ความคิดเห็นที่ 1 คิดดี ทำดี ใจก็สบาย คงเป็นหลักการเดียวกันนี้ แต่ถ้าตามในหนังสือซีเคร็ท ที่ว่าอยากได้อะไรก็ให้คิดถึงมันมากๆ จินตนาการเข้าไป แล้วมันจะมาหาเราเอง แถมบอกว่าความคิดในหนังสือนี้เป็นพุทธแบบฝรั่ง(ตามความเข้าใจนะคะ อ่านนานมาแล้ว แถมแค่ครึ่งเล่มเองด้วย ได้ฟรีเลยอ่านซะหน่อย) ไม่จริงอ่ะ พุทธสอนให้ศึกษาใจและกายของตัวเราเอง โดยไม่มีการปรุงแต่ง ศึกษาว่าธาตุแท้มันเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าทรงเฉลยให้แล้วว่ามันเป็นทุกข์ ถ้าเรารู้กายรู้ใจได้จริงแล้วจะไม่อยากได้มันอีกและเห็นนิพพาน หนังสือเล่มนี้สอนตรงข้ามกับพระองค์ชัดๆ เราอ่านครึ่งเล่มเองค่ะ ถ้าเนื้อหาท้ายเล่มไม่ต่างจากต้นๆละก็ ตามนั้นเลย ในความรู้สึกเรา มันเหมือนนิยายหลอกเด็กมากกว่า ไม่กล้ากลับไปอ่านอีกเลย เดี๋ยวน้ำโหมันขึ้นมากกว่านี้ อกุศลจิตทุกวันนี้ก็เยอะมากพอแล้ว แล้วถามหน่อย ถ้าคุณอยากพูดภาษาอังกฤษได้ จินตนาการว่าพูดได้เก่งกาจเยี่ยงเจ้าของภาษา แต่ไม่ฝึก ไม่หัด มีใครใช้เป็นภาษาอังกฤษเพราะวิธีนี้บ้าง? จินตนาการอย่างดีก็เป็นแค่แรงบันดาลใจ สุดท้ายก็ต้องพึ่งสมองและสองมืออยู่ดี ไม่ได้ช่วย จขกท.เลย เหอะๆ ไปละ จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 06:41:00

ความคิดเห็นที่ 2 มันแล้วแต่การตีความตามระดับความคิดของแต่ละคน เราอ่านเรื่อง The Law of Attraction ในหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne (จริงๆแล้วเราอ่านหนังสือไปนิดเดียว แต่ดูหนังเรื่อง The Secret เป็นภาษาอังกฤษไปจนจบตั้งหลาย 10 รอบจนเข้าใจ  The Law of Attraction เป็นอย่างดี)  แล้วเราเอาไปใช้ได้ผลมากๆเลยหละ แต่ไม่ได้หมายถึีง "เพ่งอะไรแล้วได้หมด อย่างที่คนหลายๆคนตีความ แล้วหัวเราะเยาะ" ซึ่งก้อเหมือนๆกับที่เต๋าสอนว่า Do nothing.  Let nature take its own course.  By doing nothing everything is done and taken care for. มันไม่ได้หมายความว่า "ให้นั่งอยู่เฉยๆ แล้วไม่ทำอะไร" คนไทยส่วนใหญ่จะอ้างพุทธศาสนาแนวว่า "ให้ปลง ให้ละกิเลศ เพื่อไปสู่นิพพาน" ก้อเลยบางครั้งตีความผิดๆว่า "ถ้าร่างกายป่วยให้ยอมรับแล้วปลงซะ และละสังขาร จะไปสูนิพพานได้" แต่จริงๆไม่ใช่เลย ^ ถ้าเราตีความคำสอนพุทธศาสนาแบบนี้หละ ป่านนี้เราพิการไปตั้งนานแล้ว...จะเล่าของจริงให้ฟังเรื่องกาใช้ประโยชน์ The Law of Attraction ที่เราใช้มาแล้วได้ผล แต่ไม่ได้หมายความว่านั่งเสกเงินเสกทองอย่างที่หลายๆคนตีความมันผิดๆ.... ตอนเราอายุ 50 กว่าๆ เราป่วยเหมือนแม่เรา (กรรมพันธ์) ขาซ้ายแม่กำลังจะพิการเพราะ spinal misalignment (กระดูกสันหลังเอียงผิดแนวธรรมชาติ)  จนเดินไม่ได้หมอต้องผ่าตัดใส่ลูกสะบ้าเทียม หลังจากนั้นหมอรักษาแม่เราจนตายไปเลย เพราะไม่ได้รักษาที่ต้นตอ ได้แต่พยายามทำลายอาการ ...เราป่วยขาขวา (ขวาซ้ายหญิงชายสลับกัน ตามพลังหยินหยาง)  และขาขวาเรา มันกำลังจะพิการ  เราใช้ The Law of Attraction รักษามัน โดยการพลิกคัมภีร์โบราณของเต๋าอ่านใหม่ ตอนแรก (ตอนเด็กๆ) เราฝึกไปก้อไม่สำเร็จเพราะร่างกายเราผิดเพี้ยนจากธรรมชาติ (ตรงกันข้ามกับร่างที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์เหมือนที่นิยายจีนชอบพูดถึง)   แต่พอเราเข้าใจ The Law of Attraction เราฝึกวิชา alchemy ของเต๋าไปได้รุดหน้าไปไกลกว่าเดิมมากๆ เพราะ The Law of Attraction