   ผมไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด  แต่การเป็นเมียที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ทำให้ลูกมีสิทธิสืบราชสันตติวงศ์ ในบัญชีรายพระนาม ใน คคห. ๒๔   ก็เป็นหลักฐานได้ประการหนึ่ง   นอกจากนั้น  ใน ร. ๖  สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ทรงมีพระชายา คือ หม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร ชุมพล  แต่ไม่มีพระโอรส พระธิดา แต่ทรงมีพระโอรสกับ หม่อมระวี ไกยานนท์  คือ หม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช จุฑาธุช (ใน ร. ๗ ได้สถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช) พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช ประสูติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๖๕ ก่อน ร. ๖ สวรรคต  ๓ ปี ร. ๖ ได้ทรงมีพระบรมราชโองการลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๘ "...ให้ข้ามหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์อินทราไชยนั้นเสียเถิด เพราะหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัชมีแม่ที่ไม่มีชาติสกุล  เกรงว่าจะไม่เป็นที่เคารพแห่งพระบรมวงศานุวงศ์..." จากพระบรมราชโองการนี้   อาจมองได้ว่า  ลูกเมียน้อย  ก็มีสิทธิในราชสมบัติ  จึงต้องมีพระบรมราชโองการให้ข้าม แต่มุมมองของผม (อาจจะผิดก็ได้)  พระบรมราชโองการนี้  เป็นเหมือนคำอธิบายประกอบกฎมณเฑียรบาล   และน่าจะถูกใช้เป็นบรรทัดฐาน เพราะบัญชีรายพระนามเจ้านายเรียงลำดับตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ในสมัย ร. ๗ นั้น  "ชั้นหลาน" มีแต่ลูกเมียหลวงทั้งสิ้น เรื่องศักดิ์ของภริยา  ในตระกูลที่ถือเรื่องชาติตระกูลสมัยโบราณ ถือกันมากนะครับ เมื่อครั้ง ร. ๕  จะตั้งให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์  (ขำ บุนนาค) มีศักดินา ๓๐๐๐๐ เทียบที่สมเด็จเจ้าพระยา เท่ากับ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) แต่คนในสกุลไม่ยอม เพราะเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เป็นลูกอนุภริยา  ร. ๕  จึงให้ลดศักดินาเหลือ ๒๐๐๐๐  แต่เครื่องยศเทียบที่สมเด็จเจ้าพระยา หรือเมื่อครั้ง ร. ๖  พระราชทานนามสกุล  ราชินิกุล ชูโต มีการกีดกัน สายรอง จึงต้องเลี่ยงไปใช้  สวัสดิ์-ชูโต   แสง-ชูโต ราชินิกุล บุนนาค  กีดกันพวกที่ไม่ได้เกิดจากเจ้าคุณนวล  ร. ๖  เลยต้องพระราชทานเป็นนามสกุล ศุภมิตร ฯลฯ ในพระราชวงศ์ ก็ให้ความสำคัญเรื่องศักดิ์ของภริยา  ถ้าพระภรรยาเจ้า ลูกก็มีศักดิ์สูงกว่าภรรยาสามัญชน อย่างไรก็ตาม  ผมก็เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณ ohmygodness   จึงขออ้าง คคห. ๒๔ ของผม  บรรทัดท้ายก่อนถึงแก้ไข ว่า " หรืออย่างน้อย บุคคลนั้นต้องเป็น "เจ้า" " จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 21:42:54

ความคิดเห็นที่ 38 การสถาปนาพระยศของพระภาติยะในรัชกาลที่ 6 ตามที่คุณ ohmygodness กล่าวถึง  มีขึ้นเมื่อ ร.ศ.129 หรือ พ.ศ.2453 โดยครั้งนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ที่มีพระมารดาเป็นพระองค์เจ้า หรือหม่อมเจ้า ขึ้นเป็น "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า" พร้อมทั้งให้บุตรของพระภาติยเหล่านั้นมีบรรดาศักดิ์เป็น "หม่อมเจ้า" ด้วยครับ สำหรับบัญชีรายพระนามเจ้านายที่สิทธิในการสืบสันตติวงศ์ที่ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกล่าวถึง เป็นบัญชีที่กระทรวงวังจัดทำขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2477 ครับ เข้าใจว่าเจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวังในขณะนั้นน่าจะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการจัดลำดับดังกล่าว โดยบัญชีรายพระนามนี้ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงเป็นผู้ตรวจสอบและได้ลงพระนามว่าถูกต้อง เพื่อเป็นการรับรอง โดยในบัญชีรายพระนามฉบับจริงเจ้านายพระองค์ใดที่สิ้นพระชนม์จะวงเล็บไว้ท้ายพระนามว่า "สิ้นพระชนม์" และถ้าพระองค์เป็นอุภโตสุชาติ  ถ้าผมจำไม่ผิดจะมีการขีดเส้นใต้ไว้ที่พระนามเจ้านายพระองค์นั้นด้วยครับ จากคุณ : รอยใบลาน เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 23:14:05

