 |
ผม-ลุงกฤช-จักรกฤช รู้จักคำว่าตัวตนมาแต่หนุ่ม 16-17 ว่าเป็น ชีวิต-อินทรียสาร ที่จะมีเวลาอยู่บนโลก ประมาณ 75 ปี-80 ปี และชีวิต-จะต้องเจริญเติบโตด้วยการกิน และดำรงมิให้สูญพันธุ์ด้วยการเสพกาม ดังนั้นผมจึงใฃ้หลักสามแปดมาแต่หนุ่ม คือทำงานแปดฃั่วโมง ศึกษาแปดชั่วโมง พักผ่อนแปดฃั่วโมง ผมคกใจกับวลาที่เสียไปกับการนอนหลับหรือพักผ่อน 25 ยังเสียเวลาไปกับความเป็นเด็ก 15-10=5 ปี และวัยแก่ไป 15-10=5 ปี คิดๆแล้วมีเวลาทำงานเพื่อให้มีกินมีใช้ เพียง 20 กว่าปีเท่านั้น ผมจึงเริ่มทำงานหนักศึกษาหาความรู้ควบคู่กันไป ผมจึงมีชาติ(แผ่นดิน) เป็นของตนเองโดยเริ่มต้นจากศูนย์เมื่ออายุ 35 ทำงานและศึกษาด้วยความตระหนักว่าแต่ดั้งเดิมแผ่นดินนี้เมื่อหมื่นกว่าปีเป็นของทุกคน จากการศึกษาของผมทำให้ผมทราบถึงประวัติศาสตร์ของการสูญเสียความเสมอภาคของมนุษย์ทั่วโลก ผมจึงใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย และเจตจำนง
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างจิตสำนีกของความเป็นตัวตนให้ผม
ปัญญาวิวัฒน์ภาค 1 ราชบัณฑิต สมัคร บุราวาศ
บทนำ
จากการศึกษา วิวัฒนาการรวมของจักรวาล (Universe ยู-นิเฝิซ) ทำให้ ทราบว่า สรรพปรากฏการณ์ (Phenomena ฟินอม-อิน่ะ) ทั้งปวงที่มีใน จักรวาล เป็นสรรพปรากฏการณ์ ของสิ่งที่มี ที่เรียกว่า สสาร (Matter แมะ- เทอะ) ซึ่งเป็นสิ่ง มีเนื้อ (มวล Mass แม็ส) มีปริมาตร มีขนาด มีน้ำหนัก และมีสมบัติติดมาแต่กำเนิด 3 ประการ ซึ่งเราจะเรียกว่ากฎ 3 ประการ ของจักรวาล หรือ สามัญลักษณะ 3 ประการของสสารก็ได้ คือ กฎประการที่ 1. สสารมีธรรมชาติเป็นอนิจจธรรม กล่าวคือ สสารทั้ง ปวงมีอาการเคลื่อนไหวอยู่ทุกขณะไม่มีสสารใดอยู่นิ่งเป็นนิจนิรันดรได้ กฎประการที่ 2. สสารมีธรรมชาติเป็นอนัตตธรรม กล่าวคือ เมื่อ สสารทั้งปวงต่างก็เคลื่อนไหว ทุกขณะสสารจึงต่างก็เข้ามาเกี่ยวข้องและ มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน จึงไม่มีสสารใดเป็นสิ่งโดยตัวเองโดยโดดเดี่ยว จะมีก็ แต่สสารที่เกี่ยวข้องพึ่งพากัน และ ขัดแย้งกัน แม้ทุกขณะสสารแต่ละชนิด จะพยายามรักษาความเป็นสิ่งเดียวกับตัวเองไว้ ด้วยความพยายามดึงสิ่งอื่น ให้เป็นเนื้อของตน แต่ทุกขณะตัวมันเอ็ง,ก็จะถูกดึงไปเป็นสิ่งเดียวกับ สิ่งอื่น, สสารอื่นเช่นกัน การดำรงอยู่ของสสารทั้งปวง จึงดำรงอยู่อย่าง ชั่วคราว เป็นสิ่งอนัตตธรรม เป็นสิ่งสัมพัทธ์ คือสมบูรณ์ชั่วขณะวินาที กฎประการที่ 3. สสารมีธรรมชาติเป็นทุกขธรรม กล่าวคือไม่มีสสาร ใดดำรงสภาพเดิมอยู่ชั่วนิจนิรันดรได้ เนื่องมาจากกฎข้อ 2, ที่ทุกขณะแต่ ละสสารต่างพยายามดึงสิ่งอื่นให้เป็นเนื้อของตน หรือถูกสิ่งอื่นดึงเนื้อของ ตนออกไปนั้น สสารทั้งปวงจึงมีการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณของมวล กล่าวคือ เนื้อของสสารอยู่ทุกขณะ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบที่ เรียกว่าพัฒนาการเกิดขึ้นก่อน เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณซึ่งอาจ เจริญ เติบโตขึ้นหรือเสื่อมเล็กลงก็ได้ แต่เมื่อถึงระยะหนึ่ง, สสารนั้นๆจะ แปรเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด เป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่า วิวัฒนาการ กล่าวคือ เป็นการแปรเปลี่ยนในเชิงคุณภาพกลายไปเป็นสิ่งใหม่ สสารอย่างใหม่เกิดขึ้นแทนสิ่งเก่าอย่างฉับพลันและจะเป็นดังนี้ไปเป็นนิจ นิรันดรไม่ว่าสสารนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไร้ชีวิต ดังนั้นสิ่งที่มีในจักรวาล จึงมีแต่สสารกับปรากฏการณ์ของสสารอันเกิดจากกฎ3 ประการดังกล่าวมาแล้ว ด้วยกฎ 3 ประการนั้น จากอดีตเมื่อ 15,000 ล้านปีมาแล้ว, นับแต่วาระ ที่เกิดปรากฏการณ์แห่งมหากัมปนาท (Big Bang บิ๊กปั้ง) อันเกิดจากการ รวมตัวของสสาร (Matter แมะเทอะ) ในรูปที่เรียกว่า อนุภาคคอสมิก (Cosmic Particle คอสมิก พาทิคล) ที่เล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจำนวนหนึ่งจาก จำนวนมาก จึงมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในแบบพัฒนาการ (Development ดิเฝล- อัพเม็นทฺ) และแปรเปลี่ยนในแบบวิวัฒนาการ (Evolution เอโฝะลยู- ฌั่น) สสารเหล่านั้นจึงกลายเป็นจักรวาล (Universe ยูนิ-เฝิซ) หรือ เอกภพ (Cosmos คอสมอส) หนึ่งขึ้นมาซึ่งมีความกว้างใหญ่ไพศาลพ้นจะประมาณขนาด ได้เพราะมีการเคลื่อนที่ขยายตัวออกไปเป็นสี่มิติอยู่ทุกขณะ. มหากัมปนาท (Big Bang บิ๊กปั้ง) ณ วาระนั้น,ได้ก่อให้เกิดเกาะแก่ง แห่งจักรภพ (Galaxy แกล-แอ็กซิ่) หลากหลายสุดจะนับได้ขึ้นในจักรวาล (Universe ยูนิ-เฝิซ) นี้ ในจำนวนนี้, มีอยู่ จักรภพ หนึ่งชื่อ ทางช้างเผือก (The Milky-Way Galaxy ฑิ มีล - คิเว แกล - แอ็กซิ่) หรือ คงคาสวรรค์ ซึ่ง ภายในจักรภพนี้ก็ยังประกอบด้วยเกาะแก่งแห่งกลุ่มหมอกธาตุ (Nebulae เนบ-อิวลิ่) อีกจำนวนหลากหลายนับไม่ถ้วนเช่นกัน แต่มีหมอกธาตุ (Nebula เนบ-อิวล่ะ) กลุ่มหนึ่งได้มีวิวัฒนาการกลายมาเป็นระบบสุริยะ (Solar System โซเลอะ ซีซ-เท็ม) อันมี ดวงอาทิตย์ (Sun ซัน) เป็นศูนย์กลาง และมีดาว เคราะห์ (Planet พแลน-เอ็ท) บริวารอีก 8 ดวง ในจำนวนนี้มี ดาวเคราะห์สีน้ำ เงิน (Blue Planet