ความคิดเห็นที่ 1 ไม่แน่ใจว่าตั้งแล้วกระทู้หาย เพราะลิงค์ที่เจ้าของบทความใส่ไว้ด้วยหรือไม่ จึงขอแยกออกมาไว้ต่างหาก รบกวนเติมภาษาอังกฤษในช่องว่างเองนะคะ **************** เชิญอ่านบทความที่นี่ครับ http://www.เฟซบุค.com/note.php?note_id=156218327752875&id=100001027479996 เชิญฟังเสียงที่นี่ครับ http://www.ยูทูป.com/watch?v=67sc2Mx6XbA http://www.ยูทูป.com/watch?v=wFpm077v250 http://www.ยูทูป.com/watch?v=vIy0TxDD4jw จากคุณ : แม่ขวัญข้าว เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 02:49:06

ความคิดเห็นที่ 2 แค่นี้ยังน้อยนิด น้ำมันหายเดือดร้อนกว่าลดภาษีเยอะ ดีนะไม่ต้องเอาบัตรประชาชนไปเพื่อซื้อน้ำมัน นั่งหลับยังหน้าด้านขอเงินเดือนเพิ่ม พอใกล้เวลาหาเสียงก็ไปขู่พวกประชาสงเคราะห์ เอางบมาให้มันหาเสียง ถ้าไม่ให้ก็โดนกดให้ดัดด้าน จากคุณ : มนชิจัง เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 03:58:29

ความคิดเห็นที่ 3 ห้าเปอร์เซ็นต์ก็เยอะแล้วนะ นี่สองร้อย สู้รัฐบาลเพิ่มงบให้ห้องสมุดไม่ดีกว่าเหรอ? หนังสือบางเล่มของเราซื้อมาจากต่างประเทศ ได้รับส่วนลดเยอะมากจากปก หนังสือที่ซื้อในไทยก็มีเยอะ บางเล่มได้ฟรีด้วย เหอะๆ ถ้าบริจาคและได้ลดภาษีตามนี้จริง บ้านเราคงไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐอีกหลายปีเลย กำไรเพียบ ประเทศไทยนี่แปลกนะ คิดนโยบายออกมาทีไรประชาชนต้องส่ายหัวเกือบทุกที เอาดีกับเขาบ้างเถอะ คนที่บริจาคหนังสือ เขาบริจาคเพราะไม่มีที่จะเก็บหนังสือหรือมีใจอยากช่วย อยากบริจาคจริงๆ ไม่ต้องเอาเงินมาล่อก็ได้ค่ะ ไปคิดทำอย่างอื่นเถอะ เช่น อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงห้องสมุดได้มากขึ้น ขยายเวลาทำการ มีกล่องรับคืนหนังสือตามสถานที่ต่างๆ ฯลฯ ที่เมืองนอกเขาทำกันแบบนี้ นายกฯคงเคยเห็นบ้างนะ จบนอกมาไม่ใช่หรือ? เรายังเคยเห็นและเคยใช้บริการมาแล้วเลย บางเรื่องทำยากในไทยก็เอามาปรับปรุงก็ได้ อยากบอกว่า เห็นกระทู้นี้แล้วปวดตับค่ะ จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 05:54:35

ความคิดเห็นที่ 4 ซิกหายเลย นักการเมืองเมื่อก่อนเคยทำงานเป็น messenger แหงๆเลยว่ะ ตอนเราทำงานเป็นผู้จัดการร้านแปลเอกสาร พวก messengers ขี่มอเตอร์ไซค์มันเอางานมาให้ตีราคา บอกบอกราคาไปมันบอกให้เขียนบิลเพิ่มแล้วเอาส่วนต่างไปให้มัน ไม่ยอมพวกมัน พวกมันก้อไปเข้าร้านอื่น เจ้าของร้านมันจะตื๊บเราว่ารับงานไงฟะถึงได้เงินแค่นี้เอง...ถ้าเจ้านายไอ้ messengers มันดูว่าแพง เราก้อต้องลงราคาเพื่อไปบวกบิลเพิ่มให้พวกแมร่ง มันเท่ากับเป็น robinhood function ไป คือไปปล้นค่าแปลจากนักแปล เอาไปให้ได้ messengers แมร่ง เชื่อไหมในวงการแปลเอกสาร ไอ้คนขี่มอเตอร์ไซค์นี่แหละ มันเป็นเถ้าแก่ มันรวยกว่านักแปลซะอีก โหนักการเมืองนี้สมองเยี่ยมระดับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเลยว่ะ งานนี้ก้อ robinhood function เหมือนกันคือปล้นสำนักพิมพ์เอาไปให้นักการเมือง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...ประเทศชาติเจอแบบนี้เข้าพวกเราต้องเลิกดูถูกเพื่อนบ้านได้แล้ว เพราะพวกเขาก้อดูถูกพวกเราเหมือนกันเรื่องความล้าหลังด้านวัฒนธรรมการเมือง... ห้องสมุดในประเทศอังกฤษเขามีบริการซื้อหนังสือมาให้อ่านตามคำขอนะ คือใครอยากอ่านหนังสืออะไร ไม่มีเงินซื้อ ก็ไปขอให้ห้องสมุดไปซื้อมาให้ยืมได้...เงินที่พวกนักการเมืองโกงไป ถ้าเอามาเติมส่วนนี้ให้ห้องสมุดไทย คนจนจะได้ไม่ถูกคนรวยรังแกตลอดศก เพราะด้อยความรู้ สรุปแล้วรีบๆสอนภาษาอังกฤษให้เด็กไทยเก่งสูสีประเทศเมืองขึ้นอังกฤษได้ ก็จะดี เพราะความรู้ในสาขาวิชาการต่างๆ หาอ่านเป็นภาษาอังกฤษของฟรีตามเวปต่างประเทศมีเพียบเลย จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 06:42:00

ความคิดเห็นที่ 5 This  is  Thailand  !!!! Thailand  Only  ..!!!! จากคุณ : GiveForAll เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 08:26:22

ความคิดเห็นที่ 6 ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ก็สรรหาเรื่องจริงบ้าง เท็จบ้าง มาด่ารัฐบาลได้ทุกวัน แต่พอรัฐบาล ขึ้นเงินเดือน ส.ส. ส.ส.พรรคฝ่ายค้านกลืนน้ำลายตัวเอง  กลับมาเห็นด้วยกับ รัฐบาล จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 08:40:02

ความคิดเห็นที่ 8 มีงี้ด้วยเหรอเนี่ย...โหวตให้ค่ะ จากคุณ : yaimooyoyo เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 12:36:03

