ความคิดเห็นที่ 1 "..ผมเห็นว่าจากที่ผมได้ลองแปลถูกๆผิดๆไปมันก็ช่วยให้ผมพัฒนาภาษามากขึ้นแม้ว่าจาได้เพียงคำศัพท์ก็ตาม.." >> ได้แค่คำศัพท์ไปไม่รอดหรอกครับ เพราะการแปลมันไม่ใช่แค่เทียบคำต่อคำ ถ้าแค่นั้นป่านนี้เสร็จโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไปแล้ว คนจะแปลได้จะต้องมีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาต้นทางและปลายทางในระดับเก่ง เก่งภาษาต้นทางในระดับที่อ่านเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง เข้าใจศัพท์ สำนวน โครงสร้าง จนอ่านเจตนาคนเขียนได้กระจ่างว่าเขาจะสื่ออะไร จากนั้นก็มาถ่ายทอดเป็นภาษาปลายทางได้อย่าง ไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน สละสลวยไพเราะ เหมาะกับกาลเทศะ เก็บเจตนาคนเขียนได้ครบ บางคนเก่งแต่ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยไม่เอาอ่าว ก็แปลไม่ได้ บางคนเก่งแต่ภาษาไทย แต่อ่านภาษาอังกฤษไม่แตก ก็แปลไม่ได้ ต้องเก่งทั้งคู่ คุณอยากแปล คุณก็ต้องไปพัฒนาทักษะทั้งสองภาษานี้อย่างผมว่า เรื่องเว็บหรือบอร์ดที่ปรึกษาหารือเรื่องการแปลผมยังไม่เคยเห็น ถ้าคุณสงสัยเล็กๆน้อยๆก็แวะมาถามที่นี่ได้ แต่ว่าเอามาให้ตรวจแก้เป็นหน้าๆนั้นเกรงว่าจะลำบากเพราะมันเปลืองเวลาเอาการ และคนที่แปลเป็นอาชีพนั้นมักจะขาดแคลนเวลาเสียด้วย เส้นตายมันคอยสะกดรอยตามจี้ตูดอยู่ร่ำไป คุณรู้ไหมว่าการตรวจแก้หรือการ edit นั้นเสียเวลาและกินแรงกว่าการเขียนใหม่แปลใหม่เป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจงานของคนที่ภาษายังไม่แข็งแรง งานที่อยู่ในวิสัยจะตรวจแก้ได้ไม่ลำบากนักควรจะมีที่ผิดพลาดบกพร่องสักห้าเปอร์เซนต์ เอ้า ให้สิบเปอร์เซนต์ก็ได้ เกินนั้นสำหรับผมก็เหลียวซ้ายแลขวาแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่ว่ามันมีข้อจำกัด ผมมาตอบๆนี่ เรื่องที่จะปลอดโปร่งเรื่องเวลาไม่มีงานอย่างอื่นควบหาลำบากมาก โดยมากก็เข้ามาพักสมองเป็น intermission ระหว่างการแปลงานใหญ่หรือการเขียนหนังสือ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 54 08:39:26

ความคิดเห็นที่ 2 เอาง่ายๆ ก่อนเลยแบบพี่แอ็ดแนะนำ คุณทำตัวเองให้เก่งอังกฤษแบบสุดยอด ระดับที่คุณสามารถเข้าใจภาษาระดับรับเข้า (understanding/comprehension 100%) ครับ ลองทำแบบฝึกหัดข้อสอบต่างๆ เกี่ยวกับ comprehension พวก IELTS, Toefle, GMAT, GRE, CU-TEP, TU-GET ให้ได้ 100% ครับ ถ้าคุณทำได้ อย่างไรภาษาไทยที่จะถอดข้อความให้แปลผิดก็คงยาก อาจไม่สละสลวย นมเนยฟุ้ง แต่คงไม่ผิดครับ แต่ถ้าภาษาต้นทางคุณยังไม่มีทางทำได้ 100% แล้วคุณจะถ่ายทอดเป็นภาษาไทยถูกได้อย่างไร? ดังนั้นผมแนะนำให้คุณฝึกภาษาอังกฤษให้แตกฉานสุดยอดไปเลยครับ แล้วทดสอบด้วยข้อสอบต่างๆ ดูว่าคุณเจ๋งหรือยัง จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 54 17:35:30