ช่วยให้เราตีความคำสอนเต๋าบทหนึ่งได้ (ซึ่งเราไม่เคยตีความมันได้) จนนั่งสมาธิอยู่ดีๆก้อปล้องกระดูกสันหลังเราลั่นเปรี๊ยะๆเหมือนที่เขาบรรยายไว้ในหนังสือกำลังภายในเลยหละ จนกระดูกสันหลังเราค่อยๆกลับเข้าแนวธรรมชาติ ขาขวาเราจึงรอดจากความพิการมาได้อย่างหวุดหวิด และร่างกายเราสร้าง sex hormones ได้มากเกินธรรมดา จนตอนนี้เราอายุเลย 60 แล้วแต่ผิวกายไม่มีเหี่ยวย่นเลย และหน้าตาเรากลับเป็นเด็กกว่าเดิมมากๆ เราเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วว่องไวและยึดหยุ่นมากๆระดับกลับไปเริ่มฝึกวรยุทธ์จีนระดับยากๆที่ใช้พลังมหาศาลได้ใหม่อีกรอบหนึ่ง...!!!?? แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 54 11:30:05 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 54 11:16:58 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 11:15:47

ความคิดเห็นที่ 3 อรหันต์ พระโพธิสัตว์ (เที่ยบเท่าเซียนของเต๋า) หรือนิพพาน (ปราชญฮินดูที่บรรลุนิพพานไปก็มี ไม่ใช่มีแต่ชาวพุทธ) เป็น evolution ชั้นสูง หากมนุษย์ไม่รู้วิธี go back to the primordial แล้วเขาก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน Samsara อีกหลายชาติ ซึ่งอาการป่วยหรือชราภาพก่อนตาย เป็น characteristics ของผู้ที่ยังไม่หลุดพ้นจาก Samsara ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่เห็นภาพวาดของพระอรหันต์ที่แก่หลังค่อมเดินกระย่องกระแย่ง แต่มักจะเห็นพระอรหันต์็หน้าตาเด็กๆทั้งนั้น เพราะอะไร...จริงๆแล้วคัมภีร์เต๋าหลายเล่มที่เราศึกษายืนยันอย่างแน่นอนว่าถ้าฝึกถูกวิธีคนแก่กลับกลายเป็นเด็กได้ คือฝึก (ซ่อมแซม) ร่างกาย ให้ดีก่อน แล้วจึงละสังขาร ไม่ใช่ละสังขารเพราะชราภาพไปไม่ไหวแล้ว (ถ้าไปแบบนั้นก้อยังติดบ่วงอยู่ใน Samsara) และคัมภีร์เต๋ายืนยันว่าคำสอนแบบนี้ในศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆก้อมี หากแต่ว่า "มันเป็นความลับที่ไม่มีใครเปิดเผย" ...โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธที่เขียนเป็นภาษาไทย จะไม่มีเนื้อหาพวกนี้เลย...แต่จะมีแค่ละกิเลส เคร่งพระธรรมวินัยแล้วก้อไปสู่นิพพาน ซึ่ง "เป็นไปได้ยาก...!!!" ถ้าใครอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย จะแปลกใจว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไงกัน ลองมาดูคำสอนของเต๋ากับพุทธ(แนวเซน)กัน ที่แปลจากจีนเป็นอังกฤษ transliteration จากจีนเป็นอังกฤษ (ที่เอามาจากหนังสือ (ไม่ใช่ที่เราเขียนเองเป็น pinyin ในบางส่วน)) มันไม่ใช่ pinyin เพราะคัมภีร์เล่มนี้แปลไว้ก่อนนักภาษาศาสตร์จีนจะคิด pinyin...ขึ้นมา The seed-blossoms of the human body must be concentrated upward in the empty space. This is the common goal of all religions. .Therefore, as soon as the light is circulating, heaven and earth, mountains and rivers are all circulating with it at the same time. (กระบวนการทางเคมีระดับ biological transmutation) ..If for a day you do not practise meditation, this light streams out, who know whither? ..But when the practice is started, one must press on from the obvious to the profound, from the coarse to the fine.  