ความคิดเห็นที่ 1 ควรนำเสนอพระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทย ถึงผลลงานที่ทรง อาทิ กังหันน้ำชัยพัฒนา โครงการแก้มลิง โครงการหญ้าคา โครง การฝนเทียม เรือไมโครมด เพลงพระราชนิพนธ์ ภาพวาดที่ทรง วาดด้วยพระองค์เอง และพระอัจฉริยภาพอื่นๆ อีกมามาย ฯลฯ อีกทั้งผลงานของพระบรมวงศานุวงศ์และพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ เช่น ของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ สถาบันกัลยานิวัฒนา สถาบันสิรินธร โครงการทูบีนัมเบอร์วัน โครงการเพื่อนพึ่งภายามยาก ฯลฯ และ อีกทั้งพระอัจฉริยภาพของบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ให้ประชาชนได้ชื่นชมในพระบารมีของทุกพระองค์ เฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็น king of kings ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เทียมหน้าเทียมตาที่ประชาชนทุกผู้ทุกนามมีความสามารถ อันเป็นเอกอุ เก่งกาจเช่นที่ปรากฎมาแล้ว ของพสกนิกร ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ รางวัลชนะเลิศประดิษฐ์หุ่นยนต์เยาวชน เหรียญ ทองวิทยาศาสตร์โอลิมปิค ชนะเลิศพับนก ฯลฯ ให้ทีวีฉายพระราชกรณียกิจเหล่านี้แทนละครน้ำเน่าเหล่านั้นแทน ไม่ต้องมีแล้วละครน้ำเน่า เพื่อเทิดไท้องค์ราชันย์ ข้าพระพุทธเจ้า ปลาบปลื้มและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันที่สุดหามิได้ ล้นพ้นเกล้าล้นกระหม่อม ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน จากคุณ : ยินดีให้คำปรึกษา เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 17:34:33 A:124.120.9.214 X: TicketID:301933

ความคิดเห็นที่ 2 ^ ^ มีน้องคนนึงจะ CDA พระราชดำรัส  แต่คณาจารย์เบรคตัวโก่งทันที แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 54 18:48:32 จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 18:12:06

ความคิดเห็นที่ 3 อาจจะมีผลต่อความคิดบ้าง แต่คิดว่าไม่มากค่ะ เมื่อก่อนเราก็ติดละครอย่างกับอะไรดี ดูทางโทรทัศน์ไม่พอต้องอ่านล่วงหน้าทางหนังสือพิมพ์ด้วย แต่มาดูในชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ทำให้เราเอียนจนเลิกดูไปเองตอนที่เราขึ้นม.ปลาย เพื่อนสนิทที่เรารู้จักตั้งแต่อนุบาลก็ติดละครเป็นอย่างมาก ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป แต่เพื่อนเราไม่ได้ทุ่มเทอะไรขนาดนั้น มันยังรู้จักคิดไม่ทำอะไรเกินเหตุ ในภาพรวมทำอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะ นอกจากเมื่อเพื่อนของเรา คนที่เรารู้จักหรือแม้แต่คนที่มีปัญหามาปรึกษาในโลกไซเบอร์ เรารู้ปัญหาของพวกเขาและพยายามดึงพวกเขากลับมาทางที่ถูกต้อง ไม่ทำร้ายตัวเอง ทำตัวเป็นกัลยาณมิตรให้มากและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในความคิดเรา เราว่าผู้หญิงไทยกล้าหาญ เข้มแข็งพอสมควรนะ ไม่อ่อนแอมากนักถ้าเทียบกับชาติอื่นๆ เรียกได้ว่าเกือบๆจะเท่ากับชาติตะวันตกแล้ว ในไทยมีหนังสือชื่อ ผู้ชายเลวกว่าหมา หรือ จะเสียทองเท่าหัวเพื่อผู้ชายชั่วๆทำไม ออกมาวางขายแล้วด้วยซ้ำ การขึ้นคานของหญิงไทยก็ไม่ได้ถูกผู้อื่นดูถูกหรือเป็นเรื่องใหญ่โตมากนัก ต่างจากคนชาติอื่น เช่น เกาหลี อินโด จีน ฯลฯ ถ้าเราบอกว่าเราไม่มีแผนจะแต่งงาน เพื่อนที่มาจากชาติเหล่านี้ค้านหัวชนฝาเลยทีเดียว ค้านทั้งหญิงและชายด้วย คนไทยค้านน้อยกว่าค่ะ(ช่วงกลางวันวันนี้เพิ่งโดนไปหนึ่งคน โดยเพื่อนชาวอินโด) อีกทางหนึ่งให้ผู้หญิงเรียนธรรมะ จะค่อยๆคลายความยึดติดไปเรื่อยๆ ให้พิจารณาถึงร่างกายที่ไม่สวย ไม่งาม ต้องดับสูญไปไม่มีค่าอะไร แต่คงไม่ถึงกับไม่ชอบเพศตรงข้ามและยุ่งเกี่ยวทางเพศเลย เพราะนั่นต้องบรรลุธรรมขั้นอนาคามีแล้วเท่านั้น แต่เราเชื่อว่าช่วยได้เยอะค่ะ สำหรับเรานะ ธรรม ความรู้จากการสังเกต ใช้เหตผลเป็นหลักเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 18:24:36

ความคิดเห็นที่ 4 ^ ^ หนังสือผู้ชายเลวกว่าหมา   หรือเพลงของปาน ธนพร คือ วาทกรรมที่ผู้หญิงประกอบสร้างขึ้นมาต่อสู้ชุดความคิด ปิตาธิปไตย จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 18:42:36

ความคิดเห็นที่ 5 ต้องเข้าใจว่า   ละครหลังข่าว  กระจายการครอบไปอย่างถ้วนทั่ว  มากกว่าสื่ออื่น นั่นย่อมหมายความว่า   เป้าหมายคือ กลุ่มประชากรใหญ่   ซึ่งเป็นชนชั้นล่าง ที่ฝันหวาน...อยากเป็น..ผู้ดีมีเงิน คุณจะไปทำอะไรกับการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์   แบบ ชายเป็นใหญ่ที่มีมายาวนานได้ เว้นไว้แต่  ญ.ต้องยืนได้ด้วยตัวเอง   ไม่หวังพึ่งชายอย่างเดิมๆ ก้าวแรก  ก็คือ  การศึกษาที่ดีพอควร ต่อมา   ก็สู้ชีวิตด้วยลำแข้งและมีสมองในใจที่กล้าแกร่ง   ใช่หรือไม่? แต่จะทำอย่างไร   ให้มีเสน่ห์  บน  ก้าวที่สง่างาม.... เยี่ยงอิสตรีที่อบอุ่นยามใกล้ชิด......หรือมิใช่? จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 18:54:42