ความคิดเห็นที่ 9 ฮ่วย........... เป็นผมเปิดสำนักพิมพ์แล้วไม่ขายเลยครับ เอาไปบริจาคยังกำไรกว่าอีก ขายได้กำไรเล่มละ 10 บาท (สมมติ) เอาไปบริจาคคุ้มกว่าเยอะ ฮ่วยๆๆๆๆ ปล.คนเขียนบิลนี่ก็งงนะ ถ้าเค้ามาซื้อเยอะเช่น 10,000 เล่ม เล่มละ 100 บาท (จากปก) แต่ขายที่ 15 บาท แสดงว่าได้เงินมา 150,000 บาท แต่รายรับที่ยื่นภาษีเป็น 1,500,000 บาท โดนหักภาษีไป 30 % อีก รวมโดนภาษี 150,000 + 100,000 + 50,000 = 300,000 บาท เฮ้อ กลายเป็นไม่ได้กำไรแต่ต้องมาจ่ายเพิ่มอีก 150,000 บาท บ้าไปแร้วววว จากคุณ : ทารกหัดเดิน เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 13:24:56

ความคิดเห็นที่ 10 ...เลวครับ... ..พวกภาษี นี่...เป็นช่องทางของพวกชำนาญการทั้งหลาย.... ....คนหาเช้ากินค่ำ ไม่มีอะไรสู้รบตบมือ จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้า ซึ่งอีกหน่อยคงจะเก็บเพิ่มแหงๆ เพื่อไปชดเชย ไอ้ภาษีบริจาคหนังสือ บ้าๆบอๆ นี่แหละ จากคุณ : วิหค (วิหค10ตัว) เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 13:47:59

ความคิดเห็นที่ 11 ช่วยแปะ แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 54 14:32:06 จากคุณ : นกอีก๋อย เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 14:21:27

ความคิดเห็นที่ 12 ช่วยแปะ จากคุณ : นกอีก๋อย เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 14:29:51

ความคิดเห็นที่ 13 จบ จากคุณ : นกอีก๋อย เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 14:30:38

ความคิดเห็นที่ 14 นั่งหลับยังหน้าด้านขอเงินเดือนเพิ่ม ภาพนี้ไม่มีลืม เกิดมาเพื่อเป็นเปรต พวกเขาก็ภูมิใจแล้วครับ ^^ จากคุณ : lARtZnolASt เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 14:33:54

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นแนวคิดที่ดีที่จะกระตุ้นการอ่านของประชาชน แต่น่าจะมีเกณฑ์การควบคุมคุณภาพหนังสือบริจาคสักหน่อยนะครับ ส่วนบทวิเคราะห์ ผมไม่เห็นด้วยครับ เรื่องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อันนี้ต่างคนต่างใจ ขอชี้เฉพาะเรื่องเทคนิกนะครับ 1."หนังสือราคาปก ๑๐๐ บาท นักการเมืองซื้อจากผู้ขายราคา ๑๕ บาท ได้ใบเสร็จมา ๑๐๐ บาท" ข้อนี้ถ้าเกิดขึ้นจริงก็มี ๒ เรื่องที่จะเกิดเชื่อมโยงกันคือ - เป็นการออกใบเสร็จรับเงินเท็จ ถ้าเอาไปหักภาษีจริง น่าจะเป็นความผิดทางอาญา - ผู้ขายหนังสือรับเงิน ๑๕ บาท แต่ต้องเอารายได้ตามที่ออกใบเสร็จไปคำนวณภาษีเงินได้ สมมติว่าเป็นบริษัทจำกัด เสียภาษีที่ 30% ก็ต้องจ่าย ๓๐ บาท สรุปว่าผู้ขายขาดทุน (โดยยังไม่ต้องคิดต้นทุน)ทันที ๑๕ บาท ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ บริจาคเองดีกว่า ไม่ต้องเข้าเนื้อ แต่ถ้าผู้ขายไม่เอารายการนี้เข้าคำนวณภาษีเงินได้ก็เท่ากับหลบเลี่ยงภาษี มีความผิดทางอาญาอีก 2. "ได้ใบเสร็จมา ๑๐๐ บาท แต่ได้หักภาษีเมื่อสิ้นปี ๒๐๐ บาท เท่ากับกำไร ๑๘๕ บาท" เรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดของผู้เขียนบทวิเคราะห์นี้ เพราะการหักภาษีได้ 200% นั้นเป็นการลดหย่อนเงินได้ก่อนคำนวณภาษี  ไม่ใช่ว่าได้เงินคืนเป็นยอดนั้น ซึ่งอัตราภาษีเงินได้ขั้นสูงสุดสำหรับบุคคลธรรมดาอยู่ที่ 37% (ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าคงหานักการเมืองที่จ่ายภาษีขั้นนี้ได้ยาก เพราะเคยเห็นนากการเมืองใหญ่ที่ร่ำรวยจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เสียภาษีแค่ปีละหมื่นกว่าบาท น้อยกว่าคนกินเงินเดือนส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำไป) ต่อให้เสียภาษีที่ขั้นนี้ เขาก็ใช้สิทธิ์นี้ลดหย่อนภาษีไปได้ 74 บาทเท่านั้น ซึ่งเทียบกับที่จ่ายไป (คิดที่ 100 บาทนะครับ ไม่ใช่ 15 บาทซึ่งเป็นไปไม่ได้ตามข้อ 1) ก็เท่ากับว่าเขาได้จ่ายเงินเพื่อบำรุงการศึกษาไป 37 บาทอยู่ดี ซึ่งก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยครับ แต่ถ้าจะบอกว่านักการเมืองโกงภาษี หรือผู้ขายหนังสือโกงภาษี อันนี้คนละเรื่องกับนโยบายนี้แล้วครับ ไม่ต้องมีนโยบายนี้ก็โกงได้ครับ จากคุณ : CrazyHOrse เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 15:05:35

ความคิดเห็นที่ 16 เกิดเปนนักการเมืองไทยทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง  หน้าด้านแล้วก็หิวโหย  จากคุณ : เหมียวออก้า (orcahappy) เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 15:07:34

ความคิดเห็นที่ 17 พรก.นี้ผ่านหรือยังครับ ถ้ายังไม่ผ่านก็นำมาบังคับใช้ในปีภาษี 2553 ที่จะต้องยื่นระหว่างมกราคม-มีนาคม 2554 ไม่ได้ พวกนักการเมืองที่กว้านซื้อหนังสือในปีนี้กว่าจะเอาใบเสร็จไปหักลดหย่อนได้ก็ต้องรอปีหน้าล่ะครับ พรก.กำลังพิจารณาทำไมรีบกว้านซื้อ หรือมั่นใจว่าผ่านแน่ๆ แล้ว จากคุณ : Furusato เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 15:51:04

