ความคิดเห็นที่ 1 ในความเป็นจริง การจบสถาบันไหน มีส่วนมากในการสมัครงาน เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการที่หนึ่ง เป็นบริษัทขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ ผู้อำนวยการท่านนี้ต้องดูแลฝ่ายทรัพยากรบุคคลด้วย ทำให้เราต้องเข้าไปเกี่ยวกับงานนี้ด้วย เห็นเกณฑ์การให้คะแนน เรารู้สึกไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ เลยพาลมองผู้อำนวยการท่านนี้ไม่ค่อยดีำไปด้วย คือท่านจบตรีจากสถาบันรัฐแห่งหนึ่ง และโทจากสถาบันทรััฐอีกแห่งหนึ่ง ในการสแกนครั้งแรก เราได้รับมอบหมายให้ดูสถาบันที่จะรับเข้าทำงาน มีคำสั่งว่า ถ้าสถาบันนี้ นี้ นี้ ใบสมัครทิ้งไปได้เลย ถ้าเป็นสถาบันนี้ นี้ นี้ ไว้แฟ้มสำรอง สถาบันนี้ นี้ นี้ เรียกมาสอบข้อเขียน ซึ่งเราไม่ชอบเลย จริง ๆ น่าจะให้ทุกคนมีสิทธิมาสอบข้อเขียนก่อน เมื่อสอบแล้วกรอกคะแนนลงแบบฟอร์ม ซึ่งจะมี 100 คะแนน มีการให้คะแนนพิเศษด้วยค่ะ คือถ้ามาจากสถาบัน 2 แห่งที่ท่านผู้อำนวยการจบมาก็จะได้เพิ่ม 20 คะแนน และถ้าผู้สมัครท่านใด (ไม่ว่าจบจากสถาบันไหน) ได้เกียรตินิยมจะได้เพิ่มอีก 10 คะแนน นำคะแนนมาคำนวณใหม่ให้เป็นเปอร์เซ็นต์กรอกลงแบบฟอร์ม เราเคยค้าน แต่ท่านแจ้งว่า ทั้งสองสถานบันของท่านผู้ที่จะเข้าไปเรียนได้ต้องโดดเด่นกว่าสถาบันอื่นอยู่แล้ว และผู้จบเกียรตินิยมเช่นท่าน ต้องเป็นคนดีมีวินัย ถึงจะได้เกียรตินิยมมา เราก็ต้องทำตามท่านว่า แต่จริง ๆ ในใจไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะเท่ากับคนที่เข้ามาก็จะมีมุมมองคล้ายกันไปหมด เราไม่คิดว่าคนเรียนเก่งจะทำงานเก่งเสมอไป คุณค่าของคนต้องวัดที่ผลของงาน ไม่ใช่สีของสถาบัน หรือเกียรตินิยม มีลูกน้องเราจบเกียรตินิยม แต่ทำงานไม่เป็นเรื่องเลย เข้ากับคนยาก ซึ่งได้มาจากการคัดเลือกตามวิธีท่าน แต่ลูกน้องเดิมของเราซึ่งเข้ามาก่อนท่านเข้ามา เราให้ทุกคนมีสิทธิสอบไม่ว่ามาจากสถาบันไหน ให้คะแนนไม่มีคะแนนสีช่วย เราว่าเราก็ยุติธรรมพอควร สอนงานเหมือนกัน คลุกคลี่ลูกน้องพอ ๆ กัน ปัจจุบันเราออกจากที่นั่นแล้ว เพราะเราไม่ชอบความขัดแย้งในสีของสถาบันในที่ทำงาน เบื่อที่หัวหน้างานเมื่อต้องการคน ต้องมาเจาะจงว่า ขอเป็นเด็กจากสถาบันของตัวได้ไหม แทนที่จะสนใจคุณสมบัติของผู้สมัคร หรือความสามารถพิเศษที่จะเอื้อต่องาน จากคุณ : ผอบ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 08:16:29

ความคิดเห็นที่ 2 ก็มีบ้าง จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ใช่ แต่มันกลายเป็นส่วนประกอบไป คือคุณต้องเก่งมากพอกับงานนั้นๆ ด้วย ถ้าไม่มีผู้สมัครคนอื่นที่โดดเด่นกว่า เรื่องสีเรื่องพวกก็อาจจะเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ส่วนเรื่องดันพวกเดียวกันให้โตนั้นก็เช่นเดียวกัน พวกเดียวกันอาจได้รับมอบหมายงานที่มีโอกาสได้แสดงฝีมือมากกว่า ก็เลยได้ไปเร็ว แต่ก็อย่างว่า คุณต้องเก่งด้วย ไม่มีใครอยากเอาอนาคตของหน่วยงานไปฝากไว้กับใครคนใดคนหนึ่งด้วยเหตุผลเพียงว่าสีเดียวกันหรอก อย่างไรก็ดี จากการทำงานมาหลายที่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ผมคิดว่ามันก็น้อยลงๆ (นอกจากหน่วยงานบางหน่วยที่มีประเด็นการเมืองในองค์กรแรงๆ) จากคุณ : ผมว่าอะนะ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 08:44:43 A:58.8.173.236 X: TicketID:106200