Everything depends on there being no interruption .. คราวนี้มาประเด็นที่น่าสนใจ ที่คนส่วนใหญ่ชอบพูดว่าพระพุทธเจ้่าสอนให้ปลงละกิเลศเพื่อสู่นิพพาน (ถ้าเราปลงป่านนี้ขาขวาเราก้อพิการไปแล้วสิ) มาดูคำสอนพระพุทธเจ้่าที่แปล (ตีความ) เป็นภาษาอื่น (ที่ไม่ใช่ภาษาไทยบ้าง) The Buddha said: ‘When you fix your heart on one point, then nothing is impossible for you.’ All holy men have bequeathed this to one another: nothing is possible without contemplation (fan-chao, reflection).  When Confucius says: ‘Perceiving brings one to the goal’; or when the Buddha calls it: ‘The vision of the heart’; or Lao-tse says: ‘Inner vision’, it is all the same. ^ สองวรรคนี้ ถ้าตีความดูดีๆ จะคล้ายๆกับการสอนให้ think positive ในเรื่อง The Law of Attraction ในหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne 2. The Six Periods of Circulation in Conformity with the Law (This concept has been borrowed from Buddhist terminology, in the context of which it is usually translated as the ‘Wheel of the Law’. If one discerns the beginning of the Buddha’s path, There will be the blessed city of the West. After the circulation in conformity with the law, There is a turn upward towards heaven when the breath is drawn in. When the breath flows out energy is directed towards the earth. One time-period consists of six intervals (hau). In two intervals one gathers Moni (Sakyamuni). The great Tao comes forth from the centre. Do not seek the primordial seed outside! (พูดถึงรูปภาพที่เราไม่ได้แปะไว้) The illustration found here in the Chinese text shows the body of a man. In the middle of the lower half of the body is drawn a germ cell by which the gateway of life is separated from the gateway of consciousness. In between, leading to the outside world, is the carnal through which the vital fluids flow out. The subtlest secret of the Tao is human nature and life (hsing-ming).  There is no better way of cultivating human nature and life than to bring both back to unity.....จากนั้นมันเป็นกระบวนการทางเคมี ระดับ biological  transmutation ...แล้วที่น่าสนใจมันมาลงตรงนี้คือ If a dying man does not know this germinal vesicle, he will not find the unity of consciousness and life in a thousand births, nor in ten thousand aeons. ^ ^ จริงๆแล้วนี่เป็นคำสอนของเต๋า แต่ก้ออ้างว่าพุทธก็มีความลับอันนี้ คือกระบวนการทางเคมี (ระดับ biological transmutation) ที่จะผสาน sexual energy (jing น้ำกาม), พลังลมปราณ (qi) และวิญญาณ (shen) ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า sublimation เป็น biological transmutation เพื่อบรรลุอรหันต์ แล้วแค่เป็นระดับเซียน (เทียบเท่าพระโพธิสัตว์) หรือแม้กระทั่งนิพพาน ...แต่ยืนยันอย่างแน่นอนว่า "การปลง ละกิเลศเฉยๆ แต่ไม่รู้ความลับเรื่อง alchemy ผู้ฝึก ไม่ว่าจะเป็นพระเคร่งพระธรรมวินัยแค่ไหนก้อตาม ไม่มีทางบรรลุอรหันต์อย่างเด็ดขาด...!!!!??" แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 54 11:50:33 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 54 11:41:01 แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 54 11:30:33 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 11:16:26