ความคิดเห็นที่ 39 ขอถามต่อว่าในบ้านเราเคยมีการแต่งตั้งตำแหน่ง มกุฎราชกุมารี  หรือไม่คะ ถ้ามี   มีพระนามว่าอะไรคะ ถ้ายังไม่มี  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  สามารถแต่งตั้งขึ้นมาได้หรือไม่คะ จากคุณ : bailie เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 23:33:09

ความคิดเห็นที่ 40 ได้ความรู้จริงๆ ค่ะกระทู้นี้ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 54 23:36:27

ความคิดเห็นที่ 41 เรียนคุณ bailie ประเทศไทยไม่เคยมีการแต่งตั้งเจ้านายฝ่ายในพระองค์ใดในตำแหน่ง "มกุฎราชกุมารี" หรือมีพระอิสริยยศเช่นว่านั้นมาก่อนครับ คำถามต่อมาที่ถามว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสามารถแต่งตั้งขึ้นมาได้หรือไม่นั้น แน่นอนครับ ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนอีกเช่นกันในมาตรา 22 ว่า การสืบราชสมบัติเป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 และในกฎมณเฑียรบาลดังกล่าวก็ยังคงกำหนดว่า "มาตรา 13 ในกาลสมัยนี้ยังไม่ถึงเวลาอันควรที่ราชนารีจะได้ เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นสมเด็จพระแม่อยู่หัวบรมราชินีนาถ ผู้ทรงสำเร็จ ราชการสิทธิขาดอย่างพระเจ้าแผ่นดินโดยลำพังแห่งกรุงสยาม ฉะนั้นท่าน ห้ามมิให้จัดเอาราชนารีพระองค์ใด ๆ เข้าไว้ในลำดับสืบราชสันตติวงศ์เป็น อันขาด" การเสนอพระนามพระราชธิดาเป็นพระรัชทายาทนั้นอยู่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 23 กรณีพระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามมาตรา 22 คณะองคมนตรีจะต้องเป็นผู้เสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งในการนี้อาจจะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ แม้กระนั้นก็มิได้หมายความว่า คณะองคมนตรีจะเสนอพระนามเจ้านายพระองค์ใดก็ได้ เพราะการสืบราชสมบัติก็ยังคงต้องเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล เว้นแต่มิสามารถกระทำได้เพราะไม่มีเจ้านายฝ่ายหน้าที่จะสืบสันตติวงศ์ จึงอาจจะเสนอพระนามพระราชธิดา  และจะเห็นได้ว่าหากรัฐธรรมนูญมีเจตนาจะให้จัดเจ้านายฝ่ายในไว้ในลำดับการสืบสัตติวงศ์ ก็คงมีการเขียนไว้แล้วในมาตรา 22 แต่นี่ก็มิได้มีการเขียนไว้ และกฎมณเฑียรบาลก็ยังมิได้แก้ไขเป็นอย่างอื่น ฉะนั้นหากพิจารณาจากกฎหมายในปัจจุบันแล้ว การที่จะทรงสถาปนา "มกุฎราชกุมารี" เพื่อให้เป็นพระยศสำหรับตำแหน่งรัชทายาทของฝ่ายหญิงแล้ว จึงยังไม่น่าจะสามารถจะกระทำได้ เว้นแต่จะได้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวก็เป็นพระราชอำนาจ และอยู่ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ครับ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 54 01:07:04 จากคุณ : รอยใบลาน เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 01:04:00

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่น่าถึงเรียกผู้ชายว่าเจ้าโลก ทั้งตั้งกฎหมายทั้งออกกฎต่างๆนาๆเพื่อให้ผู้ชายได้เป็นใหญ่ ทั้งๆที่ผู้ชายก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าผู้หญิงสักเท่าไหร่ นอกจากรูปร่างสรีระเท่านั้น จากคุณ : giggsmay เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 10:10:38

