ความคิดเห็นที่ 1 เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็น ผมมองว่าที่ใช้อยู่ก็ไม่ได้เย่นเย้ออะไร กับการเพิ่มคำว่า  "เคย" นำหน้า ก็ไม่น่าทำให้เกิดความยากลำบากในการใช้ภาษา อีกอย่างภาษาไม่ได้ใช้มากๆแล้วหมดไป ดังนั้นจะประหยัดไปทำไม อิอิ ยิ่งไปสร้างกฎการผันกริยาแบบนั้น ยิ่งจะทำให้สับสนใช้ผิดใช้ถูกกันอีก ต้องมานั่งคิดก่อนอีกว่า เฮ้ย !!! สถานการณ์แบบนี้ใช้ tense อะไรดี ขนาดฝรั่งเองเจอการผันกริยามากๆ ก็สับสนใช้ผิดใช้ถูกก็มากมาย เติม เคย เป็นเคยกิน  เคยนอน เคยอยู่ แบบนี้ง่ายกว่ามากครับ แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 16:13:57 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 16:13:06 จากคุณ : สัญญาณหางปลา เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 16:12:07

ความคิดเห็นที่ 2 เพื่อ? จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 17:24:16

ความคิดเห็นที่ 3 #1, กรณี past tense อาจเพิ่มแค่คำว่า"เคย"ได้ แต่ถ้าพวก Perfect tense หรือ past continuous หรือผสมกันล่ะครับ เช่น ...I was working there.... ...I have been working there... ...I had been working there.... ...whether I would be working there or not... ถ้าจะพูดฉันเคยทำงานที่นั่นก็จะเป็น I worked there... #2, เพื่อให้การใช้ภาษากระชับไงครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 17:46:58

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็ไม่ได้เก่งอังกฤษ เลยไม่สามารถยกตัวอย่างที่วิกฤติจริงๆได้ แต่ถ้าผมเรียนมาทางภาษา ผมจะทำวิจัยเรื่องนี้ครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 17:57:09

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าแนวคิดแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการที่สมัยจอมพลป. ได้ออกนโยบายการใช้ตัวอักษรไทยแบบใหม่เพื่อให้ดูง่ายลง แต่สุดท้ายก็ได้บังคับใช้เฉพาะในช่วงที่ท่านจอมพลยังครองอำนาจอยู่จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกเท่านั้น แต่หลังจากนั้นคนไทยก็หันกลับไปใช้การสะกดคำแบบเดิมที่คนรุ่นหลังมองว่าดู "รุงรัง" แต่กลับช่วยรักษาความหมายและรากคำได้ดีทีเดียวครับ เพราะฉะนั้น แค่การเปลี่ยนวิธีการสะกดคำยังทำได้ยาก และไม่ได้รับความนิยม ยิ่งเป็นเรื่องหลักภาษาและไวยากรณ์จะยิ่งไปกันใหญ่ครับ เนื่องจากวัฒนธรรมการใช้ภาษาได้ถูกกำหนดและสืบทอดมาเป็นแบบนี้มานาน จากรุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในภาษาไปแล้ว บวกกับลักษณะภาษาไทยทั้งเรื่องของ morphology และ syntax ที่ไม่เข้ากันหรือไม่เกี่ยวข้องกับภาษาในตระกูลวิภัตติ-ปัจจัย ดังนั้นหากจะมาเปลี่ยนไวยากรณ์ให้เหมือนกับภาษาในอีกตระกูลหนึ่งคงยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยครับ การใช้ภาษามันขึ้นอยู่กับคนใช้ว่าจะใช้มันอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพในการสื่อสารมากที่สุด โดยไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย และกินความที่เยิ่นเย้อ ไม่ได้เป็นความผิดที่ตัวภาษาแต่อย่างใดครับ เพราะฉะนั้นหากอยากจะฝึกใช้ภาษาไทยให้เก่ง และมีประสิทธิภาพ ตัวเรานั่นเองแหละครับที่ต้องเป็นฝ่ายปรับปรุงครับ ปล. จากแนวคิดที่เสนอมาสะท้อนให้เห็นว่า - เคยชินกับการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะการแชตที่ต้องการประหยัดเวลา และพื้นที่ในการเขียน รวมทั้งความลำบากในการพิมพ์แป้นอักขระไทย - เจ้าของกระทู้น่าจะไปลงเรียนวิชาการใช้ภาษาไทยอีกรอบ โดยเฉพาะเรื่องการจับใจความสำคัญ สรุปความ และย่อความ เพราะ "ทักษะ" เหล่านี้สามารถทำให้ภาษาไทยกระชับ และสื่อสารได้ตรงจุดประสงค์ได้ครับ - ตราบใดที่ยังอยู่ในประเทศไทย พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ต่อให้ "เทพ" ภาษาอังกฤษปานใด ภาษาไทยก็ยังจำเป็นในการ "ทำมาหากิน" เพราะคนอีกค่อนประเทศไม่ได้เก่งอังกฤษมากมายถึงขนาดครับ อาจจะแสดงความเห็นแบบ "แทงใจดำ" ไปบ้าง แต่อดไม่ได้ เพราะเห็นเนื้อหาแล้ว รู้สึก "ของขึ้น" เล็กน้อยครับ จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 18:09:19

ความคิดเห็นที่ 6 #5, ผมหมายถึงการเขียนบทความวิชาการด้วยครับ ตอนอ่านบทความวิชาการภาษาไทย บางทีอ่านแล้วงง เพราะความไม่กระชับของประโยค 1. ด้วยความยาวของประโยคเอง ทำให้สับสนกับใจความที่ต้องการนำเสนอ 2. ทำให้สับสนว่าไอ่ตรงที่มันเป็นคำขยาย (Adj Adv) อันนี้น่ะ คนเขียนจะขยายตรงไหน ความยาวของประโยคทำให้มีความเป็นไปได้เต็มไปหมด 3. บางทีประโยคยาวไป ทำให้เวลาจะกลับมาอ้างถึงตรงนี้อีก มันก็ไกลไปถ้าไม่กล่าวถึงใหม่ ก็เลยต้องเขียนใหม่ ก็กลายเป็นการซ้ำซ้อน(อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)เข้าไปอีก 4. ฯลฯ มันไม่ได้เกี่ยวกับการจับใจความได้หรือไม่ได้หรอก ถ้ามันทำให้กระชับได้ผมว่าคนเขียนเขาก็พยายามอยู่แล้วล่ะ แต่มันเกิดจากข้อจำกัดของภาษาต่างหากครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 18:46:14