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยกับคุณ CrazyHOrse ว่าเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนทางการคำนวณภาษี ที่คิดว่าเขาจะเอาตรงนี้มาหารายได้เข้ากระเป๋า   ยอดลดเอามาหักจากเงินได้ก่อนคำนวณเป็นยอดภาษีค่ะ และกฎก็บังคับให้ยอดบริจาคที่นำมาหักลดต้องไม่เกิน 10,000 บาท ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา และไม่เกิน 30% จากกำไร หากเป็นนิติบุคคล และส่วนตัวไม่เชื่อว่าบริษัทไหนจะขายหนังสือ 15 บาท แล้วยอมออกใบเสร็จ 100 บาทค่ะ เข้าเนื้อเห็นๆ ใครจะทำ เพิ่มอีกหน่อย เท่าที่เช็คสรรพากร พรก.นี้ใช้ได้แล้วนะคะ นำไปหักลดในรอบภาษี มค. 54 กฏหมายนี้ก็คล้ายๆกับ ปีที่แล้วที่กระตุ้นการท่องเที่ยว เที่ยวไทย เอาใบเสร็จมาหักภาษีได้ อ่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 54 16:34:44 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 54 16:15:44 จากคุณ : smooth night เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 16:11:50

ความคิดเห็นที่ 19 คิดในแง่ดี - คนเขียนบทความไม่เคยกรอกแบบฟอร์มเสียภาษีด้วยตนเอง คิดในแง่ร้าย - คนเขียนบทความตั้งใจเขียนให้คนที่ไม่เคยกรอกแบบฟอร์มเสียภาษีด้วยตนเองอ่าน จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 18:17:12

ความคิดเห็นที่ 20 จขกท เองค่ะ ในทางเทคนิคของภาษีนี่ไม่ทราบค่ะ แต่ประสบการณ์ที่ทำงานมาหลายอาชีพ หลายองค์กร ใบเสร็จรับเงินปลอม จงใจเขียนเกิน ตั้งใจบิดเบือนในสาระส่วนสำคัญ เป็นเรื่องที่หาพบง่ายกว่าร้านเซเวนนะคะ อย่าว่าแต่ขายหนังสือ 15แล้วออกใบเสร็จ 100 เลย คนประเทศนี้ที่ไม่ซื้อขายอะไรกันเลย แต่ออกใบเสร็จเป็นหมื่นเป็นแสน ก็เห็นได้ถมไปนี่คะ จากคุณ : แม่ขวัญข้าว (แม่ขวัญข้าว) เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 18:17:22

ความคิดเห็นที่ 21 คุณความเห็น 15 ครับ 1.ออกใบเสร็จรับเงินเท็จ เป็นความผิดทางอาญา.......อันนี้เป็นการกล่าวถึงตัวอักษรทางกฎหมาย.......ร้านค้าทั่วไป มีการขายที่ไม่ออกใบเสร็จรับเงินเยอะครับ ทำให้มีสต๊อกเพียงพอที่จะออกใบเสร็จให้กับใครก็ได้ที่ต้องการ..ลองไปซื้อของจากร้านวัสดุก่อสร้างและขอใบกำกับภาษีดูสิ...คุณอาจจะได้รายการอื่นๆแทนก็เป็นได้......นอกจากนั้น ผู้ขายที่เป็นร้านค้าทั่วไป น่าจะมีการหักค่าใช้จ่าย เพื่อคำนวณภาษีเงินได้..อีกทั้งใบเสร็จที่ออกไป จะเอาบิลอะไรมาเขียนก็ได้ เพียงแต่ให้พิสูจน์ได้ว่ามีผู้รับเงิน (อันนี้ก็ตัวอักษร เหมือนไปเอาบัตรประชาชนใครมาเซ็นรับเงิน) ซึ่งมักไม่ค่อยพิสูจน์กกันหรอก 2.การประหยัดภาษี เงินด้ส่วนบุคคล ลงไปเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้น.....อย่าคิดว่า เขาเป็นคนตัวเดียวโดดเดี่ยวครับ พวกพ้อง บริวาร หัวคะแนน คนใกล้ชิด ก็จะได้อานิสงค์จากการประหยัดภาษีนี้ไปด้วย..โดยที่ตนเอง อาจได้ชื่อแปะไปตาม สถานที่ที่ตนเอาหนังสือไปบริจาค...และอีกสารพัด ที่จะเชื่อมโยง ...เชื่อเถอะว่า เวลาพวกท่าน (มัน) จะออกกฎหมายอะไรน่ะ มีประโยชน์ต่อประชาชน (น้อย) ทั้งนั้น.......กรณีนี้ ผู้ได้ประโยชน์คือผู้ผลิตหรือผู้ขายหนังสือ,,ไอ้คนที่จะประหยัดภาษี,,และเจ้าหน้าที่สรรพากร ที่จะได้มีเทคนิคใหม่ๆ ไปบรรยาย เวลาเป็นวิทยากร วางแผนภาษี.........................เด็กๆ ที่คิดว่า จะได้อ่านหนังสือเพิ่มขึ้นน่ะ...อยากได้คอมพิวเตอร์มากกว่า (ผมเดาเอา) ...ชอบความเห็นเจ้าของกะทู้ ตอนท้าย..... จากคุณ : วิหค (วิหค10ตัว) เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 19:02:20

ความคิดเห็นที่ 22 แหะ ๆ ขออนุญาตออกความคิดเห็นด้วยคนนะคะ สำหรับตัวเอง เรื่องการโกงภาษี เรื่องของการปลอมใบเสร็จเพื่อลดหย่อน ไม่ต้องเป็นการบริจาคหนังสือ ก็ทำกันได้ค่ะ เพราะงั้น เราไม่ได้คิดว่า นโยบายหรือพรก.นี้เป็นสาเหตุของการโกงภาษี การปลอมใบเสร็จนะคะ อย่างที่บอก ต่อให้ไม่มีช่องทางนี้ เค้าก็หาทางทำกันได้ค่ะ (บริจาคอย่างอื่นก็ได้ ปลอมใบเสร็จแบบอื่นก็ได้ จะให้วัด ให้การศึกษา (ซึ่งได้ 200% เหมือนกันนะ ถ้าจำไม่ผิด)) ถ้าพูดเรื่องนโยบายซื้อหนังสือเพื่อบริจาคหนังสือ คิดอย่างไร สำหรับเรา มันเป็นความคิดที่ดีที่จะทำให้คนมีเงินทั้งหลายคิดซื้อหนังสือบริจาคมากขึ้นค่ะ แบ่งมาจากบริจาคทำบุญกับวัด (ที่บางวัดก็รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรนักหนาแล้ว) เป็นการเพิ่มช่องทางการทำประโยชน์ให้กับสาธารณะน่ะค่ะ (เหมือนที่บริจาคเข้าการศึกษา ก็ได้เรทสำหรับลดภาษีแบบนี้เหมือนกันค่ะ) เห็นด้วยกับคุณ CrazyHOrse และคุณ smooth night ค่ะ คุณมกุฎคงเข้าใจคลาดเคลื่อนที่เอาข้อมูลตัวเลขมาคำนวณตรงๆ แบบนี้นะคะ ที่จริงแล้วมันลดหย่อนอย่างที่สองท่านนี้ว่ามาค่ะ จากคุณ : สาวไกด์ใจซื่อ เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 19:16:44