ความคิดเห็นที่ 3 ดูๆกระทู้ล่างๆของ จขกท แล้วรู้สึกว่าคุณแค่อยากเรียนภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องใช้งานได้เท่านั้้นเอง ไม่ได้อยากจะเป็นนักแปล ถ้าเป็นเช่นนี้คุณอย่าไปเสียเวลากับการแปลเลย การแปลอะไรให้ใครแก้มันไม่ใช่วิธีเรียนภาษาอังกฤษที่ดีเลย แล้วคนที่จะแก้ให้คุณน่ะกว่าจะแก้เสร็จต้องเสียเวลานานมากๆซึ่งน้อยคนนักที่จะมีเวลาแก้ให้คุณฟรีๆบางทีงานชิ้นเดียวแค่ 3-4 หน้ากว่าจะแก้่เสร็จกินเวลาตั้งครึ่งค่อนวัน อีกทั้งต่อให้แก้ไปอีก 5 ปี มันก้อยังไม่ครอบคลุมเรื่องทุกเรื่องที่คุณควรจะเรียนรู้ในระดับพื้นฐาน เราว่าคุณควรเรียนภาษาอังกฤษโดยไม่ใช้สื่อภาษาไทยจะดีกว่า ลองไปเรียน conversation ที่ aua ดู ฝรั่งสอนไม่ใช้ภาษาไทยเลย แล้วพอพูดได้หน่อยๆก้อหัดอ่านหนังสือ ดู หนัง ฟังเพลงภาษาอังกฤษ หัดเปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ หัดเรียน grammar และ writing จากเวปต่างประเทศ บางทีมี video clips ให้ดูด้วย ถ้าคุณเก่ง conversation เป็นลำดับแรก ทุกอย่างที่เหลือคุณเรียนเองได้หมด แต่ถ้าคุณพูดกับฟังอังกฤษไม่รู้เรื่องเลย คุณจะใช้สื่อต่างประเทศล้วนๆ (ไม่ใช้หนังสือเรียนภาษาไทย ไม่เรียนกับครูไทย) ซึ่งเป็นวิธีการเรียนที่ดีที่สุด คุณจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ยากมากๆ ถ้าคุณเคยอ่านกระทู้เก่าๆที่มีคนเขียน essay มาให้แก้ แล้วเขียนมาเละ แก้แทบไม่ไหวเลย เพราะอะไร?  คนเรียน writing ยังไม่เก่ง conversation มากพอขนาดฝันเป็นภาษาอังกฤษได้ ต่อให้ไปเรียน writing กับติวเตอร์ดังๆ เรียนไปให้ตายก้อเปล่าประโยชน์ ไม่ได้ผลหรอก...ถ้าไม่เรียนพูดให้เก่งซะก่อน...!!! การเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานโดยการแปล เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะ เพราะทักษะการแปลมันยุ่งยากกว่าหลายเท่า ถ้าไม่คิดจะเป็นนักแปลอย่าไปยุ่งกับมันให้เสียเวลา ตัวเราเองทำงานเป็นนักแปลแต่กว่าจะแปลอะไรให้ออกมาดีเป็นเรื่องเป็นราวพอจะหาทำมากินจากการแปลได้ ขนาดเราเริ่มหัดแปลตอนที่เราฟัง พูด อ่าน เขียนอังกฤษได้คล่องมากๆอยู่แล้วเรายังแปลออกมาไม่เป็นภาษาคนเลย ต้องเรียนการแปลตั้งหลายปีกว่าจะทำงานเป็นนักแปลได้   ดังนั้น ถ้าอยากเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารหรือค้นข้อมูลได้ (จากการค้นคว้าตำราต่างประเทศ) ก็พยายามเรียนภาษาอังกฤษโดยไม่ใช้สื่อภาษาไทยเลย และไม่ต้องเรียนกับครูคนไทยด้วย อย่าไปยุ่งกับการแปล เพราะมันเสียเวลาเปล่าๆ แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 54 00:25:06 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 54 19:52:54