ความคิดเห็นที่ 4 หมายเหตุ แนวคิดแบบนี้มาจากการค้นคว้าหนังสือต่างประเทศหมด พอเขียนไปชาวพุทธไทยหลายๆท่านทีเชื่อว่าเกิจิอาจารย์ที่แก่ๆเดินกระย่องกระแย่งปลุกเสกของขลัง จะบรรลุอรหันต์ได้ ก้ออาจโจมตีแนวคิดของเรา แต่เราขอยืนยันว่านี่เป็นแนวคิดส่วนบุคคลเนื่องจากเราอ่านตำราคนละเล่มกับตำราพุทธเถรวาท อ่าน sutras คนละเล่มกันด้วย และตำรา คัมภีร์ หรือ sutras เหล่านั้น ก็แปลจากภาษาอินเดียเป็นภาษาอื่นโดยคนชาติอื่นๆ ซึ่งไม่เหมือนกับเล่มที่แปลเป็นไทย และตีความโดยคนไทย  ถ้าใครต่อต้านแนวคิดนี้แล้วจะโจมตีเรา เราก้อไม่ขอโต้ตอบ หากแต่อยากจะบอกว่า "เราไม่ได้หลบหลู่ความเชื่อของท่าน ท่านเชื่อแบบที่ท่านเืชื่อ และเราเชื่อแบบที่เราเชื่อ..." และเราทำ experiments เรื่องพวกนี้ (แบบสถานการณ์หลีกเลี่ยงไม่ได้) มาหลายสิบปีในชีวิตเราแล้วเพราะเราเกิดมาป่วยทั้งกายและจิต ร่างกายไม่แข็งแรง iq ต่ำกว่ามนุษย์ทั่วๆไป เราจึงศึกษาเรื่องพวกนี้มากกว่าเรียนหนังสือในมหาลัย จนเราค้นพบว่า แทนที่จะพูดกับตัวว่า "ปลงซะ ยอมรับอาการป่วยซะ ยอมรับความยากจนซะ" แต่เรา think positive (เหมือนที่ในหนังสือ The Secret สอนไว้) เพื่อเอาชนะความยากลำบากทั้งปวง ซึ่งเราว่าแนวคิดที่เราได้มา เราใช้มันได้ผลนะ ทั้งด้านสุขภาพ และเปลี่ยน cells สมองเราเพื่อการเรียนรู้ศาสตร์อะไรใหม่ๆ...(ตอนนี้ iq เราเพิ่มมากกว่าตอนเด็กๆมากมาย) ตอนนี้เรื่องอาชีพการงานเรื่องเงินที่เคยแย่สุดๆเลย ก้อกลายเป็นดีขึ้นมา บางทีเราอยู่เฉยๆ ก็มีคนเอางานมาให้เราทำ ให้เราได้เงิน  หรือบางทีพ่อเราก้อเอาเงินมาแจกให้เราใช้ฟรีๆ ทั้งๆที่พ่อไม่ได้ให้เงินเราใช้มาตั้งหลายสิบปีแล้วหละ...!!! มหัศจรรย์มากๆ...เลยหละ...555+++... เราว่าคนเราจะตีความคำสอนใดๆได้นะ บางทีมันแล้วแต่ฟ้าลิขิตเหมือนกัน เราอยากจะเปิดกระทู้เหมันต์ขี้เกียจอ่าน คือแทนที่เราจะเล่าให้ฟังว่า "ปีนี้เราอ่านหนังสือกี่เล่ม ใครจะมาอ่านแข่งกับเรา" แต่เราจะทำตรงกันข้ามโดยการเล่าให้ฟังว่า "มีคัมภีร์อยู่เล่มหนึ่ง เราอ่านมาแล้วตั้ง 42 ปี แต่ตอนนี้ เราก้อยังไม่เข้าใจมัน 100% เลย...!!!" คงเหมือนๆกับในตำนานที่ว่าจักรพรรดิ์ Fu Xi เห็นสัตว์ประหลาดคาบ  bā guà (八卦) (คนไทยเรียกยันต์แปดทิศ) จากน้ำขึ้นมายื่นให้ พระองค์ท่านพิจารณาดู แล้วบอกว่า กว่าจะเข้าใจความเร้นลับของ bā guà ได้ ก้อต้องใช้เวลาศึกษามันชั่วชีวิต...!!??? แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 54 12:00:32 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 11:30:53

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ fortuneteller ครับขอบคุณน่ะครับที่ตอบกระทู้.... ดีใจจริง ๆที่ตอนนี้หายป่วยแล้ว....อ่านตอนแรกยังตกใจเลย แนวคิดของท่านผมไม่ได้ต่อต้านน่ะครับ...ถือว่าเป็นแนวคิดที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน จะลองศึกษาคัมภีร์เต๋าดูบ้างแล้วหล่ะ....ความรู้ใหม่ ๆ ผมเป็นบัวประเภทที่เพิ่งขึ้นมาจากโคลนอ่าครับ....กำลังหาทางเพื่อจะได้โผล่พ้นน้ำ... แก้วน้ำผมว่างเปล่าเสมอ... จากคุณ : นางสาวผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 14:17:18

