ความคิดเห็นที่ 1 สอบแบบเปิดหนังสือหรือสอบแบบปิดหนังสือ? ถ้าสอบปิดหนังสือก็หินเกินไป นักเรียนใช่ว่าจะมีความรู้ความเข้าใจในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งเสมอเหมือนกันพอที่จะอธิบายหลักการบางอย่างที่เป็นข้อธรรมะได้ ถ้าปล่อยให้ตีความเองแล้วใครจะชี้ถูกผิดเพราะธรรมะบางข้อแม้แต่ผู้ที่ศึกษาจริงจังก็ยังแย้งกัน ถ้าปล่อยให้เปิดหนังสือได้ก็ค่อยยังชั่ว เพราะยังหาคำแปลได้ตามเว็บไซท์อย่างลานธรรมหรือเปิดพจนานุกรมพุทธศาสน์ออนไลน์ได้ มีปัญหาแย้งขึั้นมาก็โยนให้พจนานุกรมรับไป จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 18:58:44

ความคิดเห็นที่ 2 How could we find enough time to meditate the 5 core elemensts of ours? When our mind is always wondering outside our soul, never happen to know what has happen and come to its end inside this body? แปลสด ห้ามทัก เดี๋ยวไม่ขลัง แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 54 19:37:57 จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 19:35:59

ความคิดเห็นที่ 3 สำหรับคำตอบของจขกท ก็ อ่านมากๆ คำเดียวสั้นๆ คุณเรียนการแปล คุณหลีกเลี่ยงเ้รื่ิองการอ่านไม่ได้ ความสามารถของนักแปล 80 เปอร์เซ็นต์มาจากการอ่าน ส่วนการเขียนน่ะ คิดเป็นไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็ดวง ว่าจะได้แปลงานที่ตัวเองเคยผ่านตามาก่อนหรือเปล่า จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 19:37:27

ความคิดเห็นที่ 4 วินาทีนี้มึนอย่างเดียวครับ เขาอนุญาตให้นำพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษเข้าไปใช้ได้ .... ซึ่งเหมือนไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ ขอบคุณทุกคนมากๆครับ จากคุณ : 44SFA1 เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 20:28:16

ความคิดเห็นที่ 5 แส...ดง ว่าม่ายมีดวง จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 20:56:20

ความคิดเห็นที่ 6 อาจารย์คนออกข้อสอบก็สุดๆ จริงๆ คุณพระช่วย (ได้หรือเปล่า) จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 22:32:59

ความคิดเห็นที่ 7 "จะมีเวลาที่ไหนมาพิจารณาขันธ์ 5 จิตใจถูกส่งออกนอกตลอดเวลา ไม่เคยรู้ว่ามีอะไรเกิด-ดับ เกิด-ดับอยู่ในรูป-นามนี้" How can one find time to contemplate 5 elements when one's soul wanders all the time, never knows what is being born, expired, born-expired in this concrete form, this abstract form? My advice is read a lot and write a lot and then everything will click. For me Thai-English translation is a breeze because I have been doing it more than 20 years! จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 23:58:40