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ จัดเป็นวาทกรรม  ที่เขียนมาต่อสู้นะคะ  อิอิ...แต่ประโยคหลัง ๆ เขียนได้น่ารัก ครูที่อักษรฯ  เอง  ก็บอกว่า   ...อิสตรีเอง  ก็ยอมจำนน ต่อชุดความคิดนี้ เราขอยกตัวอย่างเช่น ในการคัดเลือกหัวหน้าชั้นปี ป.เอก บังเอิญมีผู้ชายคนเดียวซึ่งไม่ค่อยเก่ง  เงียบ ๆ   ไม่เป็นผู้นำ  ขาดการตัดสินใจ แต่ในกลุ่มมีน้องผู้หญิง 2-3 คน เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง   ได้ทุนกันมากมาย   เป็นสาวมั่น  และท็อปทุกวิชา  พาสมาจากป.ตรีสู่ป.เอก เราก็เลือกน้องพวกคนนั้น ในขณะเดียวกัน  ก็มีเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มเขา  มาคุยกับเรา  และมองเราด้วยสายตาตำหนิ " หัวหน้า   ต้องเป็นผู้ชายสิพี่แพร  เอ๊ะอะไรพี่" ทำไมชุดความคิดนี้ยังครอบงำสตรีไทยวัย 23   เราไม่ได้ดูเพศสรีระนะ   แต่เราดูความสามารถน่ะ แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 54 19:09:07 จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 19:08:17

ความคิดเห็นที่ 7 ง่า ผู้ชายมันแบกปูน เข็นรถ ล้างส้วม ต่อไฟ ไล่หมา สารพัดนา น้องแฟน นอกเหนือจากทนมือทนไม้ยอมให้สับโขกสารพัด เก็บกด เก็บกด จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 22:12:14

ความคิดเห็นที่ 8 ละครดีก็มีนะครับ แต่ส่วนใหญ่มักไม่ได้อยู่ตามช่องปกติ เพราะมันเรียกความนิยมให้ผู้ชมติดตามต่อเนื่องไม่ได้ จากคุณ : [[Joachim]] เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 22:14:05

ความคิดเห็นที่ 9 ตราบใดบริบทของสังคมโลกยังมีบรรยากาศการรบ ความรุนแรง สงคราม แม้ทุกชาติพยายามสร้างสังคมสันติภาพ สันติประชาธรรมให้เกิดขึ้นมาแทน แต่เรายังสังเกตได้ว่า มันยังมีแรงเฉื่อยของความรุนแรง การใช้กำลังเข้าสัประยุทธ์กัน ซึ่งเป็นเรื่องของความได้เปรียบทางร่างกาย หรือกายภาพ เหนือความเหนือกว่าทางสติทางปัญญา และทางเมตตาธรรม รวมถึงเหนือกว่าอำนาจแห่งความอ่อนโยน ตัวอย่างโรคระบาดการรังเกียจผู้นำสังคมประเทศเป็นไปทั่วตะวันออกกลาง แล้วชุมนุมกันขับไล่ด้วยความรุนแรง คุยกันอย่างสันติวิธีไม่เป็นผล ตัวอย่างกัมพูชาและไทย เกี่ยวกับพระวิหาร ดินแดน แผนที่1:200000 ทีพวกฝรั่งปล่อยทุ่นระเบิดไว้พวกเรา ตัวอย่างกีฑาสีต่างๆในสังคมไทย ตายไป90กว่าศพ แม้ภายในเขตวัดวาอารามก็หลายศพ ตัวอย่างแคบเข้า แท็กซี่หน้ามืดบังคับข่มขืนหญิงสาว และคริพเด็กนักเรียนหญิงตบตีกันเอง ก็เห็นอยู่บ่อยๆ ตัวอย่างแคบที่สุด ผู้ชายปล่อยให้ผู้หญิงต้องทำแท้งทารกนับกว่า2000ศพ โดยไม่มารับผิดชอบร่วมกัน จึงคิดว่ามิได้จำเพาะละครน้ำเน่าหรอกนะครับ ที่มันครอบงำสตรี มันเป็นเพียงทุนนิยม บริโภคนิยมวัตถุนิยม มารฝ่ายศิลปะการแสดง ที่ฉวยโอกาสจับจุดอ่อนความอ่อนแอของผู้หญิง(ไทย?)และผู้ชายไทย หาสตางค์ หาความมั่งคั่งไป ณ.ช่วงไพรไทม์ของเวลาทีวี ตราบใดที่ความรุนแรง การใช้กำลัง สงครามยังมีอยู่ ตราบนั้นผู้หญิงก็จะยังเป็นเบี้ยล่างตลอดไป เราต้องกำจัดมันออกไป นำสันติภาพมาแทนที่ มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ช้างุ่มง่ามไปน่ะครับ สหประชาชาติที่รัก องค์รวม**** ความอ่อนแออย่างมากทางสมอง/สติปัญญาและอารมณ์ มีพฤติกรรม รักสนุก ง่าย และความเห็นแก่ตัว ปราศจากจิตสาธารณะ แต่แก้ปัญหาด้วยความรุนแรงทางพละกำลัง ของสังคมไทยและสังคมด้อยยังพัฒนา ต่างหาก คือต้นตอปัญหาหลัก เราต้องมาปฏิรูป มาร่วมมือกันแก้ปัญหาตรงนี้ครับ ไทยสยามจะก้าวข้ามพ้นสภาวะ"ฝูงมนุษย์สู่สังคมมนุษย์"ได้หรือไม่? ทั้งชายและหญิง จะต้องร่วมมือกันอย่างเสมอภาคเป็นครอบครัวที่ดี (สนับสนุนคำว่า...อบอุ่น...ชอบๆ) เป็นการเริ่มต้นสู่ความสำเร็จ ที่สตรีจะไม่ถูกบุรุษครอบงำ จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 10:47:49

ความคิดเห็นที่ 10 ขั้นตอนที่ใช้เปลี่ยนแปลงตามลำดับ จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 12:32:38