ความคิดเห็นที่ 43 สมัยอียิปต์โบราณ จะสืบราชสมบัติทางฝ่ายหญิงนะครับ เป็นความเชื่อที่เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่นมากกว่าครับ และสิ่งทีเหมาะสมในอดีต ก็ใช่ว่าจะเหมาะสมสำหรับปัจจุบันซะทั้งหมด อย่างในกรณีนี้ ปัจจุบัน เราก็ยอมรับกันแล้วว่า ผู้หญิง ไม่ได้แตกต่างจากผู้ชายในเรื่องความสามารถแต่อย่างใด ผุ้นำองค์กรทั้งหลายก็เป็นผู้หญิงซะเยอะ อย่าง IBM (Thailand) เป็นต้น เพียงแต่ในเรื่องการสืบราชสมบัติของไทย ยังใช้กฏหมายเก่าที่ตรามาตั้งแต่ปี 2467 แล้วก็ยังมิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม อย่างญี่ปุ่นก็เคยจะมีการแก้กม เพื่อเปิดทางให้ฝ่ายในขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ เพราะตอนนั้นขาดทายาทเพศชาย แต่ปัจจุบัน ก็มีแล้ว เลยยังไม่จำเป็น ซึ่งผมว่าประเทศไทยก็จัดอยู่ในกรณีนี้นะครับ ตอนนี้สมเด็จพระบรมฯ ก็ทรงดำรงตำแหน่งนี้อยู่ ซึ่งตามกฏมณเฑียรบาล พระองค์ทีฯ ก็ดำรงตำแหน่งรัชทายาทอันดับที่ 2 ถ้าในหลวงไม่ได้ทรงมีพระราชดำหริให้เป็นอย่างอื่น แต่ลำดับโปเจียม ก็อีกเรื่องนึง ซึ่งไม่เกี่ยวกันนะครับ ของเราไม่เหมือนกันทางอังกฤษนะครับ ที่มีทายาทอันดับหนึ่งสองสาม และอื่นๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ประเพณีแตกต่างกันน่ะครับ จากคุณ : กริชครับผม เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 54 11:38:33

ความคิดเห็นที่ 44 อียิปต์โบราณนั้น ถือเรื่องเชื้อสายฝั่งมารดายิ่งนัก โดยเฉพาะในราชวงศ์ปโตเลมีนั้น พระราชา และพระราชินีทุกพระองค์ ล้วนเป็นพระประยูรญาติอันสนิท เช่นพี่น้อง แม้แต่เป็นพระบิดากับพระธิดาก็มีครับ เช่นคลีโอพัตรา (ที่ 7) ในชั้นแรกก็ทรงเสกสมรสกับพระบิดาของพระองค์หลังจากพระมารดาสิ้นพระชนม์ พอพระบิดาสิ้นพระชนม์ เพื่อให้พระอนุชาได้ครองราชย์โดยถูกต้องตามกฎหมาย จึงทรงเสกสมรสกับพระอนุชาอีก ในสมัยอียิปต์โบราณนั้น ทั้งพระราชา และพระราชินี ทรงราชย์ร่วมกัน เมื่อฝ่ายใดฝายหนึ่งสิ้นพระชนม์ไป อีกฝ่ายก็จะเสกสมรสกับพระญาติสนิท เพื่อให้การครองราชย์ชอบด้วยกฎหมายต่อไป ส่วนกรณีของญี่ปุ่นนั้น เคยมีพระจักรพรรดินีนาถ ครับ โดยมีทั้งสิ้นแปดรัชสมัย หกพระองค์ (มีสององค์ที่ครองราชย์ซ้ำสองครั้ง) กระนั้นก็ตาม ไม่ปรากฎว่าพระองค์ใดมีชื่อเสียงเป็นพิเศษ คงมีแต่จักรพรรดินีจิงกู ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการเท่านั้น ที่คนในปัจจุบัน (โดยเฉพาะผู้หญิง) เห็นว่าเป็นต้นแบบของผู้หญิงเก่ง อย่างไรก็ตาม กฎมณเทียรบาลได้ถูกแก้เพื่อไม่ให้ฝ่ายในขึ้นครองราชย์ได้ และได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเมื่อราว ๆ สองสามปีที่ผ่านมานี้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็ดูจะเงียบไป และนายกรัฐมนตรีได้ถอนร่างออกจากการพิจารณาของสภาแล้วครับ อีกประเทศที่เคยมีผู้หญิงขึ้นครองราชย์ และได้ยกเลิกไปในที่สุด (ก่อนที่จะล่มสลาย) ก็คือรัสเซีย ซึ่งถ้ากฎข้อนี้ไม่ถูกตั้งขึ้นมา ประวัติศาสตร์รัสเซียอาจจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากก็ได้ เพราะรัสปูตินจะไม่มีทางเข้ามายุ่งยากในพระราชสำนักได้เลย ในขณะที่พระคุณสมบัติของแกรนด์ดัชเชสโอลก้านั้น ไม่มีข้อเสียเลยไม่ว่าในทางใด ส่วนประเทศที่ไม่เคยมีกษัตรีย์เลย ก็เช่นฝรั่งเศสครับ จากคุณ : ohmygodness (ohmygodness) เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 54 09:15:16