ความคิดเห็นที่ 8 เราคิดถูกแล้วหละที่ไม่ไปเรียนการแปล ข้อสอบอะไรเนี่ย ไม่เข้าท่าเลย กะอีแค่ทดสอบความรู้เฉพาะทางเพียงแค่ 1 สาขา มันจะไปพิสูจน์อะไรได้ว่าผู้ทำข้อสอบจะเป็นนักแปลที่ดีได้หรือไม่ จริงๆแล้วถ้าให้นั่งหน้าคอมฯต่อเน็ตแล้วค้นข้อมูลดีๆ นักแปลที่มีฝีมืออยู่บ้างก็พอทำได้อยู่หรอก แต่ถ้าให้ไปนั่งเขียนคำแปลในห้องสอบไม่มีแหล่งค้นข้อมูล มันกลายเป็นทดสอบอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่มีใครหรอกที่รอบรู้ไปได้ทุกสาขา จริงๆแล้วมันควรทดสอบ 1. การค้นข้อมูล (ควรมีแหล่งข้อมูลให้ค้นในห้องสอบด้วยเช่นเน็ตความเร็วสูง) 2. การตีความ source text 4. ทักษะในการเขียน target text 5. ทักษะในการจัดการกับความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม และอื่นๆอีกมากมาย เมื่อ 2 ปีที่แล้วสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งบอกให้เราทำบททดสอบนักแปล รู้สึกเราจะเขียนไปให้ 50 ข้อหรืออะไรเนี่ย แล้วแนะแนวไปด้วยว่าคนที่มาทดสอบถ้าทำถูกกี่ข้อควรได้ค่าจ้างแปลคำละกี่บาท แล้วเราเชื่อว่าบททดสอบของเรา ถ้าไม่นั่งหน้าจอคอมฯที่ต่อกับเน็ตนะ ต่อให้เซียนแค่ไหนก้อไม่มีทางทำถูกหมดทุกข้อหรอก เพราะคำศัพท์เกือบทุกคำในบริบทมันโยงใยกับ "ความรู้รอบตัวเรื่อง ภูมิประเทศสถานที่ ข่าวในวงการบางวงการ เทคโนโลยี ประวัติศาสตร์ กติกากีฬา ฯลฯ" แต่ทุกคำถามถ้าเซียน google ทำหละหาเจอหมด แน่ๆ...คือเราตั้งใจทำให้ search เจอ เพื่อให้ได้ contextual clues นั่นเอง ที่ต้องทำบททดสอบแบบนี้ ก็เพราะว่าเราเคยทำงานเป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปล แล้วเราพบว่าขนาดนัำกแปลรุ่นเดอะบางคนยัง low tech ไม่ใช้ Internet แล้วแปลผิดมาจังๆโดยไม่รู้ตัว ยิ่งนักแปลรุ่นใหม่ๆจะเหลือหรือ? สมัยนี้ใครทำงานแปลไม่มีเน็ตหละตายสนิท ดังนั้น การสอบที่ไม่ให้ผู้เข้าสอบมีแหล่งค้นข้อมูล ต้องถือว่าไม่ได้ทดสอบตามสภาพแวดล้อมของการทำงานจริงๆ ดังนั้น คะแนนที่ให้นักศึกษามันน่าจะ "วัดผลอะไรไม่ได้จริงจังนักหรอก" พอทำบททดสอบ 50 ข้อ ส่งไปให้สำนักพิมพ์แล้ว บอกคนในสำนักพิมพ์ไปว่า เวลาทดสอบต้องมีเน็ตให้ผู้ทดสอบ แต่เขาไม่เชื่อ...คือยังคิดว่าระดับเซียนก้อแปลได้หมด...??!!!...แต่เขาก้ออ้างว่าคนเข้าทำบททดสอบก้อเอา notebook ต่อกับ aircard ใส sim ที่ต่อเน็ตไร้สาย มาดิ ...ก้อเลยถ้าใครไปทำบททดสอบเราแล้วไม่มี notebook ต่อเน็ตก้อซวยไป...เผลอๆให้เราไปสอบข้อสอบของตัวเราเอง ถ้าเราไม่มีเน็ตเราก้อทำไม่ได้หมดทุกข้อหรอก เพราะเราก้อจำคำตอบไม่ได้ด้วยหละ...555+++...แต่นั่นมันเป็นแปลอังกฤษเป็นไทยนะ แล้วอีกอย่างหนึ่ง การสอบแปลไทยเป็นอังกฤษ (แบบที่ จขกท เจอ) มันควรให้ต่อเน็ตเปิด esl dictionaries ด้วย เพราะขนาดบางทีเราแปลมานานๆ เราจะใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษตัวไหน เรายังงงๆเลยว่าจะเขียนรูปประโยคมันถูกเป๊ะๆตาม collocations หรือตาม grammar เฉพาะตัวของคำศัพท์ตัวนั้นๆ เพราะเราว่าขนาดฝรั่งเจ้าของภาษาเองก้อยังไม่แม่นเป๊ะๆทุกคำหรอก ต้องมีเปิด dictionaries เหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 10:16:52 แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 01:12:28 แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 00:44:01 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 00:41:30