ความคิดเห็นที่ 11 เราไม่เคยอ่านหรือฟังเพลงของปานเลยค่ะ เพลงแนวปานเราไม่ค่อยชอบด้วยซ้ำ ไม่ได้ฟังแม้แต่เพลงเดียวมาหลายปีแล้ว หนังสือที่อ้างนั้นแค่เห็นในร้านหนังสือเฉยๆ ไม่คิดจะอ่านเพราะในความคิดเราก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ลำเอียงและกลัวผู้ชายมากพออยู่แล้ว ไม่คิดจะอ่านให้ลำเอียงเพิ่มมากขึ้น อย่างมากก็อ่านคร่าวๆ พอให้รู้ว่าเขาเขียนอะไรบ้าง ปัญหาผู้ชายครอบงำผู้หญิงในไทยมีก็จริง แต่เราไม่คิดว่าจะแรงเท่าเอเชียชาติอื่น แต่ถามว่ากลัวไหม กับความคิดที่ว่าผู้หญิงอ่อนแกกว่าและถูกรังแก กลัวค่ะ ที่บ้านมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำให้เราเอียนกับละครน้ำเน่าได้เร็วกว่าคนอื่นเขาเพราะเห็นจะๆว่ามันไม่จริงและทำให้ไม่คิดอยากแต่งงาน เวลาคิดจะทำอะไรไม่คิดจะพึ่งผู้ชายคนไหนเป็นพิเศษ ถ้าแอบชอบใครก็จะไม่ถลำมากกลัวถอนตัวไม่ทัน คือชอบได้ แต่พร้อมจะเดินออกจากชีวิตของเขาทุกเวลา ที่สำคัญไม่เชื่อว่าเราจะได้เจอครอบครัวอบอุ่นแท้จริงบนโลกใบนี้ ถามว่าเหนื่อยไหมที่เป็นแบบนี้เหนื่อยค่ะ ไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงที่ถูกผู้ชายกดขี่หรอก เรียกว่ากดขี่ทางอ้อมก็ได้ เพราะจิตใจไม่ปกติ มีความแค้นนิดๆ เก็บกด พูดตามตรง อยากแก้ไหม อยากค่ะ แต่หาวิธีไม่ได้ วิธีที่ง่ายและตรงที่สุดสำหรับเราตอนนี้คือธรรมะที่บอกไว้ข้างต้น นี่คือประสบการณ์ส่วนตัว เราไม่สามารถแก้ได้ในระยะเวลาอันสั้น พอๆกับการเพิ่มอวิชชาด้านชีวิตคู่ที่แสดงออกมาจากละครหลังข่าวถ่ายทอดไปยังชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ พวกเขาไม่อยากเรียนรู้เรื่องพวกนี้หรอก ลองคิดดู วันๆทำงานงกๆได้เงินไม่กี่ร้อย แต่ในโฆษณาที่มีอยู่ทุกที่ในเวลานี้ มันเต็มไปด้วยสินค้าต่างๆที่ล่อให้พวกเขาไปซื้อ ไปใช้เงิน กิเลสความโลภหลอกหลอนทุกนาทีที่ตื่นนอนอยู่ ทำให้พวกเขาเหล่านี้ไม่ทันคิดถึงราคะทางเพศที่ครอบงำพวกเขาอยู่เช่นกัน มันยากพอๆกับให้พวกเขารักการอ่านหนังสือเป็นผู้ใฝ่รู้นั่นแหละ ยิ่งถ้าการใฝ่รู้ไม่ได้ทำเม็ดเงินมาสู่มือยิ่งยากใหญ่ ถึงแม้ว่าความรู้นั้นจะให้ประโยชน์อย่างอื่นก็ตาม โฆษณาที่พยายามขายสินค้าก็เช่นเดียวกัน บ.ใหญ่ๆสนแต่ว่า ปีนี้ฉันจะทำกำไร เพิ่ม ได้กี่เปอร์เซ็นต์ พวกเขาไม่หยุดแค่ ทำเงินพอเลี้ยงตัวเอง แต่พยายามหาเงินให้เพียงพอกับกิเลส ซึ่งทุกคนก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่แสบมากกว่านั้นคือ พวกบ.ใหญ่ๆรู้ว่า การจับจ่ายซื้อของในครอบครัวเป็นหน้าที่หลักของผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย ละครหลังข่าวเลยสร้างตามความต้องการของผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะเล่นเกมส์หรือดูบอลซะมากกว่า ถ้าจะทำโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มนี้คงไม่ใช่ละครหลังข่าว อีกประเด็นที่อยากเขียนคือ ทำไมความคิดแบบนี้ถึงขายและกระจายได้ไม่สิ้นสุด เราว่าน่าจะเป็นเพราะผู้หญิงมีความคิดแบบนี้ฝังอยู่ในหัว (เราก็มีนะแต่น้อยมาก) คนสร้างละครจับจุดนี้ได้ก็พยายามทำละครแนวนี้ออกมา และกลายเป็นค้อนอันใหญ่ที่ตอกความคิดนี้ลึกลงไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ สั้นๆ วงจรอุบาทว์นั่นเอง สันติภาพนั้นเราก็ไม่เชื่อเช่นกัน เราเชื่อในการ คานอำนาจ มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ในสมัยก่อนก่อนที่ผู้หญิงจะมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ทำงานหาเงินด้วยตนเองต่างก็ถูกกดขี่มาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาติใดก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่ฝรั่ง แต่พอผู้หญิงเริ่มหางานได้ ไม่ต้องง้อผู้ชายทุกเรื่อง มีอำนาจในมือมากขึ้น มันถึงเริ่มมีสิทธิสตรีไงคะ ถ้าลองให้กลับไปเหมือนเมื่อก่อน เชื่อเถอะ เมียน้อยเต็มเมือง ผู้หญิงถูกกระทำไม่ต่างจากสัตว์เหมือนในสมัยหลายพันหลายร้อยปีก่อนทั่วโลก ดูที่ประวัติศาตร์จีนและอินเดียจะแจ่มมาก เช่น พิธีสตี เหอะๆ น่ากลัวที่สุด ในสมองเรามีประโยคประมาณว่า น้ำพยุงเรือได้ก็จมเรือได้ ถ้าเราอ่อนแอต้องง้อคนอื่นเราก็เสร็จ ความเห็นเราจะอยู่ในแนว ความกลัวผู้ชายครอบงำค่ะ ถึงแม้ความสามารถจะไม่ถึง เป็นความคิดเห็นส่วนตัวมากๆๆ แต่กล้าบอก หุหุ เราบุญไม่ถึงอ่ะ คิดไม่ได้อย่างคห.เก้าที่ยังมีความหวังที่ดีๆอยู่(ไม่ได้ประชดนะ อิจฉาจริงๆ) อยากเขียนวิธีแก้นะ แต่เขียนไม่ออกอ่ะ เลยเขียนอย่างอื่นแทน ไปจริงๆละ จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 16:12:11

