PANTIP.COM : K10220571 ถามเรื่องซื้อหนังดีวีดีมาฝึกอังกฤษครับ [ห้องเรียนภาษาอังกฤษ]

ความคิดเห็นที่ 2

ลองอ่านดูนะครับ เอามาจาก english2days.com

แนะนำเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อคนไทยได้เก่งอังกฤษเยอะๆๆ
(ภาค 5 : การฟัง)

5. การฟัง (Listening)

หลังจากที่เราได้เรียนรู้และเรียบเรียงความคิดในการที่จะเก่งภาษาอังกฤษทั้ง 4 ภาคมาแล้ว คือ ไวยากรณ์ คำศัพท์ การอ่าน การเขียน คราวนี้ลองมาพิจารณาว่าทำอย่างไรให้ฟังภาษาอังกฤษ (Listening) เข้าใจกันนะครับ

หลายท่านบอกว่าการฟังคือยาขมมากๆ ผมเรียนให้ทราบว่าอย่าคิดว่าเป็นยาขมเลย ให้คิดในเชิงบวกว่ามันคือความท้าทาย (Challenge) ถ้าเราทำได้ ก็จะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

การฟังขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ฝึกฝน และ ฝึกฝน อย่างต่อเนื่องนะครับ ซึ่งในปัจจุบันนี้โอกาสในการที่เราจะฟังภาษาอังกฤษมีมากขั้น โดยผ่านสื่อ ภาพยนตร์ ยิ่งบางท่านทำงานกับบริษัทที่มีชาวต่างชาติ หรือมีเพื่อนเป็นคนต่างชาติ คุณก็จะมีโอกาสมากขึ้น

การฟังต้องมีพื้นฐานไวยากรณ์มานะครับ (ไวยากรณ์อีกแล้วหรือเนี่ย เฮ่อ ) เพราะจะทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งที่เราได้ยินนั้นมีรูปลักษณะประโยคอย่างไร เพราะว่าสิ่งที่เราจะได้ยินก็ต้องประกอบด้วย

ประธาน (Subject) + กริยา (Verb) + กรรม (Object)

ซึ่งจะต้องสอดแทรกกับเรื่องต่างๆ ในไวยากรณ์เข้าไป เช่น กาล (Tenses) โครงสร้างในการสร้างประโยคในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นการเข้าใจไวยากรณ์ ยิ่งมากเท่าไร ทำให้มีโอกาสที่จะเข้าใจเรื่องที่ฟังมากขึ้น

เอาหละคราวนี้พร้อมที่จะฟังแล้ว เราก็ต้องหาโอกาสไปฟังให้ได้ แล้วจะฟังภาษาอังกฤษจากไหนได้บ้างหละ

1. ภาพยนตร์ (Movies) ให้รวมถึง VCD DVD นับได้ว่าเป็นสื่อการฟังที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด และสามารถจูงใจให้เราฟังได้มา เนื่องจากก่อให้เกิดความบันเทิงด้วย และประการสำคัญเราสามารถได้อ่าน Subtitle ที่แปลภาษาไทยด้านล่าง แต่เราควรจะต้องรู้ศัพท์มากๆ เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่ตัวละครพูดออกมา ยิ่งถ้าได้ดูบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดทักษะมากขึ้นแล้วทำให้เราเริ่มคุ้นเคยกับสำเนียง ซึ่งการเลือกชมภาพยนตร์ก็มีความสำคัญ บางครั้งภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับเด็ก เช่น Kindergarten Cop (2533) จะทำให้เราฟังออกเนื่องจากมีการพูดค่อนข้างช้า บางครั้งเราต้องค่อยๆ ฟังสำเนียงของผู้แสดงแต่ละคน ลองหาดูนะครับใครที่แสดงแล้วพูดชัดและช้า ทำให้เราเข้าใจได้ง่าย ก็ลองหาภาพยนตร์ของดาราคนนั้นมาดูอีก อันทำให้เรามีกำลังฟังมากขึ้น

มหัศจรรย์ของ DVD
ปัจจุบัน DVD มีราคาถูกมากขั้น สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ ท่านทราบหรือไม่ครับ DVD จะทำให้ท่านฟังภาพยนตร์เรื่องนั้นออกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีวิธีการดังนี้

