ความคิดเห็นที่ 1 ก่อนสงครามโลก มีความเชื่อว่าความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ ในทาง ความคิดสร้างสรรค์ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม ศิลปวัฒนธรรม เศรฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง เสรีภาพ ความเสมอภาค ฯลฯ ได้พัฒนาเป็นอย่างมาก ทำให้พวกมนุษนิยมมองในแง่ดีเชื่อว่าโลกจะเจริญก้าวหน้ามากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ มนุษย์น่าจะมีความสุขสนุกสบายมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เมื่อเกิดสงครามโลก รวมทั้งหลังสงครามโลก มีแนวคิดว่ามนุษย์ที่เชื่อว่าตนเองมีการพัฒนาแล้วเป็นเพียงภาพลวง เพราะมนุษย์กลับใช้ความเจริญก้าวหน้าของตน เข่นฆ่าสังหารเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงกันไม่น้อยลงกว่าก่อน อาจมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ ลองไปอ่านงานของนักคิดรุ่นหลังสงครามโลกดู จากคุณ : เสธแก่ เขียนเมื่อ : 6 มี.ค. 54 21:21:21

ความคิดเห็นที่ 2 ลัทธิมนุษย์นิยมพัฒนาตัวมาจากระบบเทพนิยม และระบบกลไกนิยม(วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า) เห็นมนุษย์เป็นกลไก เป็นชิ้นส่วนของระบบการผลิตสินค้าในโรงงาน) มีการศึกษาเรื่องจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ในโรงงานอุตสาหกรรม มีการเห็นอกเห็นใจมนุษย์มากขึ้น ผ่อนปรนมากขึ้น เรียกว่ายุคมนุษย์นิยม มนุษย์นิยมถูกปรัชญาแนวสังคมนิยม โจมตี ในทางรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง มนุษย์เมื่อได้อำนาจ มักเกิดมิจฉาทิษฐิครอบงำ หลงผิด ยิ่งมีอำนาจมากยิ่งครองอำนาจนาน ยิ่งฉ้อฉลเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ผู้นำที่ครอบครองอำนาจมายาวนาน กลายเป็นเผด็จการ เช่น ในดินแดนตะวันออกกลางหลายประเทศ กำลังถูกประชาชนรวมตัวกันโค่นล้ม ขับไล่ ในสายเศรษฐศาสตร์ ระบบทุนนิยม แบบตลาดแข่งขันเสรี มิได้ทำให้เกิดการเฉลี่ยและการเข้าถึงสินค้าหรือทรัพยากร อย่างยุติธรรม คนผู้เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย20%เป็นผู้ครองทรัพย์สิน80%ของชาติ ดัชนีชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ที่วัดการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นทุกปี มืได้เป็นตัวชี้วัดความสุขความพอมีพอกินส่วนรวมของประชากรในชาติอย่างเท่าเทียม การกำหนดกรอบความมั่งคั่งและการครอบครองทรัพย์สินที่ดินของคนระดับบนเป็นเรื่องต้องปฏิบัติ หรือทบทวนเสียใหม่ อย่างเร่งด่วน ในขณะที่สิ่งแวดล้อมโลกถูกทำลายไปอย่างรุนแรง มลภาวะเป็นพิษกลับเพิ่มมากขึ้น จากบรรษัทยักษ์ข้ามชาติ ที่กำกับโดยมนุษย์ผู้ถือหุ้นกลุ่มน้อย ที่ไม่รู้จักความพอเพียง ประชากรหลายพันล้านทั่วโลก ยังอดอยาก เด็กเป็นโรคขาดอาหาร ขาดน้ำดื่มที่สะอาด ขาดการศึกษา ตัวชี้วัดสำคัญตัวสุดท้าย คือระบบการศึกษาแบบเน้นผู้ชนะจำนวนน้อย เป็นการเน้นการศึกษาที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในห้องเรียน กลายเป็นผู้แพ้ สร้างบาดแผล การเป็นศัตรูในใจลึกๆ ตรงข้าม การศึกษาแบบใหม่ควรเรียนแบบเป็นกลุ่ม ฝึกการทำงานเป็นทีม แบ่งกลุ่มแบบทีมเล็กๆ บางสำนัก ให้อิสระกับนักเรียนมาก เมืองไทย มูลนิธิเด็กเปิดโรงเรียนแบบนี้ที่จังหวัดกาญจนบุรี หลายสิบปีมาแล้ว โมเดลนี้คล้ายกับโมเดลในศาสนาพุทธ ที่ให้นักบวชหรือพระ อยู่กันเป็นชุมชนสังฆะ หรือ สงฆ์นั่นเอง*** การเปลี่ยนปรัชญามนุษย์นิยม หรือลดความเข้มลงไป ระบบผู้นำเดี่ยวเปลี่ยนมาเป็นผู้นำแบบกลุ่ม (Collective-not-Lone Leadership ) มาสู่สังคมนิยมมากขึ้นน่าจะทำให้การสงครามในหมู่มนุษย์ลดลงไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ***หมายเหตุ แต่ชุมชนสังฆะ ที่อยู่ยั่งยืน สืบต่อวัฒนธรรมนี้มาได้ถึง๒๕๕๔ปี กำลังถูกท้าทายจากโลกทุนนิยมตะวันตก อย่างน่าใจหายใจคว่ำแล้ว ณ.บัดนี้ แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 54 00:34:07 จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 54 00:33:16