ความคิดเห็นที่ 12 มีเงินไหม ถ้าไม่มีคือจบ จริงๆนะ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 21:32:35

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ อธิบายเพิ่มอีกหน่อยค่ะ  ว่าเงินเป็นเหตุปัจจัยอะไรกับการครอบงำทางอุดมการณ์ จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 24 ก.พ. 54 22:15:12

ความคิดเห็นที่ 14 ละครแบบไหนทำให้คนติดได้ จะไปว่าละคร "มีอุดมการณ์ที่แฝงเร้นและครอบงำสตรีไทยทั้งประเทศ" มันเป็น invalid argument เราว่าคนสร้างละคร "รู้จุดอ่อนคนดู" อยู่แล้วต่างหาก จึงสร้างละครให้คนดูมันบ้ามากยิ่งๆขึ้น ยกตัวอย่างเช่นภายใต้กฎของสังคมไทยที่ีผู้หญิงไทยต้องถูกผู้ชายไทยกดขี่นานกว่าผู้หญิงฝรั่ง แล้วผู้ชายไทยส่วนใหญ่มันก้อยังดักดานอยากได้เมียเป็น virgin ในขณะที่ตอนเป็นวัยรุ่น ผู้หญิงกับผู้ชายมันก้อต้องอยากมี sex พอๆกันนั่นแหละ ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ตกอยู่ในสภาพจำต้องเล่นละคร คือเวลาแต่งงานคืนแรกส่งตัวเจ้าสาวก้อต้องแกล้งทำเป็นไร้เดียงสา แต่ในทางกลับกันบางทีผู้หญิงฝรั่งที่ยังมีหลงๆเป็น virgin อยู่ คืนแรกที่นอนกับผู้ชายกลายเป็นกลัวจะไม่ถูกใจผู้ชายถ้าออกอาการอายว่าไร้เดียงสา ก้อเลยต้องเสแสร้งทำเป็นช่ำชองเรื่อง sex เพราะผู้ชายฝรั่งอยากได้ผู้หญิงมีประสบการณ์ซะมากกว่า เมื่อคนเรามันต้องเล่นละครกันในชีวิตจริงเช่นนี้ ละครมันก้อเลยสร้างเอาใจคนดูตามค่านิยมในสังคมของคนดูยังไงล่ะ เช่น ถ้าใครสร้่างละครไทยแบบนางเอกกับพระเอกกำลังรักกัน แล้วอยู่ดีๆเกิดผิดใจกันเล็กน้อย แล้วนางเอกเสียใจมีพระรองมาปลอบประโลมจีบนางเอกจนเธอเกือบจะเสียตัวให้พระรองซะแล้ว รับรองได้เลยว่าชาวบ้านจำนวนมาก ดูแล้วใจไม่ดี จนนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ต้องโทรไปห้ามปรามคนแต่งว่า "อย่าแต่งให้นางเอกเสียตัวกับชายอื่นนะ ต้องเก็บไว้ให้พระเอกคนเดียว" ตอนช่วงคนดูประท้วง ทีวีมันก้อแกล้งหยุดฉายละครซักพัก เดี๋ยวละครมันก้อดังระเบิดเองนั่นหละ...ยิ่งเอาหนังสือพิมพ์ลงข่าวประโคมเท่านั้นหละ คลั่งกันทั้งประเทศเลย...เหอๆๆ... เมื่อสมัยหนังสามก๊กฉายยาวๆออกทีวีไทย เขาเชิญนักแสดงจีนมาสัมภาษณ์ในไทย พิธีกรถามดาราจีนที่เป็นตัวร้ายในเรื่องสามก๊ก จำไม่ได้แล้วว่่าใคร ว่าตัวดาราจีนเองหรือถ้าใครเล่นบทนางตัวร้ายถึงพริกถึงขิงแล้วไปเดินในตลาดจะโดนแม่ค้ารุมเอาเปลือกทุเรียนตบหน้าเอาหรือเปล่า เพราะในเมืองไทยจะเป็นแบบนี้ ถามว่าที่ประเทศจีนมีแบบนี้หรือเปล่า ดาราจีนถึงกับ "ปล่อยก๊าก" ออกมาดังๆ บอกว่า "ไม่มี" (ไม่รู้มี แล้วมันหลอกพวกเราหรือเปล่าหว่า...555+++...?)  แถมดาราจีนยังไม่เข้าใจอีกด้วยว่ามันเกี่ยวกันยังไงว่าแม่ค้าต้องไปรุมทำร้ายดาราแสดงบทผู้ร้ายหรือนางตัวร้าย... ตกลงถ้าเราตั้งสมมุติฐานว่าดาราจีนไม่พูดโกหก เราจะสรุปได้หรือเปล่าว่า "คนเขียนละครไทยเก่งกว่าคนเขียนละครจีนเพราะกระตุ้นให้คนดูเกิดอารมณ์อันรุนแรงจนทั้งบ้า ทั้งโง่เพราะละครได้" คำตอบก็คือ "ไม่ใช่อย่างแน่นอน มันเป็นที่ระดับจิตใจและความคิดอ่านของคนดูส่วนใหญ่ต่างหากล่ะ" แล้วทำไมเราไม่ติดละครไทยเลยหล่ะ? ทำไมมันครอบงำเราไม่ได้ เมื่อ 23 ปีที่แล้วตอนเรากลับจากต่างแดนมาอยู่เมืองไทย เราก็เคยติดละครไทย นั่งดูมันจนติดงอมแงม แต่พอดูประกวดร้องเพลงที่ผลออกมาค้านสายตา ไม่โปร่งใสเหมือน Britain's Got Talent แล้วติดตามข่าวสังคมไทยจนเรียนรู้เรื่อง "ระบบอุปภัมภ์" และ "การมีคนนำเข้าสู่วงการบันเทิงทั้งร้องเพลงและเล่นละคร" และพอดู "ข่าวการเมืองที่โดนรัฐบาลสั่งให้พูดเข้าข้างรัฐบาลมาโดยตลอดทุกสมัย มันทำให้เราเกลียดทีวีไทยถึงขั้นไม่ดูมันมาแล้วนานถึง 10 กว่าปี...!!!" เราเลิกดูทีวีไทยก้อเริ่มตั้งแต่ใช้จานดาวเทียมดูทีวีต่างประเทศแทนนั่นแหละ และตอนนี้ใช้เน็ตความเร็วสูงดูทีวีต่างประเืทศแทน ตอนนี้ใครมาคุยกับเราเรื่องนักร้องหรือดาราไทย เราไม่รู้จักเลยสักคน แล้วเราก้อภูมิใจในความเป็นมนุษย์หลังเขาของเรา ที่ไม่รู้เรื่องสังคมไทยและรสนิยมไทยของเราเอาซะเลย...ทุกวันนี้เรายังไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า น้ำหอม ยี่ห้อไหนมันเป็น brand names สำหรับคนไทย... ทำไมสิ่งพวกนี้มันครอบงำเราไม่ได้ล่ะ จะว่าเราหัวโบราณตามโลกไม่ทัน แต่เราก้อวันๆหนึ่งเล่นสนุกกับเทคโนโลยีสม้ัยใหม่เช่น ติดตามวงการ ICT ทดสอบ software รุ่นใหม่ๆ หาสื่อการเรียนการสอนศาสตร์ต่างๆจากต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา...โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก Internet ละครทีวีหรือหนังเรอะ? โน่นเราไปดูของฝรั่ง ไม่ดูมันเลยของไทย เพราะรำคาญไอ้บทอิฺจฉาริสยา ไอ้รสนิยมเดิมๆ ที่เราก้อเคยชอบ แต่ตอนนี้สมองเรารับมันไม่ได้เลยหละ...   