ความคิดเห็นที่ 23 เข้าใจว่า เรื่องอะไรก็โกงได้ ถูกต้อง  แต่ที่คุณมกุฎแคร์ คือมาโกงกะหนังสือมากกว่า  ในสายตาของคุณมกุฎ หนังสือจะถูกเลือกอย่างอีลุ่ยฉุยแฉก เพราะมีช่องให้เข้ามาสวาปามทางนี้  ทีนี้หนังสือที่ถูกเลือกมาอย่างชุ่ยๆ หรือพิมพ์แฝงโฆษณามาเพื่อบริจาค (ตามที่คุณมกุฎกล่าวอ้าง) ก็จะไปถึงคนอ่าน  คุณมกุฎน่าจะหวั่นวิตกตรงนี้  (ส่วนเรื่องคำนวณภาษีที่คำนวณผิดเป็นอีกเรื่อง) และถ้าคิดง่ายๆว่าเขาจะหาช่องทางไหนก็ได้  ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่มีใครมาซื้อหนังสือเก่าค้างสต๊อก แต่เชื่อว่าคงมีคนค้านคุณมกุฎเรื่องหนังสือ "ดี" ตามความหมายของคุณมกุฎ  เพราะน่าจะมีคนคิดว่าอ่านอะไรก็ดี ขอให้ซื้อๆไปบริจาคเหอะ  ไม่จำเป็นต้องหนังสือที่ makutily chosen ก็ได้ แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 54 19:47:06 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 54 19:45:50 จากคุณ : นกอีก๋อย เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 19:41:46

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่ใช่แค่นักการเมือง  ใครๆ ก็สามารถ "หารายได้" จาก พรก.นี้ได้ และ ร.ร.จะเต็มไปด้วยหนังสืออะไร ที่ใครให้มาก็ได้ เราเห็นความสำคัญของหนังสือ และเด็กๆ กันหรือไม่ คนคิด พรก.นี้  ใช้อะไรคิด  คิดแค่ไหน อย่างไร และมีปัญญาคิดได้แค่นี้เองหรือ ไม่เห็นด้วยกับ พรก.นี้อย่างยิ่ง จากคุณ : ต้นจั่น เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 23:54:57

ความคิดเห็นที่ 27 มีคนอยากลงชื่อคัดค้านบ้างไหมคะ? หรือยังทำไม่ได้ ถ้าทำได้มาบอกที่นี่ด้วยนะ จะลงชื่อด้วยคน จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 11:28:12

ความคิดเห็นที่ 28 เรื่องเงินภาษี ความเห็น 15, 18 และ 22 อธิบายไว้ดีแล้ว ส่วนเรื่องนโยบายนั้น ของทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น ถ้าบอกว่า มีด ไม่ดี ไม่ควรใช้ เดี๋ยวคนเอาไปแทงคนอื่น อย่างนี้พวกหมอคงอดใช้มีดผ่าตัดเลยน่ะซี แทนที่จะบอกว่าไม่ควรอนุญาตให้ใช้มีด เดี๋ยววิบัติ น่าจะเป็นการหาทางป้องกันการนำมีดไปใช้ผิดวิธี การป้องกันการบริจาคหนังสือเพื่อนำไปลดหย่อนผิดวิธีช่องทางหนึ่ง คือการทำให้โปร่งใสตรวจสอบได้ เช่น มีข้อมูลเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ทางเว็บไซต์ ดังนั้นใครอยากเข้าไปดูว่า นาย A บริจาคหนังสือชื่ออะไรบ้างในปีภาษีปีล่าสุด (และปีก่อนๆ) จำนวนกี่เล่ม จากสำนักพิมพ์อะไรบ้าง รวมเป็นจำนวนมูลค่าเท่าไร ผู้คนต้องเข้าไปดูได้ ถ้าทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่งเพราะถ้าสรรหาหนังสือไม่ดีมา คนก็ย่อมรู้ว่าใครทำ และมีช่องทางเปิดให้คนร้องเรียนได้ถ้าเห็นว่าเป็นการบริจาคไม่เหมาะสม ความเปิดเผยและโปร่งใสจะทำให้สังคมจัดการกันเองได้ ถ้าติงว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ก็ของบประมาณบางส่วนจากภาษีที่รีดจากบุหรี่และสุรานำมาช่วยตรงนี้บ้างก็ได้ ไม่น่าจะมากมายอะไร (โปรดอย่าบอกว่าเดี๋ยวคนในนี้ก็โกงได้อีก เพราะคนโกงนั้นที่ไหนก็มี ถ้ามัวแต่คิดจุกจิกเกินไป จะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะมีทางให้ทำผิดได้ทั้งหมด) ต่อให้มีการบริจาคหนังสือเลวเข้าห้องสมุดจริงๆ (เช่นหนังสือประวัตินักการเมือง หนังสือเนื้อหาไม่เหมาะสม ฯลฯ เพื่อล้างสมองเด็ก) แต่สถานที่ปลายทางย่อมมีบรรณารักษ์คัดกรองเนื้อหาได้ระดับหนึ่ง ต่อให้หลุดไปจริงๆ หนังสือไม่ดีจะมีใครไปอ่าน ต่อให้มีคนอ่านก็เป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับหนังสือดี สิ่งดีงามจะอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง สิ่งไม่ดี ต่อให้บังคับให้อ่านเขาก็ไม่อยากอ่าน ตอนนี้แม้แต่การเลือกหนังสือเข้าห้องสมุดของบรรณารักษ์ต่างๆ ก็มีช่องทางให้โกงได้ใช่ไหม บรรณารักษ์ก็เลือกหนังสือเลวเข้าห้องสมุดได้ใช่ไหม นี่ยิ่งไม่ร้ายจนควรแก้ไขยิ่งกว่าปัญหาของหนังสือบริจาคอีกหรือ เพราะนี่คือช่องทางหลักในการได้หนังสือเข้าห้องสมุด หรือต้องบอกว่าอย่ามีบรรณารักษ์เลย เดี๋ยวเขาเลือกหนังสือไม่ดี ถ้าคิดอย่างนี้เสียแล้วไปๆ มาๆ ก็ต้องแก้ไขด้วยการรวมศูนย์กลางให้มี "หน่วยงาน" เลือกหนังสือให้ห้องสมุดรัฐทุกแห่ง ต่อให้มีหน่วยงานนี้แล้วจะมีอะไรรับประกันว่าคนในหน่วยงานจะไม่โกง นอกจากนั้นการคิดแบบรวมศูนย์อาจไม่เหมาะสมเท่ากับการให้แต่ละท้องถิ่นเลือกความเหมาะสมด้วยตัวเอง สิ่งดีงามของเราอาจไม่ดีไม่ต้องกับสิ่งดีงามของอีกพื้นที่หนึ่ง ถ้าเราบอกว่าไม่ควรมีนโยบายบริจาคหนังสือ เราจะตอบคำถามเด็กๆ จำนวนมากได้อย่างไร ว่าหนูอดได้หนังสือบริจาคเพราะเดี๋ยวมีคน (ส่วนน้อย) บริจาคหนังสือเลวให้ ทั้งที่นโยบายนี้มีข้อดีตรงที่กระตุ้นให้คนอยากบริจาคหนังสือเพื่อเป็นการมอบความรู้ ย้ำอีกครั้งว่าคนจะโกง ต่อให้คิดหลักการอย่างไรเขาก็โกงได้อยู่ดี เราน่าจะเอาเวลาไปช่วยกันเสนอวิธีป้องกันการโกงจะดีกว่าไหม การบอกว่าไม่ต้องมีนโยบายนี้ดีกว่า มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ นโยบายนี้มีข้อเสียร้ายแรงมากกว่าข้อดี ถึงขนาดไม่สมควรจะมีอยู่จริงๆ หรือ จากคุณ : สนุกนึก เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 15:56:47 A:58.11.81.135 X: TicketID:306874