ความคิดเห็นที่ 6 "มีคัมภีร์อยู่เล่มหนึ่ง เราอ่านมาแล้วตั้ง 42 ปี แต่ตอนนี้ เราก้อยังไม่เข้าใจมัน 100% เลย...!!!" คัมภีร์เล่มนี้ชื่ออะไรครับ  ภาษา?  มีขายที่ไหน ผมอยากได้รายละเอียด  กรุณาช่วยเล่าสู่กันฟังบ้าง? ท่านอ่านมา 42 ปี ? ผมศึกษาไบเบิลไม่เกิน 20 ปี พอเห็นเค้าความจริงแล้ว เพียงแต่รอผลที่จะเกิดขึ้นตามคำทำนายใน revelation เท่านั้น   ในคัมภีร์ เต้าเต๋อจิง ของเหลาจื่อ บทแรก มันช่างเหมือนบทแรกของ JOHN ในกิตติคุณของพระเยซูคริสต์   บทความของคุณ fortuneteller ในเรื่อง Law of attraction เป็นบทความที่เข้าใจไม่ยากเลยครับ  มันก็เหมือนกับให้เราเชื่อ(ศรัทธา)ก่อนของศาสนาที่เชื่อพระเจ้านั่นแหละ  แต่เนื่องจากทางเราถูกสอนมาให้เชื่อแบบกาลามสูตร  มันคงสรุปกันไม่ได้ครับ คุยกันไม่รู้เรื่องแน่ๆ   ยิ่งไปเปรียบเทียบกันผู้บำเพ็ญ(เพื่อบรรลุ)อะไรก็แล้วแต่ระหว่างสายพุทธกัยสายเต๋า(แท้)ยิ่งเข้ากันไม่ได้   ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? สายพุทธที่ว่า.........แล้วได้อรหันต์ หรือ นิพพาน ทุกคน(ที่ไม่ใช้ผู้ปฏิบัติ)ไม่สามารถเห็นผลได้ว่าผู้ปฏิบัติสำเร็จจริงหรือไม่ ไม่มีวิธีเช็คได้ครับ   ยกเว้น คำว่าเป็น โพธิสัตย์ ผลปรากฎได้ทั้งผู้ปฏิบัติ  ผู้ถูกปฏิบัติ  และผู้ที่ไม่ได้ถูกปฏิบัติ(คือเห็นผลของการกระทำทั้งหมด) สายเต๋า  รวมทั้ง The Law of Attraction รวมไปถึงการฝึก ไท่จี๋/ไท้เก๊ก  หรือพลังภายในเพื่อการต่อสู้หรือรักษาโรคนั้น   มันเกิดผลให้ทั้งผู้ฝึก และคนทั่วไปยังสามารถพิสูจน์ได้อีก   พวกเรายังไม่ได้ก้าวเข้าไปคุยกันถึงเรื่อง การทำร้ายคู่ต่อสู้ด้วยการกระแทกจุดชีพจรตามแบบภาพยนต์กำลังภายในกันเลย  เอาแค่การฝังเข็มเพื่อรักษาโรคก็เริ่มมีคนยอมรับกันแล้ว  ก่อนนั้นอย่าหวังเลยว่าตาสีตาสาจะมีโอกาสได้ใช้ เนื่องจากวิชาดังกล่าวได้ถูกใช้ในวงจำกัดเท่านั้น   เิอาเป็นว่าใครสนใจอะไร ก็ไปหาผู้เชี่ยวชาญแขนงนั้น  ศึกษาแล้วปฏิบัติ ไม่ต้องมาเถียงกันให้เสียเวลากวนวิญญานเปล่าๆ  ผมเองก็แปลกใจว่า ทำไมถึงชอบนิพพานกันจัง???? ขอโทษล่วงหน้าด้วย หากความเห็นผมไปรบกวนจิตใจของคนส่วนใหญ่   ความจริงก็คือความจริงครับ มีเหตุ ก็มีผล  มีหนัก ก็มีเบา  มีสว่าง ก็มีมืด  อิงหลักธรรมชาติครับ  ที่มาของ เต๋า 道  WORD จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 15:57:20

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนนี้เราก้อสนใจ The Bible มากๆเหมือนกันเพราะพอเข้าใจเต่ามากๆขึ้น ก้อจะเข้าใจพลังจักรวาลหรือพลัง ของ The Creator เรื่องที่น่าสนใจก้อคือ เรื่องการละกิเลสหรือเดินสายกลางนั้น มีการตีความไว้เป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย ไว้ในแนวนี้ เอาเรื่องเดินสายกลางก่อน ตีความแบบไทยๆ มีคนชอบเล่าเรื่องนางฟ้าดีดเครื่องสายให้พระพุทธเจ้าฟัง ขึงสายเครื่องสายตึงไปสายขาด ขึงสายหย่อนไปเสียงไม่ไพเราะ ขึงสายพอดีๆเสียงไพเราะ พระพุทธเจ้าจึงเลยเดินสายกลางแล้วบรรลุ  จนกระทั่งมีนักวิปัสสนาแบบไทยๆตีความไปว่าต้องหายใจปานกลางไม่ลึกเกินไป...บล๊าบๆๆๆ...