ความคิดเห็นที่ 1 เก่งอยู่แล้วครับ ในเรื่อง reading กับ vocab ส่วน writing นั้นอาจจะต้องมีการฝึกเขียนอย่างหนักด้วย แต่อ่านเยอะๆ มันก็จะเป็นรากฐานที่ดีในการเขียนต่อไป ตอนอ่านผมก็อ่านไป จดเวลาเจอศัพท์ กับ สำนวน แต่ไม่ได้หัดแ่ต่งประโยคอะครับ แต่งประโยคผมว่าสำหรับการหัดเขียนแล้ว ถ้าไม่ซีเรียสมาก หรือขี้เกียจ ผมอ่านไปก็ไม่ได้จด แค่วงศัพท์ที่ไม่รู้ บางทีขี้เกียจเปิดดิกก็ข้ามๆ เดาๆเอา ถ้าขยันหน่อยก็จดลงสมุด มีบ้างพลิกมาดูตอนหลัง ่ส่วนเรื่องเขียนนั่นผมว่ามันระดับ advanced และครับ ถ้าอ่านยังไม่รอดเท่าไหร่ เขียนก็คงไม่ไหวอะครับ ถ้าจะฝึก writing ลองแอดเฟซบุ้ค พวกฝรั่ง แล้วหาเรื่องเม้นไปครับ พอช่วยได้อยู่ จากคุณ : Guiman เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 14:31:18

ความคิดเห็นที่ 2 อ่านบ่อย ฟังบ่อย เขียนบ่อย พูดบ่อย เหล่านี้คือที่มาของทักษะ จากคุณ : ผมว่าอะนะ เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 14:35:57 A:161.200.16.54 X: TicketID:106200

ความคิดเห็นที่ 3 เราซื้อนิยายของ Oxford มาอ่านค่ะ ที่เป็นเล่มเล็ก เป็นเรื่องๆมีหลายเรื่องเล่มละ 90 กว่าบาท - 100 กว่าบาท เราซื้อจาก SE-ED มีแปลคำศัพท์ยากให้ อ่านสนุกดีนะคะ จำศพท์ได้มากขึ้นด้วย จากคุณ : Bunny (Bunny_jaja) เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 14:58:23

ความคิดเห็นที่ 4 การอ่านนิยายภาษาอังกฤษคือการเรียนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดเลยครับ ผมได้รับการปลูกฝังเรื่องอ่านนิยายภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นมัธยม เพราะอาจารย์ฝรั่งบังคับให้นักเรียนทุกคนไปเบิกนวนิยายภาษาอังกฤษจากห้องสมุดแล้วเอามาอ่านในห้องเรียน แล้วผมก็พบว่าการอ่านนวนิยายคือการเรียนภาษาอังกฤษที่เยี่ยมที่สุด การอ่านนวนิยายภาษาอังกฤษทุกวัน (ย้ำทุกวัน) จะช่วยพัฒนาทักษะทั้งด้าน reading, writing, vocabulary, and speaking ได้แน่นอน ผมรับประกัน Try it.  You'll like it. จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 15:43:17

ความคิดเห็นที่ 5 เราเริ่มจากการฟังเพลงเก่าคู่กับอ่านนิยายพวกวัยรุ่น (young adult) ฟัง+อ่านไปเรื่อยๆ มันจะคุ้นเคยกับรูปประโยคค่ะ ที่เริ่มจากเพลงเก่าเพราะฟังง่ายและแสลงไม่มาก นิยายวัยรุ่นก็อ่านง่ายและสนุกด้วยค่ะ สู้ๆนะคะ จากคุณ : artarty เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 15:52:13

ความคิดเห็นที่ 6 ทักษะได้มาโดยการทำบ่อยๆ การฝึกฝน ความสามารถทางภาษาก็เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ได้มาด้วยการฝึกฝนครับ จากคุณ : At Your Service เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 17:56:28