ความคิดเห็นที่ 7 อย่าง ...I am waiting for ... ...I have been waiting for... ...I had been waiting for... ...I will be waiting for... ...I would be waitng for... เขียนภาษาไทยยังไงให้แสดงความแตกต่างประโยคพวกนี้แบบสั้นๆได้มั้ยล่ะครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 19:02:20

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเปลี่้ยนรูปแบบการเขียนไปใช้อักษรแบบอื่น ที่เกาหลี เวียดนาม จีน อินโดทำก็ไม่แปลก ถ้าให้เปลี่ยนโครงสร้างไวยากรณ์นี่ไม่เคยเห็น ที่คุณอ่านแล้วไม่กระชับก็เพราะมันผ่านการแปลหรือได้รับวัฒนธรรมจากภาษาอื่น เวลาเราดูละครบางครั้งก็รู้สึกว่าผู้แปลแปลไม่ครบ หรือแปลยาวเกินไป มันเกิดจากความต่างของภาษา ไม่เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น ภาษาจีนก็มีค่ะ บางครั้งสี่ตัวอักษรของภาษาจีนสามารถเขียนเป็นภาษาไทยได้หนึ่งประโยคยาวๆเลยทีเดียว หลายสำนวนที่มีแค่สี่พยางค์นั้นมีเรื่องราวที่มาที่ไป ถ้าแปลตรงตัวจะไม่รู้อะไรเลย ต้องไปดูประวัติความเป็นมาก่อนถึงจะเข้าใจได้ สำนวนที่ว่านี้มีเป็นพันๆสำนวน คนจีนบอกว่าเขาเข้าใจสำนวนที่ว่าแปดสิบเปอร์เซ็น และใช้เยอะมากในงานวิชาการ ยังไม่นับคำที่สื่อความหมายได้ลึกและหลากหลายอีกนะ ต้องเปลี่ยนตามไหมคะ? ถ้าให้ต่างชาติแปลคำว่า ข้า เรา ฉัน ข้าพเจ้า สารพัดสรรพนามที่คนไทยใช้กัน เขาไม่สามารถสื่อความหมายได้ทั้งหมดหรอกค่ะ มันซับซ้อนมาก นึกๆดูแล้วแต่ละภาษาจะมีรายละเอียดต่างกัน เช่น ภาษาอังกฤษให้ความสำคัญกับเวลา (ดูจากไวยากรณ์)  ภาษาไทยให้ความสำคัญกับบุคคล (ดูจากสรรพนาม) ภาษาจีนให้ความสำคัญกับความรู้สึกและเรื่องราว (ดูจากสำนวนและการใช้คำที่สั้นแต่สื่อความหมายหลากหลาย) ภาษาอื่นๆก็คงมีปัญหานี้เช่นกัน อีกหน่อยถ้าต้องแปลงานจากภาษาอื่น ไม่ต้องคอยเปลี่ยนไวยากรณ์หรือรูปแบบการเขียนอีกหรือ? คนค่อนประเทศที่คห.ห้าว่าเขาไม่สามารถเข้าใจได้อยู่แล้ว เป็นหน้าที่คนแปล ผู้สอน หรือวิทยากรให้คำอธิบาย ถ้าใครเคยเห็นการแปลของเรา บางครั้งเราต้องอธิบายนอกรอบให้ผู้อ่าน(ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าคนอ่านอยากรู้ไหม แต่ก็จะบอก) ที่เห็นได้ชัดมากคือในหนังสือผู้แปลหรือผู้เขียนจะอธิบายอยู่ตรงเชิงอรรถไว้ให้ การแปลที่กระชับต้องแปลกันหลายๆรอบ ผู้แปลต้องมีความชำนาญทั้งภาษาต้นทางและปลายทาง งานแปลสมัยนี้ทำไม่ได้แบบนี้แล้วค่ะ เพราะเอาเร็วเข้าว่า เพราะเงิน ต้องรีบส่งต้นฉบับ เราเคยแปลบทความที่เราเขียนเองแบบรีบมาก ให้เพื่อนอ่าน เพื่อนอ่านไม่รู้เรื่องก็ต้องมาช่วยกันเรียบเรียงใหม่จนได้บทความภาษาไทยที่กระชับกว่าเดิม แปลให้ดีนั้นทำได้ อยู่ที่ว่าอยากทำไหม เวลาพอหรือเปล่า ระดับภาษาถึงไหม แค่นั้น เราเคยคิดแบบจขกท.อยู่เหมือนกัน แต่พอนึกถึงข้อจำกัดของภาษาอื่น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่เปลี่ยน อุดช่องโหว่ของภาษาให้สมบูรณ์แบบได้ เลยทิ้งความคิดนี้ไป จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 19:32:20

ความคิดเห็นที่ 9 ภาษาไทยมันเป็นภาษาคำเรียงอะครับ ไม่ใช่ภาษาไวยกรณ์ ไม่มีการผันรูป ถ้ามีการใช้ tense คงจะยุ่งยากวุ่นวายน่าดู จากคุณ : Escalate เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 20:05:00

ความคิดเห็นที่ 10 #8, เรื่องคันจิภาษาจีน/ญี่ปุ่นก็เป็นอีกเรื่องที่อยากตั้งกระทู้ถามอยู่พอดีเลยครับ ว่าอยากให้ภาษาไทยมีตัวคันจิใช้ อาจเริ่มจากเรื่องที่ใกล้ตัวมากๆก่อน เช่นคันจิคำว่า คนไทย ความรัก ฯลฯ ให้รัฐบาลประกาศใช้เดือนละ 10 ตัว แล้วค่อยๆเพิ่ม ที่ภาษาจีนเป็นแบบเขียนสั้นๆแต่ได้ความหมายยาวๆ เพราะหนึ่งตัวภาษาจีน แทนตัวอักษรไทยที่ใช้บรรยายได้ไม่น้อยกว่า 2 ตัว พอดีผมไม่รู้ตัวจีน เอาเป็นคันจิละกัน 川 แม่น้ำ 山 ภูเขา 内 ภายใน ข้างใน 田舎 ต่างจังหวัด 研究 วิจัย ศึกษา 首相 นายกรัฐมนตรี ผมว่าประเด็นนี้ก็น่าสนใจครับ แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 20:08:23 จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 20:07:18