ความคิดเห็นที่ 9 พูดซะยาว แต่ประเด็นหลักก้อมีอยู่แค่ ทักษะเฉพาะทางนักแปลต้องพัฒนาหลายปี เอามาทดสอบในหลักสูตรสั้นๆอย่างเช่นปริญญาโืทการแปล มันไม่ได้เรื่องหรอก แต่ในช่วงหลักสูตรสั้นๆนี้ ควรสอนและทดสอบนักศึกษาเรื่อง การค้นข้อมูลในการแปลและการเรียนรู้ และทักษะที่สำคัญสุดยอดเลย นั่นก็คือ พยายามป้อน source texts ที่มี sentence structure types ซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างประโยคใน target texts จนครบรูปแบบของความน่าจะเป็นไปได้ในจำนวน sentence structure types ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (โดยผลัดกันให้แต่ละภาษาเป็น source text หรือ target text) ^ อันนี้คือทักษะหลักในกระบวนการที่เราสอนการแปลให้ตัวเอง แต่เราคาดว่า "อาจารย์สอนการแปล ถึงตัวอาจารย์แปลเก่งมากๆ ถ้าเก่งเพราะเป็นพรสวรรค์ แต่ไม่ใช่เก่งเพราะพรแสวงที่ได้จากการเรียนรู้โดยใช้ logical reasoning ละก้อ จะคิดไม่ถึงเรื่องความสำคัญของทักษะนี้ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วสามารถสอนกันได้ในระยะเวลาของหลักสูตรปริญญาโทการแปล สั้นๆ แต่นักศึกษาเอาออกไปใช้งานได้หลากหลายกว่า..." ในขณะที่ "การสอนหรือทดสอบการแปลทักษะเฉพาะทางเช่นสอนแปลภาษาพุทธศาสนา หรือภาษากฎหมาย อัดเข้าไปภายในระยะเวลาของหลักสูตร เราว่า จบมากลายเป็นความรู้กลวงอ้ะ...เพราะนักศึกษาจะขาด "สัมผัสพิเศษ" ในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการแปลสาขาอื่นๆที่หลากหลายกว่าสาขาที่โดนอัดให้เรียนหรือให้ทดสอบมา...เนื่องจากยังไม่ได้พัฒนาทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่จะนำไปต่อยอดได้...!!!" แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 10:19:35 แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 01:27:19 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 01:21:12

ความคิดเห็นที่ 10 ...ดังนั้น การสอบที่ไม่ให้ผู้เข้าสอบมีแหล่งค้นข้อมูล ต้องถือว่าไม่ได้ทดสอบตามสภาพแวดล้อมของการทำงานจริงๆ ดังนั้น คะแนนที่ให้นักศึกษามันน่าจะ "วัดผลอะไรไม่ได้จริงจังนักหรอก" เห็นด้วยกับคุณหมอดูล้านนนนนนนเอร์เซ็นต์อ่ะ! สอบประมวลแปลกฎหมายอาทิตย์นี้ตายแน่กรู แง้ๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 06:55:56 จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 06:55:31