เราเชื่อว่าในประเทศไทยมีคนไทยที่เป็นเหมือนเราหลายคน คือไม่ชอบดูทีวีไทยและละครไทย ตกลง "ละครไทยมันจะครอบงำใครได้มันขึ้นอยู่กับระดับความคิดความอ่านและรสนิยมส่วนตัวของผู้คนเหลานั้นต่างหากล่ะ" ดังนั้น แทนที่จะพูดว่า "ละครไทยมีอุดมการณ์ที่แฝงเร้นและครอบงำสตรีไทยทั้งประเทศ" เราต้องพูดว่า "คนแต่งละครไทยเข้าใจระดับความคิดความอ่านคนไทย เข้าใจรสนิยม และค่านิยมในสังคมแบบไทยๆ ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างละครครอบงำคนพวกนั้น (ที่ครอบงำได้) เพราะคนสร้างละครรู้จุดอ่อนพวกเขา" ต่างหากล่ะ... เราไม่เห็นว่าละครทีวีมันจะเป็นอุดมการณ์ตรงไหนเลย คุณไม่อยากดูทีวีคุณก็ปิดทีวีซะก็หมดเรื่อง เขาไม่ได้บังคับให้คุณดูนี่นา มันไม่เหมือนการบังคับให้เด็กไทยทุกคนต้องยืนเคารพธงชาติเป็นพิธีกรรม ซึ่งเป็นอุดมการณ์ให้รักชาติซึ่งมันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งเพราะรัฐไม่มีระบบสวัสดิการดีๆ (เพราะนักการเมืองเลวๆมันโกงเอาไปหมด) หรือไม่มีความยุติธรรมในสังคม (คนรวยยังคงรังแกคนจนอยู๋เรื่อยๆ) ดังนั้น เพื่อให้พลเมืองสำนึกในบุญคุณของประเทศชาติ จึงจำเป็นต้องปลูกฝังอุดมการณ์ตั้งแต่เด็กๆเช่นป้อนเรื่องราวเกี่ยวกับวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษไทยในประวัติศาสตร์ให้เด็กๆเรียนตั้งแต่ยังเยาว์วัยเด็กๆจะได้สำนึกบุณคุณของพวกวีรบุรุษและวีรสตรีไทยในสมัยโบราณ ซะแทน พอเติบโตเป็นพลเมืองไทย ทุกคนก็จะได้เป็นปึกแผ่น ไม่แตกแยกกัน เพราะทุกคนต่างก้อเชื่อ (ตามที่ถูกสอนให้เชื่อ) ว่า มีสิ่งศักสิทธิ์ที่ต้องเคารพบูชาคือธงชาติไทยและวีรบุรุษและวีรสตรีไทย แต่ในทางกลับกันประเทศอเมริกาผ่านขั้นตอนของการสร้างความเป็นปึกแผ่นมาเรียบร้อยแล้วและมีสวัสดิการสังคม มีความยุิิติธรรมในสังคมมากขนาดรัฐธรรมนูญบังคับใช้กับทุกคนเท่าเทียมกันหมด ชาวบ้านธรรมดาๆข้างถนนก้อฟ้องประธานาธิปดีขึ้นศาลได้ ผู้คนของเขารักชาติมากพอแล้ว เป็นปึกแผ่นมากพอแล้วไม่ต้องใส่เสื้อหลายๆสีออกมาตีกันแล้ว ดังนั้น การสร้างอุดมการณ์ให้รักชาติโดยการบังคับให้ยืนเคารพธงชาติราวกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เด็กๆในอเมริกา (หรือในอังกฤษ) ก็ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีภัียคอมมิวนิสต์หรือการแบ่งแยกดินแดนที่คุกคามประเทศชาติ ประชาธิปไตยของเขามั่นคงจนถึงขนาดที่ว่า "ขณะนี้การเผาธงชาติสหรัฐไม่ผิดกฎหมาย (เคยมีคดีขึ้นศาลกันและศาลสูงสหรัฐออกคำสั่งยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองวาธงชาติเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป) เพราะถือว่า "การเผาธงชาติประท้วง" เป็น การแสดงออกโดยเสรี ที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญสหรัฐ" เลยตกลงคนอเมริกันรักชาติและสำนึกบุญคุญของประเืทศชาติ เพราะ รัฐเคารพ สิทธิมนุษย์ชน และเสรีภาพในการแสดงออก ดูแลประชาชน ไม่สั่งทหารออกมาเอาอาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชน อีกทั้งยังสำนึกในบุญคุณของประเทศชาติที่มี รัฐธรรมนุญฉบับที่สั้นที่สุดในโลก แต่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในโลก ดังนั้น "ความเชื่อที่ว่าธงชาติหรือวีรบุรุษหรือวีรสตรีในอตีตตั้งหลายร้อยปีมาแล้ว เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพบูชาจึงหมดไปจากประเทศอเมริกา" ...................................................................... สรุป ผงขาว ยาบ้า ยาอี ยาไอซ์ ใช้สร้างอุดมการณ์ หรือเปล่าล่ะ? ไม่ใช่สิ   "เพราะไม่มีใครบังคับให้คุณเสพย์มันนี่นา" แต่ผู้คนก้อติดยาจนงอมแงมได้ แล้วคราวนี้ ถามว่า ละครทีวีสร้างอุดมการณ์ หรือเปล่าล่ะ? คำตอบก้อคือ คนติดละครจนโงหัวไม่ขึ้น มันก้อเหมือนๆกับติดยาจนโทรมนั่นแหละ เพราะคนสร้างละครมันก้อเหมือนๆกับผู้ผลิตยาที่เชี่ยวชาญในการ   "ผลิตสารกล่อมประสาท" ...ยังไงล่ะ... ดังนั้น คุณบ้าละคร แล้วตื่นเต้นตามมันไป จนคุณติดมันจนคลั่งเหมือนติดยา อยากเป็นอย่างตัวละคร มันไม่ใช่เพราะคนเขียนละครมีความสามารถในการสร้างอุดมการณ์ แล้วมันก็ไม่มี  social manipulation อย่างที่คุณเขียนอ้างมา  หากแต่ "ละคร manipulates weak minded persons!" ดังนั้น "ละครแบบไหนก็ไม่ใช่อุดมการณ์ที่แฝงเร้นและครอบงำสตรีไทยทั้งประเทศ" .............. Q.E.D. แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 06:44:47 แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 06:17:32 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 05:48:23