ขั้นที่ 1 ซื้อ DVD ภาพยนตร์เรื่องที่ท่านชื่นชอบมา แล้วเปิดดูปกติโดยเปิด Subtitle ภาษาไทยก่อน เมื่อท่านดูจบท่านจะเข้าใจเรื่องราวในภาพยนตร์นั้น

ขั้นที่ 2 ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ซ้ำ แค่คราวนี้ เปิด Subtitle ภาษาอังกฤษ (นี่คือข้อดีสำหรับ DVD คือ สามารถเลือก Subtitle เป็นภาษาอะไรก็ได้) ท่านก็ชมให้จบ แต่คราวนี้ท่านจะรับรู้ในสิ่งที่ตัวละครพูดออกมา สำหรับเนื้อเรื่องท่านเข้าใจมาก่อนหน้านี้แล้ว

ขั้นที่ 3 ชมภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้ง และยังคงเปิด Subtitle ภาษาอังกฤษ แต่คราวนี้ขอให้ท่านเตรียมสมุดปากกาไว้ แล้วชมภาพยนตร์ เมื่อท่านเจอศัพท์ที่ท่านไม่ทราบด้านล่างที่ปรากฏใน Subtitleเมื่อตัวละครพูดออกมาก็ให้จดเอาไว้ เมื่อชมภาพยนตร์จบ ให้นำศัพท์นั้นมาศึกษา หาประเภทของคำว่าเป็นคำนาม กริยา หรืออื่นๆ พร้อมคำแปล ซึ่งจะทำให้ท่านรู้ศัพท์ในการสนทนา

ขั้นที่ 4 คราวนี้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ซ้ำอีกครั้ง แต่ไม่เปิด Subtitle เลย มีคำพูดล้วนๆ โดยท่านไม่ต้องกังวลว่าจะเข้าใจเนื้อเรื่องหรือไม่ เพราะท่านเข้าใจเนื้อเรื่องดีอยู่แล้ว อีกทั้งท่านทราบคำศัพท์ยากๆ มาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่คราวนี้ท่านพยายามฟัง โดยสังเกต การออกเสียงจากปากตัวละคร ดูไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้สึกว่าท่านฟังออก ในขั้นตอนนี้ท่านอาจจะเปิดชมกี่รอบก็ได้ ยิ่งชมมาก ท่านก็จะฟังออกมากขึ้น

จะเห็นได้ว่า DVD ก็เป็นแหล่งการศึกษาภาษาอังกฤษอีกทางหนึ่ง ที่สำคัญคือ ท่านต้องซื้อเรื่องที่ท่านโปรดปราน อาจจะด้วยเหตุผลเพราะ เนื้อเรื่องดี วิวภาพยนตร์สวย หรือ ชื่นชอบดารา อันนี้ไม่ว่ากันครับ เพราะท่านจะต้องชมภาพยนตร์เรื่องนี้หลายรอบ สำหรับผม Top Gun ครับ ชมแล้วชมอีก จนเกือบจะจำได้หมดว่าใครจะพูดอะไรตรงไหน ลองดูนะครับ และที่สำคัญสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการเรียนภาษาอื่นที่มีอยู่ใน DVD ได้นะครับ

2. Cable TV เป็นอีกทางเลือกสำหรับการฝึกฝนการฟังพร้อมกับสาระและบันเทิงนะครับ แต่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน ข้อดีของ Cable TV คือ มีรูปแบบการฟังอยู่หลายประเภท เช่น ภาพยนตร์ Series ที่เป็นตอนๆ ข่าว เกมโชว์ สารคดีคราวนี้ท่านจะมีทักษะในการฟังในรูปแบบ ที่แตกต่างกันไปขึ้นกับสิ่งที่ท่านสนใจ ภาพยนตร์ผมจะไม่กล่าวแล้วนะครับ สำหรับ Series ก็มีทักษะการฟังให้ท่านได้เรียนรู้ ซึ่งสำหรับความคิดของผม Series จะมีการพูดคุยของตัวละครที่ละเอียดกว่าภาพยนตร์ เนื่องจากภาพยนตร์จะต้องจบภายใน 2 ชั่วโมง ดังนั้นผู้สร้าง ต้องกำหนดบทละครที่กระชับ ในขณะ Series นั้นมีความยาวมากกว่า จึงสามารถที่จะให้ตัวละครให้มีโอกาสพูดคุยได้มากกว่า บางครั้งเราจะได้บทสนทนาประจำวัน คำศัพท์ที่ใช้ประจำวัน โดยเฉพาะการอุทาน แต่ต้องระวังการแสดงออกของตัวละครหน่อยนะครับ เพราะฝรั่งมัก จะใส่อารมณ์และความรู้สึกมากกว่าคนไทย เพื่อนผมคนหนึ่ง ติด Series เรื่อง Friends ซึ่งเพื่อนคนนี้เคยเล่าให้ฟังว่าแรกๆ ฟังไม่ค่อยออกหรอกครับ แต่พอฟังไปเรื่อยๆ ก็เริ่มดีขึ้นและฟังออกมากขึ้น