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ จะแนะแนวทางในการเรียนแปลกฎหมายให้ แปลกฎหมายนะ ตอนเราหัดแปลใหม่ๆ ทีแรกใช้แค่ Concise Oxford Dictionary คู่ชีพ เราแปลผิดบานเบอะเลยหละ ต่อมาพัฒนาใช้ Webster's Unabridged Dictionary โหรอดตายได้มากยิ่งขึ้น หาศัีพท์กฎหมายเจอเ้พิ่มตั้งเยอะแน่ะ คือสมัยนั้นไม่มี Internet ก้อเลยตามโลกไม่ค่อยทันเรื่อง dictionaries น่ะ กะจะซื้อ OED เต็มชุัดเป็นเล่มๆ (เห็นวางขายในร้านหนังสือแห่งหนึ่งในเมืองไทย)พอเห็นราคาตัวเลข 5 หลัก (หลักแรกเป็น 4 หรือ 5 นี่แหละ) เล่นเอาเข่าอ่อนเลยหละ...555+++...ต่อมายุค Internet เห็นมีคนก๊อป OED ขายเป็น DVD แผ่นละ 200 บาทดีใจจนแทบบ้า แต่ทำไปทำมาก้อสู้ Black's Law Dictionary ไม่ได้ ครั้นต่อมาเราใช้ dictionaries เป็น software (ติดตั้งบนเครื่องเรา) ตั้งเกือบ 20 ยี่ห้อ ในการแปล...แต่แปลไปแปลมาสมัยมี Internet นะ กลายเป็นถ้าติดศัพท์ใช้ google รอดตายง่ายกว่า ยิ่งหัดใช้ google ไปเรื่อยๆ แล้วตรวจสอบเอกสารกฎหมายเก่าๆที่ตัวเองเคยแปลไว้ (เปิด files งานเก่าๆมาดู) ก็ยิ่งค้นพบว่าตัวเองแปลผิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่าตกใจ แล้วก้อค่อยๆแก้มาเรื่อยๆ... แต่นั่นไม่ใช่พัฒนาการสุดยอด เพราะแท้จริงแล้ว หลังจากนั้นขนาดเราคิดว่าเราตีความภาษาอังกฤษได้แม่นกว่าเดิมแต่พอเราแปลภาษากฎหมายอังกฤษเป็นไทยออกมา ภาษาไทยมันก้อยังอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง จนกระทั่งเราไปค้นพบความลับเรื่อง ที่ว่าภาษาอังกฤษประโยคยาวๆมากๆ มันใช้ appositives เยอะมากๆ และใช้ clauses อย่างเช่น participial clauses เป็น modifiers ตั้งมากมาย แถมยังใช้แบบ interrupting phrases ไอ้พวก clauses (ที่ทำให้แปลๆไปแล้ว "สะดุดตออย่างแรง") เหล่านี้ภาษาอังกฤษมันเก่งมากๆ เพราะ อย่างเช่นใน absolute construction มันไปวางหน้าประโยคก้อได้ ในบางประโยคเจ้า clause ที่เป็น modifier บางอันมันเสียบเข้ามาทะลุกลางประโยค บางทีก้อเอาไปแปะไว้ข้างท้ายประโยค เหตุผลน่าจะเป็นเพราะเพื่อหลีกเลี่ยงการเขียน dangling modifiers ในประโยคยาวๆที่มีเงื่อนไขซับซ้อนมากๆ...(แต่จริงๆแล้วฝรั่งบางคนก้อชอบเขียนแบบนี้) ผลก้อคือ พอตีความภาษาอังกฤษครบถ้วนทุกกระบวนท่าเพลงเรียบร้อยแล้วว่าไอ้คนเขียนภาษาอังกฤษมันต้องการสื่อว่าอะไร ทีนี้พอจะเขียนภาษาไทยดิ แทบกระอักเลือด เพราะ   "modifiers ในภาษาไทยมันต้องไปวางไว้ทางขวาของสิ่งที่มันขยาย ทำให้ประสาทกลับเพราะเรียงคำศัพท์ภาษาไทยไม่ถูก ถ้าสลับที่ไม่ดีกลายเป็นแปลผิด..." นั่นก้อหมายความว่า บ่อยครั้งที่เราจะเขียนประโยคภาษาไทยยาวๆ (เช่นประโยคเดียวยาวตั้งครึ่งหน้า) แบบภาษาอังกฤษม้วนเดียวจบ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะข้อความมันไปตีกันยุ่งอ่านไม่รู้เรื่อง เนื่องจากโครงสร้างประโยคภาษาไทยไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอื้ออำนวยการเขียนในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งเราคาดว่าเป็นเพราะภาษาไทยยังเป็นภาษาของชนชาติที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบเกษตรกร และยังไม่ได้รับการพัฒนาโครงสร้างให้มันเขียนอะไรยากๆเพื่อใช้อธิบายกลไกการทำงานของระบบที่ซับซ้อนแบบไฮเทคหรือเงื่อนไขกฎหมายที่ซับซ้อนรัดกุมมากๆ ตกลงวิธีการที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ก็คือ "ซอยประโยคยาวๆภาษาอังกฤษ ที่เป็น compound, complex หรือ compound complex sentence ออกเป็น simple sentences หลายๆประโยค เหมือนเพิ่งหัดเขียนภาษาอังกฤษเขียน นั่นก้อคือ restate the original sentence differently  แล้วจึงแปลเป็นไทย " ผลที่ได้ก้อคือ "การย้ำ subject ย้ำ verb ย้ำ object ย้ำ modifier ในภาษาไทย เหมือนคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะแปลประโยคยาวๆนั้นจบ (ถ้าไม่ประสาทกินซะก่อน แต่ทำๆไปบางทีสนุกดีเหมือนกันนะ)" ^ ถ้าไม่ทำแบบนี้คนไทยอ่านคำแปลภาษาไทยแล้วหลงประโยค จนงง อ่านไม่รู้เรื่อง แต่ในทางกลับกันเวลาแปลไทยเป็นอังกฤษ เรามักจะเจอนักกฎหมายหรือทนายไทยเขียนภาษาไทยซ้ำๆวกๆวนๆกระจัดกระจาย เราก้อต้อง "ไล่เก็บข้อความ" เพื่อแปลเป็นอังกฤษให้กระชับ แล้วลดจำนวนประโยคลงไป (ถ้าทำได้) สรุป ในการแปลภาษากฎหมาย แปลอังกฤษเป็นไทย มันคือ analysis แปลไทยเป็นอังกฤษ มันคือ synthesis ในยุค google เป็นใหญ่ ควรให้ความสำคัญกับการเรียนการสอน analysis and synthesis of sentence structure ของทั้ง source text และ target text มากกว่าการสอน legal terms เพราะ legal terms ใช้ google หาได้ไม่ยากนัก แต่กว่านักแปลจะเรียนได้ด้วยตัวเองในเรื่อง analysis and synthesis of sentence structure ของทั้ง source text และ target text เพื่อการแปลภาษากฎหมายที่ราบรื่น นั่น มันยากเอาเรื่อง และใช้เวลาเรียนนานพอดู คนที่เก่ง syntax ก่อนเป็นลำดับแรกจะเริ่มเห็นประโยชน์ของมันอย่างแท้จริงตอนหัดแปลภาษากฎหมาย...!!!   แต่เราเรียนกลับหัวกลับหางอ้ะ เหมือนอาวเอี๊ยงฮง (Ouyang Feng - 欧阳锋) อ่านคัมภีร์ เก้าอิมจินเอ็ง (Jiǔ Yīn Zhēn Jīng - 九阴真经) จากข้างหลังไปข้างหน้าแบบในนิยายมังกรหยกอ้ะ...555+++... คือเราไม่เก่ง syntax แต่เราแปลภาษากฎหมายแบบดำน้ำมาหลายปีจนเรากลายเป็นเริ่มเข้าใจ syntax แล้วเราจึงไปหา textbooks เรื่อง syntax มาอ่าน แต่อ่านๆไป แล้วก้อโคตรปวดหัว เลยเลิกอ่าน แล้วกลับไปใช้วิธีมั่วเหมือนเดิม...555+++... แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 11:21:14 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 11:08:23

