ความคิดเห็นที่ 1 พระอรหันต์กลางกรุง นี่คือเป็นสิ่งสมมติที่ชาวบ้านบอกกันใช่ไหมคะ จากคุณ : superkoy เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 01:45:14

ความคิดเห็นที่ 2 ข้าพเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าไม่เคยบรรลุอรหัตตผล แล้วข้าพเจ้าจะบอกได้อย่างไรว่าพระรูปไหนเป็นพระอรหันต์? คาดเดาไปก็รังแต่เพิ่มมลทิลให้จิตเศร้าหมอง จากคุณ : Rock Cult เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 09:48:32

ความคิดเห็นที่ 3 ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ โจรเห็นโจร ผีเห็นผี คนมีกิเลส เห็นคนมีกิเลส คนสิ้นกิเลส จึงจะเห็นคนสิ้นกิเลส ด้วยกัน ปุถุชน ฤา จะรู้จัก  อริยะ ฉันใด ปลาก็ในน้ำ ก็ไม่รู้จัก สภาวะของ นกที่อยู่บนบก ได้ฉันนั้น จากคุณ : GiveForAll เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 10:16:40

ความคิดเห็นที่ 4 พวกที่สร้างและขายวัตถุมงคลเท่านั้น จึงจะรู้ว่า ใครเป็นพระอรหันต์ จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 11:07:32

ความคิดเห็นที่ 5 ^ ^ ^ หมายถึง ตามแต่ผู้สร้างและผู้จำหน่าย วัตถุมงคลนั้นๆ จะอ้างอิงให้เป็น เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ใช่ไหมครับ จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 12:04:25

ความคิดเห็นที่ 6 จากตำราต่างประเทศมากมาย เราค้นพบว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งสุชภาพ ระดับ Ayurveda  (อายุรเวช) ของอินเดีย หรือระดับหมอเทวดาของจีน ระดับวรยุทธ์และกำลังภายในเหมือนในนิยายจีนเลยหละ แต่อนิจา ปราชญ์อินเดียที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ คงเขียนภาษาให้ตีความลำบากมากๆ เลยศาสตร์พวกนี้ (ที่จะทำให้พระบรรลุอรหันต์ได้) ไม่มีเขียนไว้เป็นภาษาไทย เลย (ในภาษาไทยกลายเป็นพระธรรมวินัย หรือละกิเลศ และปลงฯลฯ)  แต่ความเร้นลับในศาสนาพุทธ มีเขียนไว้เป็นภาษาอื่น   จากการค้นคว้าตำราต่างประเทศมามากเราได้ข้อมูลว่าคนในศาสนา นิกาย หรือลัทธิอื่นเช่น ฮินดู เต๋า โยคะฯลฯ พวกนี้ก้อมีผู้ฝึกจนบรรลุระดับเซียน (เทียบเท่าพระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธ์) หรือถึงขั้นนิพพานมาได้ทั้งก่อนและหลังพระพุทธเจ้า โดยไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกพุทธแบบไทยๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดที่เป็นรูปแบบเหมือนๆกัน ก้อคือ คนในศาสนา นิกาย หรือลัทธิดังกล่าวที่ฝึกจนบรรลุได้ในระดับสูงๆ เช่น Bodhidharma (菩提达摩) ที่คนไทยเรียกตั๊กม้อ ซึ่งเป็นเจ้าสำนักเส้าหลิน ที่ฝึกเซน และ Zhāng Sānfēng (张三丰) ที่คนไทยเรียกว่าจางซันฟง ซึ่งเป็นเจ้าสำนัก Wudang (ที่คนไทยเรียกบู๊ตึง) ที่ฝึกเต๋า นั้น ทั้ง 2 คนฝึกจนบรรลุได้   แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกัน นั่นก็คือ คนทั้ง 2 คน เมื่ออายุเกิน 100 ปี จะมีพลังมหาศาล ทั้งวรยุทธ์และพลังจิต ระดับต่อสู้เอาชนะเด็กหนุ่มๆได้สบายๆ คนพวกนี้ ยามจะบรรลุ และจะละสังขาร จะดึงวิญญาณออกจากร่างผ่านจุดกลางกระหม่อม (คนจีนเรียกว่า Bai Hui  คนอินเดียเรียกว่า Sahasrara Chakra) อย่างสง่าผ่าเผย  พวกโยคีก้อเหมือนกันตอนอายุมากๆจะมีพลังมหาศาล ระดับนั่งสมาธิแล้วดึงวิญญาณออกจากร่างได้.... "ไม่มีผู้ฝึกสำเร็จคนไหนที่เมื่อยามแก่เฒ่าจะเดินกระย่องกระแย่งหรือเข้าโรงพยาบาลเพราะความชราภาพเลยแม้แต่สักคนเดียว คนที่ฝึกสำเร็จทุกคนมีพลังเปี่ยมล้นก่อนตายหมด" ดังนั้น ถ้าเราเห็นพระที่ไหนอายุแค่ 80 กว่าๆเดินกระย่องกระแย่ง ปลุกเสกของขลัง แต่ของขลังไม่ทำให้ตัวท่านเอง เดินเหินคล่องแคล่วว่องไวแบบเด็กวัยรุ่นได้  ซึ่งแตกต่างจากพระในนิกายเซน นักพรตเต๋า หรือโยคีที่อายุเป็นร้อยๆปี แต่ยังทรงพลังมากๆ  เราจึงเชื่อว่่าพระหรือเกิจอาจารย์ที่แก่ๆเดินกระย่องกระแย่งแล้วมรณภาพไปในสภาพที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บและความชราภาพอย่างทุลักทุเล ไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ได้ การบรรลุอรห้นต์เราว่า ควรไปแบบละสังขารอย่างสง่างาม เหมือนๆกับ Bodhidharma (菩提达摩) หรือ Zhāng Sānfēng (张三丰) หรือโยคีที่ทรงพลังเมื่อยามอายุเป็นร้อยๆปี บางท่าน...คนเหล่านี้ฝึกสำเร็จแล้วจริงๆ เพราะได้คำสอนที่เข้าถึงแก่นแท้ไป... แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 54 18:05:29 แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 54 15:16:51 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 15:10:49