ความคิดเห็นที่ 29 ผมรู้สึกเซ็งมากกกกกกับรัฐบาลชุดนี้ (มันอดไม่ไหวแล้ว) มัวแต่มา "ดัดจริต" คุณธรรมจริยธรรม รักษาสถาบันโน้นนี้ แต่ "ประชาชน" กำลังจะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เห็นคนต่อคิวหรือแม้กระทั่งตบตีแย่งชิง "น้ำมันพืช" มันรู้สึกเหมือนอยู่ในสงครามไงไม่รู้ และหดหู่ใจยิ่งนักว่านี่หรือรัฐบาลในอุดมคติของรัฐไทยที่โฆษณาดีนักหนาว่ามือสะอาด ปราศจากคอรร์รัปชั่น ปัญหาเขาพระวิหาร (เจอ รมต.ปากกล้า คงได้สมานฉันท์กันหรอก) ปัญหาน้ำมันปาล์ม (สวาปาล์มกันจนอิ่ม) ปัญหาไข่ (ชั่งกันไข่แตกไปหลายใบ) แค่นี้ก็สะท้อนถึงกึ๋นรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ "แย่" มาก (ไปอ่านหนังสือพิมพ์หลายๆหัว เดี๋ยวนี้ก็หันมาด่ารัฐบาลได้ทุกวัน หลังจากเชยชมกันมานาน) นี่เป็นนโยบายประหลาดๆที่ออกมาอีกล่ะสิ จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 16:44:20

ความคิดเห็นที่ 32 ประเด็นเรื่องภาษีที่ยกมานี้เป็นประเด็นเล็ก ยังมีประเด็นน่าสนใจอื่นๆ อีกมาก โปรดอ่านได้ที่นี่ http://bflybook.com/Article/FallibilityOfNationalBookSystem/Image/FallibilityOfNationalBookSystem.pdf แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 54 22:41:24 จากคุณ : มดส้มจ่อย เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 18:46:58

ความคิดเห็นที่ 33 / * * ลิงค์คุณส้มจ่อยกดไม่ได้ค่ะ อยากอ่าน ๆๆ ขอดูหน่อย จากคุณ : แม่ขวัญข้าว เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 20:49:44

ความคิดเห็นที่ 34 ตกลงว่าเรื่องภาษีเป็นประเด็นเพียงเล็ก แต่ยกมาเพื่อให้เข้า "ประเด็นใหญ่" เท่านั้นหรือ โปรดอย่าบอกว่าเรื่องบริจาคหนังสือเป็นเพียงหนทางเพื่อไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงอย่างอื่น จะได้คุยให้ถูกเรื่อง ไม่ต้องอ้อมค้อม ชักเห็นด้วยกับ #19 จากคุณ : สนุกนึก เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 21:32:13 A:58.8.178.21 X: TicketID:306874

ความคิดเห็นที่ 35 สงสัยว่าพวกนโยบายของรัฐบาลนี่ ชาวบ้านอย่างเราจะรู้เรื่องได้ไงอะ แต่เวลาบริจาคหนังสือต้องคัดเลือกนะคะ อย่างพวกนิยายอิโรติค ทางโรงเรียนเค้าก็ไม่รับคะ การ์ตูนที่มีเนื้อหาล่อแหลม ห้องสมุดหลายแห่งก็ไม่รับคะ เวลาเราอ่านหนังสือดีๆ ก็อย่างให้น้องๆ เด็กๆ ได้อ่าน เราก็ซื้อบริจาคนะ เราว่าคนที่บริจาคเพราะจิตกุศลไม่ต้องมีเรื่องภาษีเค้าก็บริจาค แล้วบริจาคอย่างมีคุณภาพด้วย แค่บอกปากต่อปากกัน ว่าวิธีทำบุญมีได้หลายวิธี แค่นี้ ก็มากเกินพอแล้ว จากคุณ : dot_face เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 03:18:41