ความคิดเห็นที่ 15 เอ่อ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ที่คุณพูดว่า "เพราะละครหลังข่าวเข้าถึง   ถูกผลิตใหม่  และผลิตซ้ำชุดความคิดแบบนี้ตลอดเวลา" นั่นแหละคือเหตุผลที่เราไม่ดูละครไทยยังไงล่ะ...ฮาาาาาาาาาาาาาา... ถ้าละครมันเป็นอุดมการณ์ได้จริงๆอย่างที่คุณอ้าง หละก้อ อีกหน่อยทุกคนที่ได้ยินเสียงละครก้อต้องยืนเคารพดาราละครกันหละสิ... ไม่น่าคิด Crital Discourse Analysis เรื่องแบบนี้เลย เสียเวลา เปลืองสมองเปล่าๆ... ถ้าอยาก think big นะ ทำงี้ดีกว่า จะแนะนำให้ นี่เป็น suggestions ที่อันตรายสุดๆ...ที่สมองเรา contrived มาได้นะ ลอง recruit สาวหน้าตาจิ้มลิ้ม หุ่น sexy แต่งตัวยั่วยวนสวาทมาเยอะๆ ดิ แล้วส่งพวกเธอไปสมัครประกวดร้องเพลง ประกวดนางงาม ไป audition เพื่อจะเป็นดารา แล้วให้สาวๆพวกนั้น แอบพกปากกาที่ถ่ายวิดิโอได้ ไปด้วย แล้วไปเจรจากับนายทุนเจ้าของรายการ เรื่องการประกวด เรื่องการ "นำเข้าสู่วงการ" แล้วฟังข้อเสนอ ข้อต่อรองว่าสาวๆเหล่านั้นต้องให้ sexual favors แก่นายทุน และ/หรือ คนนำเข้าสู่วงการบันเทิง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับ "การนำเข้าสู่วงการ" เหมือนๆกับที่เป็นข่าวลือตั้งหลายชั่วคน ที่ยังไม่ีมีข้อพิสูจน์อย่างโปร่งใสให้กับสังคม) หรือเปล่า?" ถ้ามีเงื่อนไขแบบนั้น ก้อให้พวกสาวๆแอบอัด videos  มาให้ชัดๆ แล้วเอามาปล่อยที่ youtube รับรองว่า เอาหน้าตาไอ้คนพวกนี้ประจานมันให้หมดทั่่วโลกเลย ให้มันหายสงสัยกันไปเลยว่า "การจะเป็นดาราหรือนักร้องเนี่ย มันต้องเ้อาตัวเข้าแลก จริงๆ หรือเปล่า?"   เอาให้มันถล่มทลายวงการบันเทิงให้ย่อยยับไปเลย มันต้องพิสูจน์กันแบบนี้ มันถึงจะมันหยดติ๋งๆ... สนุกกว่า Crital Discourse Analysis แบบของคุณตั้งหลายเท่า จากนั้นลองระดมพลคนทั่่วประเทศดิว่าใครอยากเป็นดารา พวกเราสร้างหนังกันเอง ผลิตเพลงกันเอง ระหว่างพวกเรา (ประกาศบนกระดานสนทาน online ก้อได้) ผลิตผลงานออกมา แล้วเอาขึ้น youtube ผลิตหนังละครเอง ผลิตเพลงเอง ทำเป็น video clips เอาไว้ดูกันเอง เดี๋ยวนี้ digital video camera ราคาถูกจะตายไป ใช้ software แต่งภาพและเสียงหน่อยเดียวก้อทำหนังทำละครหรือเพลงเป็น video clips ได้แล้ว พอคนดู youtube จนติดงอมแงม ก้อทำเป็นแผ่น DVD แจก หรือให้ download ฟรีๆได้เลย แล้วรายได้ไม่มีหรือ?  มีดิ ก็ในหนังเราใส่โฆษณาไว้ และที่ website ที่ให้ download เราก้อให้บริการโฆษณาสินค้าและบริการต่างๆได้นี่ อีกไม่นาน พวกนายทุนที่ผูกขาดอยู่ในแวดวงบันเทิงมันก้อจะหากินไม่ได้ "การนำเข้าสู่วงการ" ตาม "ระบบอุปภัมภ์ก็จะถูกทำลายลงไปโดยสิ้นเชิง" กำไรที่ได้จากกิจกรรมของพวกเรา ก้อจะเอาไปช่วยด้านการศึกษาหรือรักษาพยาบาลให้คนยากจน ถ้าทำแบบนี้ได้ มันจะเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรมระดับประเทศเลยหละ...โดยจะมีเพลงและหนังที่ผลิตเพื่อคนดูโดยแท้จริง (ให้ลูกค้าทั่วประเทศลงคะแนนเสียงกันได้ว่าต้องการผลิตภัณฑ์แบบไหน) และใครๆอยากเป็นนักร้องนักแสดงก้อเข้ามาได้ โดยไม่ต้องมีคนนำเข้าสู่วงการ ตอนแรกๆอาจทำงานฟรีเพื่อจะได้แสดงผลงานขึ้น youtube หรือ website โครงการ อีกหน่อยพอโครงการทำกำไรได้ พวกนักร้องนักแสดงเหล่านี้ก็จะมีรายได้ดีๆไปด้วย จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 07:16:11