ความคิดเห็นที่ 8 แปลกจังค่ะ ถ้าโพสท์ชื่อหนังสือ ความเห็นจะโดนลบอัตโนมัติเหรอคะ จากคุณ : Le Cielo เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 20:04:23

ความคิดเห็นที่ 9 You need to do a lot of exam practice papers as well. Reading alone is not enough to significantly improve your English proficiency. You need proof and constant reminder how good you are by doing exam practice papers such as Toefl, IELTS. If you can do exam practice papers and get a very high score, it means you are proficient. If not, you need to read more and do a lot of practices. จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 20:22:55

ความคิดเห็นที่ 10 แฮะๆๆ ผมว่าเ่ล่มพวกนั้นก็ดีนะครับ แต่ราคาผมว่าสูงไปหน่อยกับปริมาณเล่ม ผมมักไปตะลุย Bangkokpost 30 บาท อยู่ได้เป็นสัปดาห์เลยแรกๆครับ ไม่ก็ไปงานหนังสือหานิยายไม่ได้ดังมากมาอ่านในราคาถูกแทน  จากคุณ : Mewchan (Mewchan) เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 21:54:37

ความคิดเห็นที่ 11 สมัยผมเรียน ยังไม่ค่อยมีอินเตอร์เน็ต ผมอาศัยอ่านหนังสือพิมพ์เอา เริ่มจาก student weekly Nation Junior แล้วพอระดับมหาวิทยาลัยก็ Bangkok Post อย่างที่ คห 10 บอก ประหยัด แล้วก็อ่านได้นาน อ่านบ่อยๆเข้า มันก็จำศัพท์ได้เป็นหมวดๆโดยอัติโนมัติเพราะว่า คำศัพท์มันก็วนๆ เช่น ศัพท์การเมือง ศัพท์เศรษฐกิจ หรือกีฬา พอเข้าใจถึงขั้นว่า ไม่ต้องเปิด dict ก็เริ่มอ่านพวกบทวิเคราะห์ใน BKK Post พอชำนาญอีกหน่อย ผมก็เริ่มอ่าน The Economist หลังๆ อินเตอร์เน็ต แพร่หลาย The Economist เพิ่มราคา ก็เลยอ่านจากเน็ตแทน แล้วก็ไปสอบ Toefl ครั้งแรก สมัยนั้นมีแต่แบบ Paper ก็ค้นพบว่า เราเขียนกับอ่าน แล้วก็ Grammar ได้ดีมาก แต่ Listening ร่วงไม่เป็นท่า คะแนนรวมออกมาได้ 525 หลายคนอาจจะบอกว่า 525 ก็ไม่เลว แต่หากคุณรู้ว่าผมจบศึกษาศาสตร์ เอกอังกฤษมาก็คงไม่น่าพอใจ แม้จะไม่เข้มข้นเท่าพวกที่เรียน อักษรหรือมนุษย์ Eng แต่ก็ควรจะดีกว่านี้ เมื่อพบว่าจุดอ่อนคือ Listening ก็เลยติด UBC ฟัง CNN ทุกวัน ย้ำว่าทุกวัน ซักผ้า ผมก็ฟัง แล้วก็พบว่า มันก็คือข่าวการเมือง เศรษฐกิจ กีฬา แล้วก็สกู๊ป ซึ่งศัพท์มันก็น่าจะเหมือนกับในหนังสือพิมพ์ แต่ทำไมเราฟังไม่ออก ก็เลยทำทุกวัน สุดท้าย ก็ทำได้ครับ จนมั่นใจ ไปสอบ Toelf ครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรกเกือบปี ผลออกมา ผมได้คะแนน 620 แล้วผมก็ค้นพบว่า เพราะ listenin ที่ดีขึ้นนั่นเอง เพราะ reading writing grammar คะแนนก็ +/- ก็เท่าๆครั้งแรก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมจบทางด้านศึกษาศาสตร์ เอกอังกฤษนะครับ ไม่ได้บอกว่าอยู่ๆแล้วได้เลย แต่จะบอกว่าแม้จบเอกมาก็ตาม แต่มันต้องฝึกตลอด ทุกวันนี้ยังฝึกเหมือนเดิม แล้วก็ไปสอบ Toefl ทุกครั้งเมื่อหมดอายุ ตอนนีก็สอบไปน่าจะ 6 ครั้งแล้ว ครั้งล่าสุดไปสอบมา IBT ได้ 103 ก็ถือว่าทรงๆ แต่ได้คะแนนประมาณนี้ก็อย่าชะล่าใจว่าเก่งแล้ว เพราะว่า ส่วนหนึ่ง คะแนนได้มาจากการที่สอบบ่อยๆ ทำให้ชินด้วย ผมว่านะ แต่ถ้าไม่ฝึก เอกอังกฤษก็ช่วยไรผมไม่ได้แน่นอน วิธีการของแต่ละคนอาจจะต่างกันไป แต่เชื่อว่าทุกคนก็ต้องฝึก เอาจริงเอาจัง ดังนั้นสู้ๆสำหรับคนที่อยากเก่งภาษาอังกฤษ แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 54 22:24:56 แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 54 22:23:23 จากคุณ : At Your Service เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 22:19:48