ความคิดเห็นที่ 36 การบริจาคหนังสือเสรีไม่มีได้มีผลได้ผลเสียเพียงเรื่องภาษีเท่านั้นค่ะ ขอขยายความและตั้งคำถามในประเด็นอื่นเพิ่มเติมนะคะ และในบางข้อจะขออนุญาตยกตัวอย่างผลเสียที่จะตามมาหากไม่ระวังด้วยนะคะ (๑) นักการเมือง เหลือง แดง หรือใครต่อใครที่ต้องการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตนเอง เพียงประทับชื่อ หรือพิมพ์ข้อความและภาพทั้งหลายของตนบนหนังสือบริจาค เท่านี้ก็หาเสียง โฆษณา หรือฝังอุดมการณ์ใดๆได้ตามใจชอบ (๒) ระบบคัดกรองหนังสือบริจาคของไทย มีมาตรฐานเพียงไร ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบที่แท้จริงในการดูแลคัดกรองหนังสือก่อนถึงมือเด็ก (๓) ปัจจุบันมีการพิมพ์แบบ Print on demand ใครต้องการอะไร เพียงมีต้นฉบับกับเงินก็พิมพ์ได้ พร้อมแจกจ่ายไปยังพื้นที่ต่างๆ ใครจะคอยตรวจสอบ และคณะกรรมการตรวจสอบอะไรต่อมิอะไรของไทย น่าเชื่อถือหรือไม่และมีผลงานเป็นอย่างไร (๔) ระบบการจัดการห้องสมุดประชาชนเป็นอย่างไร ในห้องสมุดประชาชน(ไม่ต้องไปที่ไหนไกล ที่นนทบุรีซึ่งเป็นเขตปริมณฑลเท่านั้น) ก็เต็มไปด้วยหนังสือ มสธ. และอะไรต่อมิอะไร ที่กองสุมกัน เป็นขยะ เพราะไม่มีใครดูแล ถ้าหนังสือบริจาคที่มาจากการบริจาคอย่างขาดจิตสำนึก เข้าไปร่วมวงด้วยจะเป็นอย่างไร (๕) การอ่านดีได้ เก่งได้ ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณเป็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนหน้า ไม่ได้อยู่ที่จำนวนนาที แต่สำคัญที่สุดคืออยู่ที่ว่าอ่านอะไร อ่านอย่างไร ถ้าคิดว่าการบริจาคหนังสือจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนหนังสือตามชนบท อาจจะต้องมองดูใหม่ ตราบใดที่ข้อเท็จจริงยังมีอยู่ว่า ห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดทั้งหลาย ขาดบรรณารักษ์ที่รู้จริงมาดูแล ตราบนั้นหนังสือก็จะกองฝุ่นจับอยู่อย่างนั้นกระมัง (๖) ทำให้ต้องถามอย่างจริงจังต่อไปว่า ปัจจุบันมีผู้ที่เรียนสายบรรณารักษ์แล้วจบมาเพื่อเป็นบรรณารักษ์อย่างแท้จริงสักเท่าไร (๗) โครงการอ่านสร้างชาติ ในความดูแลของ สสส ได้มีหน่วยคัดกรองหนังสือบริจาค แต่เขาคัดกรองกันอย่างไร มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ประจำและดูแลอยู่หรือไม่ หรือเป็นเพียงจุดให้นักศึกษาไปเก็บชั่วโมงกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ (๘) มีวิธีการอื่นหรือไม่ ที่จะนำหนังสือไปสู่ชุมชน ได้ทั่วถึง ประหยัดงบประมาณกว่า และดูแลง่ายกว่าการปล่อยให้บริจาคหนังสือแล้วลดหย่อนภาษีเช่นนี้--- อาจเป็นการแลกเปลี่ยนเวียนกันอ่าน โดยหนังสือที่ใช้ก็เป็นหนังสือที่ได้รับการเลือกและคัดกรองแล้ว เป็นต้น (ขอให้ดู โครงการระบบหนังสือหมุนเวียน เพิ่มเติมทาง google) ฯลฯ การมอบหนังสือให้ผู้อื่น นับว่าเป็นสิ่งดี แต่ถ้าจะทำ ต้องทำให้ดี ทำให้จริง หากจะหวังพึ่งผู้ตรวจสอบคัดกรองหนังสือ ก็ต้องมีการตรวจสอบคัดกรองกันจริงๆ ปัจจุบันหนังสือ ภาพปกใสๆแต่เนื้อในอีโรติกมีมากมาย และนี่เป็นเพียงประเภทเดียวเท่านั้น ยังมีหนังสือประเภทอื่นๆอีกที่ต้องมาคัดกรองและพิจารณากัน ไม่ใช่ทุกฅนอ่านอะไรก็ได้ ยิ่งเป็นเด็กด้วยแล้ว เราเอาอะไรให้อ่าน เขาจำหมดนะคะ แล้วฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกเลย พอฝังแล้วก็ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆตามมามากมาย เราพร้อมแล้วหรือคะ ที่จะให้เป็นไปในหนทางต่างๆที่กล่าวมา ทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมานี้ เพื่อสิ่งเดียวค่ะ เพื่อจะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันป้องกัน ช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันค่ะ :) หมายเหตุ* คุณแม่ขวัญข้าวคะ แก้ไข Link เรียบร้อยแล้วค่ะ ;) ขอแถมรูป สภาพหนังสือที่ห้องสมุดโรงเรียนแห่งหนึ่งได้รับบริจาคค่ะ แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 20:28:59 แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 20:26:19 จากคุณ : มดส้มจ่อย เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 20:21:40

ความคิดเห็นที่ 37 #36 ครับ ผมมองว่าข้อที่คุณยกมานั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการบริจาคหนังสือทุกรูปแบบนะครับ ซึ่งผมคิดเหมือนคุณ สนุกนึก ครับ ว่ามันเป็นคนละเรื่องกับการออก พรก. เพราะแต่ละข้อที่คุณยกมานั้น ต่อให้ไม่มี พรก. นี้ แต่ถ้ามีการบริจาคเกิดขึ้น มันก็มีโอกาสเกิดปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ ดังนั้น ผมจึงคิดว่า มันไม่สมเหตุสมผลที่จะโยงสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันครับ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 00:51:35

ความคิดเห็นที่ 38 เห็นด้วยกับ #37 สิ่งที่ #36 ยกมาเป็นปัญหาของระบบการบริจาคหนังสือ โดยไม่เกี่ยวกับ พรก ว่าจะลดภาษีเท่าไร ถึงไม่มี พรก นี้ออกมาก็เป็นปัญหาที่มีอยู่แล้ว การคัดค้าน พรก นี้ไม่อาจช่วยแก้ปัญหาการบริจาคหนังสือทั้งระบบได้ ถ้าต้องการให้เห็นด้วยกับการรณรงค์คัดค้าน พรก บริจาคหนังสือได้ลดภาษี 200% ต้องมีเหตุผลอธิบายให้เห็นปัญหาของ พรก นี้มากกว่านี้ โดยเฉพาะประเด็นใน #15 #18 #22 จากคุณ : สนุกนึก เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 08:51:17 A:61.90.18.60 X: TicketID:306874