ความคิดเห็นที่ 16 ผมเห็นด้วยกับการมีส่วนในการครอบงำสังคมไทยของละครหลังข่าว เมื่อ10ปีก่อนมีแนวโน้มอย่างที่จขกท ว่าไว้มาก แต่ปัจจุบันน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ผมเห็นละครที่นางเอกเคยเสียตัว เป็นแม่หม้าย อยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงาน ฯลฯ มากขึ้น มีนางเอกที่มีความสามารถ มีการศึกษา ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองไม่ต้องพึ่งผู้ชายมากขึ้น ขณะที่ความเป็นชายในละครกำลังถดถอยลง เพราะพระเอกส่วนใหญ่จะโง่ มักโดนตัวอิจฉา ผู้ร้าย แม่ยาย แม่ตัวเอง ฯลฯ หลอกลวงได้อย่างง่ายๆไม่ซับซ้อน บางเรื่องพระเอกมักรวยแบบไม่มีเหตุผล ไม่เห็นต้องทำงาน ดูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ บางคนแต่งหน้าจัดจนเหมือนผู้หญิง ผมเคยถามคนใกล้ตัวว่าผู้หญิงสมัยนี้ชอบคนไม่ฉลาดแบบพวกพระเอกในละครหรือเปล่า เธอตอบว่าถ้าพระเอกฉลาดเกินไปละครจะไม่สนุกเรตติ้งน่าจะไม่ดี จากคุณลักษณะของพระเอกในปัจจุบัน และคำตอบของคนใกล้ตัวที่บ้านผมจึงมาคิดว่าในอนาคต ละครไทยจะพลิกกลับมาสร้างวาทกรรม และอุดมการครองงำผู้ชายก็เป็นไปได้ครับ จากคุณ : เสธแก่ เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 09:06:14

ความคิดเห็นที่ 17 ผู้หญิงเลือกผู้ชาย หรือ ผู้ชายเลือกผู้หญิง ? ทุกสังคมในโลกที่อ้างว่าพัฒนาแล้ว  ผมคิดว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเลือกนะครับ .. ผู้ชายแค่พ่อค้าขายขนมจีบ การที่ผู้หญิงหมดสิทธิเลือกหรือผู้ชายเป็นฝ่ายเลือก  นั่นคือ  การใช้กำลังบังคับ   ย้อนดูละครไทย  (ผมไม่ได้ตามนานแล้ว  อย่างมากแค่ผ่านตารอดูข่าวหรือรายการบันเทิง) ผมคิดว่านางเองเป็นตัวเดินเรื่องนะ (ส่วนตัว) .. พระเอกส่วนมากเห็นแค่ทำงานงกๆหรือไม่ก็เดินเก๊กหล่อตามบทบาท  ส่วนนางเอกกับนางร้ายเป็นฝ่ายเข้าทำ ! ....(เดินเรื่อง) ย้อนดูสังคมไทยยุคติดละคร  ผมคิดว่าสาวๆสมัยนี้ก็เริ่มมีให้เห็นในฐานะฝ่ายรุกมากกว่ารอพ่อค้าขนมจีบมาวิ่งผ่านนะครับคุณ แฟนนายแบบ .. ป.ล.พูดถึงฟูโก น่าจะมีความคิดแบบโพสต์โมเดิร์น หรือ แนวคิดไร้รูปแบบนะ  หากให้เดา แนวคิดนี้ ฟูโก คงกำลังวิจารณ์แนวคิดยุคโมเดิร์นอยู่ จากคุณ : vincentlenon เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 09:42:24

ความคิดเห็นที่ 18 ถึงคุณ fortuneteller ครับ ส่วนใหญ่ผมเห็นพ้องตามคุณ แต่มีส่วนเห็นแย้งในประเด็นที่คุณว่า ละครแบบไหนก็ไม่ใช่อุดมการที่แฝงเร้นและครอบงำสตรีไทยทั้งประเทศ คุณให้เหตุผลว่าละคร manipulates weak minded persons ไม่สามารถเป็น social manipulationได้ เนื่องจากผู้เขียนบทละครไม่สามารถสร้างและชี้นำอุดมการณ์ เป็นแค่คล้ายการสร้างสารกล่อมประสาท ผมเห็นพ้องว่าผู้เขียนบทส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างและชี้นำอุดมการณ์ได้ แต่อยากแย้งว่าถ้าผู้เขียนบทส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยอุดมการณ์อยู่แล้ว แล้วมาสร้างงานที่ผลิตซ้ำเพื่อเสริมอุดมการณ์ที่มีอยู่แล้ว ก็น่าจะทำให้เกิด social manipulation ขึ้นมาได้ อยากแย้งอีกประการหนึ่งคือในกรณีของทางเลือก คุณบอกว่า การดูละครเป็นเหมือนทางเลือกไม่จำเป็นต้องดู ปิดทีวีไปทำอย่างอื่นหรือดูละครต่างประเทศแทน แล้วถ้าในกลุ่มคนที่ไม่มีทางเลือก ที่ละครหลังข่าวในฟรีทีวีอาจเป็นความบันเทิงเดียวที่พวกเขามีหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน ถ้าอุดมการณ์ถูกผลิตซ้ำผ่านความบันเทิงที่ไม่มีทางเลือกอื่น ผมคิดว่าน่าจะทำให้เกิด social manipulation ในคนกลุ่มนี้ได้เหมือนกันครับ จากคุณ : เสธแก่ เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 10:02:13