ความคิดเห็นที่ 3 1. ระบบรุ่น (หรือเส้นสาย) มีผลต่อการเข้าทำงานหรือไม่......... ตอบ มี.....แต่จะมากจะน้อย ก็แล้วแต่องค์กรแต่ละแห่ง แล้วก็คงไม่ได้มีเฉพาะเมืองไทยหรอก เคยไปฝึกงานที่บริษัท Law Firm ยักษ์ใหญ์ข้ามชาติแถวสีลม เมื่อ ปี 2542 partner ของที่นั่น คุยกับผมว่า ปกติที่นี่ถ้าจะรับคนเข้าทำงาน แล้วถ้าผู้สมัครมีคุณสมบัติต่างๆ พอๆกัน เค้าก็จะดูว่าคนไหนมีใครแนะนำ(ฝาก)มาให้หรือเปล่า ถ้ามีก็รับคนนั้นก่อน ถ้าไม่มี ก็ดูว่าจบมาจากไหน เพราะคนเราถ้าไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า แล้วไม่มีใครที่น่าเชื่อถือฝากฝังมา ก็ต้องเลือกเอาคนที่มาจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับระดับชาติ เอาไว้ก่อน ส่วนผมเอง ที่ได้ไปฝึกงานที่นั่น ก็เพราะลุงเคยเป็นอดีตที่ปรึกษา แล้วฝากให้ไปฝึกงาน แต่พอเข้าไปแล้ว ฝึกอยู่ได้ไม่กี่เดือน ก็รู้สึกว่า เราคงไม่เหมาะกับการทำงานที่นี่แน่นอน เพราะนอกจากผลการเรียน และภาษาอังกฤษจะห่วยแล้ว  การทำงานที่นี่ก็หนัก ขนาดฝึกงานบางครั้งยังต้องอยู่ถึง เที่ยงคืน !!! สุดท้ายหน่วยงานราชการที่ไปสมัครไว้ เค้าเรียกตัว ก็เลยขอเลิกฝึกงานก่อนกำหนด ----------------------------------------------------------------------------------------- 2. ระบบการรับน้อง - คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี  แต่ควรให้เข้าร่วมด้วยความสมัครใจ ไม่ควรบังคับ ใครอยากมาก็มา  ใครไม่อยากมา ก็ไม่ต้องมา สมัครเรียนป.ตรี ผมไม่เคยเข้าร่วมงานรับน้องของคณะในฐานะที่เป็น Freshy เลย แต่ตอนเป็นรุ่นพี่ค่อยไปร่วมด้วย อิอิ แต่งานที่ผมไปทุกปีตั้งแต่เป็น Freshy  ก็คือ งานก้าวใหม่ ซึ้งก็คล้ายๆงานรับน้องรวมของมหาวิทยาลัย เพียงแต่เค้าให้มาด้วยความสมัครใจ  ไม่ได้บังคับ  แล้วก็ไม่ได้มีกิจกรรมโหดๆ เถื่อนๆ อะไร มีแต่ เต้น-ร้องเพลง แล้วก็ เต้น-ร้องเพลง เฮฮาๆ กันตลอดเวลา แต่ก็มีช่วงซึ้งๆ ตอนกลางคืนก็จะมีการจุดเทียนทำบายศรีสู่ขวัญ กลับมาแล้วได้มาแต่ความประทับใจ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย ถ้ารับน้องแนวนี้ ผมสนับสนุนนะ จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 10:47:21

ความคิดเห็นที่ 4 จบสถาบันเดียวกันอ่ะเหรอผมเจอมาแล้วครับ ไม่ต้องมากหรอก สมัยรับน้องใหม่ รุ่นพี่ผมบอกว่า "เราจะรักกันจนวันตาย" โห ประกาศลั่นเลยนะ แหม ถึงตอนนี้ทำงานที่เดียวกัน ไม่ต้องเอาถึงตายหรอกพี่ ยืมตังค์ซัก 5000 ดิ เงียบกริบ แถมมองไม่พอใจอีกต่างหาก ไหนว่าจะรักกันจนวันตายไง แค่เงิน 5000 ไม่ถึงตายหรอกพี่ 5 5 5 5 5 5 5 5 5 ไอ้เรื่องรักสถาบันไร ผมว่ามันไร้สาระว่ะ รุ่นพี่รุ่นน้องเหมือนใส่หัวโขน ชีวิตจริง ก็คือชีวิตจริงครับ จากคุณ : มีแต่เรื่องตลก เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 10:48:04 A:111.84.142.158 X: TicketID:248279

ความคิดเห็นที่ 5 รุ่นไม่รู้ รู้แต่ว่าสถาบันน่ะมีแน่นอนยิ่งองค์กรใหญ่ๆ จากคุณ : Geum jan di เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 11:27:01