ความคิดเห็นที่ 39 ผมเห็นว่าปัญหาของพรก.นี้น่าจะอยู่ที่เรื่องประเภทของหนังสือที่บริจาคมากกว่า เรื่องอื่นๆเห็นจะเป็นเรื่องการขาดความรู้ที่ถูกต้องของผู้เขียนบทความ เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องการรณรงค์การใช้ ฅ เขียน ฅน ของ สนพ.เดียวกันนี้ ที่มีส่วนเหมือนกันคือเป็นการรณรงค์บนโดยขาดความรู้ที่ถูกต้องครับ หากเป็นไปได้ ในอนาคตน่าจะมีการจัดตั้งองค์กรมหาชนที่เป็นตัวกลางในการบริจาคหนังสือ แล้วให้สิทธิ์ในการลดภาษีแก่ผู้บริจาคให้องค์กรนี้ครับ จากคุณ : CrazyHOrse เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 17:37:46

ความคิดเห็นที่ 40 อ่านหลายความเห็นแล้ว อดคิดถึงอดีตไม่ได้ สมัยที่ยังเรียนประถมต้นใกล้บ้าน ความที่เป็นเด็กห้องแถว ไม่มีที่จะไป ไม่มีอะไรให้เล่น ไม่อยากอยู่บ้านให้แม่ใช้งาน วันๆเลยหนีไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนแก้เบื่อ   โชคดีที่โรงเรียนเ็ล็กๆโนเนมแบบนั้น กลับเต็มไปด้วยวรรณกรรมดีๆ ยังไม่จบปอ 4 เราก็กวาดพวกนี้เรียบหมดห้องสมุดแล้ว รามเกียรติ สามก๊ก บ้านเล็กในป่าใหญ่ หนูแหวน ชัยพฤกษ์การ์ตูน ทอมซอเยอร์ อาจินต์ ฯลฯ เราอ่านหนังสือพวกนี้แบบรู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง แต่โครรรรเพลิน หลุดโลก หลุดกาลเวลา มันกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราจนทุกวันนี้ บางประโยคสนทนา บางฉากที่คนเขียนบรรยาย   มันติดแน่นอยู่ในความทรงจำ บางเรื่องก็เลือนลาง แต่มันไม่เคยหายไปไหน อ่านกระทู้นี้แล้วอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าวันนั้นหนังสือในห้องสมุด เป็นหนังสือฮาวทู เป็นกอซซิปดารา เป็นหนังสือแฉเหมือนที่ขายดีกันอยู่ทุกวันนี้ ชีวิตเราคงไม่ได้เป็นแบบที่วันนี้เป็น ไม่ได้คิดแบบที่วันนี้คิด ถ้าเราอยากให้เด็กรุ่นใหม่เป็นยังไง หนังสือในห้องสมุด ก็ไม่ต่างอะไรจากจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่ง ที่จะประกอบรวมร่างกันขึ้นมาเป็นตัวเขาด้วยเหมือนกัน จากคุณ : แม่ขวัญข้าว เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 54 19:26:05

ความคิดเห็นที่ 41 โห ทึ่งอะ ทำไมนักการเมืองเขาคิดได้ขนาดนั้นเนี่ย คือเหนือความคาดหมายของผมไปเยอะเลยนะ แนวคิดล้ำจริงๆ แต่ทำไมพออยากให้เอาความเก่งแบบนี้มาช่วยเหลือชาติ กลับโชว์โง่ตลอดเลย จากคุณ : zong12 เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 00:16:44

ความคิดเห็นที่ 42 เห็นด้วยที่ให้มีองค์กรมหาชนเป็นผู้ดูแล-จัดการ "การบริจาค" โดยเน้นให้แต่ละชุมชน มีส่วนร่วมในการคัดเลือกหนังสือ และใช้ทุกวิถีทางที่ทำให้ข้อมูลการบริจาคเป็นของสารธารณะที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าถึงได้โดยง่าย เรื่องภาษีที่จะนำมาเป็นกองทุน นอกจาก เหล่า-บุหรี่ น่าจะรวมถึง "รถยนต์" ด้วย.... จากคุณ : พเยีย เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 01:46:36 A:10.90.4.92 X:202.28.181.11 TicketID:307683

ความคิดเห็นที่ 43 เรื่องการทำข้อมูลให้โปร่งใส เป็นเรื่องที่มูลนิธิทุกแห่ง(หรืออย่างน้อยก็ที่รัฐอนุญาตให้ใช้หักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนคำนวณภาษี)ควรทำ จะให้ดีเปิดให้ดูได้ผ่านเน็ตเลยยิ่งดี แต่ผมไม่เห็นด้วยเรื่องการเอาภาษีเฉพาะบางธุกิจมาเจาะจงอุดหนุนเฉพาะกิจการ เพราะเท่ากับเอาไปผูกกันไว้โดยไม่จำเป็น และเป็นเงื่อนไขที่ผู้ผลิตสินค้าเหล่านั้นใช้ต่อรองเป็นประจำ หลักคือเก็บภาษี เอาเข้ากองกลาง และเงินอุดหนุนก็เอามาจากกองกลาง อย่าให้ไปอ้างบุญคุณกันได้ ถ้าถึงวันที่จะต้องห้ามขาย ก็จะได้ไม่ต้องมีใครออกมาโอดครวญว่าจะเสียรายได้ จะไม่ยอมให้เลิกครับ ควรเริ่มที่กองทุน สสส. ก่อนเลย จากคุณ : CrazyHOrse เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 11:16:32

ความคิดเห็นที่ 44 .... เรื่องภาษี....จริงอย่างที่คุณ CrazyHOrse ว่า โดยเฉพาะข้ออ้างเรื่อง "บุญคุณ" สำหรับสังคมไทย อันนี้น่ากล้วมาก..... จากคุณ : พเยีย เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 13:56:56 A:10.90.5.37 X:202.28.181.11 TicketID:307683

ความคิดเห็นที่ 45 ผมพยายามเข้าไปหาว่า กรมสรรพากรอนุมัติเรื่องนี้เเล้วในเวบไซต์กรมสรรพากร ตามที่คุณ smooth night บอกไว้ในคห. 18 ก็ยังไม่พบนะครับ ถ้ายังไงขอลิงค์อ้างอิงหน่อยได้ไหมครับ เผื่อจะได้มาลงลึกในรายละเอียดว่า เป็นอย่างไรกันเเน่ ขอบคุณครับ จากคุณ : ยืมล็อกอินเค้ามา (จอมยุทธ์น้อยเฉาเฉ่า) เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 21:17:21