ความคิดเห็นที่ 7 1. เจ้าคุณนรรัตน์ท่านไม่เคยอ้างหรือกล่าวว่าท่านเป็นพระอรหัตน์เลยครับ ท่านคึกฤทธิ์เคยไปถามท่านเจ้าคุณนรรัตน์ว่า"ได้ยินเขาพูดมาว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้วจริงหรือ" ท่านเจ้าคุณนรฯ ยิ้มๆและเรียกให้ท่านคึกฤทธิ์มาใกล้ๆ และกระซิบข้างหูว่า "ไอ้บ้า......." 2. ท่านเจ้าคุณนรฯ หลังจากบวชแล้วก็จำวัดที่วัดเทพเกือบตลอดครับ ท่านไม่ได้ออกไปไหนเลย ว่ากันว่า ท่านเคยบอกว่าไม่เคยเห็นสะพานพุทธ เพราะไม่ได้ออกไปไหน.......(แสดงว่าท่านไม่ได้ออกไปไหนมาอย่างน้อยๆก็ตั้งแต่ปี 2475) 3. ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ไม่ได้ออกบิณฑบาตรตอนเช้าๆครับ เพราะท่านเล่าว่า "แรกๆก็ออกตามปกติ แต่เพราะญาติโยมนิยมรอใส่บาตรท่านแต่รูปเดียว ทำให้พระรูปอื่นๆได้นับบาตรน้อยลง และวันหนึ่งท่านออกเดินบิณฑบาตรตามปกติ ก็เจอพระรูปอื่นรีบเดินเร็วๆตัดหน้าเพื่อไปรับบาตร เลยมีคนติฉินว่า หมามันยังไม่แย่งข้าวกันกิน แต่นี่พระดันมาแย่งบาตรกัน......." ท่านเลยไม่ออกบิณฑบาตรอีกเลยนับแต่นั้น อาหารที่ท่านฉันเลยมาจากอาหารที่ญาติโยมมาถวายทั้งสิ้น แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 54 16:38:39 จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 16:28:58

ความคิดเห็นที่ 8 "หลวงตามหาบัว"ถือว่าเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าครับ จากคุณ : ฤทธิ์วัฒน์ เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 18:13:42