ความคิดเห็นที่ 3 ...ซ้ำ... แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 54 00:37:26 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 54 00:36:27

ความคิดเห็นที่ 4 เดียวนี้คนไทยใช้คำว่า "ท้าทาย" โดยการแปลตรงตัว (ผิดๆ) จากภาษาอังกฤษคำว่า challenged กันแพร่หลายแล้วหรือ? เมื่อเร็วๆนี้ก้ออ่านเจอนักศึกษาเขียนว่า "กฎหมายนี้ถูกท้าทายในศาลสูงสหรัฐ" โดยการแปลตรงตัวมาจากคำว่า challenged คำว่า challenged ในที่นี้แปลว่า "ไม่ยอมรับ และต้องการพิสูจน์ว่า ใช้การไม่ได้ และนำมาบังคับใช้ไม่ได้" ในกรณีของ จขกท challenged น่าจะแปลว่า "ถูกหักล้าง" นะ? จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 54 00:37:42

ความคิดเห็นที่ 5 อาจารย์แนะนำให้ใช้ว่าท้าทายน่ะค่ะ เพราะไม่ถึงกับถูกหักล้างเสียทีเดียว เป็นการตั้งคำถามที่อีกฝ่ายตอบไม่ได้มากกว่าค่ะ จากคุณ : Bear Waldorf เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 54 09:44:59

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ จริงที่มันยังอาจไม่ได้รับการหักล้าง แต่จะยังไงๆ "ท้าทาย" ก้อประหลาด ถ้ายังไม่ถูกหักล้างก้อน่าจะเป็น "ตั้งข้อสงสัย (หรือทักท้วง) ว่าใช้การไม่ได้" เขียนสั้นๆ น่าจะเป็น "โต้แย้ง" เหมือนๆเขา challenge ข้อกฎหมายกันในศาลนั่นแหละว่ามันบังคับใช้ไม่ได้ เช่นในกรณีที่กฎหมายลูกไปขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ก้อต้องโต้แย้งเพื่อพิสูจน์กัน แต่คำว่า challenge ก็มีใช้แบบนี้ We were challenged by police at the border. ถ้า challenged แบบนี้ แปลว่า (ตำรวจ) สั่งให้หยุดแล้วถามว่าเป็นใครแล้วมาทำอะไรอยู่ที่นี่ (เผลอๆจะขอดู ID card ด้วย) ถ้า challenge มันแปลว่า "ท้าทาย" ได้หมด ละก้อ งั้น เจอแบบนี้ Raise your hand. แปลว่า "ยกมือขึ้น" แล้วเจอแบบนี้จะว่าไง The farmer raised ducks and pigs. ก้อต้องแปลว่า "ยกเป็ดและยกหมู" แทนที่จะแปลว่า "เลี้ยงเป็ดและหมู" น่ะสิ...555+++... แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 54 12:03:09 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 54 11:53:41

ความคิดเห็นที่ 7 ^^อาจารย์ขามเรียงอธิบายได้กระจ่างเหมือนเดิมเลยนะครับ รวมทั้งกระทู้ล่างๆด้วย หลังสงครามโลกอเมริกาเริ่มใช้นโยบายจัดระเบียบโลกใหม่ โลกที่เขาคิดขึ้นมาเองเพื่อประโยชน์ของเขา ทำให้โลกเป็นทุนนิยมให้หมดทุกประเทศ ต่อต้านกดขี่ประเทศสังคมนิยมทุกๆประเทศ นี่สำคัญที่สุด การใช้ฉันทามติวอชินตัน กำหนดให้กระดาษดอลล่า มีค่าสูงสุด ค้ำประกันค่าเงินโลก (อังกฤษรู้เช่นนี้ก็ตั้งค่าเงินปอนด์ของมันให้เกินสหรัฐ ไปเป็น 1เท่าตัว มากกว่า 30ดอลล่า ต่อ 1 ปอนด์) มาตรการทางทหาร จะพยายามไปจับมือประเทศทุนนิยมให้ต่อต้านสหภาพโซเวียต หรือ การปฏิวัติใดๆ สนธิสัญญาป้องกันตัวเองแอตแลนติกเหนือ ทหารในตะวันออกกลาง(น้ำมัน) ทหารกล้ามโต ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี แต่นั้นไม่ใช่ไทยแลนด์หรือเวียตนาม เลย ค่ะ จากคุณ : อิอิ (สหายDSL) เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 54 16:55:10

ความคิดเห็นที่ 8 ได้ข้อคิดจากคุณขามเรียง มาคิดเล่นๆว่า      แถบตะวันออกกลาง     น่าจะเหมาะกับ ผู้นำแบบกลุ่ม ถ้าแบบเดี่ยวมันจะมีความหวาดระแวงกันตลอด   คนมีอำนาจก็ระแวงจึงเสริมอำนาจขึ้นไป คนไม่มีอำนาจก็ระแวงพยายามโค่นอีกฝ่าย   โค่นอำนาจหมายถึงโค่นกันจริงๆด้วยกำลัง เพราะความเป็นเผ่าพันธ์ที่ยังแยกกันไม่ขาด จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 14:20:40