ความคิดเห็นที่ 11 ความคิดเห็นที่ 6     #5, ผมหมายถึงการเขียนบทความวิชาการด้วยครับ ตอนอ่านบทความวิชาการภาษาไทย บางทีอ่านแล้วงง เพราะความไม่กระชับของประโยค 1. ด้วยความยาวของประโยคเอง ทำให้สับสนกับใจความที่ต้องการนำเสนอ 2. ทำให้สับสนว่าไอ่ตรงที่มันเป็นคำขยาย (Adj Adv) อันนี้น่ะ คนเขียนจะขยายตรงไหน ความยาวของประโยคทำให้มีความเป็นไปได้เต็มไปหมด 3. บางทีประโยคยาวไป ทำให้เวลาจะกลับมาอ้างถึงตรงนี้อีก มันก็ไกลไปถ้าไม่กล่าวถึงใหม่ ก็เลยต้องเขียนใหม่ ก็กลายเป็นการซ้ำซ้อน(อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)เข้าไปอีก 4. ฯลฯ มันไม่ได้เกี่ยวกับการจับใจความได้หรือไม่ได้หรอก ถ้ามันทำให้กระชับได้ผมว่าคนเขียนเขาก็พยายามอยู่แล้วล่ะ แต่มันเกิดจากข้อจำกัดของภาษาต่างหากครับ จากคุณ : kiwiboyz     เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 18:46:14     ต้องขออภัยเป้นอย่างสูงหากจะกล่าวด้วยความรู้สึกของผมเองว่า นักวิชาการที่เขียนบทความทางวิชาการเป็นภาษาไทย ซึ่งท่านเหล่านีส่วนมากหรือทั้งหมดมีความเคยชินกับตำราภาษาอังกฤษ ไวยากรณ์อังกฤษ สำนวนอังกฤษหรืออเมริกัน แต่อ่อนภาษาไทยเป็นอย่างมาก จึงพยายามจะเทียบเคียงเขียนประโยคภาษาไทยโดยใช้ไวยากรณ์อังกฤษ ถ้าเขียนไม่ได้ก็จะมีความรู้สึกว่าภาษาไทยมีข้อจำกัด บทความวิชาการภาษาไทยที่อ่านแล้วงง เพราะความไม่กระชับของประโยค ก็เพราะคนที่เขียนบทความนั้นอ่อนภาษาไทย (เขียนเป็นภาษาไทยใหม่ได้ว่า "ก็เพราะบทความนั้นถูกเขียนขึ้นโดยผู้ที่อ่อนภาษาไทย") ผมไม่ใช่นักภาษาศาสตร์ แต่ทนไม่ได้เมื่อเห็นภาษาไทยพันธ์ใหม่ ไวยากรณ์ใหม่ที่ใครก็ไม่รู้ยัดเยียดเข้ามาในข้อเขียนต่างๆโดยยึดเอาไวยากรณ์อังกฤษเป็นหลักหรือต้นแบบ เอาแค่เบาะๆ เช่น "เมื่อถึงเวลา 19.00 น. อาคารนี้จะถูกปิดไฟทั้งอาคารเพื่อประหยัดพลังงาน" จากคุณ : ทัศนะ (Tassna) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 20:11:00

ความคิดเห็นที่ 12 #8 (อีกที), ถ้าเป็นไปได้ ก็น่าจะรวมข้อดีของภาษาไทย(เรื่องความสำคัญกับบุคคล)เอาไว้ แล้วเพิ่มข้อดีภาษาอังกฤษเรื่องการให้ความสำคัญกับเวลา น่าจะดีนะครับ #9, เคยได้ยินเพื่อนที่เรียนทางภาษา บอกภาษาไทยก็มีไวยกรณ์ ประธาน+กริยา+กรรม แต่ผมไม่รู้ว่าใช่นิยามของภาษาไวยกรณ์ที่คุณบอกหรือเปล่า เรื่องยุ่งยากมั้ยผมว่าน่าจะใช้กำลังงานประมาณความพยายามบัญญัติศัพท์วัยรุ่นแหละครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 20:16:32

ความคิดเห็นที่ 13 คือสงสัยว่า "สั้น" ในความหมายของเจ้าของกระทู้นี่สั้นขนาดไหนครับ หากเขียนโดยที่สื่อความครบโดยที่ไม่มีการใช้คำซ้ำซ้อนกัน หากจะยาวขนาดไหน ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็น "ธรรมชาติ" ของแต่ละภาษาที่ต้องทำแบบนั้น จะเน้นแต่ "ปริมาณ" ของคำ หรือขนาดความยาวสั้นที่กะเกณฑ์จากหน้ากระดาษไม่ได้ครับ (เพราะจุดประสงค์สูงสุดของภาษาคือ การสื่อสารให้เข้าใจและรู้เรื่องครับ) อย่างเช่น ประโยคที่บอกว่า ฉันรอ.... หากแปลออกมานั้นจะต้องใช้คำขยายความที่บอกความต่อเนื่องของเวลา หรืออาศัยบริบท (โดยเฉพาะในงานวรรณกรรม) แทนครับ เพราะในภาษาไทยไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องของ "กาล" มากเท่าในภาษาตะวันตก ฉะนั้นเมื่อแปลออกมาถ้าจะให้คนอ่านเข้าใจและเกิดสัมฤทธิ์ผลในการสื่อสาร แม้ว่าจะต้องแปลออกมายาวมากหน่อย แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำในทางปฏิบัติครับ หากปลายทางไม่เข้าใจ ต่อให้ประโยคสั้นแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ครับ (นี่ก็เป็นเรื่องภาษากับวัฒนธรรมที่มุมมองหรือทัศนะในการมองสรรพสิ่งในโลกไม่เหมือนกันในแต่ละท้องถิ่น) และอีกอย่างเวลาแปลในปัจจุบันนี้ การแปลที่ดีก็คือจะต้อง "แปลเอาความ" ออกมาอย่างครบถ้วนเหมือนเดิม มิใช่แปลตามตัวอักษรออกมาครับ อย่างเช่นตัวอย่างที่เคยอ่านจากหนังสือการแปลเล่มหนึ่งคือ Think Earth ที่เป็นสโลแกนของนิสสัน หากแปลแบบสั้นๆ ตามตัวอักษรก็จะได้ว่า คิดโลก/ คิดถึงโลก ซึ่งสื่อความไม่ตรงกับต้นฉบับ แต่ทว่าหากแปลเอาความออกมาเป็น "คิดห่วงใย ในผืนโลก" แบบนี้อาจจะยาวสักหน่อย แต่สื่อความได้ครบถ้วนทุกประการ แถมได้วรรณศิลป์ของภาษาด้วยครับ ปล. และอีกอย่างบางเรื่องที่ไม่กระทบต่อชีวิตมากมายนัก ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงมันมากก็ได้ มาแบบนี้ก็ต้องตั้งคำถามกลับไปว่าทำไมถึงคิดว่าภาษาที่มีวิภัตติ-ปัจจัยแบบอังกฤษถึงคิดว่า "ดีกว่า" ภาษาไทยล่ะครับ ผมกลับมองว่าแต่ละภาษาล้วนมี "อัตลักษณ์" เป็นของตนเอง จะมาเปรียบเทียบว่าใครดี ใครด้อยคงไม่ได้ เพราะภาษาก็เป็นวัฒนธรรมแบบหนึ่งครับ (มีอีกหลายเรื่องที่ในสังคมไทยน่าจะเปลี่ยนมากกว่าเรื่องนี้ เช่น โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม การกระจายรายได้ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม เป็นต้นครับ) แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 20:40:29 จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 20:28:14