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณมากคร้าบ จากคุณ : ship9960 เขียนเมื่อ : 18 มี.ค. 54 22:47:43

ความคิดเห็นที่ 13 ที่รร.เราให้อ่านนิยายตลอดเลยค่ะ ปีละหนึ่งเรื่อง แล้วก็มีสอบไฟนอลด้วย ถ้าจะเริ่มอ่านเอง เริ่มจากแนวที่ตัวเองชอบน่าจะช่วยได้มากเลยค่ะ เพราะอ่านเป็นภาษาอังกฤาก็ยากอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่แนวที่ตัวเองชอบนี่ยิ่งไปกันใหญ่เนอะ ส่วนตัวเราอ่านนิยายวัยรุ่นทั่วไปอย่าง Twilight อะไรแบบนี้ จากคุณ : marina_rain เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 19:40:05

ความคิดเห็นที่ 14 ช่วยได้มากค่ะ หากได้อ่านต้นแบบการใช้ภาษาที่ถูกต้องอยู่เสมอ เมื่อพบการใช้คำหรือรูปแบบประโยคผิดๆ จะรู้สึกได้ทันที อ่านพวกหนังสืออ่านนอกเวลาของออกซ์ฟอร์ด พอคล่องแล้วก็เปลี่ยนมาอ่านนวนิยาย หรือหนังสือ Best Seller ดูค่ะ จะได้อรรถรสมากขึ้นไปอีก แทบวางไม่ลงกันทีเดียว แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 54 19:43:41 จากคุณ : Lovely Creature เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 19:42:01