ความคิดเห็นที่ 46 #45 เราโทรเช็คที่กรมสรรพากรอ่ะค่ะ  เพราะเท่าที่อ่านก็เหมือนว่า ครม.อนุมัติอย่างเดียว เลยโทรไปถามสรรพากร เหมือนตอนนี้แค่รอรายละเอียดในการร่าง พรก.ของกระทรวงการคลังอย่างเดียวนี่แหล่ะ แต่ไม่น่ามีปัญหา ยังไงร่างนี้ก็ผ่าน ครม.มาแล้ว ข่าวรายละเอียด พรก. สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ดังนี้ 1. สำหรับบุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่า ลดหย่อน ตามมาตรา 47 (1)(2)(3)(4)(5) หรือ ( 6) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นจำนวนสองเท่าของจำนวนเงินที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมการอ่าน แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา สำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลด หย่อนดังกล่าวนั้น 2. สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล 2.1 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เป็นจำนวนเงินหรือมูลค่าของทรัพย์สิน เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่าเพื่อส่งเสริมการอ่าน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับ โครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ และรายจ่ายในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของเอกชนที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไป โดยไม่เก็บค่าบริการใด ๆ หรือสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของทางราชการแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือ เพื่อการสาธารณประโยชน์และเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา ตามมาตรา 65 ตรี ( 3) แห่งประมวลรัษฎากร 2.2 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเท่ากับจำนวนเงินหรือมูลค่าของทรัพย์สินเป็นจำนวน ร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อจัดหาหนังสือหรือ สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน สำหรับหอสมุดหรือห้องสมุดของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าว ที่มา - คมชัดลึก จากคุณ : smooth night เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 10:16:07

ความคิดเห็นที่ 47 คือเราก็เพิ่งทราบจากพี่ที่ทำงานสำนักพิมพ์อีกคนว่า บรรดาสำนักพิมพ์ต่างๆ ได้ดูร่าง พรก.นี้กันมาก่อนแล้ว ก่อนที่จะมีการประกาศเป็นข่าวออกมา เค้าไม่ได้ตูมออกมาโดยไม่ได้ถามใครเลย อันนี้ไม่ยืนยันนะ เพราะเราไม่ได้เห็นเอง เค้าว่ามา เพราะปีนี้เราก็จะเริ่มทำสำนักพิมพ์เหมือนกัน ก็เลยเคยลองๆถามคนโน้นคนนี้มาบ้าง และอีกอย่างที่เพิ่งรู้ก็คือ การบริจาคหนังสือเข้าห้องสมุดแล้วลด 200เปอร์เซ็นต์นั่น ก็มีใช้มาก่อนแล้ว แต่เดิมใช้เกณฑ์นี้ได้ หากเป็นโรงเรียนในพระราชดำริ  และโรงเรียนที่ผ่านการอนุมัติ อันนี้จากร่าง พรก.เก่านะ ข้อ 5 โครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบมีดังต่อไปนี้ (1) สถานศึกษาตามโครงการพระราชดำริ (2) สถานศึกษาตามนโยบายที่จะระดมพลังเพื่อเร่งรัดปรับปรุงคุณภาพ (3) สถานศึกษาที่รองรับพัฒนาเด็กด้อยโอกาส  เด็กพิการ สถานศึกษาตามโครงการตามวรรคหนึ่งเป็นไปตามรายชื่อสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศกำหนด ดูรายละเอียดที่ ซีเอ็ดเคยลงไว้ เลื่อนมาล่างๆหน่อยนะ http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:R2LUYt9ezhcJ:www.se-ed.com/Document/Downloads/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD52.doc+%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%81+%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD&cd=6&hl=th&ct=clnk&gl=th&client=firefox-a&source=www.google.co.th ถ้าเป็นแบบนี้ พรก.ใหม่นี้ก็จะขยายโอกาสนี้ไปสู่โรงเรียนอื่นๆด้วย ท่านๆว่าไง จากคุณ : smooth night เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 10:40:10

ความคิดเห็นที่ 48 น่าจะมีประกาศกรมฯ กำหนดประเภทหนังสือตามออกมาด้วยนะ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 54 21:17:41 จากคุณ : mountainfox เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 54 21:00:46

ความคิดเห็นที่ 50 กลัวอะไรหนังสือก็คือหนังสือเด็กจะอ่านหรือเปล่าบริจาคไปกลัวว่าจะไปล้างสมองเด็ก สมองคน คิดได้ไง ละคร ทีวี ข่าว มันล้างอยู่ทุกวัน คุณตัดสินแล้วว่าคนที่จะอ่านน่ะโง่โดนล้างสมองได้เชื่อทุกอย่างที่เขาอ่าน นี้มันสมัยไหนแล้ว ไม่มีหลังเขาแล้ว มือถือ อินเตอร์เน็ต ทำไมไม่ปล่อยให้บริจาคหนังสืออย่างเสรีแต่ควรเขียนว่าหนังสืือที่บริจาคควรเป็นหนังสือ ที่มีคุณค่า และหนังสือที่มีคุณค่าคืออะไร? คือหนังสือที่สอนความเป็นคนให้ความรู้และความคิดอย่างหลากหลาย กลัวอะไรนักหนา เราควรให้มีหนังสือมากมายให้ได้อ่าน ควรให้ยึ่งๆมีมากๆๆๆๆๆ ไม่ควรบอกว่าหนังสืออะไรเลวอะไรดี คุณเอาตัวเองตัดสินแล้วว่าหนังสือแบบใดดีหรือเลว กลัวอ่านมากๆล้างสมองว่าใครดีใครเลว......โถ่ กลัวเกินไป จะตีกรอบหรือไงว่าควรอ่านหนังสืออะไร? แล้วคุณก็ว่านี้ล่ะพวกคุณควรอ่านมัน........ผมว่าให้มีหนังสือมากมายหลากหลายเลวดี ใครจะอ่านอะไรจะเชื่อแบบไหนเขาจะเรียนรู้เอง...ถูกผิดเขาจะเรียนรู้และตัดสินเอง แค่อย่างเดียวแค่ให้เขาได้เข้าถึงหนังสือได้มากและหลากหลายโดยไม่มีขีดจำกัด.....เท่านั้นล่ะเขาก็จะคิดเป็นอย่างแน่นอน ไม่ต้องคิดแทนเขาว่าเขาจะอ่านอะไรแล้วเชื่อแบบนั้น จากคุณ : บะหมี่คุง เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 54 21:44:54