ความคิดเห็นที่ 4 ทั้ง 3 คห.1,2,3 ข้างต้นดีหมด คุณลองพิจารณาดู อ่านให้ถี่ถ้วน แต่ถ้าหากคุณยังมีความต้องการแบบนี้จริง ๆ ผมแนะนำให้คุณหาหนังที่เขียนบทแปลโดย มจ.ทิพยฉัตร ฉัตรชัย หรือ คุณจิระนันท์ พิตรปรีชามาทดสอบความสามารถของคุณเอง เลือกหนังที่เป็น DVD เลือกภาษาอังกฤษ ทำบทพากย์เอง แล้วเปิดบทพาทย์ภาษาไทยของทั้งสองท่านเทียบเคียงกับของคุณดู ถูกคือถูก ผิดคือผิด ไม่เป็นไร ค่อย ๆ สังเกตการใช้ภาษาของทั้งสองท่านดูดี ๆ รับรองว่าคุณจะพัฒนาความเข้าใจในเรื่องที่คุณอยากรู้ มากกว่าคำว่า "การแปล" ลองดูครับ จากคุณ : ไม่ค่อยเก่ง เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 54 22:44:06 A:183.88.249.66 X: TicketID:291894

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกับคุณ fortuneteller มากๆ ค่ะ อย่าพยายามเรียนหรือฝึกภาษาอังกฤษด้วยการแปลเป็นไทยเลยค่ะ เรื่องนี้ได้กับตัวเองเลย คือพอแปลหนังสือจากอังกฤษเป็นไทยมาได้ระยะหนึ่ง บางครั้งงานเร่ง คนรอบข้างบอกได้ทุกทีว่าตอนไหนกำลังเร่งงานแปล เพราะช่วงนั้นเวลาพูดอะไรกับใครนี่จะเพี้ยนไปเลยเพราะในใจจะมีแต่ความพยายามแปลคำนั้นหรือประโยคนั้นเป็นภาษาไทย จนวันหนึ่งคนที่บ้านทักว่าทำไมอยู่ดีๆ ภาษาอังกฤษของยูถึงได้ฟังดูแปลกประหลาดยังงั้นล่ะ บางวันเข้าห้องสอนแล้วแทบจะเห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้านักศึกษาที่สอน ก็เลยสรุปได้ว่าคงเป็นเพราะในช่วงเวลาที่กำลังเร่งแปลหนังสือทำให้พยายามฝึกคิดเป็นภาษาไทยเวลาที่อ่านภาษาอังกฤษค่ะ ผลออกมานี่เซแซ่ดๆ เลย แล้วพูดก็พูดเถอะนะคะ การถ่ายทอดจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษามันจะยกเอาความหมายทั้งหมดข้ามภาษาไปไม่ได้ แทบไม่มีประโยคไหนในภาษาอังกฤษที่แปลเป็นไทยแล้วได้ความหมายตรงกับความหมายเดิมเป๊ะๆ เป็นได้อย่างมากก็เพียงใกล้เคียงเท่านั้นเองค่ะ เพราะอย่างนั้นพยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และฝึกภาษาอังกฤษเป็นภาษาอังกฤษอย่างที่คุณหมอดูแนะนำจะดีที่สุดค่ะ แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 54 05:28:11 จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 54 03:13:13

ความคิดเห็นที่ 6 คุณ คห. 4 คะ เคยสังเกตุของคุณจิระนันท์ เหมือนกัน แต่เอาเทียบกันยังไม่เคย คงต้องมีเวลาหน่อย น่าสนใจมาก ๆ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ด้วยตัวเราเอง และคุณพอทราบไหมว่ารายการของคุณผึ้ง เที่ยวละไมไทยแลนด์ของช่อง 3 ที่มี sub.Eng นะคะ ใครเป็นคนเขียนคะ อ่านดูรายละเอียด ไม่เห็นคะ และ สไตล์เป็นอย่างไร ถามใครก็ได้คะ ท่านอาจารย์ทุกท่าน อยากทราบคะเพื่อความรู้คะ ขอบพระคุณ จากคุณ : นางปฏาจารา (เขมิศราสุดสวย) เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 54 09:14:29