บลู พแลน-เอ็ท) ที่เรียกว่า โลก (World เวิลดฺ หรือ Earth เอิธ)อยู่ดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้,ได้มีวิวัฒนาการทางธรณีวิทยามาอย่างเป็น ที่น่ามหัศจรรย์ กล่าวคือ จากหมอกธาตุ - วิวัฒน์เป็นโลหะธาตุ ที่รวมเรียกว่า สารอนินทรีย์ (Inorganic Substances อิ-นอแกน-อิค ซับสแท็นซฺ) เกิดขึ้น. จากบางส่วนของสารอนินทรีย์ ได้มีการวิวัฒน์ต่อมาเป็นสารอินทรีย์ (Organic Substances ออแกน-อิค ซับสแท็นซฺ). จากบางส่วนของสารอินทรีย์ ได้วิวัฒน์ต่อไปเป็นสิ่งมีชีวิตพืชและสัตว์ขึ้นหลากหลายล้านๆเผ่าพันธุ์ และที่สุดมีเผ่าพันธุ์ของจุลชีพชนิดหนึ่งได้วิวัฒน์ต่อมาเป็นมนุษย์ขึ้นคือ เป็นตัวเราตัวท่านในปัจจุบัน,รวมกันอยู่ในโลก-ดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ นี่คือการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของพุทธะทางวิทยาศาสตร์ แห่งศตวรรษที่ 19 ที่ตอบข้อสงสัยของมนุษย์ที่อยากรู้เรื่องตัวเขามานับหมื่นๆปีว่าเขาเป็น อะไร, มาจากไหน? อันแย้งอยู่กับคำของศาสดาที่กล่าวว่าเขาเป็นจิตย่อยๆ ของพระเป็นเจ้า และพระองค์เป็นผู้สร้างเขา และสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา ! ด้วยกิเลส, ด้วยอวิชชา, มนุษย์จึงบริโภคทรัพยากรของโลกอย่างล้าง ผลาญโดยปราศจากความรู้ความสามารถที่จะสร้างเสริมทดแทนได้ ทำให้ แผ่นดิน ท้องน้ำ ผืนฟ้า ปิโตรเลียม โลหะธาตุ พืช สัตว์ ฯลฯ อันเป็นแหล่ง สร้างพลังงานให้แก่มนุษย์ได้กินได้ใช้ อันกฎ 3 ประการใช้เวลาสร้างไว้ เป็นพันๆ ล้านปีกำลังจะหมดสิ้นลง และเกิดมลพิษขึ้นแทน แต่ประเทศ มหาอำนาจ ก็ยังเร่งทำลายด้วยสงครามแย่งชิงทรัพยากรที่เหลือน้อยนิดนี้ จากประเทศที่มีกำลังด้อยกว่า เพื่อหวังจะกอบโกยไว้ใช้เพียงเพื่อประเทศ ของตน ประเทศที่มีกำลังน้อยจึงต้องจับมือกันร่วมสู้กับชนชั้นปกครอง ของประเทศจักรวรรดินิยม เพื่อทำให้เขาได้สำนึกว่า การแย่งชิงทรัพยากร ของประเทศอื่นเพื่อตนเอง อาจทำให้เขาอยู่ได้นานขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่เขา ก็จะอยู่ตลอดไปไม่ได้ ทุกประเทศจึงจักต้องร่วมมือกันแก้ไขโลก ด้วยการ แบ่งปันทรัพยากรที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ด้วยความเป็นธรรม และตั้งอยู่บน ความสำนึกว่า ในที่สุดจะต้องประสบกับความวิบัติร่วมกัน เร็วยิ่งขึ้น. ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ในสาขาต่างๆที่มองเห็นสัจธรรมแห่งการ เกิดขึ้น ดำรงอยู่และเสื่อมสลายลงไปของสรรพสิ่งทั้งปวง สาขาหนึ่งต่างก็ พยายามค้นหาสิ่งทดแทนและหาวิธีรักษาถนอมโลก อีกสาขาหนึ่งพยายาม คิดค้นการสร้างยานอวกาศที่ใช้พลังงานน้อยแต่มีความเร็วเป็นอสงไขย อีกสาขาหนึ่ง ค้นหาดาวเคราะห์ดวงอื่นของระบบสุริยะอื่นในจักรภพเดียว กับเรา เพื่อที่จะตระเตรียมไว้เป็นแหล่งอพยพครั้งใหญ่ในอนาคตให้แก่ เผ่าพันธุ์ของชีวิตในดาวน้ำเงินดวงนี้ให้ดำรงอยู่ได้ต่อไป ดุจดังที่มนุษย์เคย อพยพกันครั้งใหญ่หนีภัยน้ำท่วมโลกในอดีตเมื่อหมื่นกว่าปีมาแล้วฉะนั้น ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องศึกษาด้วยความสำนึกว่าการใช้อย่างล้างผลาญ ของทรัพยากรโลกยังดำเนินอยู่อย่างน่าตกใจ ด้วยอวิชชาของคนไม่รู้คุณค่า ของวิทยาศาสตร์ทั้งวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์สังคมและทุกคน มีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบที่จะรักษาโลกนี้ไว้ด้วยความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ด้วยการศึกษาในรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงในแบบพัฒนาการและ แปรเปลี่ยนแบบวิวัฒนาการทั้งทางกายภาพและชีวภาพ อันเกิดจากกฎอันทรง พลัง 3 ประการที่ดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่งนี้ ซึ่งเริ่มศึกษาจากหนังสือเล่มนี้ แล้วศึกษาเพิ่มเติมจากวิชาวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เช่นจักรวาลวิทยา ชีววิทยา ธรณีวิทยา มานุษยวิทยาฯลฯ และที่สำคัญก็คือวิทยาศาสตรสังคม เพื่อจะได้ ช่วยกันรักษาดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ให้ดำรงอยู่อย่างยืนนานและอำนวยผล ประโยชน์ให้แก่มวลชีวิตทุกชนิดให้อยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข โดยไม่ต้อง แย่งทรัพย์แผ่นดินกันด้วยการกดขี่ขูดรีด, ปล้นฆ่ากันด้วยระบบทุนนิยมและ จักรวรรดินิยมเพื่อแย่งชิงทรัพยากรของคนจนและประเทศล้าหลังได้อย่างไร ภารกิจของหนังสือชุดนี้, จะเริ่มต้นให้การศึกษาจากก้าวแรกของ อินทรียสาร ที่เกิดขึ้นในสายธารแห่งวิวัฒนาการทางชีวภาพจากจุลชีพ ที่ได้วิวัฒน์เป็นสัตว์กินนม (Primate พไร-มิท) กึ่งกระรอกกึ่งลิงซึ่งต่อมา ได้มีการวิวัฒน์เป็นวานร (Apes เอพสฺ - Anthropoids แอนโธรพอยด์สฺ) พันธุ์ หนึ่งที่ให้กำเนิดมนุษย์ปฐมกาลขึ้นมา อันมีปัญญาระดับเดียวกับวานรพันธุ์ อื่นๆ (Hominoids โฮมินอยด์สฺ) เมื่อประมาณ 4.4 ล้านปีนั้น กลับกลายเป็น มานุษย์* (Ape-man เอพแม็น: Hominids โฮมินิดสฺ) เมื่อ 200,000 - 40,000 ปีและกลายเป็นมนุษย์แท้ ( Homo sapiens โฮโม เซ้เพี่ยนสฺ) เมื่อ 35,000 ปี ------------------------------------------------------------------------------- * มานุษย์ (Ape-man) หมายถึงวานรต้นตระกูลพันธุ์หนึ่งของมนุษย์หรือปฐมมนุษย์ซึ่งยังมีใบหน้าและร่างกายคล้ายวานรอยู่ แต่ได้มีวิวัฒนาการต่อมาอยู่ในระดับสูงกว่าวานร รู้จักใช้เครื่องมือหินแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นมนุษย์แท้ (Homo sapiens)