ความคิดเห็นที่ 14 #11, "เมื่อถึงเวลา 19.00 น. อาคารนี้จะถูกปิดไฟทั้งอาคารเพื่อประหยัดพลังงาน" อันนี้เป็นตัวอย่างการเขียนที่ไม่ดี แต่ผมก็พอจะแก้ให้ดีได้ แต่ผมเคยอ่านเจองานที่เขียนมาไม่ดี พยายามแก้ให้ แต่ก็ยากที่จะแก้ให้กระชับ โดยไม่ทำให้กลายเป็นกำกวม ตอนนี้พยายามนึกตัวอย่างที่มันชัดๆ แต่นึกยังไม่ออกครับ แต่มีแน่ๆ ประเภทที่เอาปราชญ์ทางภาษามา ก็ยากที่จะเกลาได้ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 20:29:02

ความคิดเห็นที่ 15 ผมกำลังจะบอกว่าการจะให้ภาษาไทยมาใช้ tense แบบภาษาอังกฤษ มันคงจะยุ่งยากน่ะครับ เพราะภาษาไทยมันไม่มีการเปลี่ยนผันรูปกริยาเพื่อบอกกาล เช่น   I watch TV. >>>>>>  ฉันดูโทรทัศน์ I watched TV (yesterday). >>>>>> เมื่อวานฉันดูโทรทัศน์ ภาษาไทย กาลเปลี่ยน กริยาก็ไม่เปลี่ยน ถ้าจะเปลี่ยนกาลก็ต้องมีตัวบอกเวลา ในขณะที่ภาษาอังกฤษแค่ผันกริยาเป็นอดีตโดยไม่ต้องใส่ตัวบอกเวลา ก็เข้าใจแล้วว่าหมายถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว สำหรับผมการเปลี่ยนแปลงของภาษาก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่การเปลี่ยนแปลงแนวทางนี้แทบจะต้องจัดระบบภาษาไทยใหม่หมดเลยนะครับ จากคุณ : Escalate เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 20:34:28

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 15     "ผมกำลังจะบอกว่า......" คิดเป็นภาษาอังกฤษแน่เลย จากคุณ : ทัศนะ (Tassna) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 20:47:00

ความคิดเห็นที่ 17 ถึง จขกท... เพื่อให้กระชับหรอครับ มันกระชับยังไงไม่ทราบครับ อ่อ ๆ อีกอย่างนึงที่คุณยกตัวอย่างมาเนี่ย I'm waiting for, I've been waiting for อะไรของคุณนั่นอะ ผมถามหน่อยว่าทุกวันนี้คนไทยเราสื่อสารกันยังไงหรอครับ ทุกวันนี้ผมจะซื้อของ จะขึ้นรถ จะลงเรือ ผมก็พูดปกติ ไม่อย่างงั้นคงมีปัญหาวุ่นวายกันทั่วประเทศไทยแล้วมั้งครับ อย่างประโยคที่คุณยกมา ผมเองก็สามารถพูดได้ให้คนไทยเข้าใจกันเอง "กรูรอเมิงอยู่" I'm waiting for you "กรูรอเมิงตั้งนานแล้ว" I've been waiting for you ถ้ามีระยะเวลาก็ "กรูรอเมิงมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว หรือไม่ก็รอมาตั้ง 3 ชม แล้ว เมื่อไรเมิงจะมา อะไรก็ว่าไป เพราะผมก็พูดแบบนี้กะเพื่อนบ่อย ๆ ไม่เห็นเพื่อนมันจะเข้าใจผิด หรือต้องมาจริตตามไวยากรณ์อะไรเลย อีกอย่างนะครับ ผมมองว่าคนที่มักบอกว่าตัวเองเรียนสูง เก่ง มีตรรกะเนี่ย ยิ่งนับวันผมว่าความคิดมันจะบ๊องส์ ๆ ตื้อ ๆ ยังไงไม่รู้สิ ผมแปลก ๆ กับคนไทยยุคนี้จังเลย เข้าใจหาวิธีการทำอะไรให้มันวุ่นวายกันดีจัง ไม่เบื่อมั่งหรอ หรือไปทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์มากกว่านี้ไม่ดีกว่าหรอ ประเทศชาติบ้านเรามีอะไรที่ต้องแก้อีกมากมาย เหมือนอย่างกระทู้ก่อนมีการบอกให้ไทยเปลี่ยนชื่อเป็นสยามเอย หรือไม่ก็จะดีมั้ยให้คนไทยกลับมาใช้คำไทยแท้ ๆ ตัวอักษรไทยแท้ ๆ อะไรแบบนี้ คือผมไม่เข้าใจว่าคนไทยเดี๋ยวนี้เป็นอะไรกันหมด เรียนอะไรมา ใช้อะไรกันมาก็ใช้กันไปตามแบบที่เค้าใช้กันไปสิ จะไปแก้ทำไมให้มันวุ่นวาย เพราะของเดิมที่ใช้ ๆ กันอยู่มันก็ดีอยู่แล้วนี่ จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 21:17:18

ความคิดเห็นที่ 18 จาก จขกท. ใน คห. 10 ลักษณะของภาษาในกลุ่มภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี  กับกลุ่มของภาษาไทย ภาษาเขมร ภาษาลาว ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสต่างกันครับ ทำไมเราถึงจำเป็นต้องสร้างตัวคันจิขึ้นมาเพียงเพื่อให้คำมันกระชับขึ้นแบบภาษาในกลุ่มภาษาจีน หรือ ญี่ปุ่นหละครับ ในเมื่อเรามีพยัญชนะเป็นของตัวเอง ภาษาอื่นๆในหลายๆภาษา ไม่มีพยัญชนะเป็นของตัวเอง ต้องหยิบยืมเอาพยัญชนะของคนอื่นไปใช้ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโลก ต่างก็เอาพยัญชนะโรมันมาใช้ทั้งสิ้น  แล้วเรากลับอยากจะล้มเลิกการใช้พยัญชนะของเรา แล้วไปใช้รูปแบบอักษรเหมือนคนอื่นทำไม ผมไม่ใช่พวกอนุรักษ์นิยมจัดอะไรหรอกครับ แต่เห็นว่ามันไม่จำเป็น มองยังไงก็ไม่จำเป็น เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 21:25:16 จากคุณ : สัญญาณหางปลา เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 21:23:59

