 |
พูดเรื่องนิสัยเรื่อง "ความเกรงใจ versus ความเกรงกลัว" ไปแล้ว คราวนี้มาพูดเรื่องภาษากัน
ลองเปรียบเทียบโครงสร้างประโยคภาษาไทยกับอังกฤษกัน
คุณเคยสังเกตไหมว่า คนไทยหลายๆคนเขียนภาษาไทย มันมี redundancy บ่อยๆ เช่นย้ำ subject, verb, object และ modifiers มากเกินความจำเป็นแต่ก็ไม่มีใครทักท้วงว่าผิดปกติ แต่ถ้าใครเขียนภาษาอังกฤษแบบนั้นจะถือว่า ผิด grammar ทันที...!!!
เราไม่ได้เรียนมาทางด้านภาษา แต่เราจะวิเคราะมันด้วยปรัชญาตะวันออกที่เราพอจะรู้อยู่บ้าง
คนหรือพืชที่เกิดและเติบโตในดินแดนร้อน (พลังหยาง) จะมีลักษณะเป็นหยิน พลังหยินมัน expansive (แผ่กระจายออก) คนไทยอยู่ในอากาศร้อนกินอาหารหยิน (พลังเย็น) ให้ไป balance กับดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อม ร่างกายและความคิดจะ expansive นั่นก็คือ จะพูดอ้อมค้อม โดยใช้จำนวนคำมากๆ บางทีกลายเป็นพูดวกไปวนมา
แต่ในทางกลับกัน
คนหรือพืชที่เกิดและเติบโตในดินแดนหนาว (พลังหยิน) จะมีลักษณะเป็นหยาง พลังหยางมัน contractile (หดตัว กระชับ) ฝรั่งที่อยู่ในอากาศหนาวกินอาหารหยาง (พลังร้อน) ให้ไป balance กับดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อม ร่างกายและความคิดจะ contractile นั่นก็คือ จะพูดส้นๆกระชับ ตรงไปตรงมา โดยใช้จำนวนคำน้อยๆ บางทีกลายเป็นพูดห้วนๆไปเลย
แต่กระนั้นก้อตาม ภาษาอังกฤษสมัยโบราณมันก้อเยิ่นเย้อพอดูเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนที่ใช้ภาษาอังกฤษทั่วโลกขณะนี้เขามีพัฒนาการที่จะเขียนให้เข้าประเด็นกันไปเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา ในขณะที่คนไทยมัวแต่ไปจับผิดกันเรื่องออกเสียงอักขระไม่ชัดหรือเรื่องวัยรุ่นสะกดผิด ภาษาไทยเลยไม่พัฒนาการไปในด้านโครงสร้างให้เขียนอะไรยากๆ แล้วกระชับ มันก็เลยทำไม่ได้...ถ้างงว่าจริงหรือเท็จ จะเล่าให้ฟัง
ที่เราบ่นๆว่าคนไทยเขียนอะไรซ้ำๆกันน่ะ ตอนจบเรากลายเป็นต้องเขียนแบบนั้นจริงๆ เวลาแปลภาษากฎหมายจากอังกฤษเป็นไทย นั่นก็เพราะว่าโครงสร้างภาษาไทยไม่ทรงพลังมากพอที่จะเขียนเรื่องอะไรที่ซับซ้อนม้วนเดียวจบได้ แต่มันจะต้องมีการย้ำ subject, verb, object และ modifier ซ้ำๆกันในประโยคหลายๆที หากมิเช่นนั้นแล้วผู้อ่านจะหลงประโยค เข้าใจยาก มา เราจะสาธิตให้ดู จะลองแปลอังกฤษเป็นไทยแบบ word for word ให้ดู แล้วจากนั้นจะแปลแบบย้ำๆๆๆๆ ให้ดู ว่าอันไหนจะอ่านรู้เรื่องมากกว่ากัน...
Source text (ภาษาต้นทาง) On April 12, 2000, before me, Adele Yoshioka, Notary Public, personally appeared Martha Mikita personally known to me or proved to me on the basis of satisfactory evidence to be the person whose name is subscribed to the within instrument and acknowledged to me that she executed the same in her authorized capacity, and that by her signature on the instrument the person, or the entity upon behalf of which the person acted, executed the instrument.
Target text (ภาษาปลายทาง แปลแบบแกล้งโง่ คือ verbatim translation เพื่อให้ faithful to the original มากๆนะ เราแถม punctuation ให้ด้วยเอ้า...!!!)