ความคิดเห็นที่ 19 ฟูโกต์ไม่ได้เป็นเป็นนักปรัชญาธรรมดา งานของเขาเป็นงานเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาอย่างลึกซึ้ง ฟูโกต์พูดถึงความสัมพันธ์ของ"อำนาจและความรู้"ของปัจเจกที่ความรู้มีอำนาจ นอกจากนั้น ความรู้(ดีและเลว)ยังมีอำนาจควบคุมพฤติกรรมตนเอง ในเรื่องกามารมณ์ จริยธรรม, ความเป็นคนอื่นที่แปลกแยกจากกลุ่มสังคม...(individuals will police themselves) ในหนังสือ"Discipline and Punish" ฟูโกต์ยกตัวอย่างนักโทษทั้งหลาย เมื่อนำไปขังในห้องขังแบบวงกลม(panopticon) ที่เปิดด้านหน้าหากัน ฝั่งตรงข้ามจะเห็นอีกฝ่ายตลอดเวลา ปรากฏว่านักโทษทุกคนจะมีความประพฤติเรียบร้อย คุมตัวเองได้ดี (ดีกว่านำไปขังเดี่ยว) เพราะรู้ว่ามีคนอื่นรู้เห็น เฝ้ามองตนอยู่ ละครไทย ผู้ผลิตเขาดูถูก หรือรู้ว่า ส่วนใหญ่แล้วไม่มีผู้ชมคนรู้เท่าทัน ไม่มีสติปัญญาอันเข้มแข็ง ตราบใดที่ยังมีratingดีก็ทำออกมาขายต่อไป ขณะเดียวกัน ตัวเองก็ไม่ต้องใช้ปัญญาทำละครที่มันยากกว่านี้เช่นกัน   ละครน้ำเน่าคือผลผลิตที่ตอบสนอง-สมยอมกันเองแบบ"ปัญญาทึบและความอ่อนแอ"ต่างหาก...ขายเปลือกคนสวยคนหล่อและอารมณ์ เดินเรื่องให้เร้าใจ ไม่มีอุดมการณ์แฝงเร้นสูงส่งสมบูรณ์ใดๆ ที่จะมอบอำนาจแห่งความรู้ให้กับผู้ชมทั้งนั้น คือคำตอบ เชิงCDA หากเล็งเอาวาทกรรมของฟูโกต์เป็นตัวแบบ จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 11:12:53

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบหมอดูนะคะ  อุดมการณ์แฝงเร้นได้ในแห่งหน   แม้แต่แบบเรียน  ตำราเรียน   โฆษณา   หรือแม้แต่บทเพลง ทุกสิ่งที่เราพูดล้วนมาจากมีมือที่มองไม่เห็นจับหัวเราอยู่   มือที่ว่านั้น คือ อุดมการณ์ แม้แต่ชุดความคิด CDA เอง  ก็เป็นอุดมการณ์อย่างหนึ่ง การทำ CDA ละคร  เพราะมันคือ Mass Media  ที่เข้าถึงคนทั้งประเทศ  และแทรกซึมอย่างไม่รู้ตัว ส่วนคนที่ทำด้านนี้  อาจจะงานด้านวาทกรรมการเมือง  ซึ่งเราไม่ค่อยชอบ  เราว่าสรุปไป  ก็เหมือนไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง   -------------------------- ครูบอกว่า  คนที่จะทำ CDA ได้ดี   คื่อ  คนที่มองโลกแง่ร้ายหน่อย ๆ แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 18:18:33 แก้ไขเมื่อ 25 ก.พ. 54 17:59:06 จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 17:56:42

ความคิดเห็นที่ 21 พอคนดู youtube จนติดงอมแงม ก้อทำเป็นแผ่น DVD แจก หรือให้ download ฟรีๆได้เลย แล้วรายได้ไม่มีหรือ?  มีดิ ก็ในหนังเราใส่โฆษณาไว้ และที่ website ที่ให้ download เราก้อให้บริการโฆษณาสินค้าและบริการต่างๆได้นี่ อีกไม่นาน พวกนายทุนที่ผูกขาดอยู่ในแวดวงบันเทิงมันก้อจะหากินไม่ได้ "การนำเข้าสู่วงการ" ตาม "ระบบอุปภัมภ์ก็จะถูกทำลายลงไปโดยสิ้นเชิง" V V v เราว่า Youtube  จะกลายเป็นกลุ่มอำนาจใหม่   ซึ่งดูรุนแรงกว่าเพราะเป็นกลุ่มนายทุนต่างชาติ    ไม่เกิดการกระจายรายได้ และสร้างงานให้แก่คนไทยเลย จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 18:21:26

ความคิดเห็นที่ 22 โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบขนาดนั้นกระมังครับ สมัยเด็กๆผมก็ดูเจ้าขุนทองนะ แต่ไม่เคยคิดอยากจะโตไปเป็นจระเข้แบบขอนลอย หรือกระบือแบบฉงนเลยครับ หุหุ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 15:36:20

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าคุณเอา ซีรียส์ฝรั่ง ญี่ปุ่นดีๆ มาชนกับละครน้ำเน่าหลังข่าวน้อยครั้งจริงๆ ที่จะชนะละครน้ำเน่าที่คุณดูถูก และละครหลังข่าวไทยปัจจุบัน ก็มีกลุ่มนิยม ถึงข้ามประเทศได้ ดังนั้นการบอกว่าละครหลังข่าวเป็นเครื่องมือทางการเมือง  ผมก็มองว่ามันก็เข้าขั้นวิตกจริตแล้ว และกลุ่มผู้ผลิตละครหลังข่าว ก็ไม่ได้เป็นกลุ่มการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป้าหมายคือผลิตเพื่อเรตติ้งอย่างเดียว เหมือนกระทู้นแนะนำห้องการประพันธ์นั่นแหละ ทำไมนิยายที่มีฉากข่มขืน ถึงขายดีเรื่องนี้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะคนอ่านส่วนใหญ่ก็ผู้หญิง ซินเดอเรลล่า เล่ามา 200 กว่าปี ก็ยังมีคนอยากได้ราชรถมาเกยแบบนิทาน พาฟันแบบนี้ ผมคิดว่า ละครหลังข่าวตอบโจทย์อะไรบางอย่างกับเหล่า แม่บ้านที่ดูละครพวกนี้ได้ ทำให้ผมคิดว่าละครหลังข่าวเป็นผลผลิตของสังคมไทยมากกว่า ทัศนคติ ของไทยถูกขยายออกมาในรูปละคร จะเห็นได้ว่าสังคมไทย ให้ตัวร้ายมัก เป็นคุณหญิงคุณนาย แม่สะใภ้ นางเอกเป็นคนจน พระเอกรวย ผมมองว่านี่ คือเรื่องแฟนตาซีที่ถูกใจผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ของประเทศ แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 14:42:56 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 14:42:03