ความคิดเห็นที่ 19 @คุณทัศนะ คิดเป็นไทยแหละครับ แต่ดันเขียนออกมาเป็นสำนวนภาษาอังกฤษ ผิดพลาดอะไรก็แนะนำได้ครับ จากคุณ : Escalate เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 21:31:05

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านไปอ่านมาเหมือนคุณจะแนะนำให้เราสร้างภาษาใหม่มาแทนภาษาไทยมากกว่านะคะ ทั้งการสร้างกริยารูปใหม่ขึ้นมาเพื่อรองรับการอธิบายความด้านเวลา การสร้างอักษร (หรือต้องเรียกว่าสัญรูปนะ) ใหม่ขึ้นมาเพื่อแทนคำที่มีอยู่เดิม พูดตามตรงนะคะ เราว่าเทียบระหว่างการสร้างภาษาใหม่และสอนคนหกสิบเอ็ดล้านคนให้ใช้ภาษาใหม่ กับการให้คุณหัดใช้ภาษาเดิมให้คล่อง หรือเลือกไปอยู่ในที่ที่สามารถใช้ภาษาซึ่งรองรับความต้องการของคุณได้เต็มที่เนี่ย (ไม่รู้จะพูดยังไงให้นุ่มนวลกว่านี้) สองวิธีหลังง่ายกว่าเยอะค่ะ จากคุณ : ทินา (ทินา) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 21:31:21

ความคิดเห็นที่ 21 เพิ่มเติมอีกข้อ ว่า ผมไม่เคยรู้สึกลำบากใจหรือเห็นว่าการใช้ภาษาไทย พิมพ์ภาษาไทย เขียนภาษาไทยในรูปแบบนี้ ในไวยากรณ์แบบนี้ เป็นเรื่องยุ่งยาก น่าเบื่อ ยืดยาว อะไรเลยครับ ป.ล.   กินข้าวกลางวันหรือยัง Have you had lunch ? เราตอบว่า กินแล้ว Yes, I've already. แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 21:43:31 แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 21:39:31 จากคุณ : สัญญาณหางปลา เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 21:38:36

ความคิดเห็นที่ 22 #13, ผมเข้าใจที่คุณจะบอกครับ แต่ผมว่าของแบบนี้ ถ้าใครไม่เคยอ่านเจอก็จะไม่รู้หรอกว่า ไอ่ที่ว่าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันจะย้วยอะไรกันขนาดนี้ แต่ครั้นพอจะแก้ให้ ก็หาที่มันดีกว่าแบบย้วยๆไม่ได้ ไม่ใช่แค่วลีสั้นๆแบบนี้ "คิดห่วงใย ในผืนโลก" มันทั้งย้วย ทั้งซ้ำซ้อน ผมก็ไม่ได้เน้นว่าต้องสั้นหรือยาว แต่เอาให้มันอ่านแล้วรู้สึกลื่นๆ คุ้มกับตัวอักษรที่ใช้ไป #15, I watch TV. I watched TV. บอกความต่างได้แม้ไม่มี yesterday. อันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจน ถ้าเป็นไทยก็ต้องฉันดูทีวี กับฉันเคยดูทีวี หรือฉันดูทีวีไปแล้ว ซึ่งถ้ามองลึกๆ มันก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ต้องการบอกว่า I watched TV. #17, ถ้าพี่น้องตระกูลไรท์ขี้เกียจเผชิญความเปลี่ยนแปลง หรือมัวกลัวขี้ปากชาวบ้าน เราคงไม่มีเครื่องบินใช้ในยุคนี้หรอกครับ คงมีความสุขกับการนั่งรถลงเรือแค่นั้น จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 01:28:24

ความคิดเห็นที่ 23 #18, การมีพยัญชนะเป็นของตัวเอง ไม่น่าเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ไม่สามารถสร้างพยัญชนะแบบคอมพาวด์ (Compound) ที่เป็นของตัวเองเพิ่มหนิครับ ประโยชน์ชัดๆคือ ทำให้ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลน้อยลง เช่น คนไทยก็เป็นคันจิไทยๆรูปคนก้างๆ รักก็สมมติเป็นคันจิรูปหัวใจ กัน จาก "คนไทยรักกัน" ก็จะเป็น   กัน อาจเป็นตัวอย่างที่ดูปัญญาอ่อนไปหน่อยนะครับ 555+ เพราะยังไม่ได้ตกผลึกประเด็นนี้ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 01:39:17

ความคิดเห็นที่ 24 #20, ไม่ใช่สร้างภาษาใหม่ครับ แต่ดัดแปลงของเดิมทีละนิด ตามโอกาสอำนวย แต่จะดีถ้ามีการตั้งเป้าหมายและกำหนดเวลา ถ้ากลัวว่าเปลี่ยนแล้วจะทำยาก ลองดูสิครับว่าการนิยามศัพท์ใหม่ๆอย่าง "อาร์ทตัวแม่" หรือการสร้อยคำเช่น "...บ้าง อะไรบ้าง" ทำไมถึงใช้แพร่หลายโดยไม่เห็นต้องมีใครออกแรงอะไรมากมาย #21, อย่างที่บอกไปว่าไม่ได้ต้องสั้นหรือยาว แต่ภาษาที่ดีควรจะเขียนให้กระชับก็ได้ หรือเขียนให้ออกแนววรรณกรรมก็ได้ ไม่ใช่พอจะกระชับทำไม่ได้ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 01:45:44

ความคิดเห็นที่ 25 เจ้าของกระทู้ครับ ขอให้ท่านจงแปลข้อความดังต่อไปนี้เป็นภาษาอังกฤษด้วยความแตกต่าง รักเธอ รักเธอจัง ก็รักเธอ รักเธอนะ รักเธอนะเออ ก็รักเธอนะ ก็รักเธอนะเออ รักเธอว่ะ ก็รักเธอยังไงเล่า (-"-)... ตูจะแปลไงดีนี่ จากคุณ : ไวไว เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 06:01:04 A:125.25.93.35 X: TicketID:275953