ความคิดเห็นที่ 9 เข้ามาถกกับคุณ fortuneteller เลยนะเนี่ย ออกตัวก่อนว่าผมเป็นพวกศึกษาศาสนาพุทธแบบงูๆ ปลาๆ นะครับ เลยว่าตามความเข้าใจของผม คำว่าอรหันต์ จริงๆ แล้วเป็นสภาวะของจิตที่หมดกิเลสแล้ว กิเลสไม่สามารถมากระทบหรือมีผลได้อีก เหมือนหมดเชื้อไฟ  แต่ตัวดวงจิตนั้นก็ยังอยู่ ถ้าร่างยังอยู่ ยังรู้สึกร้อน หนาว หิว เจ็บได้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อจิต เช่นยินดีหรือเศร้าหมอง แต่ไม่ได้แปลว่าท่านจะกลายเป็นผัก นั่งเฉยๆ ซึ่งต่างจากการฝึกวรยุทธครับ ดังนั้น พระอรหันต์ก็ป่วยได้ เพราะท่านฝึกจิต ไม่ได้ฝึกสังขาร เพียงแต่จิตท่านมีสติตลอดเวลา แต่ถ้าสังขารไม่ไหว ถึงเวลาท่านก็ต้องละสังขาร นิกายอื่นที่ฝึกสมาธิจนได้ระดับสูง ทางศาสนากล่าวว่าเป็นขั้นได้ญาณ ตายไปไปเกิดเป็นพรหมครับ แต่เนื่องจากเป็นการฝึกแบบมีสมาธิสุดยอด มีญาณวิเศษต่างๆ ได้ แต่กิเลสยังไม่ดับ ดังนั้น สุดท้ายก็ยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก พระพุทธเจ้าก่อนมาตรัสรู้ ท่านก็ไปฝึกจนบรรลุขั้นสูงสุดนั่นแหละ แต่พระองค์ก็รู้ว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้น จึงต้องมาแสวงหาทางเอง จนตรัสรู้ไงครับ คือหลุดพ้นจากกิเลส จุดมุ่งหมายของศาสนาพุทธ คือมุ่งละกิเลสให้ได้ เพื่อไปนิพพานเร็วๆ คือเมื่อร่างสลายไปแล้ว จิตก็จะไปยังสภาวะที่เรียกว่านิพพาน คือไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่นิพพานเป็นอย่างไร บอกไม่ได้ เพราะยังฝึกไปไม่ถึงครับ จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 19:52:02

ความคิดเห็นที่ 10 ถามหา "สมี" กลางกรุงจะหาได้ง่ายกว่า จากคุณ : Cyber Sage เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 19:52:22

ความคิดเห็นที่ 11 คุณครับ     คนที่จะรู้ได้ว่าผู้ใดบรรลุอรหันต์แล้ว    ก็มีแต่ผู้ที่บรรลุอรหันต์ด้วยกันเท่านั้น      คนระดับอื่นไม่มีทางรู้หรอกครับ         และผู้ที่บรรลุอรหันต์ก็จะบอกใครไม่ได้ด้วยว่าตนบรรลุอรหันต์แล้วเพราะพระวินัยห้ามไว้เด็ดขาด จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 20:52:13

ความคิดเห็นที่ 12 ตอบคุณประกอบ คคห 9 คุณกับเราอ่านตำรากันคนละแหล่งที่มาและคนละภาษากัน รับรองว่าถกกันไปก้อเสียเวลาเปล่าๆ เพราะเรา 2 คนคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ทางทีดีคุณก้อเชื่อแบบที่คุณเชื่อ แล้วเราก้อเชื่อแบบที่เราเชื่อ แล้วไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แบบที่เต๋าเขาสอนว่า Do nothing. Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care for. จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 21:43:39

ความคิดเห็นที่ 13 ความรู้ที่คห. 6 ค้นคว้าไว้ไม่ใช่คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเถรวาท สำหรับเรื่องอรหัตมรรคในพุทธศาสนาเถรวาท ผู้ใดสนใจก็ค้นคว้าได้ไม่ยากที่จะทราบว่าเนื้อหาของอรหัตมรรค ข้อความมีอย่างไร จากคุณ : elenote เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 22:30:45

ความคิดเห็นที่ 14 ^ สิ่งที่เราพูดถึีงใน คคห 6 ซึ่งเราค้นคว้าจากตำราต่างประเทศ (ที่ไม่ใช่คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเถรวาท) นั้น เราเล่าให้ฟังไว้ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10224717/K10224717.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 11:46:38