ความคิดเห็นที่ 45 สังคมไทยแท้ๆแต่โบราณผู้ชายแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ปัจจุบันธรรมเนียมนี้ยังมีอยู่ในภาคเหนือบางพื้นที่ ที่มาเปลี่ยนไปก็เนื่องด้วยเรื่องของนามสกุล ตั้งแต่มีการตั้งนามสกุลมา เราต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของพ่อ ภรรยาต้องใช้นามสกุลสามี ทำให้ความเชื่อของเราเลือนไปและกลายเป็นว่าหญิงต้องแต่งเข้าบ้านสามีแบบจีนค่ะ จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 19:13:47

ความคิดเห็นที่ 46 เถียงกันตลอด เรื่อง Princess Royal นี้ อิอิ มีบางประเทศนะ ที่ใช้ Prince Royal/Princess Royal เป็นพระยศตายตัวสำหรับพระบรมวงศ์ทุกพระองค์ อย่างออสเตรีย-ฮังการี มีพระอิสริยยศเต็มคือ His/Her Imperial and Royal Highness Archduke/Archduchess of Austria, and Prince Royal/Princess Royal of Hungary ในเว็บไหนไม่รู้ นานมากแล้ว จำไมได้ เคยเห็นมีเรียงพระนามในลำดับการสืบสันตติวงศ์ด้วย เห็นพระนามของหม่อมเจ้าราชสกุลยุคลติดมาด้วย จากคุณ : U4704570 เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 54 23:09:19

ความคิดเห็นที่ 47 พระองค์หญิงศรีรัศมิ์ ถ้านับแบบฝรั่ง ทรงเป็นมกุฏราชกุมารี (พระชายาในมกุฏราชกุมาร) ใช่หรือไม่ สังเกตจากธงทรงใช้ธงประจำพระองค์ คือธง เยาวราชน้อย ฝ่ายใน ผืนธงสีเหลือง สี่เหลื่ยมด้านในสีน้ำเงิน มีพระครุฑ และปลายธงตัดเป็นหางนกแซงแซว วานผู้รู้ตอบที จากคุณ : peeradol33189 เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 54 11:04:04

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าความหมาย "มกุฎราชกุมารี" ของคุณ peeradol33189 หมายถึง เจ้าหญิงรัชทายาท แล้วล่ะก็  ผมขอเรียนว่า  "พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช" หรือที่ในกฎมณเฑียรบาลเรียกว่า "พระอัครชายาในสมเด็จหน่อพุทธเจ้า" มิได้มีความหมายอย่างเดียวกันแต่อย่างใด เพราะธรรมเนียมฝ่ายเราไม่ได้จัดเจ้านายผู้หญิงไว้ในลำดับการสืบสันตติวงศ์ครับ การสถาปนา "พระชายา" ขององค์รัชทายาทให้มีพระอิสริยยศดังกล่าวเป็นแต่เพียงว่า หากพระราชสวามีได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ  "พระวรชายา" พระองค์นั้นก็จะสถิตอยู่ที่ตำแหน่งพระอัครมเหสี  ส่วนเรื่องธงพระอิสริยยศนั้นก็เพียงแต่ดัดแปลงมาจากธงพระอิสริยยศของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราผู้เป็นพระสวามีเท่านั้นเองครับ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 54 07:50:21 จากคุณ : รอยใบลาน เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 54 22:34:51

ความคิดเห็นที่ 49 เคนเห็นใน สคส อวยพรปีใหม่จากวังสุโขทัย พิมพ์ว่า Their Royal Highness the Crownprince and princess of Thailand นะคะ จึงน่าจะอนุโลมว่าเป็นมกุฎราชกุมารี ตามที่เราเรียกขานพระนามพระชายาของมกุฎราชกุมารประเทศต่างๆ ได้ แต่ดิฉันคิดว่าแปลกที่ ในเมื่อภาษาไทยมีคำว่า พระวรชายา เป็นคำแทน Crown princess แล้วทำไม เรายังใช้คำว่า มกุฎราชกุมารี หรือ พระชายา กันอยู่ตลอด จากคุณ : Gunyarina (Gunyarina) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 15:06:25

ความคิดเห็นที่ 50 ผมเคยโพสถามแล้ว ไปอ่านดูกันได้ เพราะเหตุใด ชายาของสยามมกุฎราชกุมาร ถึงไม่ได้เป็นสยามมกุฎราชกุมารี http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/04/K7763280/K7763280.html จากคุณ : U4704570 เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 18:08:10