ความคิดเห็นที่ 26 จากหัวข้อของ จขกท.   "เป็นไปได้มั้ยที่ภาษาไทยมีการผันกริยาสร้าง tense แบบต่างๆเพื่อกระชับภาษา" เราว่าเป็นไปได้ที่จะทำ แต่จะไม่มีคนใช้ ส่วนเรื่องเอกสารทางวิชาการ  เราว่ายิ่งเป็นไปได้น้อยมากที่คนเขียนจะมาใช้ภาษากระชับๆ เพราะคนไทยชอบเน้นปริมาณ  ใช้คำหรูหรา เยิ่นเย้อ  ยิ่งยาวยิ่งดูดี ทั้งๆ ที่จริงๆ มันยิ่งทำให้คนอ่านงงมากกว่า ถ้าจะแก้ ก็ต้องแก้ค่านิยมนี้มากกว่านะคะ จากคุณ : lalabel เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 09:16:27

ความคิดเห็นที่ 27 สิ่งที่คุณเสนอต่างจากการบัญญัติศัพท์วัยรุ่นมากค่ะ คำอย่างอาร์ตตัวแม่เป็นแสลงที่เกิดจากการนำคำที่มีอยู่เดิมมาหรือคำที่มีในภาษาอื่นมาประสมกับคำเดิมเพื่อให้เกิดความหมายใหม่นี่คะ เพราะสิ่งที่คุณต้องการคือการสร้างสัญรูปแทนความหมายใหม่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือการสร้างอักษรใหม่ (ไม่ใช่การนำของเดิมที่มีอยู่มาต่อยอด) โดยหันไปใช้ระบบอักษรภาพอย่างจีนแทนการผสมสระพยัญชนะ และสร้างคำใหม่ (การสร้างคำกริยาช่องสองช่องสาม) ขึ้นมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนที่จุดพื้นฐานของภาษาเลย ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมไม่ใช่ภาษาไทยแล้วค่ะ จากคุณ : ทินา เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 09:28:53

ความคิดเห็นที่ 28 ในเมื่อเค้าคิดแบบนั้น ก็ป่วยการที่จะพูดครับ แบบนี้ต้องให้ไปเผชิญเอง และอยู่ในโลกของตัวเอง แล้วสังคมจะเป็นคนตัดสินเองว่าลักษณะภาษาที่ปรารถนาจะให้เป็น สังคมรับไหม เพราะการที่ภาษาอยู่ได้หรือตายไป สังคมจะเป็นตัวตัดสินครับ หากคุณจะประดิษฐ์ภาษาใหม่ มันไม่ใช่แค่เรื่องว่าทำเสร็จแล้ว เอาไปใช้ได้เลย (อันต่างจากกรณีภาษาเฉพาะกลุ่ม เพราะอันนั้นใช้เฉพาะ minority ของสังคมเท่านั้น) แต่ยังมีเรื่อง "การเมือง" เข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาด้วย ไม่ว่าจะเป็น คุณจะเอาอำนาจที่ไหนมาบังคับให้คนทั้งประเทศต้องมาเรียนภาษาใหม่ที่ประดิษฐ์ขึ้นมา (คงต้องมีอำนาจแบบเจ้าอาณานิคมในสมัยก่อนที่บังคับให้คนพื้นเมืองเรียนภาษาของตัวเอง) หรือหากไม่บังคับขู่เข็ญ แต่สังคมไม่เอาด้วย จะดันทุรังใช้ภาษาแบบนี้ต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์ครับ เอาเวลาไปสร้างสรรค์อย่างอื่นให้เป็นประโยชน์แก่โลกจะดีกว่าครับ หากอนุมานจากกระทู้ที่ตั้งมา แสดงให้เห็นว่าคนตั้งกระทู้เรียนภาษาอังกฤษ จนถูกภาษาอังกฤษ (หากวิเคราะห์ตามแนวคิดแบบ Post-Colonial) เข้า "ครอบงำ" และ "จัดระเบียบวิธีคิด" ไว้เรียบร้อยแล้วว่าภาษาอังกฤษ "น่าเอาเป็นแบบอย่าง" แล้วพยายามเข้าจัดการกับ "ภาษาแม่" ให้มีมาตรฐานเช่นเดียวกับภาษาต่างประเทศที่เรียนมาครับ (เพราะโดยปกติของการเรียนภาษาต่างประเทศ เราไม่ได้เรียนตัวภาษาอย่างเดียว แต่เรียนระบบวิธีคิด วัฒนธรรม ค่านิยมของเจ้าของภาษานั้นด้วย ซึ่งประเด็นหลังนี้คนเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักเท่าไร ดังนั้นการถูกกล่อมเกลาจึงเกิดขึ้นได้ง่าย และเป็นไปอย่างไม่รู้ตัว) ปล. ลองไปอ่านเรื่อง กามนิต-วาสิฏฐี แล้วลองตัดมาย่อหน้าหนึ่ง แล้วเปลี่ยนสำนวนให้กระชับขึ้น แล้วเอามาเปรียบเทียบกับต้นฉบับ อาจทำให้ฉุกคิดได้ว่า ในบางบริบทของการใช้ภาษา "ความย้วย" ในความคิดของเจ้าของกระทู้ อาจสร้างภาพทางวรรณศิลป์ได้ดีกว่าการใช้ภาษาแบบกระชับแบบที่ภาษาอังกฤษไม่สามารถทำได้เท่าภาษาไทย อย่างน้อยที่สุดคลังคำของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษก็ต่างกันแล้วครับ จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 12:10:27

ความคิดเห็นที่ 29 "..การที่ภาษาอยู่ได้หรือตายไป สังคมจะเป็นตัวตัดสินครับ.." >> Hear, hear. ภาษามีไว้เพื่อการสื่อสารระหว่างคนในสังคม มันเป็นเครื่องมือ เมื่อเป็นเครื่องมือ มันก็ต้องสามารถถูกดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้สนองความต้องการของคนใช้ได้ ถ้าหากมันไปไม่ไหว มันใช้งานไม่ได้จริงๆ คนเขาก็โยนทิ้งเองแหละ หรือไม่ก็เอาขึ้นหิ้ง จขกท มีความคิดจะดัดแปลงเครื่องมือ ก็ไม่ว่ากัน มีสิทธิ์คิดและสิทธิ์ทำ เพราะภาษาไทยมันก็ของเราทุกคน แต่เมื่อดัดแปลงแล้ว จะถูกโยนทิ้งหรือไม่เป็นเรื่องของคนอื่นๆอีกเยอะ ก็ต้องไปฝ่าดงแข้งตรงนั้นเอาโดยธรรมชาติอย่างที่คุณภารตยุทธท่านว่า จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 12:31:02