ความคิดเห็นที่ 12 การให้ผู้สอบแปลเอกสารเฉพาะทางอย่างนี้โดยไม่ให้เข้าถึงแหล่งอ้างอิงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะ ผมเห็นเหมือนคุณหมอดู เอาเรื่อง ขันธ์ 5 เรื่องนี้ถ้าจะให้ดีคนแปลต้องเข้าใจก่อนว่า ขันธ์ 5 คืออะไร? ผมคงไม่อธิบายเพราะมันจะยาว มันเป็นความคิดที่เป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์เรื่องความทุกข์และการดับทุกข์อันเป็นพื้นฐานของพุทธศาสนา แต่หากเราไม่เข้าใจก็คงต้องหาหลักฐานจากผู้รู้หรือแหล่งหนังสืออ้างอิงที่เชื่อถือได้มายัน ผมได้พูดถึงพจนานุกรมพุทธศาสน์ไปแล้ว ท่านนิยามไว้ดังนี้ เบญจขันธ์ the Five Aggregates; the five groups of existence; the five causally conditioned elements of existence forming a being or entity, viz., corporeality, feeling, perception, mental formations and consciousness. ดังนั้นต่อให้ยังขาดความเข้าใจในเรื่อง ขันธ์ 5 แม้จะเป็นชาวพุทธเอง หรือเป็นศาสนิกอื่น ก็ยังใช้ตำรานี้อ้างอิงได้ให้ตรงกันว่า เมื่อไรพูดถึง The Five Aggregates ก็คือ ขันธ์ 5 หรือ เบญจขันธ์ อยากรู้ละเอียดไปศึกษาเอาเอง เรื่องการเกิดดับ เรื่องรูปนาม ก็เหมือนกัน เห็นศัพท์ดูหมูๆอย่างนี้ แต่การสร้างความเข้าใจกับเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีข้อพิจารณามากเอาการ ไม่เชื่อก็ไปถามท่านที่่ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังดูสิครับ พจนานุกรมพุทธศาสน์นิยามไว้ดังนี้ รูป 1. matter; form; material; body; shape; corporeality. 2. object of the eye; visible object. นาม mind; name; mental factors; mentality. นามรูป Mind and Matter; name and form; mind and body; mentality and corporeality. พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์ ไทย-อังกฤษ ดูได้ที่ http://www.dhammathai.org/bd/thai01_kokai.php หากให้ผมแปล "..จะมีเวลาที่ไหนมาพิจารณาขันธ์ 5 จิตใจถูกส่งออกนอกตลอดเวลา ไม่เคยรู้ว่ามีอะไรเกิด-ดับ เกิด-ดับอยู่ในรูป-นามนี้.." ผมก็ต้องตีความก่อนว่า ข้อความข้างต้นนี้เป็นคำสอนของท่านอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า การพิจารณาขันธ์ 5 นั้นเป็นเรื่องการวิเคราะห์องค์ประกอบภายในของมนุษย์ซึ่งปัจจัยต่างๆในขันธ์ 5 นี้จะถูกนำมายำร่วมกันเป็นรูปนาม เกิดบ้างดับบ้าง สลับกันไปแล้วแต่เหตุปัจจัยขณะนั้นๆ ถ้าหากใจลอยอยู่ที่อื่นแล้วจะมีเวลาที่ไหนมาวิเคราะห์ขันธ์ 5 แล้วผมก็คงแปลว่า How can one find time to contemplate The Five Aggregates when one's thought wanders outside all the time, never aware of the cycles of origination-termination going on within our combined mental-corporeal being. ถ้าคนแปลเป็นศาสนิกอื่นจะแปลได้หรือนี่? ผมเป็นชาวพุทธยังปวดหัวเลย แล้วถ้าไม่ให้ผมค้นแหล่งอ้างอิง ผมก็แปลไม่ได้อย่างนี้ และในแง่กลับกัน หากให้ผมไปแปลเรื่องที่เป็น concept ของชาวคริสต์หรือฮินดูหรือมุสลิม มันก็คงลำบากเอาเรื่อง ละเอียดอ่อน อาจารย์เล่นให้เด็กวิ่งวิบากเลยเนอะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 11:21:55