ซึ่งเรื่องแบบนี้เราไม่เคยเห็นในภาษาอื่นนอกจากภาษาไทย  คราวนี้เรามาดูกันบ้างว่าคนภาษา อื่นเขาตีความ "สายกลาง" ไว้ว่าอย่างไร ลองมาดูฮินดูกัน พวกเขาตีความไปแนว alchemy คล้ายๆเต๋า และมันออกมาคล้ายๆ The Bible ยังไง จะเล่าให้ฟัง นั่นก้อคือ สายลมปราณหลัก 3 สาย (แขกเรียกสายลมปราณว่า nadis จีนเรียกว่า mai) ที่กระดูกสันหลังคือ สายลมปราณ ida (ทางซ้าย เป็นพลังหยินคือพลังความเย็น), pingala (ทางขวา เป็นพลังหยางคือพลังความร้อน) และ sushumna (สายกลาง) ในการฝึกสมาธิแบบโยคะ หรือฮินดู ถ้าผู้ฝึกปิดสายลมปราณ ida กับ pingala ได้สำเร็จ พลัง kundalini จะเดินผ่าน sushuma และมันจะ sparkle like jewels (ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ) อยู่ในแกนกระดูกสันหลังราวกับดวงอาทิตย์ตั้งหลายพัีนดวงส่องแสงเป็นประกายเจิดจ้า...!!! เขาถึงเรียกว่า enlightenment เพราะปรากฎการณ์นี้มันมาพร้อมแสงสว่างจริงๆ ....เหมือนกับที่เต๋าพูดเรื่องแสงสว่างนี้ที่เราแปะไว้ใน คคห 3 ว่า Therefore, as soon as the light is circulating, heaven and earth, mountains and rivers are all circulating with it at the same time. ตกลงชาวฮินดูที่บรรลุ นอกจากถือศีลยังไม่พอ แต่จะต้องรู้วิชา alchemy อีกด้วย... ส่วนเรื่องการละกิเลสนั้น ไม่ใช่ตีความแบบว่าถ้าป่วยก้อปลงให้มันตายๆไปซะ หรือถ้ายากจนก้อต้องปลงไม่ทำอะไร แต่ตีความแบบเต๋า เขาพูดถึงการโครจรพลังผ่าน Microcosmic Orbit ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่เราใช้รักษาอาการป่วยของเรา  นั่นก็คือ Du Mai (ศัพท์เทคนิคของเต๋า แปลว่า The Governing Channel) คือสายลมปราณด้านหลังตามแกนกระดูกสันหลัง ซึ่งภาษาแขกเรียกว่า kundalini  มันจะขับเคลื่อนไปได้ ก้อด้วยพลังของเต๋าหรือ universal force อย่างเช่น gravitational force เป็นต้น ถ้าจิตมีกิเลสคือ “พยายามขับเคลื่อนมันไป”  มันก็จะไม่ไป ....แต่ถ้าผู้ฝึก mindful ว่ามันไปได้ และใช้วิธีการที่เรียกว่า non-action action พลังมันจะขับเคลื่อนไปได้เอง จนพลังมันโคจรไปถึงถึงสายกลางด้านหน้าคือ Ren Mai (The Channel of Function) แล้วมันก้อจะไหลมาเอง ลงล่างทางด้านหน้า... พลังพวกนี้จะขับเคลื่อนไปได้ จะต้องอาศัย sexual energy นั่นก้อคือ ถ้าผู้ฝึกอายุมากแล้ว ก็จะต้องผ่านกระบวนการ “ซ่อมแซมร่างกาย” โดยการฝึกสมาธิ ที่กระตุ้นร่างกายให้ผลิต sex hormones เพื่อที่จะใช้ขับเคลื่อนพลังนี้   ดังนั้น ตามแนวคิดของ เซน และเต๋า จึงถือว่า “การละกิเลสถึงขั้นที่ร่างกายแก่เฒ่าร่วงโรย ไม่ผลิต sex hormones แล้วไม่มี sexual energy ให้ผลิตและขับเคลื่อน elixir of life (ยาอายุวัฒนะ) กระบวนการที่เรียกว่า sublimation และ biological transmutation ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น enlightenment ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย เนื่องจากผู้ฝึกไปตีความผิดหลงคิดว่า “ละกิเลส” แปลว่าปล่อยสังขารให้ร่วงโรย แล้วปฎิบัติตามพระธรรมวินัยเคร่งครัด แล้วละสังขาร จะบรรลุนิพพานได้...” แต่จริงๆแล้วผู้ฝึกต้องสร้าง elixir of life เพื่อซ่อมแซมร่างกายให้ดีก่อน (กลับเป็นเด็กเมื่ออายุมากแล้ว) แล้วจึงถือว่า “ผ่าน evolution ระดับสูงๆไปแล้ว” แล้วจึงละสังขาร ไม่ว่าจะแค่เป็นเซียน (เทียบเท่าพระโพธิสัตว์) หรืออาจสูงกว่านั้นคือบรรลุนิพพาน ไปเลย.... สรุปแล้ว คนแก่ที่ “ละกิเลส จนร่างกายร่วงโรยเป็นกามตายด้านไปแล้ว หลงคิดว่าปฏิบัติธรรม แล้วจะบรรลุนิพพานได้นั้น มันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะถ้าไม่มีพลัง