ความคิดเห็นที่ 30 ภาษาเปลี่ยนแปลงได้แน่นอนค่ะ ถ้าภาษาไม่เปลี่ยนแปลงก็คงเป็นภาษาที่ตายแล้ว หากแต่ภาษาไม่ได้อยู่โดด ใครคิดอยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ หากแต่ภาษานั้นโยงกับวัฒนธรรม หากจะนับคำไทยแท้ๆก็ไม่แน่ใจว่ามีกี่คำกัน แต่ที่แน่ๆศัพท์ใหม่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ตามยุคสมัย ตามสถานการณ์ อย่างที่คุณ จขกท ยกตัวอย่าง พวกคำแสลงทั้งหลาย โดยคำที่แทนความหมายที่ยาวๆเราก็มีใช้อยู่แล้ว เช่นพวกคำสุภาษิต สำนวนเปรียบเทียบซึ่งไม่ได้ต่างจากการใช้อักษรแบบจีนหรือญี่ปุ่นเลยค่ะ   นอกจากนั้นการใช้ภาษาโครงสร้างภาษาก็ดูจะเปลี่ยนตลอดเวลาเหมือนกัน ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ภาษาไทยเขียนได้เรื่อยๆ ไม่มีจบประโยค อยากเติมก็เติมได้ตลอด เป็นลักษณะของภาษาไทย ก็เหมือนกับคนไทยที่ไหลไปได้เรื่อยๆตลอดนะคะ (ถึงบอกว่าภาษากับวัฒนธรรมเกี่ยวโยงกัน) เหมือนอย่างที่คุณ คห#8 บอก ภาษาอังกฤษให้ความสำคัญกับเวลา (ดูจากไวยากรณ์)  ภาษาไทยให้ความสำคัญกับบุคคล (ดูจากสรรพนาม) ก็ดูจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมคนไทยและฝรั่งได้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าภาษากับวัฒนธรรมจะเป็นสิ่งที่แทนกันทั้งหมด หากแต่ทั้งสองสิ่งนี้มีอิทธิพลซึ่งกันและกันค่ะ จากคุณ : ฝนหน้าหนาว เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 13:14:28

ความคิดเห็นที่ 31 เห็นด้วยกับคุณภารตยุทธล้านเปอร์เซ็นต์ (พอดีกีบหมดเลยให้ไมได้ ว่าแต่คุณน่าจะเขียนบล๊อกนะจะตามไปอ่าน อิอิ) คุณ จขกท อ่านงานวิจัยจัดแค่ไหนถึงคิดว่าภาษาไทยที่เขียนโดยอาจารย์หรือนักวิจัยไทยเป็นภาษาไทยแล้วเขียนไม่ดี เยินเย้ออย่างที่ว่า? แล้วคุณแน่ใจหรือว่านักวิชาการฝรั่งหรือภาษาอื่นๆเขียนได้ดีภาษากระชับทุกคน? ต้องขบให้แตกนะครับว่ามันเป็นปัญหาที่ภาษาไทยของเราหรือเป็นเพราะตัวคนเขียนกันแน่? หรือเป็นปัญหาที่ตัว จขกท เองที่ภาษาไทยไม่แข็งพอที่จะอ่านอะไรยากๆยาวๆให้แตก ลองคิดดูนะครับ ส่วนเรื่องแนวคิดของ จขกท ผมเห็นว่ามันล้าสมัย(เชย)ไปแล้วในการวิจัยภาษาหรือแสดงแนวคิดโดยการอิงเอาเกณฑ์ของภาษาอื่นมาใช้เพื่ออธิบาย แก้ไขหรือครอบอีกภาษาหนึ่ง คิดแล้วนึกถึงตอนที่เรียนวิชาวากยสัมพันธ์ที่อาจารย์ให้สรุป+วิจารณ์การวิเคราะห์ไวยากรณ์ไทยโดยใช้หลักไวยากรณ์ภาษาฝรั่งของพระยาอุปกิตฯ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าน่าสนใจมากๆ แต่ก็นั่นแหละครับ มันเป็นแค่หลักฐานโบราณชิ้นหนึ่งที่ขึ้นหิ้งให้นักภาษาศาสตร์ได้ศึกษาว่ามีนักภาษาไท่านหนึ่งคิดเช่นนั้น สมัยนี้เป็นยุคแห่งสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียมกันนะครับ ภาษาไทยเราไม่ได้ด้อยกว่าภาษาของใคร หรือใกล้จุดดับถึงขนาดต้องอาศัยภาษาอื่นมาค้ำชูหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นหรอกครับ เชื่อผมสิ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 54 14:40:14 จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 14:37:29

ความคิดเห็นที่ 32 #25, love you, love you!, love you!!!, and so on... 555+ #26 และ #29, เห็นด้วยครับ ก็คิดอยู่ว่ามันจะมีใครเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดนี้ #27, ถ้าเราเรียกรูปแบบในชุดโปรโตคอลในการติดต่อสื่อสารแบบที่เป็นอยู่ว่าภาษาไทยได้ ทำไมจะเรียกชุดโปรโตคอลที่มีรูปแบบที่ดัดแปลงไปว่าเป็นภาษาไทยไม่ได้ล่ะครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 15:55:41

ความคิดเห็นที่ 33 #28, ผมไม่ได้โดนครอบงำครับ มันมากล่อมเกลาอะไรผมไม่ได้หรอก แล้วผมก็ไม่ได้เถียงในแง่ความงามแห่งภาษาไทยอย่างที่เป็นอยู่ เพียงแต่คิดว่าจะดีกว่ามั้ย ถ้ามันจะใช้เพื่อสร้างบทความย้วยๆเพื่อคงความงามแห่งวรรณศิลป์ได้ ในขณะที่สามารถเขียนให้กระชับได้ในทุกบริบท #30, เห็นด้วยครับแต่อยากเสริมว่า หากมันสามารถรวมข้อดีจากภาษาอื่นมา โดยไม่สูญเสียข้อดีเดิมของภาษาไทยไป มันก็จะยิ่งดีไม่ใช่หรอครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 15:57:00