ความคิดเห็นที่ 51 ซ้ำ ^^ แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 54 18:12:33 จากคุณ : U4704570 เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 18:11:12

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณคุณU4704570 สำหรับกระทูแนะนำดีๆ คะ อ่านดูแล้วก็ได้ประโยชน์มาก แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนนะคะ ในส่วนตัวดิฉันคิดว่า คำว่า มกุฎราชกุมารีกับเจ้าหญิงรัชทายาทน่าจะเป็นภาษากวีที่ดึงมาจากนิยายเพราะฟังดูไพเราะดี และถ้าอ่านนิยายจักร์ จักร์ วงศ์ วงศ์ ก็พบดาษดื่นคะ ส่วนคำว่า พระวรชายานั้น ต้องใช้เป็นคำราชาศัพท์เฉพาะในราชวงศ์จักรีของประเทศเรา ไม่ใช่พรำเพรือนะคะ จากคุณ : Gunyarina (Gunyarina) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 20:42:19

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณคุณU4704570 สำหรับกระทูแนะนำดีๆ คะ อ่านดูแล้วก็ได้ประโยชน์มาก แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนนะคะ ในส่วนตัวดิฉันคิดว่า คำว่า มกุฎราชกุมารีกับเจ้าหญิงรัชทายาทน่าจะเป็นภาษากวีที่ดึงมาจากนิยายเพราะฟังดูไพเราะดี และถ้าอ่านนิยายจักร์ จักร์ วงศ์ วงศ์ ก็พบดาษดื่นคะ ส่วนคำว่า พระวรชายานั้น ต้องใช้เป็นคำราชาศัพท์เฉพาะในราชวงศ์จักรีของประเทศเรา ไม่ใช่พรำเพรือนะคะ จากคุณ : Gunyarina (Gunyarina) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 20:42:38

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณคุณU4704570 สำหรับกระทูแนะนำดีๆ คะ อ่านดูแล้วก็ได้ประโยชน์มาก แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนนะคะ ในส่วนตัวดิฉันคิดว่า คำว่า มกุฎราชกุมารีกับเจ้าหญิงรัชทายาทน่าจะเป็นภาษากวีที่ดึงมาจากนิยายเพราะฟังดูไพเราะดี และถ้าอ่านนิยายจักร์ จักร์ วงศ์ วงศ์ ก็พบดาษดื่นคะ ส่วนคำว่า พระวรชายานั้น ต้องใช้เป็นคำราชาศัพท์เฉพาะในราชวงศ์จักรีของประเทศเรา ไม่ใช่พรำเพรือนะคะ จากคุณ : Gunyarina (Gunyarina) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 20:42:53

ความคิดเห็นที่ 55 Just to add to Khun OhMyGodness, Female Succession & Succession THROUGH Female are 2 different things but are NOT mutually exclusive. Female successions, or succession BY females THROUGH the male line, in the more recent past were usually allowed in cases of - exhaustion in the male heirs (Spain, England, Scotland, Aquitaine, Low countries, etc) - exhaustion in the male lines (Austria, Luxembourg, the Netherlands, etc.) - usurpation of power and/or some other political reasons (Russia, Byzantine Empire, Japan, Ethiopia, etc.) The other, was succession (usually BY Males) Through Female bloodlines, although this could ALSO result in succession BY Females. It can be seen more recently in the former Kingdom of Madagascar,where the Queens Mother usually held more power than the Kings. Certainly in reality, multiple reasons above could be the combination of what actually contributed to eventual succession. แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 54 23:37:01 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 54 23:29:20 แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 54 23:28:44 จากคุณ : Dr Pong เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 54 23:26:57

ความคิดเห็นที่ 56 ตำแหน่งของ พระองค์หญิงศรีรัตน์ คือ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร  เขียนย่อเป็น พระวรชายาฯ ถ้าเป็นพระวรชายาเฉยๆ อาจหมายถึง พระชายา ของพระมหากษัตริย์ จากคุณ : หนุ่มชาวบ้าน เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 10:25:40

ความคิดเห็นที่ 57 ผมว่าน่าจะแยกได้นะครับ ในความเห็นที่ 56 ถ้าเป็นพระชายาของพระมหากษัตริย์ น่าจะใช้คำว่า พระวรราชชายา มากกว่า แต่ถ้าเป็นพระชายาในพระบรมวงศานุวงศ์ น่าจะใช้ พระวรชายาใน... ตามด้วยพระนามของพระสวามี มากกว่านะครับ จากคุณ : paracelsus (paracelsus) เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 54 18:28:13