เกมโชว์เป็นการสนทนาในรูปของการตอบการถามตอบ ท่านจะได้ประโยชน์จากการฟังการแนะนำตัว การเข้ารายการ การแนะนำผู้ร่วมรายการ การอธิบายการเล่นเกมโชว์ กฎการเล่น และลักษณะการถามตอบกับผู้ร่วมดำเนินรายการ โดยเมื่อท่านได้ชมบ่อยๆ ท่านสามารถฟังและเข้าใจเกมโชว์เหล่านี้ได้ และนำลักษณะเกมโชว์ไปประยุกต์หากท่านได้รับมอบหมายให้จัดเกมโชว์ที่รับมาจากต่างประเทศ (ไม่แน่นะครับใครจะไปรู้)

สารคดี ซึ่งดูจะโหดนิดนึงสำหรับผู้ฟัง เนื่องจากสารคดีมีหลายสาขาวิชา จะมีศัพท์เทคนิคมาก โดยเฉพาะท่านที่ไม่ได้อยู่ในสายตรงของสารคดีนั้นๆ แต่ก็ดีครับ เมื่อเราฟังบ่อยๆ เราก็จะมีการพัฒนาเพิ่มความเข้าใจ เพราะอย่าลืมว่าสารคดีเหล่านี้จะมีภาพและการเดินเรื่องประกอบ อันจะทำให้เราเข้าใจจากภาพ ที่เราเห็นก่อน เมื่อมีการอธิบาย ก็พอจะเข้าใจมากขึ้น โดยการที่เราดูสารคดีเรื่องใหม่ๆเป็นการเพิ่มพูนความรู้และศัพท์ที่เราไม่คุ้นเคยได้นะครับ

ผมจบไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ซึ่งผมไม่อยากให้บทความยาวเกินไป เอาแค่อ่านสบายๆ แล้วผมจะมาเขียนต่อเรื่องของ การฟังข่าวภาษาอังกฤษ การฟังวิทยุอังกฤษ การฟังเพลงภาษาอังกฤษ ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากการพูดคุยกับชาวต่างชาติ แล้วพบกันนะครับ

หากท่านผู้ใดมีข้อสงสัยหรือมีอะไรจะแนะนำเพิ่มเติมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห้นในการทำให้เก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น ทางเรายินดีที่จะเป็นศูนย์กลางของการ แลกเปลี่ยนความรู้ โดยท่านสามารถส่งอีเมล์มาคุยกันที่ info@english2days.com หรือ โพสข้อความไว้ที่ Webboard ได้นะครับ จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

สู้ สู้ นะครับ

จากคุณ : Dr.NoM (thaicool)

เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 54 23:45:47

ความคิดเห็นที่ 4

เรื่องแปลกแต่จริงก็คือว่าเวลาเรียนภาษาจีนเราจะมีตารางเสียงพยัญชนะกับเสียงสระทั้งหมด แล้วหัดผสมเสียงพวกนั้นตามกฎที่ว่าเสียงไหนเจอเสียงไหนแล้วจะกลายเป็นเสียงไหน แต่ในเมืองไทยเวลาเรียนภาษาอังกฤษไม่มีใครสอนแบบนั้นเลย ดันไปสอน grammar ตั้งแต่วันแรกเลย ซึ่งจริงๆแล้วจากเท่าที่เคยเรียนฟังเอง พบว่า grammar ไม่ได้เป็นต้ัววางฐานรากในการฟ้ัง หากแต่มันเป็นตัวเสริมเมื่อฟังไม่รู้เรื่องต่างหาก เพราะจะเดาข้อความได้จากบริบทถ้าแม่น grammar แต่ในกระบวนการฝึกฟังแล้ว ถ้าไม่เก่งเรื่อง sound discrimination และเรื่อง pronunciation ต่อให้เก่ง grammar แค่ไหนก้อฟังไม่รู้เรื่อง