ความคิดเห็นที่ 15 ลองหาหนังสือนิยายที่เคยนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ ถ้าเรายังไม่ค่อยเก่ง แต่ว่าเราก็จะแอบนึกภาพ และเดาเรื่องถูไถไปได้ว่ามันน่าจะแปลไปในทิศทางนี้ บลาๆๆๆๆ ส่วนเราใช้วิธี ในเริ่มแรก เราจะซื้อนิยายภาษาอังกฤษ หรืออะไรก็ได้อ่ะค่ะ ในแนวที่ชอบๆที่มันมีการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว และซื้อเล่มแปลภาษาไทยมาด้วยซะเลยค่ะ ^^ เพราะเรากลัวว่าถ้าเราลองแปลเองกลัวจะไม่ได้คำแปลที่ถูกต้อง และกลัวจะแปลแบบผิดๆต่อไปเรื่อยๆน่ะค่ะ เวลาแปลแล้วมันดูงงๆก็จะเปิดดูเล่มไทย แล้วเดี๋ยวพอเจอรูปประโยคที่คุ้นๆ หรือคำศัพท์เดิมๆมันก็จะขี้เกียจเปิดภาษาไทยไปเอง แล้วเราก็จะแปลได้คล่องขึ้นและถูกต้องค่ะ^^ ส่วนเรื่องการฟัง ก็เริ่มจากเปิดคลื่นเพลงที่เป็นเพลงสากลทั้งหมดก่อน ถ้าอยากฝึกฝนขอแนะนำว่า (ในกรณีที่คุณไม่ได้ไปเมืองนอกนะคะ) คุณควรสร้างแวดดล้อมให้ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษให้มากที่สุดค่ะ เช่น จะฟังอะไรก็ขอให้มันเป็นภาษาอังกฤษ ฟังวนไปเวียนมา ไม่ต้องรู้เรื่องก็ได้นะคะในช่วงแรก ฟังให้มันซึมๆ ฟังให้ทัน เดี๋ยวมันจะรู้เรื่องอัตโนมัติไปเองค่ะ   หาหนังsoundtrack เลือกเรื่องที่ชอบมาดูเรื่อยๆค่ะ เริ่มจากเปิดซับไทยไปก่อน แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นซับอังกฤษ แล้วก็เปลี่ยนเป็นไม่เปิดซับอะไรใดใดทั้งสิ้นค่ะ สังเกตรูปประโยค ว่าเค้าจะพูดแบบนี้ประมาณนี้ในตอนไหนๆ เรื่องเดียวกันดูซ้ำไปเรื่อยๆถ้าฟังเริ่มรู้เรื่องไปในทางที่ดีก็เปลี่ยนเรื่องค่ะ^^ แหะๆ แต่ละวิธีก็เหมาะสำหรับบางคนนะคะ ลองหาวิธีไปเรื่อยๆนะคะ สู้ๆๆๆๆ^^ ปล. ส่วนใหญ่เราจะอ่านหนังสือที่มันผู้หญิงเกินอ่ะค่ะ คุณ จขกท.อาจจะไม่ชอบ อืมๆ ยังไงลองหานิยายที่เคยสร้างเป็นหนังมาอ่านดูนะคะ อาจจะมีหนังที่คุณ จขกท.ชอบก็ได้ค่ะ  หรือไม่ก็ง่ายๆเลย หาข่าวในอินเทอร์เนตที่เป็นภาษาอังกฤษเนี่ยแหละค่ะ แต่ว่าก็ให้ไปแอบอ่านข่าวที่เป็นภาษาไทยไว้ก่อน จะได้เป็นไกด์ไลน์ในการอ่าน จะได้แปลไปในทิศทางเดียวกันค่ะ^^ จากคุณ : weirdprincessandcoldprince เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 06:53:04

ความคิดเห็นที่ 16 ช่วยได้ค่ะ ตอนสมัยเรียนชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากค่ะ ยิ่งสมัยนี้ก็หาอ่านพวกข่าวหรือคอลัมภ์บันเทิงทางอินเตอร์เน็ตได้ง่ายๆค่ะ ตอนเรียน เวลาเจอสำนวน หรือการเขียนอะไรที่เราคิดว่าเอาไปใช้ได้ หรือน่าสนใจจะจดๆไว้ใช้ค่ะ แล้วเวลาอ่านก็มีอ่านออกเสียงบ้าง ช่วยฝึกลิ้นให้คล่อง แล้วก็เขียน Blog เป็นภาษาอังกฤษ ช่วยได้เยอะมากๆค่ะ ยิ่งเรียนไปแล้ว พอเราแม่นขึ้น กลับมาอ่าน blog เก่าๆจะเห็นความผิดพลาดของภาษาเยอะ แก้เองได้ เดี๋ยวนี้สื่อเยอะมาก ดูหนังทางอินเตอร์เน็ตฟรีๆก็มีเยอะ ไม่เหมือนสมัยก่อน อยากดูหนังลอง Hulu.com ดูนะคะ สู้ๆค่ะ จากคุณ : AnnaBanana เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 09:06:01