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2543, ต่อหน้าข้าพเจ้า, แอดเดอเล โยชิโอกะ, นิติกร, ปรากฏตัวโดยเป็นการส่วนตัว มาธา มิกิตะ รู้จักโดยเป็นการส่วนตัวโดยข้าพเจ้า หรือได้รับการพิสูจน์ต่อข้าพเจ้า ตามเกณฑ์ของหลักฐานอันเป็นที่น่าพึงพอใจว่าเป็นบุคคลซึ่งชื่อถูกลงนามไปยังเอกสารข้างใน และถูกรับรู้โดยข้าพเจ้าว่า เธอจัดทำสิ่งเดียวกัน ในตำแหน่งที่ได้รับมอบอำนาจของเธอ, และว่า โดยลายเซ็นของเธอบนเอกสารดังกล่าว บุคคล, หรือองค์กร ซึ่งแทน บุคคลดังกล่าวกระทำการ จัดทำเอกสาร.
มันอ่านไม่รู้เรื่อง ใช่ไหมล่ะ...555+++...
คราวนี้เราลองแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาอังกฤษให้เยิ่นเย้อแบบไทยๆก่อน มันจะแปลได้ง่ายขึ้น
จาก Source text แบบนี้นะ On April 12, 2000, before me, Adele Yoshioka, Notary Public, personally appeared Martha Mikita personally known to me or proved to me on the basis of satisfactory evidence to be the person whose name is subscribed to the within instrument and acknowledged to me that she executed the same in her authorized capacity, and that by her signature on the instrument the person, or the entity upon behalf of which the person acted, executed the instrument.
เราแปลอังกฤษเป็นอังกฤษก่อน เพื่อให้ได้ใจความที่แปลเป็นไทยได้ง่าย และจะได้อะไรแบบข้างล่างนี้ *****A restatement of the source text:
On April 12, 2000, Martha Mikita personally appeared before me, Adele Yoshioka, Notary Public.
I personally know her or have satisfactory evidence to prove that she is the person who subscribed her name to the enclosed instrument.
By her signature on the instrument, I also acknowledge that the person or the entity, on behalf of which she acted, executed the instrument.*****
ให้สังเกตดูดีๆว่า source text มีแค่ประโยคเดียว แต่ a restatement of the source text มีตั้ง 3 ประโยค แน่ะ แต่ลำดับคำ มันแปลเป็นไทยได้ง่ายกว่า
คราวนี้แปลใหม่ตามลำดับคำที่เรียงใหม่
Target text: *****เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2543 มาธา มิกิตะ มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าพเจ้า แอดเดอเล โยชิโอกะ ซึ่งเป็นนิติกร ข้าพเจ้ารู้จักบุคคลผู้นี้โดยเป็นการส่วนตัว หรือมีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า บุคคลผู้นี้ เป็นบุคคลที่ลงนามในเอกสารซึ่งแนบมานี้ จากลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าว ข้าพเจ้ายังรับรองอีกด้วยว่า บุคคลผู้นี้ ได้จัดทำ (ลงนามใน) เอกสารฉบับดังกล่าว หรือองค์กร ซึ่งบุคคลผู้นี้กระทำการแทน ได้จัดทำ (ลงนามใน) เอกสารดังกล่าว*****
ตัวอย่างการแปลนี้เอามาจากกระทู้เดิม (ตอนนั้นเราใช้ login เดิมคือ agelesstansy) คืออันนี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/06/K6753328/K6753328.html
ไปอ่านกระทู้นี้เพิ่มเติมเรื่องความแตกต่างระหว่างโครงสร้างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/12/K8680890/K8680890.html
^^ กระทู้เดิมพวกนี้ส่วนใหญ่เราพูดถึง เวลาแปลจากภาษาอังกฤษที่กระชับ ให้เป็นไทย ให้อ่านเข้าใจง่าย เนื่องจากโครงสร้างภาษาไทยไม่กระชับ นักแปลจึงต้องเขียนภาษาไทยให้ให้มันย้ำๆซ้ำๆ เพื่อไม่ให้คนอ่านหลงประโยค
แต่ในทางกลับกันเวลาแปลไทยเป็นอังกฤษ ก้อต้องทำกลับกัน นั่นก็คือคนไทยมักจะใช้คำพูดมากจำนวนคำ นักแปลก้อต้องเอาความคิดที่มันกระจุยกระจายกัน มาเรียงลำดับใหม่ แล้วเขียนใหม่ให้กระชับกว่าเดิม...
^ ตอนนี้ยังไม่มีเวลา ถ้ามีเวลาจะหาตัวอย่างการแปลไทยเป็นอังกฤษ ที่ภาษาไทยมันกระจุยกระจาย แล้วนักแปลต้องรวบรวม ideas แล้วเขียนใหม่เป็นภาษาอังกฤษให้มันกระชับแบบม้วนเดียวจบไปเลย...
สรุป แปลอังกฤษเป็นไทย มันคือ analysis (ทำสิ่งที่กระชับใ้ห้มันกระจุยกระจายออกมา) แต่ แปลไทยเป็นอังกฤษ มันคือ synthesis (ทำสิ่งที่กระจุยกระจาย ให้มันกระชับเข้าไป)
แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 54 13:26:43
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ก.พ. 54 13:19:37
|
|
|
|
 |