ความคิดเห็นที่ 34 #31, เท่าที่อ่านมาประมาณ 80% ครับที่อ่านแล้วรู้สึกทำไมต้องย้วย ทำไมต้องพูดวกวนซ้ำซ้อน จริงๆบทความภาษาอังกฤษก็มีแบบนี้ แต่โอกาสพอเจอน้อยกว่า เดาว่าคงเป็นค่านิยมในการเขียนอย่างที่ คุณ #26 ว่าไว้ แต่ปัญหาคือ พอเจอไอ่ปัญหาที่ว่า พอลองสมมติว่าถ้าเป็นตัวเองจะเขียนให้กระชับกว่านี้ได้ยังไง แล้วก็พบว่าในภาษาไทยทำได้ยากมาก ทั้งที่ผมเองแม้ไม่แตกฉานเท่าปราชญ์ภาษาไทย แต่ก็มั่นใจว่าอ่านประโยคยาวๆได้เข้าใจครับ 555+ ต้องขอบคุณเรื่องที่บอกเรื่องที่เคยมีคนเคยวิจัยภาษาในแนวนี้มาก่อน ผมไม่ได้เรียนด้านนี้โดยตรง ก็เลยไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่ถ้าผมเรียนมา มันคงเป็นหนึ่งในการทบทวนวรรณกรรม (Literature Review) ของผม แล้วผมจะหาสาเหตุของการถูกเอาขึ้นหิ้ง แล้วจะหาทางเอาลงจากหิ้งครับ โดยสรุปไอเดียนี้ไม่ได้เกิดจากว่าผมดูถูกดู:-)ภาษาไทยแต่อย่างใด ผมยังรักและเคารพภาษาไทยอยู่เช่นคนไทยทั่วไป เพียงแต่อยากรู้ความเปลี่ยนแปลงที่ผมคิดเองเออเองนี้มันดีมั้ย เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 15:57:20

ความคิดเห็นที่ 35 มีความเห็นนิดหน่อยเรื่องของคันจิหรือตัวจีน จริงๆ จะว่าไปสมัยก่อนเราแปลศัพท์ให้กระชับโดยการใช้ภาษาแขก (บาลี สันสกฤต) แต่สงสัยคนส่วนใหญ่คงจะไม่ค่อยปลื้ม เพราะก็ต้องแปลไทย(แขก)ให้เป็นไทยอีกรอบ หลังๆเลยเห็นการแปลแบบเอาความหมายเสียมากกว่า ได้คำยาวยืดเป็นกิโล หรือจะโทษว่าคนสมัยนี้ไม่สันทัดภาษาแขกดี :) เข้าใจเจตนาของเจ้าของกระทู้นะคะ แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับตัวอย่างเรื่อง tense เท่าไหร่ ถ้ายกตัวอย่างเป็นการวางส่วนขยายของคำ (วลี ประโยค) น่าจะเห็นได้ชัดกว่าว่ามันทำให้ยืดเยื้อ เยิ่นเย้อ ได้ขนาดไหน ส่วนเรื่องการวางโครงสร้างภาษาใหม่ จู่ๆจะไปสั่งว่าให้เขียนแบบนั้นแบบนี้นะ มันก็จะเหมือนสมัยจอมพลป.นั่นแหละค่ะ ไม่สำเร็จ สิ่งที่น่าจะพอเป็นไปได้คือพยายามใช้โครงสร้างภาษาที่มีอยู่เดิม แต่ใช้เฉพาะแบบที่กำกวมน้อยที่สุด แล้วใช้กันให้เป็นมาตรฐาน สักวัน แบบที่กำกวมอาจจะเสื่อมความนิยมไปเองก็ได้มั้งคะ จากคุณ : dittaya เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 20:07:00

ความคิดเห็นที่ 36 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางภาษาในระดับลึกถึงไวยากรณ์นี่เป็นไปได้ยากครับ ที่แน่ๆ ความกำกวมในภาษาไทยมีข้อดีอย่างหนึ่งคือทำให้เรายิ้มได้ด้วยครับ (ภาพจากกระทู้ C9984542 ในห้องเฉลิมกรุงครับ) จากคุณ : กุมารสยาม เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 21:26:05

ความคิดเห็นที่ 37 อยู่ที่คนพูดด้วยมั้ง คนไทยเราชอบพูดอ้อมโลก จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 54 03:19:50

ความคิดเห็นที่ 38 #35, ขอบคุณครับ ผมก็เพิ่งรู้ว่าอันนี้ก็เป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์ของการใช้เอาภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย #36, เพลงสมัยไหนเนี่ยครับ 555+ #37, บางทีมันก็เป็นเพราะวัฒนธรรม แต่บางทีมันก็เพราะไม่อ้อมลำบากเพราะข้อจำกัดทางไวยกรณ์ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 54 15:14:08

ความคิดเห็นที่ 39 เป็นเพราะมีความรู้ทางภาษามาก ทำให้เกิดการเปรียบเทียบภาษา ไม่เป็นเรื่องแปลกสำหรับคนรู้หลายภาษา แต่ภาษาแต่ละภาษาก็มีลักษณะพิเศษในตัวของมัน ยกตัวอย่างบางทีเราก็รำคาญมาก เวลาจะrefer ถึง "เขา" แบบไม่ต้องแยกเพศ จะต้องมาปรับประโยคใหม่หมด ไม่งั้นก็ต้องเปลี่ยนตรงนั้นตรงนี้ นึกๆอยากจะให้มีคำกลางเช่นภาษาไทยเหมือนกัน จากคุณ : Fernnise (Fernnise) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 01:54:28

ความคิดเห็นที่ 40 ถ้า จขกท คิดอย่างนั้นจริงๆ งั้นอยากจะถามว่า คำเหล่านี้ คุณคิดจะผันยังไง "ไป มา เดิน กิน นอน คิด ดู" จะผันยังไงอ่ะ ไป ไปยา ไปโย ไปเย กิน กินนา กินโน กินเน ดู ดู่ ดู้ ดู๊ ดู๋ ...??? ก็ในเมื่อพื้นของภาษาไทยมันไม่ได้เหมือนภาษากลุ่มวิภัติ-ปัจจัย ถ้าจะผันกริยาเหล่านี้คุณก็ต้องเปลี่ยนคำใหม่ทั้งระบบเลยนะ ไหนจะพจน์ การก วาจก จะเปลี่ยนด้วยรึเปล่าล่ะ ลองคิดดูแล้วกัน ภาษาบาลี-สันสกฤตมีอิทธิพลต่อภาษาทางเอเชียอาคเนย์มานมนานกาเลมากแล้วใช่มั๊ยครับ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ภาษาทางภูมิภาคนี้กลายเป็นตระกูลเดียวกับภาษาบาลี-สันสกฤตได้ ผู้คนในภูมิภาคนี้ก็มิอาจจับภาษาตนเข้าบวชได้ทุกกรณีใช่มั๊ยครับ ฉันใดก็ฉันนั้น ... แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 54 01:57:11 จากคุณ : RX_ALCHEMIST (RX-ALCHEMIST) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 54 01:47:17

ความคิดเห็นที่ 41 #40, ในขั้นปฏิบัติผมก็ยังไม่ทราบว่าจะต้องทำยังไง แต่คิดว่าถ้าจะทำจริงๆมันก็ทำได้ครับ จากคุณ : kiwiboyz เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 54 22:06:38