ความคิดเห็นที่ 6 มีผลต่อการหางาน (ตอนสมัครงาน บริษัทยังไม่รู้จักคุณ เขาก็ต้องหาองค์ประกอบอื่นมาพิจารณา เช่น เกรด สถาบัน ฯลฯ) แต่ไม่มีผลต่อการทำงานครับ (พอทำงานไปแล้ว ก็อยู่ที่ตัวคุณล้วน ๆ ว่า ความสามารถแค่ไหน) จากคุณ : star_seeker เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 12:54:57

ความคิดเห็นที่ 7 รุ่นอาจจะไม่เกี่ยว แต่สถาบันมีผลแน่นอน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับองค์กร ส่วนเรื่องการรับน้องต้องดูกันอีกทีว่ากิจกรรมต่างๆ เหมาะสมหรือไม่ จากคุณ : BurningSun (BurningSun) เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 13:16:39

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วแต่กรณีมั้ง ความจริงชื่อสถาบันมันก็บอกข้อมูลบางอย่างไว้แล้ว แล้วมักจะเป็นไปตามนั้น นี่ตามประสบการณ์ส่วนตัวนะ ไอ้ที่กลับกันก็มี   บริษัทต่างชาติบางแห่งเขาไม่ต้องการ เขาบอกว่าเพราะกลุ่มนี้มีสมองเกินกว่าที่เขาต้องการ ยุ่งยากเขา จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 13:24:59

ความคิดเห็นที่ 9 บริษัทเราเป็นพวกยืนอยู่ข้างสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยสุดฤทธิ์ ประมาณว่ามีกำเนิดจากแหล่งประชาธิปไตย ผ่านประวัติศาสตร์โลกอันขมขื่นมานาน ประกาศก้องว่าใครก็ได้มาทำงานบริษัทเราได้ทั้งนั้น ขอให้ทำเป็น กระนั้น สำหรับ Bangkok site คนรู้จักทั้งหมด ล้วนมาจากมหาวิทยาลัยปิดของรัฐทั้งสิ้น (คือเด็กคนไหนเรียนเก่ง บ. เราก็ไปล่ามาตั้งแต่ยังละอ่อน) จะมีบ้างก็คือ เอแบค ซึ่งส่วนหนึ่งคือมีประสบการณ์ทำงานที่อื่นมาก่อน หรือไม่ก็จบตรีข้ามน้ำข้ามทะเลมาเลย แต่ถ้า new grad เนี่ย พูดแบบไม่อ้อมค้อม ก็จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยปิดทั้งนั้นแหละ แต่เข้ามาแล้วก็เท่านั้นล่ะนะ เท่ากันหมด จะสีไหนก็เหอะ ทำไม่เป็นก็ถูกอัญเชิญไปที่อื่นทั้งนั้น แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 54 15:22:28 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 15:20:29

ความคิดเห็นที่ 10 คห 4 ถ้ามีรุ่นพี่หรือรุ่นน้องมาขอยืมเงิน5000บาท บ้างล่ะ จะให้มั๊ย จะขอยืมอะไรกันมากมายครับ เค้าไม่ได้มีหน้าที่มารับผิดชอบอะไรคุณนะครับ จากคุณ : 1 (psychosilpa) เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 22:39:56

ความคิดเห็นที่ 11 คุณคห 10 ครับ ที่ผมเขียนไว้น่ะ ต้องการเปรียบเทียบให้เห็น อ่านดี ๆ ซิ อีกอย่าง ผมก็คงไม่บ้า แล้วก็ประกาศตัวว่าจะต้องรักสถาบัน รักรุ่นพี่รุ่นน้องจนวันตาย แบบนั้นน่ะครับ 5000 เหรอ จิ๊บ ๆ อ่ะ มากกว่านี้ก็เคยให้ยืม แต่ก็ต้องทำให้เป็นไปตามกฎหมายครับ เีดี๋ยวผิดใจกัน หรือว่าความเห็นผม จี้ใจดำคุณคห.10 เหรอ ครับ หรือเคยโดนชักดาบไปเยอะจากรุ่นพี่หรือรุ่นน้องสถาบันเดียวกัน 5 5 5 5 5 จากคุณ : คห4 เขียนเมื่อ : วันมาฆบูชา 54 07:12:30 A:111.84.221.45 X: TicketID:248279

ความคิดเห็นที่ 12 คห.11 ก็เห็นว่าเปรียบเทียบซะ นึกว่าเคยไปขอใคร แล้วเขาไม่ให้ก็เลยเป็นปมในใจน่ะครับ เห็นยกตัวอย่างมาซะ ..... หุๆๆ  นี่ถ้าไม่ได้คิดเรื่องยืมเงินยืมทองใครรเนี่ย  คงคิดแบบนี้ไม่ได้นะเนี่ย จากคุณ : 1 (psychosilpa) เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 54 22:23:25