กระทั่งกลายเป็นมนุษย์ผู้ทรงปัญญาอันยิ่งใหญ่ (Homo sapiens sapiens) ใน ปัจจุบันนี้โดยทิ้งญาติของเขาให้คงเป็นวานรอยู่หรือสูญพันธุ์ไปได้อย่างไร จึงเป็นการสมควรที่เราจะศึกษาเฉพาะวิวัฒนาการนี้ในส่วนนี้ ซึ่ง ได้แก่วิวัฒนาการของการรับรู้, อันนำมาซึ่ง ปัญญา อันยิ่งใหญ่แห่ง มนุษยชาติ หนังสือชุดนี้ถือเป็นภารกิจที่จะแสดงหลักฐานของ วิวัฒนาการแห่งปัญญา นั้น ด้วยการค้นหาสัจธรรมตามวิธีการทาง วิทยาศาสตร์มาเสนอเพื่อให้เห็นว่า จากปฏิกิริยารับรู้ขั้นต่ำสุดในพืช เมื่อ ประมาณ 500 ล้านปีมาแล้วนั้น ได้มีวิวัฒน์มาเป็นระบบประสาทและศูนย์ รวมประสาท คือ สมอง อันเป็นอวัยวะวิเศษสุดที่รับรู้สิ่งภายในและ ภายนอกกาย เป็นศูนย์บัญชาการควบคุมร่างกายให้มี ชีวิต เป็นคลังเก็บ ข้อมูล (Information) ทั้งปวงของจักรวาลอันเป็นแหล่งวัตถุดิบที่เขาได้ นำมาสร้างเป็นตัวเขาขึ้นมา จากอดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างไม่มีวันเต็ม ทั้งๆ ที่มีปริมาตรเพียงพันกว่าซี.ซี. แล้วนำมาสร้างเป็นมโนภาพแห่งปัญญาอัน ยิ่งใหญ่ จนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่มีอำนาจมหัศจรรย์ครอบครองชีวิต ครอบครองโลก ที่เรียกว่า จิตมนุษย์ในปัจจุบันนี้ได้อย่างไรประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งจะสาธยายถึงวิทยาศาสตร์สังคม อันจะแสดงถึงเหตุ แห่งประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์เคยมีระบบสังคมเสมอภาคกันทั้งในฐานะและ ความเป็นอยู่ในสมัยชุมชนบุพกาล ยามทุกข์ๆด้วยกันยามสุขๆด้วยกัน ยาม อดๆด้วยกัน ยามอิ่มๆด้วยกัน คนแก่และเด็กไม่ต้องทำงาน ได้วิวัฒน์เป็น ระบบสังคมแบบต่างๆ อันทำให้มนุษย์เหลื่อมล้ำรวยสูงส่งเสียดฟ้ายากเข็ญ ลำเค็ญติดดิน อันบางสังคม ยังคงถูกสอนอย่างบอกใบ้โดยนักบวชและชน ชั้นปกครองให้กราบเท้ามนุษย์ด้วยกัน กราบวัตถุมงคล กราบวัว กราบลิง ฯลฯ ตามคำสอนของศาสนาแห่งโบราณสมัย ด้วยการให้ความหวังว่าสิ่ง เหล่านี้ จะช่วยเขาเหล่านั้นให้พ้นจากภาวะอย่างนั้นได้ โดยปราศจากความละอายต่อบาปที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไรโดยสังเขปด้วย__
จากคุณ |
:
ลุงกฤช
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ก.พ. 54 23:35:40
|
|
|
|
 |