jing, qi, shen ผสานกัน มันไม่มีพลังอะไรที่จะทำให้ kundalini เกิดปรากฎการณ์ที่ sparkling like jewels คือสว่างไสวเจิดจ้ามากๆ  ได้เลย  เพราะอะไร? เรามาดูการทีนักพรตเต๋าพูดอ้อมๆเพื่อปกปิดความลับของวิชา alchemy กัน ประโยคนี้ที่พูดว่า Therefore, as soon as the light is circulating, heaven and earth, mountains and rivers are all circulating with it at the same time. ^ ลองดูดีๆ แท้จริงแล้ว heaven แปลว่า qi คือพลังลมปราณ และ earth คือ jing คือ น้ำกาม...!!!!! แต่ในทางกลับกัน คนที่มีกิเลสมากๆ และไม่รู้กระบวนการที่เรียกว่า sublimation ก็จะ “ถูกกิเลสเผา” คือไม่รู้วิธีเปลี่ยน sexual energy ให้เป็น self knowledge ซึ่งแนวคิดนี้โยงไยได้กับคริสต์ (ว่ามีความคล้ายคลึงกันกับฮินดู เต๋า หรือเซน อย่างไร) เรื่อง The Garden of Eden ที่มี Adam, Eve, serpent  และ apple Adam นี่แหละคือ pingala (พลังหยาง) Eve คือ ida (พลังหยิน) serpent คือ พลัง kundalini apple คือ The forbidden fruit ฉากเหตุการณ์ที่ Adam กิน apple เข้าไป มันเหมือนกับ คนที่ปลุกพลัง kundalini ขึ้นมาโดยที่ระบบประสาทตัวเองยังไม่พร้อม เพราะยังไม่ได้ฝึก sublimation เพื่อผ่านกระบวนการที่เรียกว่า biological transmutation คือปลุก kundalini มันขึ้นมาด้วยกิเลส (กรณีนี้ apple ถือว่าเป็น The forbidden fruit) ดังนั้นคำว่าละกิเลสของพุทธจึง “ไม่สมควรที่จะตีความว่า ปล่อยสังขารให้ร่วงโรย และละสังขาร เพื่อนิพพาน” เนื่องจากว่า “มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะถ้าสังขารยังซ่อมแซมไม่ได้ ผู้ฝึกก็ยังไม่มีบรรลุ evolution ระดับสูงๆ ถึงขั้นที่จะตัดออกจากวงจรหรือบ่วง Samsara...ซึ่งก้อหมายความว่าก้อยังต้องมาเวียนว่ายเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกนั่นแหละ...!!!!!” แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 54 17:26:02 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 17:18:45

ความคิดเห็นที่ 8 เราเขียนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเต๋ากับ The Bible ไว้ว่า "The immortal fetus ของเต๋า กับ Virgin Birth ของคริสต์ อาจเป็นสิ่งเดียวกันก้อได้..." ไปอ่านกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/09/K9738500/K9738500.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 54 17:36:50

ความคิดเห็นที่ 9 มีหนังสือเต๋าเล่มไหนบ้างครับ..ที่ผู้เริ่มต้นจะอ่านรู้เรื่อง จากคุณ : นางสาวผักบุ้ง เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 54 01:39:37

ความคิดเห็นที่ 10 ถึงคุณขวัญ (khumchalong) คคห1 ที่บอกว่า "แล้วถามหน่อย ถ้าคุณอยากพูดภาษาอังกฤษได้ จินตนาการว่าพูดได้เก่งกาจเยี่ยงเจ้าของภาษา แต่ไม่ฝึก ไม่หัด มีใครใช้เป็นภาษาอังกฤษเพราะวิธีนี้บ้าง? จินตนาการอย่างดีก็เป็นแค่แรงบันดาลใจ สุดท้ายก็ต้องพึ่งสมองและสองมืออยู่ดี" ตอบ คุณตีความ The Law of Attraction ผิดอย่างแรง เราใช้มันค้นข้อมูลจากเน็ตเรื่องการรักษาอาการป่วยของเราจนเรารักษาตัวเองจนหายขาดได้ และในการเรียนรู้ภาษา่อังกฤษเราก้อค้นข้อมูลจาก Internet หมด แต่จะค้นเจอหรือไม่เจอนั้นเราอาศัย precise logic + creative imaginations + The Law of Attraction ถ้าคุณเข้าใจมันดี คุณจะทำให้ปลายนิ้วมือคุณบน