จริงๆแล้วการเรียนฟัง ถ้าได้รับการสอนให้ถูกวิธี มันจะเป็นการเรียน grammar ไปพร้อมๆกัน

แต่สิ่งที่น่่าทึ่งที่สุดที่เราเคยพบสมัยเคยสอนภาษาอังกฤษตามบ้านและสำนักงาน นั่นก้อคือ ผู้หญิงไทยคนหนึ่งโทรมาบอกให้เราไปสอนแต่เฉพาะ grammar ให้เธอ ตอนโทรมาติดต่อเธอพูดเป็นภาษาอังกฤษ เราก้องงคิดว่ายัยแหม่มที่ไหนมันโทรมาสัพยอกเราเพราะเธอพูดภาษาอังกฤษคล่องและเป็นสำเนียงอเมริก้ันชัดมากๆ เราก้อตอบไปว่าอะไรพูดเก่งขนาดนี้ยังต้องเรียน grammar ด้วยหรือ เธอตอบเป็นภาษาไทยว่า "ดิฉันเพิ่งพูดแค่ 2-3 ประโยคเอง ลองฟังต่อไปสิคะ ผิดบานเลย" แล้วเธอก้อพูดอังกฤษต่อไป เอ่อจริงแฮะ ผิด grammar บานเลยว่ะ...??!!! แล้วเธอก้อเล่าต่อไปว่า เธอแต่งงานกับทหารอเมริกัน อยู่กินกันมาแล้วได้ 5 ปี เธอไม่มีปัญหาในการฟังภาษาอังกฤษและในการสื่อสารเลย แต่เวลาเธอพูดมันผิด grammar หมด จนสามีเธอรำคาญมากๆ แต่ก้อไม่มีเวลาสอนเธอ จึงบอกให้เธอจึงหาที่เรียน grammar.....

สรุปแล้วกรณีของ จขกท ถ้าซื้อ DVD มาจะมีทั้งเสียงพูดไทยอังกฤษ และ subtitles ไทยอังกฤษ อย่าไปยึดติดว่าจะต้องเปิดหรือปิดเสียงพูดภาษาไหน หรือเปิดหรือปิด subtitles ภาษาไหน แต่ให้ลองสลับไปสลับมา แล้วบางทีคุณจะหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเองได้ (แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน)

แต่ที่แน่ๆที่สุดก้อคือว่าคนเรียนฟังหลายคนลืมไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือลืมตรวจสอบว่าตัวเองพูดชัดแค่ไหน เพราะหลักความจริงก้อคือถ้าตัวเราเองพูดไม่ชัดบางทีมันกลายเป้นฟังไม่รู้เรื่องไปเลย เพราะเราจะคาดหวังว่าคนอื่นจะพูดเหมือนเราแต่ พวกเขาพูดไม่เหมือนเรา เราก้อเลยฟังไม่รู้เรื่อง ดังนั้น วิธีการที่ควรฝึกไปพร้อมๆกับดูหนังก้อคือไปหา dictionaries ที่เป็น software มาติืดตั้งบนคอมพิวเตอร์แล้วเิปิดหาศัพท์ที่เรารู้อยู่แล้ว และฟังดูว่าเราออกเสียงเหมือน dictionaries หรือเปล่า แล้วค่อยๆแก้ไขการออกเสียงของตนเองไปด้วย จะมันจะช่วยให้เราฟังรู้เรื่องมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างผู้หญิงไทยคนนั้นที่โทรมาหาเรา ที่เธอแทบไม่รู้ grammar เลย แต่ดันฟังรู้เรื่อง แล้วพูดรู้เรื่อง เรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวัน

เมื่อคุณฟังฝรั่งพูดพอรู้เรื่องแล้ว จะเรียน grammar ก้อค่อยไปหาบทเรียนของฟรีเป็น video clips จากเน็ตมีเยอะแยะเลยหละ...

จริงๆแล้วหนังฝรั่งรวมทั้ง subtitles ไทย และอัีงกฤษ คุณจะหาของฟรีจากเน็ตก้อยังได้เลยหละ...

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 54 15:29:33