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ในเมืองไทยน่ะ นักแปล (ที่ไม่ใช่พระหรือคนเคยบวชพระนานๆ) แต่เป็นบุคคลธรรรมดา แปลเรื่องศาสนาพุทธอังกฤษเป็นไืทยออกมาสวยงามมากๆ เห็นทีจะหาใครทาบรัศมี คุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้ยาก สงสัยแกคงจะแปลม้วนเดียวจบโดยแทบไม่ต้องค้นข้อมูลเลย เพราะแกเชี่ยวชาญด้านนี้มากๆ...ระดับโต้วาทีเีิรื่องศาสนาพุทธกับพระเก่งๆได้สบายๆเลยหละ แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 11:52:58 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 11:51:21

ความคิดเห็นที่ 14 สรุป ในการแปลภาษากฎหมาย แปลอังกฤษเป็นไทย มันคือ analysis แปลไทยเป็นอังกฤษ มันคือ synthesis *************************************************** ให้ 1000000 คะแนน+เลยเพราะเป็นจริงอย่างที่สุด ขอบคุณคุณพี่หมอดูมากครับ ชอบเนื้อหาที่เขียนวันนี้มากๆเลย ถูกใจใช่เลย ศูนย์การแปลฯ น่าจะเชิญไปเล็กเชอร์เปิดมุมมองการแปลให้นิสิตการแปลได้ฟัง ผมว่าจะเป็นประโยชน์มาก จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 15:16:00

ความคิดเห็นที่ 15 เขาไม่ต้องเชิญไปบรรยายหรอก มานั่งๆรอแถวนี้เดี๋ยวพี่แกก็มาขยายเองด้วยความร้อนวิชา ก็ท่านหมอดูท่านเล่นนั่งบริกรรมคัมภีร์กำลังภายในหลายเล่ม เลือดลมมันก็พลุ่งพล่านเป็นธรรมดา จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 15:52:24