keyboard ดึงข้อมูลอะไรเพื่อการเรียนรู้ทุกอย่างเข้ามาได้หมด ถ้าคุณรู้วิธีนี้คุณจะเรียนภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องไปติวที่ไหนเลย เผอิญตอนนี้เรายังภาระกิจบางอย่างที่้ต้องทำ ถ้าว่างแล้วบางทีเราจะสาธิตให้คุณดูว่าเราสามารถใช้ The Law of Attraction เรียนภาษาจีนได้ด้วยตนเองทาง Internet ได้สบายๆให้คุณดู เรารู้ว่าคุณเก่งภาษาจีน แต่เราจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า The Law of Attraction ช่วยให้คนรู้วิธีค้นช้อมูลและเปลี่ยน cells ร่างกายและสมองระดับเทพๆจนเรียนภาษาจีนแค่ 1 ปี แล้วทาบรัศมีกับคนเรียน 5 ปีได้สบายๆเลย...หละ... เราเกิดมาในความทุกข์ยากที่ร่างกายและจิตที่ป่วยเรียนหนังสือไม่เก่ง ดังนั้นเราไม่ปลง แต่ think positive...เพื่อแก้ไขปัญหา และพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ...ซึ่งเราเชื่อว่าพระพุทธเ้จ้าไม่ได้สอนให้คน think negative หากแต่ผู้คนคิดไปเอง...!!! และตอนนี้เราได้มาแล้วซึ่ง cells สมองและร่างกายใหม่ๆ ของคนอายุมากๆแต่หน้าตาเด็กๆ ความคิดล้ำยุคก้าวไปไกล ดังนั้นเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ไม่ใช่ได้แต่ think negative คิดว่าสังขารร่วงโรย จะต้องลาโลกนี้ไป แล้วก้อเลยเอานิพพานมาบังหน้า แล้วอีกอย่างหนึ่งที่คุณบอกว่า "ไม่จริงอ่ะ พุทธสอนให้ศึกษาใจและกายของตัวเราเอง โดยไม่มีการปรุงแต่ง ศึกษาว่าธาตุแท้มันเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าทรงเฉลยให้แล้วว่ามันเป็นทุกข์ ถ้าเรารู้กายรู้ใจได้จริงแล้วจะไม่อยากได้มันอีกและเห็นนิพพาน" คุณเข้าใจอะไรผิดๆซะแล้ว การบรรลุเห็นธรรมจนไปสู่นิพพาน มันเป็น evolution ระดับสูง กะอีกแค่คนเราแค่ปลงเพราะทุกข์เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต หรือป่วยปางจะตาย ต้องมาปลง (think negative) แล้วจะศึกษาว่าธาตุแท้มันเป็นอย่างไร ระดับรู้กายรู้ใจ แล้วนิพพานได้ คุณเขียนแบบนี้คนไทยที่นับถือพุทธแบบงมงาย ให้คะแนนคุณเพียบเลย แต่อนิจา... "มันเป็นไปไม่ได้ ที่ปุถุชนธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งอยู่ดีๆก้อรู้สึกเป็นทุกข์เพราะไม่ประสบความสำเร็จ หรือป่วยหนัก แล้ว think negative โดยอ้างว่า พุทธสอนให้ "ปลง" แล้วจะบรรลุนิพพาน..." นี่เป็นการเข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้าในทางที่ผิดๆ... แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 54 15:41:54 แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 54 15:32:12 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 54 15:23:27

ความคิดเห็นที่ 11 ตอบคคห 9 ภาษาไทยไม่ค่อยมี มีแต่ภาษาอังกฤษกับภาษาจีน...ถ้าอ่านเต๋าไม่ดีจะเข้าใจผิดหมดเลย เหมือนๆคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ปราชญ์อินเดียบันทึกไว้เป็นปริศนาหลายระดับ แล้วคนหลายๆชาติต่างก้อตีความกันไปคนละทิศคนละทางหมดเลย นั่นแหละ...!!! อันนี้เป็นพุทธ แนวที่เราศึกษาจากภาษาอังกฤษ (ซึ่งมันไม่เหมือนกับพุทธแบบไทยๆ) http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/04/K9157613/K9157613.html แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 54 15:28:56 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 54 15:47:59